โปรดทำความเข้าใจกับคำว่า ภิกษุณีไม่มี ในบุพกิจของพระภิกษุ
ท่านผู้อ่านว่า...จริงมั้ย...ที่...
แม้ในสมัยพุทธกาลก็ดี... แม้หลังจากที่ มีภิกษุณีมากมาย แล้วก็ดี
แต่แน่นอนว่า..ไม่ได้มี พระภิกษุณีอาศัยอยู่ ในทุกๆ อาวาสที่พระภิกษุอาศัยอยู่
เพราะพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปกว้างไกลมากๆ ไปหลายบ้าน หลายเมือง ..หลายประเทศ
ดังนั้น
..
๑. ถ้าพระภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่ในอาวาสใด ที่ ไม่มีภิกษุณีอาศัยอยู่ในเขตใกล้ราว กึ่งโยชน์(๘ ก.ม.)
เมื่อภิกษุนั้นทำบุพกิจ ก่อนการลงปาฏิโมกข์ก็ต้องแจ้งให้หมู่ภิกษุสงฆ์ ทราบว่า
การสอนภิกษุณีไม่มี เพราะพวกภิกษุณีนั้น เวลานี้ไม่มี (ภิกฺขุนีนโมวาโท ปน อิทานิ ตาสํ นตฺถิตาย นตฺถิ)
ก็คือ ไม่มีอยู่ในอาวาสนี้ แต่ยังมีอยู่ในอาวาสอื่น
และถ้าวันต่อไป เดือนต่อไป ปีต่อไป มีภิกษุณีมาอาศัยอยู่ในอาวาสนั้น ภิกษุก็ต้องบอกแจ้งในที่ประชุมสงฆ์ว่าการสอนภิกษุณีหรือการให้โอวาทภิกษุณีได้ทำหรือยัง
ยกตัวอย่างเช่น....
ü ในช่วงเวลาที่มีภิกษุณีสังฆมิตตาและคณะอยู่ในอินเดีย แต่ในอาวาสภิกษุ บางที่ในอินเดีย ไม่มีภิกษุณี เมื่อภิกษุในอาวาสนั้นทำบุพกิจ ก็ต้องบอกแจ้งที่ประชุมว่าภิกษุณีไม่มี
ü เมื่อภิกษุณีสังฆมิตตาไปให้การอุปสมบทแก่ภิกษุณีอนุฬาและคณะในลังกาก็ยังมีอาวาสภิกษุในบางที่ของลังกา รวมถึงอาวาสภิกษุในไทย ในพม่า ในลาวหรือในที่อื่นๆที่ไม่มีภิกษุณี ดังนั้น ภิกษุในอาวาสที่ไม่มีภิกษุณีเมื่อทำบุพกิจก็ต้องแจ้งแก่ที่ประชุมสงฆ์ก่อนลงปาติโมกข์ว่าภิกษุณีไม่มี ทั้งๆที่ยังมีภิกษุณี อยู่ในลังกา ในอินเดีย เป็นต้น
๒. อีกกรณีหนึ่งคือ...อาวาสภิกษุ อยู่ใกล้ๆกันหลายอาวาส ถ้าหากอาวาสใดไม่มีภิกษุณีมาขอรับโอวาท
เนื่องจากไม่มีภิกษุที่มีองค์คุณ ๘ ประการที่จะให้โอวาทได้ ภิกษุณีจึงไปขอรับโอวาทจากภิกษุผู้มีคุณสมบัติในอาวาสอื่นที่อยู่ในระยะไม่เกินกึ่ง โยชน์ ดังนั้นอาวาสที่ไม่มีภิกษุณีมาขอรับโอวาทก็ต้องบอกแจ้งที่ประชุมว่า การสอนภิกษุณีไม่มีหรือเพราะภิกษุณีไม่มี ให้สอน
ดังนั้น ในบุพกิจของภิกษุที่มีบทว่า การสอนภิกษุณีไม่มี เพราะพวกภิกษุณีนั้นเวลานี้ไม่มี จึงใช้พูดกันมานานแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาลตั้งแต่สมัยที่ ยังมีภิกษุณี อยู่ในที่ต่างๆมากมาย
เพียงแต่ไม่มีอยู่ในอาวาสนั้นๆ เท่านั้น
สรุปแล้ว ในบุพกิจของภิกษุที่มีบทว่า ภิกษุณีนั้น เวลานี้ไม่มีนั้น
o ไม่ได้หมายถึงว่า ไม่มีภิกษุณีอยู่ในโลกนี้แล้ว
o ไม่ได้หมายถึงว่า ในเวลาต่อไป จะไม่มีภิกษุณีมาอาศัยอยู่ในเขตอาวาสนี้ ได้อีก
o และไม่ได้หมายถึงว่า ไม่มีภิกษุณีเถรวาท อีกต่อไปแล้ว....
ภิกษุณีนิโรธารามเป็น เถรวาท หรือ มหายาน ?
๑. เถรวาท คือ อะไร ?
ผู้เขียนขอทำความเข้าใจกับผู้อ่านให้ตรงกันก่อนในเรื่องเถระวาท และ มหายานโดยสรุป โดยประเด็นสำคัญ ว่า...ศาสนาพุทธมี ๒ นิกายใหญ่ๆ คือ
๑.๑ นิกายเถรวาท คือ นิกายที่เชื่อตามมติของภิกษุสงฆ์อันมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ว่า จะไม่ถอนพระวินัยบัญญัติไม่ว่าข้อใด ๆ จะรักษา จะปฏิบัติตามสิกขาบทอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วหากผิดพลาดในข้อใดแม้เล็กน้อย ก็จะออกจากอาบัติตามพระพุทธบัญญัติ
๑.๒ นิกายมหายาน คือ นิกายที่เห็นด้วยกับการถอนพระวินัยบัญญัติบางข้อว่าควรถอนได้
๒. ความเป็นเถรวาท กำหนดกันด้วยอะไร ?
๒.๑เป็นเถรวาทตามการบวชสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต ตามหมู่คณะสังฆะ อย่างนี้ผู้เขียน
ถือว่าเป็น เถรวาทโดยพิธีกรรม แต่ไม่ใช่การรับรองถึงความประพฤติว่าจะเป็นเถรวาทจริง
๒.๒ เป็นเถรวาทเพราะเห็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ในพระธรรมวินัยจึงมีศรัทธาในการศึกษาให้รู้ชัดแล้วประพฤติตามด้วยสติปัญญาให้กุศลเจริญ อย่างนี้ผู้เขียนถือว่าเป็นเถรวาทโดยความประพฤติ
๓. ภิกษุณีนิโรธารามและสุทธจิตต์เป็นเถรวาทหรือมหายาน ?
พวกเราไม่ได้บรรพชาอุปสมบทกับสงฆ์ฝ่ายมหายานเลยจริงๆ ... แต่พวกเราไปบรรพชาและอุปสมบทจากภิกษุณีสงฆ์และภิกษุสงฆ์ชาวศรีลังกา ที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
ถ้า...มีผู้ทักท้วงว่าภิกษุณีที่เป็นปวัตตินีผู้ให้การอุปสมบทแก่พวกเรานั้นได้รับการอุปสมบทที่อินเดีย...โดยมีภิกษุณีเกาหลีซึ่งเป็นมหายานเดินทางมาให้การอุปสมบท...
แต่พวกเราก็ได้รับข้อมูลมาว่า...มีสงฆ์ทั้งเถรวาททั้งมหายานได้กรุณาทำพิธีอุปสมบทให้ก่อนก็จริง แต่เมื่อกลับไปอยู่ลังกา...ภิกษุสงฆ์ลังกาก็ได้ทำพิธีให้การอุปสมบทอีกครั้งหนึ่ง ที่เรียกว่าทำ ทัฬหีกรรม หรือเหมือนกับการญัตติใหม่ให้เป็นเถรวาท (ในประเทศไทยก็มีการญัตติใหม่ ให้เป็นธัมมยุต)
และในความจริง..ภิกษุณีที่เกาหลีมีได้..ก็เพราะภิกษุณีจีนบวชให้ ซึ่งภิกษุณีจีนมีได้ก็เพราภิกษุณีลังกาที่เป็นเถรวาทบวชให้มาก่อน และทั้งเถรวาททั้งมหายานก็ล้วนแต่บวชมาจากพระพุทธเจ้า
ดังนั้น พวกเราจึงไม่กังวลกับที่มาของปวัตตินีเพราะพวกเราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาครุธรรม ๘ และน้อมรับสิกขาบททั้ง ๓๑๑ ข้อ มาปฏิบัติตามกำลังสติปัญญา
พระภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์จากลังกาผู้ให้การบรรพชาอุปสมบทได้เดินทางมาดูการดำเนินชีวิตของหมู่คณะภิกษุณีนิโรธารามแล้ว เล็งเห็นว่า
.สามารถดำเนินชีวิตตามรอยพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยมีพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีในประเทศไทยเป็นครูบาอาจารย์ได้..จึงอนุญาตให้อยู่ศึกษา ประพฤติพรหมจรรย์ในนิโรธารามได้.....โดยไม่จำเป็นต้องไปอยู่กับปวัตตินีที่ศรีลังกา
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ร่วมกับปวัตตินีที่ศรีลังกา...แต่ท่านก็กรุณามาอยู่ร่วมจำพรรษาด้วย เพื่อให้การอบรมสั่งสอนที่นิโรธาราม...และหลังจากนั้นเมื่อมีผู้บวชใหม่เพิ่มขึ้น...ปวัตตินีก็มอบหมายให้ภิกษุณีรุ้งเดือน นันทญาณี (พรรษา๙) เป็นผู้ให้การศึกษาอบรมต่อจากท่าน
ขณะนี้คณะภิกษุณีมีทั้งหมด๒๙ รูป สิกขามนาและสามเณรี ๑๙ รูป แม่ชี ๙รูป
(ข้อมูลณ วันที่ ๑๙ ก.ค. ๒๕๕๙)