ประเทศไทยในปี 2551
............หลังจากวันที่ประเทศถูกทำการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 นอกจากจะมองเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดความแตกแยกทางความคิดในหมู่คนไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน ยังทำให้มองเห็นบางอย่างๆซึ่งเข้าใจผิดมาโดยตลอด แต่เดิมเราหลงเชื่อแบบฝังหัวตั้งแต่เด็ก วิชาประวัติศาสตร์บอกเราว่าประเทศไทยเปลี่ยนจากการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราษฎร์มาเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ พศ 2475 เป็นการปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย เราอ่านเราท่องจำแบบนี้กันมาตลอด เราถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด .............แม้นในอดีตเราจะเห็นการซื้อเสียงจนชินตา เราจะรู้ได้โดยสำนึกว่าประเทศต้องสูญเสียโอกาสมูลค่านับไม่ถ้วนเพราะความด้อยคุณภาพของนักการเมือง การเข้าไปแบ่งเค้กแย่งชิงผลประโยชน์เพื่อถอนทุนคืนอย่างน่ารังเกียจ ซึ่งล้วนเป็นเหตุให้คนอีกกลุ่มหนึ่งใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารเมื่อต้องการอยู่เนืองๆ แม้รู้ว่ามันไม่สะอาดหมดจดแต่เราก็ไม่เคยหมดศรัทธาที่จะยึดมั่นและเลือกเดินบนถนนแห่งประชาธิปไตย เพราะระบบรัฐประหารเองก็ไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นได้เช่นกันว่าขาวบริสุทธิ์กว่า เราก็คงเห็นภาพคนไม่กี่คนเข้าไปใช้อำนาจปกครองเพื่อคนในชนชั้นหนึ่ง เมื่อได้สิ่งที่ต้องการก็เดินจากไปพร้อมกับความย่อยยับอัปปางของประเทศ จะดีจะชั่วประชาธิปไตยในเวลานั้นก็ให้ความเท่าเทียมเมื่อเดินเข้าคูหา เราจะมอบเสียงให้ใครโดยเสน่หา โดยดุลยพินิจอันชาญฉลาดเพื่อประเทศชาติ หรือขายมันถูกๆ เราก็กำหนดมันไว้ในกำมือเราได้ แม้นคนดีที่เราเลือกจะไม่เคยได้เป็น สส แม้นคนที่โพลบอกว่าคนไทยกว่า 70-80 %อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างมหาจำลองซึ่งในเวลานั้นจะเป็นได้แค่ผู้ว่า กทม แต่เราก็เข้าใจและยอมรับในกติกาเสียงข้างมากกันมาไม่มีปัญหาเพราะนั่นคือประชาธิปไตยซึ่งจะเอาแต่ใจไม่ได้ ............เราคงไม่รู้และหลงเข้าใจผิดไปตลอดชีวิต ว่าเสียงของประชาชนส่วนใหญ่คือผู้กำหนดอำนาจอธิปไตยและความเป็นไปของประเทศชาติ หากรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ก่อให้เกิดพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดในสภา ทำให้ได้รัฐบาลที่เข็มแข็ง ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่โดนส่วนตัวแล้วคิดว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งความสามารถเชิงบริหาร การกำหนดนโยบายเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ สื่อสารรับรู้ถึงความต้องการและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อปัญหาของประชาชนได้อย่างทันท่วงที เสริมสร้างให้คนยากจนสามารถยืนหยัดด้วยการพัฒนารายได้และส่งเสริมการศึกษา มีหลักประกันดูแลเมื่อเจ็บไข้............สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับกลุ่มศักดินาและกลุ่มทุนเก่า ในช่วงปลายปี 48 เราได้เห็นการวัดพลังกันระหว่างรัฐบาลที่เป็นตัวแทนอย่างแท้จริงของประชาชน และคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งชักใยและใช้อำนาจปกครองอยู่เบื้องหลังนักการเมืองมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แน่นอนถึงตรงนี้เราได้รู้แล้วว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ใช่ปวงชนชาวไทยเป็นผู้กำหนด เสรีภาพของเราจะมีก็ต่อเมื่อเป็นไปตามความต้องการและอยู่ในความควบคุมของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ หากหลุดการควบคุมกลไกรัฐประหารในอดีตจะทำงานทันทีอย่างแนบเนียน หูตาเราสว่างเพราะเกิดคำถามทำไมรัฐบาลที่เป็นที่รักของประชาชนส่วนใหญ่ รัฐบาลที่มีผลงานมากมายกลับถูกทำปฏิวัติรัฐประหาร มันชัดแจ้งว่าเสียงคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ได้มีความสำคัญมากไปกว่าเสียงคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นชนชั้นนำของสังคมเพียงหยิบมือ...........สิ่งที่น่าเสียใจ เพียงเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของประชาชนที่อำนาจตนเข้าควบคุมครอบงำไม่ได้ คนกลุ่มนี้ถึงกลับยอมทำลายชาติในทุกๆด้าน ตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม และกระบวนการยุติธรรมในประเทศ การใช้สื่อเสี้ยมเพื่อให้คนในชาติแตกความสามัคคี สิ่งเหล่านี้บ่อนทำลายชาติอย่างหนัก หลังจากร่างกฎหมายเพื่อปกป้องความผิดปกป้องอำนาจ กำหนดองค์กรอิสระ ใช้กฎหมายทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไร้หลักนิติธรรม สร้างสื่อที่เลือกข้างโดยใช้ภาษีของประชาชนเสร็จ ก็แสร้งคืนอำนาจให้ประชาชนเพราะถูกกดดันจากนานาชาติ ในที่สุดผลการเลือกตั้งก็บอกให้เราทราบว่าประชาชนไม่เคยลืมนายกรัฐมนตรีที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร เราได้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศสานต่อนโนบายพรรคไทยรักไทย แม้นได้เสียงเกือบครึ่ง แต่ก็ตั้งรัฐบาลได้อย่างทุลักทุเล โดนขัดแข้งขัดขาตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันนี้ซึ่งเป็นเวลาที่รัฐบาลบริหารประเทศได้เพียงสี่เดือนเศษ ............สี่เดือนของรัฐบาลสมัครเสมือนเป็นไฟส่องสว่างให้เราได้เห็นความจริงว่าตลอดระยะเวลา 75ปี ประธิปไตยของไทยไม่ได้พัฒนาไปถึงไหน หรือไม่เคยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงในประเทศนั้นเอง ทุกอย่างแทนที่จะจบและเดินหน้าสู่สภาวะปกติกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพื่อหวังคงอำนาจปกครองนอกรัฐธรรมนูญเราได้เห็นทฤษฎีสมคบคิดโดยเหล่าศักดินาอันประกอบด้วย อำมาตย์ สื่อ นักวิชาการ กลุ่มทุน และพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นมาเพื่อเกาะเกี่ยวศักดินา ร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ ฝ่ายค้านไร้ปัญญาทำหน้าที่ในสถา และหันมาเล่นการเมืองนอกสภาร่วมกับเหล่าศักดินา มีการใส่ร้ายป้ายสีทั้งทางสื่อ ไปจนถึงการจัดม๊อบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยมีการนำสำคัญคือ พลตรีจำลอง ศรีเมืองและนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ไม่มีข้อเรียกร้องที่ชัดเจน นอกเหนือจากต้องการกำจัดรัฐบาลของประชาชนให้หมดไปเท่านั้น .............โดยวิธีการเสี้ยมให้ประชาชนในประเทศใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างน่าละอาย สำนึกในการเคารพกฎหมายแทบไม่มีเหลือ วัฒนธรรมของการมีน้ำใจนักกีฬาสูญสิ้น แพ้แล้วไม่ยอมแพ้ การเคารพกติกาเสียงข้างมากในระบบประชาธิปไตยหมดไป ความถูกผิดไม่มีหลักใดให้ยึดถือ คนไทยแบ่งแยกกันเพียงด้วยคำว่า พวกเขา และพวกเราเท่านั้น สังคมไทยไม่ใช่สังคมแห่งอารยชนอีกต่อไปเมื่อบรรทัดฐานแห่งกฎหมายถูกทำลายด้วยน้ำมือคนในวงการยุติธรรมตั้งแต่ 19 กย 49 เมื่อคนมีการศึกษาคิดว่าเสียงตนมีค่าและยิ่งใหญ่กว่ารากหญ้า จึงทำให้เกิดภาพความขัดแย้งในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน คนไทย ป้ายสีกันอย่างไม่อายปาก อ้างสถาบันมาเป็นประโยชน์ในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ประชาชนเริ่มใช้กำลังทำร้ายกัน ใช้ขวดน้ำ ก้อนหิน อุจจาระ ปาใส่กัน หรือเหลืออดเหลือทนจนกระทั่งโชว์อวัยวะเพศให้กัน จนถึงวันนี้ยากที่ตอบได้ว่าความขัดแย้งจะยุติลงเช่นไร สังคมไทยจะเสื่อมถอยจนไม่อาจฟื้นกลับมาได้ดั่งเดิม หรือจะเป็นการเสื่อมจนเห็นถึงสภาวะที่แท้จริงเพื่อจะได้นับหนึ่งในเส้นทางประชาธิปไตยที่แท้จริงกันแน่ หวังว่าลูกหลานที่อ่านบันทึกนี้จะจดจำบทเรียนและหาทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับแผ่นดินไทยในอนาคตต่อไป พลตรีจำลองยังคงใช้โล่มนุษย์ปกป้องตัวเองเมื่อมีการประกาศสลายม๊อบ วิธีการเดิมๆหวังผลแบบเดิมๆเหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี2535 ช่างอาจหาญ สมชายชาตรีจริงๆ ดูหน้าตาท่านมีความสุขดีอยู่หรือ ประเทศชาติไม่ต้องการให้คนอย่างท่านมากำหนดชะตา เพราะประเทศเป็นของทุกคน คนไทยย่อมมีสิทธิกำหนดมันด้วยมือของเขาเองด้วยวิถีแห่งประชาธิปไตย ประเทศไทยไม่ต้องการความรุนแรงอีกแล้ว โปรดไปทำแบบนี้ไกลๆ เราต้องการให้ประเทศเดินหน้า อย่าเอาทิฐิและจริตทางการเมืองส่วนตัวที่คร่ำคริมาฉุดรั้งประเทศชาติอีกเลย ชายผู้นี้คือ...เหยื่อ ไม่รู้ชายผู้นี้ยังระลึกอดีตได้หรือไม่ "เรายึดมั่นในระบอบรัฐสภา" ใครหนอที่พูด เห็นรูปนี้คงไม่ต้องบรรยายว่าสนิทแนบชิดแค่ไหน..กับบุคคลที่หากินโดยใช้การเมืองข้างถนนและการเมืองบนปลายปากกามาตลอด นี่ก็อีกหนึ่ง ชัดเจนปราศจากความกังขาใดๆ พอเสียทีกับคำกล่าวหา ประชาชนถูกซื้อ โง่ เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร วันเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วประชาชนทั่วไปเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยดีกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นสูงที่ต้องการกำอำนาจกำชะตาของประเทศไว้ในมือกลุ่มตน ประชาธิปไตยเทียมๆที่พวกคุณรังสรรค์ให้สังคมไทยมาช้านานได้ถูกเปิดโปงจนล่อนจ้อนแล้ว ต่อไปประชาชนจะใฝ่หาประชาธิปไตยที่แท้จริงด้วยมือเขาเอง ที่จริงภาพนี้ดูอุจาดตาอุจาดใจเป็นที่สุด แต่ต้องการบันทึกไว้ให้ลูกหลานได้ดู ว่าครั้งหนึ่งคนไทยไม่สามารถพูดจาโดยใช้ปัญญา คนไทยหมดความอดทนต่อกัน และไม่อาจหาทางออกต่อความขัดแย้งเยี่ยงอารยะ มีการยั่วยุ การต่อว่ากันอย่างหยาบคาย จนบานปลายทำให้เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ขึ้นในบ้านในเมือง เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้อีก หากคนไทยไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกติกา ไม่เรียนรู้ที่จะเคารพความคิดเห็นและสิทธิของผู้อื่นตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย ไม่อยากให้โลกไร้ซึ่งความหวาน....17/06/2551 เวลา 22.35 น.