อยากให้ตรงนี้เป็นที่ๆเราได้สื่อสารกัน และรู้จักกันมากขึ้น
Group Blog
 
All Blogs
 

ลด ลด ลด ถึงเวลาที่เราต้องลดน้ำหนักแล้วล่ะ

มาแล้วครับ ช้าหน่อยแต่ก็มา Update กัน Blog นี้ผมจะเล่าเรื่องการลดน้ำหนักของผมครับ ช่วงนี้งานเข้าครับ ต้องไปทำงานต่างจังหวัดบ่อย เลยไม่ค่อยมีเวลาเข้ามา มาว่าเรื่องลดน้ำหนักของผมกันดีกว่า

ปกติแล้วผมเป็นคนตัวใหญ่ครับ คือโครงร่างใหญ่ คงได้จากคุณพ่อและคุณแม่มา น้ำหนักครั้งแรกที่จำได้ก็ปกติดีครับ ผมสูง 169 ซม. หนัก 65 กก. เป็นช่วงมัธยมปลาย แต่ผมเป็นนักกีฬาตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว เล่นกีฬาทุกอย่างครับ ไม่ว่าฟุตบอล, วอลเลย์บอล, ตระกร้อ, แบด, ปิงปอง และอื่นๆอีก แต่ผมว่ายน้ำไม่ได้เรื่องเลยครับ เป็นกีฬาอย่างเดียวที่ผมไม่เอาไหนเลยจริงๆ แต่เอาตัวรอดได้นะครับ ไม่เคยจมซะที (สงสัยเป็นเพราะห่วงยางข้างเอว)

เนื่องจากเล่นกีฬาเยอะมาก ก็หิวสิครับ กิน กิน กิน ทุกอย่าง ยิ่งตอนมัธยมผมไม่กินผักและผลไม้เลย ก็มันกินไม่เป็นอ่ะ ผักมันขมทุกอย่าง ผลไม้ก็ไม่ชอบ หนักไปทางขนมปัง เค็ก KFC อะไรประมาณนั้นครับ แต่ช่วง ม.6 ก็ยังหุ่นดีอยู่นะครับ ตอนนั้นประมาณ 70 กก. พอเข้าปี 1 ที่มหิดล ก็เรียนหนักมาก กิน กิน แล้วอ่านหนังสือ แล้วก็นอน ก็คนมันไม่ชอบเที่ยวอยู่แล้ว อยากเฝ้าหอ (ความจริงมันคงขี้เกียจแน่เลยเรา) เพื่อนๆมันเฮกันไปเที่ยว เราก็นอนอ่านหนังสือ เริ่มส่อเค้าความอ้วนก็ตอนนี้แหละ

แต่ความที่เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์โดยตรง ผมถึงเริ่มพยายามหัดกินผักบ้าง ลองหัดกินผลไม้บ้าง ก็พอไหวครับ เริ่มกินสลัดเป็นแล้ว แต่ต้องมีกุ้งทอด หรือหมูทอดมาด้วยนะ ไม่งั้นมันกินมะลงอ่ะ

เผลอแพลบเดียวตอนจบปริญญาตรี เริ่มมาทำงานที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ตอนนั้นผมหนักประมาณ 73 กก. ก็ยัง OK อยู่ เริ่มไม่มีเวลาออกกำลังกายแล้วครับ เพราะช่วงแรกของการทำงานต้องเรียนรู้งานอย่างมาก เข้างานแต่เช้าประมาณ 6 โมง กว่าจะเลิกก็เกือบเที่ยงคืน (งานมันเป็น 2 job = 16 ชม./วัน) เลิกงานก็นอนแผ่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นทำแบบนั้นได้ยังไง แต่เหนื่อยมากๆครับ

หลังจากทำงานสัก 2-3 ปี ก็ชำนาญแล้ว บวกกับได้ไปดูงานต่างประเทศอีก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่อเมริกาครับ คนที่เคยไปจะทราบดีว่า อาหารที่คนไทยกินช่วงกลางวันที่นั่น มันต้องเป็น Mc Donald แน่นอน เพราะมันถูกครับ อิ่มท้องด้วย และตามโรงพยาบาลใน USA มันก็ดันมีแต่ร้าน Mc Donald ซะด้วย

เนื่องจากช่วงหลังๆผมไม่ได้ชั่งน้ำหนักอีกเลย (กลัวตาชั่งพัง) ก็ทำงานและดำเนินชีวิตไปตามปกติ (กินซะเยอะ และไม่ออกกำลังกาย) จนวันหนึ่ง.................

มีคนไข้ที่ต้องผ่าตัดฉุกเฉินครับ ทุกคนถูกตามมาช่วงเกือบสี่ทุ่มได้มั้ง วันนั้นผมต้องคุมเครื่องให้คนไข้ด้วย จำได้ว่าตอนนั้นผมง่วงมากๆ เลยสลับให้เพื่อนคุมแทน ผมต้องเปลี่ยนออกไปพักผ่อน นั่งหลับ และมึนหัวตลอดเวลาจนกระทั่งผ่าตัดเสร็จในเช้าวันรุ่งขึ้น ขนาดได้พักแล้ว ผมก็ยังมึนๆตลอดทั้งวัน เพราะต้องต่อเวรเช้าด้วย ซึ่งผมไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย ขนาดเคยอดนอน 2-3 วันยังเฉยๆ (สงสัยจะแก่แล้ว)

พอดีถึงช่วงตรวจร่างกายประจำปีพอดี ผลปรากฏว่า ....... น้ำตาลในเลือดก็ขึ้น ไขมันก็สูง น้ำหนัก ..... เท่าไหร่รู้ไหมครับ จากการที่ไม่ได้ใส่ใจตัวเองเลย 89 กก.ครับ ความจริงมันคงอ้วนมานานแล้วหละ แต่ผมเป็นคนที่ชอบใส่เสื้อตัวโคร่งๆ เพราะขี้ร้อน กางเกงที่ซื้อก็ขยายเอวเรื่อยๆ ล่าสุดก็ 39 นิ้วครับ ส่วนเสื้อหลังๆ XL ยังคับๆ ต้องหายี่ห้อที่มี size XXL

ไม่ไหวแล้ว บอกกับตัวเองเลยว่าถึงเวลาต้องดูแลตัวเองบ้าง ตั้งใจว่าต้องกลับไปอยู่ที่ 70-75 กก.ให้ได้ เรื่องงานเป็นเรื่องที่ผม care มากที่สุด เพราะงานผมห้ามพลาดเด็ดขาด และต้องมีผ่าตัดยามค่ำคืนมาเรื่อยๆอยู่แล้ว

หลังจากนั้น ค้น ค้น และค้นคว้าครับ ในเว็ปพันทิปนี่แหละ เข้าห้องสวนลุมเลย คลับลดความอ้วน แล้วก็ตกลงเลือกวิธีที่เหมาะกับเราที่สุด ผมว่าแต่ละคนมันจะมีวิธีที่เหมาะสมไม่เหมือนกันนะ ผมเลือก แอตกิ้นครับ เพราะน้ำหนักเกือบ 90 กก. จะไปออกกำลังไม่ไหวแน่ๆ เดี๋ยวเข่าพังซะก่อน ต้องลดน้ำหนักลงมาสักระยะก่อนแล้วค่อยไปออกกำลังกาย กินตามสูตรแอตกิ้นแป๊ะๆ เขาทำกัน 2 อาทิตย์ แต่ผมกินแบบนั้น 1 เดือน.......

ได้ผลครับ แต่ทรมานมาก อาทิตย์แรกหงุดหงิดเลยล่ะ แต่เป็นธรรมดาของคนที่ใช้สูตรนี้อยู่แล้วครับ พอผ่านไปได้ก็ OK 1 เดือน ลดไปได้ 5-6 กก. ได้ครับ เริ่มมีกำลังใจครับ ก็เปลี่ยนไปกินอาหารระดับที่ 2 ได้ คราวนี้เริ่มได้เวลาออกกำลังแล้ว ความจริงถ้าใช้สูตรแอตกิ้นเขาบอกว่าไม่ต้องออกกำลังกายก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะใช้วิธีผสมผสานครับ กินตามสูตรด้วยและออกกำลังด้วย คราวนี้จะออกกำลังวิธีไหนดี วิ่งครับ ผมเลือกวิ่งเพราะมันเตรียมตัวน้อยดีครับ หารองเท้าดีๆสักคู่ บ้านก็อยู่ใกล้สวนสาธารณะ

วิ่งๆๆ ครับ กินแป้งน้อยๆ เลิกกินกาแฟไปเลย สมัยก่อนผมนี่คอกาแฟเลยครับ กาแฟเย็น หรือ กาแฟปั่นทุกยี่ห้อต้องลองให้หมด มีร้านกาแฟเปิดใหม่ที่ไหนถ้าผมผ่านไปเจอได้แวะลองทุกร้าน มันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมน้ำหนักขึ้นด้วยแน่ๆ (พยายามหาจำเลยครับ) วันไหนไม่ได้กินกาแฟ มันเหมือนไม่ตื่น วันหยุดก็ต้องขับรถออกไปหากาแฟทาน (หาเรื่องออกนอกบ้าน ไปงั้นแหละ) แต่คราวนี้หักดิบเลยครับ โยนกาแฟที่บ้านทิ้งหมดเลย กินนมแทน diet coke , pepsi max บ้าง พออดไปได้สักพักสังเกตุว่าตอนเช้าเราตื่นมาไม่เห็นต้องกินกาแฟเลย ก็สดใสทำงานได้ ไม่มึนหัว หรือง่วงเหมือนเมื่อก่อนที่ต้องกินกาแฟทุกวันเลย มันแปลกดีเนอะ

ผมเริ่มวิ่งที่พุทธมณฑลครับ ใกล้บ้านดี เริ่มจากรอบที่เล็กที่สุด รอบๆองค์พระครับ จากนั้นก็เพิ่มจำนวนรอบขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ผมวิ่งรอบใหญ่สุดของพุทธมณฑล 3-4 รอบ ภายใน 40-50 นาทีสบายๆครับ สวนลุมก็ไปบ้าง แต่คนเยอะไปหน่อย ผมว่ามันไม่เหมาะสำหรับคนที่เริ่มวิ่งออกกำลังกาย ต้องฟิตสักหน่อยก่อนแล้วค่อยไป ก็เท่เลย

หลังจากวิ่งๆๆๆ + แอตกิ้นไดเอท 3 เดือน จาก 89 ลงมาเหลือ 78 กก. ครับ ช่วงนี้มันจะลงช้ามากๆแล้ว ตั้งเป้าไว้ 75 ก่อน ช่วง 3-6 เดือนหลัง มันลงมาแค่กิโลกว่าเอง ครบ 6 เดือน น้ำหนักผมอยู่ที่ 77 - 78 กก.ครับ

ครบ 6 เดือน ผมก็เลิกกินแอตกิ้นครับ หันมาเน้นกินแป้งน้อยหน่อย แต่เริ่มกินหลากหลายมากขึ้น เน้นผักด้วย วิ่งอย่างน้อยวันละ 30-40 นาที บนลู่วิ่งแล้วล่ะ ทำทุกวันหลังเลิกงานครับ + เล่นเวทด้วย เพราะคนที่ลดน้ำหนักลงมามากๆ ถ้าไม่เล่นเวทเลยมันจะดูเหี่ยวๆครับ

ตอนนี้ผมน้ำหนักคงที่อยู่ที่ประมาณ 75-76 กก. แล้วครับ ผ่านมาปีกว่าผมว่ามันได้ผลดีจริงๆ การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ผมสุขภาพดีขึ้นมากๆ ผลการตรวจสุขภาพล่าสุด ทุกอย่าง perfect ตอนนี้เอวกางเกงเหลือ 33 นิ้วหลวมๆ ใส่เสื้อ size L ยังสบายๆ
ทำงานแบบอดนอน 2-3 วัน ได้เหมือนเดิมแม้ตอนนี้ครบ 42 ปีเต็มเดือนนี้พอดีครับ

ส่วนรูป beofore & after จะแทรกมาให้ดูคราวหน้านะครับ พอดีรูปอยู่ที่คอมอีกเครื่องครับ

เคล็ดลับการลดน้ำหนักของผม
เมื่อตัดสินใจว่าจะลดน้ำหนัก ให้บอกคนรอบข้างเราให้รู้มากที่สุดครับ ยิ่งคนรู้มากยิ่งดี (เขาจะได้ช่วยประนาม เวลาที่เราทำไม่สำเร็จ) ล้อเล่นนะครับ มันจะเป็นแรงเสริมให้เรามานะ และลุล่วงได้ในที่สุด ควบคุมตัวเองให้อยู่ในวินัยมากที่สุดโดยเฉพาะเรื่องกิน ออกกำลังกายก็ตั้งใจทำให้สม่ำเสมอ เพราะถ้าเราทิ้งไปสัก 2-3 วัน คราวนี้ต้องมานับ 1 ใหม่เลยครับ มันจะเหนื่อยมากๆ แต่ถ้าเราทำสม่ำเสมอ มันจะสนุกแบบบอกไม่ถูก และถ้าวันไหนเหงื่อไม่ออก กลับจะหงุดหงิดด้วยซ้ำครับ บุคลิกภาพของเราจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กระฉับกระเฉง active มากๆ จนเพื่อนๆ งง++

คงพอได้ idea นะครับ คราวหน้าจะเล่าเรื่องอะไรดีละ ไปที่วิชาการบ้างละกันนะครับ จะหาเรื่องสนุกๆมาเล่าแบบไม่ให้เบื่อแน่ๆ สัญญาครับ




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2552    
Last Update : 15 สิงหาคม 2552 15:55:35 น.
Counter : 1044 Pageviews.  

Perfusionist คือใคร เขาทำงานอะไรกัน ?



ตามที่สัญญากันไว้ครับ คราวนี้ผมจะมาเฉลยว่า งานที่ผมทำมันเป็นอย่างไร มีรูปให้ดูนิดหน่อยจะได้เข้าใจมากขึ้น แต่คงไม่ลงลึกมากนะครับ อยากให้อ่านกันสบายๆเอาแค่พอเข้าใจ ส่วนผู้ใดอยากลงลึกในรายละเอียดก็เอาไว้ติดตามในส่วนของวิชาการละกัน (ซึ่งผมแบ่ง group ไว้แล้ว และจะนำมาลง update ให้เป็นระยะๆครับ โดยตั้งใจว่าจะเอาไว้สื่อสารและแลกเปลี่ยน กับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานแบบเดียวกันครับ)

Perfusionist หรือ นักปฏิบัติการเครื่องหัวใจและปอดเทียม (แปลเป็นไทยแล้วชื่อมันยาวจริงๆ) เป็นสาขาวิชาชีพหนึ่งของระบบการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีหน้าที่ควบคุม เครื่องหัวใจและปอดเทียม (Heart Lung Machine) ในระหว่างที่ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติในหัวใจของผู้ป่วย (ดูเป็นทางการจัง)

จากรูปข้างบน Perfusionist คือ คนที่นั่งคุมเครื่อง และทำตาโตๆ อยู่ด้านซ้ายมือครับ (ความจริงไม่ค่อยได้นั่งเหมือนในรูปหรอก)

อธิบายให้ละเอียดอีกหน่อยล่ะกัน คือ เวลาที่คนไข้มีความผิดปกติของหัวใจ หรือเป็นโรคหัวใจที่ต้องใช้วิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดหัวใจ (วิธีการรักษาโรคหัวใจมันมีหลายวิธี เช่น ใช้ยารักษา เป็นต้น) คราวนี้เวลาที่แพทย์จะผ่าตัดหัวใจ ก็ต้องทำให้หัวใจของคนไข้หยุดเต้นซะก่อน (เดี๋ยวนี้บางโรคก็ไม่จำเป็นต้องทำให้หัวใจหยุดเต้นก่อนแล้วนะครับ) แต่ทุกๆคนก็รู้ว่า หัวใจมันทำหน้าที่ควบคู่ไปกับปอด โดยหัวใจจะสูบ ฉีด เลือด ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในขณะที่ปอดก็คอยเติมออกซิเจนให้เลือด (ก็จากที่เราหายใจกันนี่แหละ) ถ้าจะให้มันหยุดทำงาน ก็ต้องหาเครื่องมือที่จะมาทำงานแทนชั่วคราวก่อน นั่นแหละหน้าที่ของผมล่ะ ผมต้องควบคุมเครื่องหัวใจและปอดเทียมที่ว่านี้ให้ทำงานแทนหัวใจและปอดของคนไข้ในระหว่างที่
แพทย์ทำการผ่าตัดเพื่อส่งเลือดที่มีสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของผู้ป่วยแทนชั่วคราว โดยในระหว่างที่ใช้เครื่องมือชนิดนี้ ผมต้องคอยควบคุมทุกๆอย่างให้ดีที่สุด หลังจากผ่าตัดแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยๆปล่อยให้หัวใจและปอดของผู้ป่วยทำงานเอง และเลิกการใช้เครื่องหัวใจและปอดเทียมในที่สุด (คิดดูละกัน ว่างานมันเครียดแค่ไหน)


เริ่มแรกเลยคนที่ทำหน้าที่นี้ก็เป็นหมอผ่าตัดหัวใจนั่นเอง ต่อมาก็เป็นวิสัญญีแพทย์ หรือที่เรารู้จักกันในนามของหมอดมยาสลบ ต่อมาก็เริ่มมีการสอนให้พยาบาล และ นักเทคนิคการแพทย์ ทำหน้าที่นี้แทน ตอนแรกๆไม่มีหลักสูตรให้เรียนอย่างเป็นทางการนะครับ (ในต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน) ก็ใช้วิธีสอนงานกันเอง หรือที่พวกเราเรียกว่า on the job training ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้คนที่สามารถไว้ใจให้ทำงานได้ ปัจจุบันบางประเทศมีหลักสูตรนี้สอนกันแล้ว เช่น อเมริกา, ออสเตรเลีย, สิงค์โปร์ เป็นต้น ส่วนในประเทศไทยก็มีคณะที่ผลิตบุคลากรด้านนี้โดยเฉพาะแล้ว คือ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ครับ เปิดมาได้ประมาณ 7-8 ปีแล้ว และผมก็ได้รับโอกาสให้ไปถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ให้น้องๆที่เรียนอยู่ที่ ม.นเรศวรด้วย

ด้วยความที่ทำงานด้านนี้มานาน ผมจึงได้เขียนหนังสือ "คู่มือการปฎิบัติงานของนักปฎิบัติการเครื่องหัวใจและปอดเทียม" ไว้ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาเพิ่มเติม เพราะในเมืองไทยยังไม่มีหนังสือแบบนี้มาก่อนเลย แต่ผมไม่ได้วางขายตามร้านนะครับ ขั้นตอนมันเยอะมาก แบบว่าแจกฟรีบ้าง ขายราคาทุนบ้าง ขอให้เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในสาขาวิชาชีพเดียวกัน หรือน้องๆที่ ม.นเรศวร ) ผมก็ปลื้มแล้ว

ปัจจุบัน งานของนักปฏิับัติการเครื่องหัวใจและปอดเทียมได้ขยายออกไปอย่างมาก ไม่เพียงแต่ควบคุมเครื่องหัวใจและปอดเทียมเพียงอย่างเดียว ยังสามารถควบคุม และใช้งานเครื่องมือต่างๆในห้องผ่าตัดหัวใจ หรือในหอผู้ป่วยโรคหัวใจ ได้อีกด้วย

และเนื่องจากเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคหัวใจโดยตรง มันก็มีงานฉุกเฉินเขามาเรื่อยๆ ในยามที่มีผ่าตัดฉุกเฉิน ทั้งทีม (ไม่ว่าแพทย์, พยาบาล, นักเทคนิคการแพทย์) ก็จะถูกตามมาให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด เวลาส่วนตัวจึงไม่ค่อยมี (เพราะว่าเราไม่รู้ว่ามีฉุกเฉินเมื่อใด) คราวนี้เพื่อนๆผมมันคงจะเข้าใจผมซะทีว่า ทำไมเวลามันชวนไปไหน ผมก็ไม่ว่างซะที (ขอเอางานมาอ้างซะหน่อย) เป็นยังไงบ้างครับ นี่แหละงานของผม

Blogนี้เอาเท่านี้ก่อนนะครับ Blogหน้าลองเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง ผมจะมาเล่าเรื่องการลดน้ำหนักของผม จาก 89 kg. ให้เหลือ 78 kg. เพราะอะไรผมจึงต้องลดน้ำหนัก ผมเลือกใช้วิธีไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ และผลเป็นยังไง (มีรูป before & after ด้วยตามสูตร) ติดตามกัน blog หน้า นะครับ




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2552 14:24:04 น.
Counter : 12238 Pageviews.  

Blog แรกในชีวิตของผม


ฟังวิทยุออนไลน์ ที่ izeemusic

Blog แรกของผมขอเป็นการแนะนำตัวก็แล้วกันนะครับ  เป็นสมาชิกของ PANTIP มานาน แต่ไม่เคยคิดจะเขียน Blog เลย  อาจเป็นเพราะมีเวลาว่างไม่มากนัก   ช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ รวมทั้งที่ทำงานของผมด้วย  ทำให้ผมมีเวลาว่างมากขึ้น  ได้ใช้ความคิดในส่วนที่เคยสนใจเป็นการส่วนตัว  และไม่เกี่ยวกับการทำงาน 



ผมเป็นคนกรุงเทพ  เป็นนักเทคนิคการแพทย์ครับ  จบจากมหาวิทยาลัยมหิดล  พอจบ ป.ตรี ก็เข้าทำงานที่โรงพยาบาลกรุงเทพเลย  ความจริงอาชีพของผมมีชื่อว่า Perfusionist  ซึ่งในต่างประเทศจะรู้จักอาชีพนี้เป็นอย่างดี  แต่ในเมืองไทยมีคนรู้จักอาชีพนี้น้อยมาก  หลายคนคงสงสัยว่า  มันทำงานเกี่ยวกับอะไร  เอาไว้ Blog ต่อไปจะอธิบายให้อย่างละเอียดครับ


มาต่อเรื่องราวชีวประวัติของผมกันดีกว่า  เนื่องจากงานที่ต้องรับผิดชอบเป็นงานที่หนักมาก (สำหรับเด็กจบใหม๋อย่างผม)  บวกกับเป็นรุ่นบุกเบิกในโรงพยาบาลเอกชนเป็นแห่งแรกในเมืองไทย  ทั้ง พยาบาล, นักเทคนิคการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกคน ไม่เคยมีประสบการณ์ในงานด้านนี้มาก่อน (ถึงแม้จะผ่านการฝึกงานมาอย่างหนักในโรงพยาบาลรัฐมาก่อน) แต่เมื่อต้องมาทำทุกอย่างเอง  จึงต้องเรียนรู้งานให้มากที่สุด  โดยมีอาจารย์แพทย์ที่มีประสบการณ์จากโรงพยาบาลภาครัฐมาเป็นหัวหน้าทีมของเรา (เป็นคนเดียวกับที่ชวนผมมาทำงานที่นี่ครับ) หน่วยงานของพวกเราก็คือ  ศูนย์โรคหัวใจในสถานพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย  และมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า  ศูนย์โรคหัวใจกรุงเทพ


ผมยังจำเรื่องตลกเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี  วันที่อาจารย์แพทย์ไปประกาศหาผู้ที่อยากจะทำงานในโรงพยาบาลเอกชน  สมัยนั้นไม่มีใครอยากทำงานในภาคเอกชนครับ  เห็นว่ามันไม่มั่นคง  เพื่อนๆผมมันนั่งฟังกันนิ่ง  แต่ผมยกมือขึ้นเลย  ผมกลับมองว่าผมไม่เหมาะกับงานภาครัฐ  มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น  ทำงานอย่างเดียว และเหมือนกันทุกๆวัน  ส่วนภาคเอกชนนั้น จะต้องทำงานหลายๆอย่าง  มันทำให้เราไม่เบื่อกับงาน  และเมื่อมาถึงวันนี้  ผมว่าผมเลือกถูกนะ  ถึงแม้มันจะไม่เป็นอย่างที่ผมคิด 100% ก็ตาม   อ้อ! ลืมเรื่องตลกที่จะเล่าให้ฟังไปเลย  คืออาจารย์แพทย์ท่านนั้นบอกว่า  โรงพยาบาลที่กำลังจะเปิด ชื่อ โรงพยาบาลกรุงเทพ  ผมก็ OK เลยครับ  เพราะผมนึกว่าเป็นโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน แถวสีลม  จนกระทั่งวันที่นัดกันไปกรอกเอกสารการสมัครงานให้เรียบร้อย  ผมก็ไปรอที่โรงพยาบาลกรุงเทพริสเตียนจริงๆ  จนอาจารย์แพทย์โทรมาตามว่า  รออยู่นะทำไมมาไม่ถึงซักที  ส่วนตัวผมน่ะรออยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนตั้งนานแล้ว  จนอาจารย์แพทย์บอกว่า อยู่ซอยศูนย์วิจัย แถวคลองตันนะ  ไอ้เรามันเด็กฝั่งธนฯ ซะด้วย  รู้จักที่ไหนไอ้ซอยศูนย์วิจัย  สุดท้ายก็นั่ง Taxi ไป กว่าจะได้กรอกใบสมัครก็บ่ายแล้ว   ตอนนั้นในใจคิดอย่างเดียวเลยว่า  แล้วจะมาทำงานยังไงหว่ะเนี่ย  โคตระไกลเลย  ตอนนั้นบ้านอยู่แถวสำเหร่ครับ


เอาหล่ะ  เผลอแพลบเดียวทำงานที่นี่มา 20 ปีกะอีกหน่อยหนึ่งแล้ว  เกือบจะเปลี่ยนงานหลายครั้ง  หมายถึงเปลี่ยนสถานที่ทำงาน แต่เป็นงานในลักษณะเดิม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่ และคิดว่ามันคงเป็นสื่งที่ใครก็ไม่รู้ลิขิตไว้แล้ว ก็อยู่ในวงการโรคหัวใจมา 20 ปีแล้ว  จะให้ไปทำงานด้านอื่นก็สงสารคนไข้ครับ  ผมว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับผมแล้ว แถมยังได้ประสบการณ์จากการไปดูงานที่ต่างประเทศหลายครั้ง เพราะว่าเราต้องก้าวให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา


ปัจจุบันผมก็พยายามจนเรียนจบ ป.โทมาได้  ก็ที่มหิดลอีกแหละครับ  แต่ผมน่าจะเป็นคนสุดท้ายของรุ่นที่จบโทนะคับ  ส่วนใหญ่เพื่อนๆมันทำงานสัก 1-2 ปีมันก็ขอเรียนต่อได้แล้ว  บางคนเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย (แอบอิจฉาเพื่อนนิดนึง)  ส่วนผมเพิ่งจะได้มาเรียนตอนปี 2544 ครับ  เพราะในช่วงแรกไม่มีเวลาว่างเลย  การเดินทางไปทำงานก็ไกลกันมาก  ถ้าต้องเดินทางไปเรียนอีกมีหวังไม่ได้ดีทั้งคู่  เลยคิดว่ามุงานให้มั่นคงซะก่อน แล้วอีกหน่อยค่อยมาเรียนต่อ   แต่ยังไงก็ตาม  ผมสามารถเรียนจบ ป.โท ของมหิดลได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีครึ่งครับ (ปกติเขาให้มากสุด 5 ปี)  และได้รับปริญญาโทพร้อมกับรุ่นพี่ด้วย  เป็นคนเดียวของรุ่นนั้นนะครับ(ขอคุยหน่อย)


ถึงวันนี้  ผมคิดว่าผมเลือกทางชีวิตของตัวเองได้ถูกต้องนะครับ  ความเครียดเรื่องงานผมว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษ์เงินเดือนทุกคน  ผมมีครอบครัว  มีเพื่อนบ้างถึงแม้จะไม่มากเพราะมันเลิกคบกับผม (ก็มันชวนไปไหนก็ไม่เคยไปกับมันเลย แต่สัญญานะว่าถ้ามันชวนคราวหน้าจะไปแล้ว)  การงานก็มั่นคงในระดับหนึ่ง  ฐานะทางเศรษฐกิจก็สบายๆไม่เดือดร้อน แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนะครับ  แบบว่าพอเพียง (In trend หน่อย) และพยายามที่จะยอมรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิตเพิ่มขึ้น  (ออกแนวธรรมะนิดนึง เพราะอายุก็ได้ที่แล้ว)


เท่านี้ก่อนล่ะกันนะครับ  Blog หน้ามาติดตามว่า  ไอ้ Perfusionist มันทำอะไรมั่งหว้า !!


 





Free TextEditor




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2552 8:20:00 น.
Counter : 948 Pageviews.  


gunyaphan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add gunyaphan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.