ผี ความจริงและความเชื่อ
ผีในแง่ของความเชื่อ

เมื่อเอ่ยถึง วิญญาณหรือผี คนบางคนจะเกิดสยองขวัญ ไม่กล้าอยู่คนเดียวในที่มืด บางคนเชื่อมาก ถึงกับเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะว่า ได้พบเห็นวิญญาณหรือผี ที่นั้น ที่นี่ แต่ส่วนใหญ่จะเล่าว่า เป็นผีลางๆบ้าง ได้ยินเสียงแปลกๆบ้าง เห็นเป็นดวงไฟลอยไปลอยมาบ้าง ไม่มีใครยืนยันว่า ได้พบผีหรือเห็นวิญญาณ จะๆ ถึงขนาดยืนคุยกับผี สักคนเดียว อย่างดีก็แค่คุยกับผีผ่านคนทรงเท่านั้น

คนกลัวผีส่วนใหญ่ จะตีความวิญญาณหรือผีว่า มีพลังสามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะต่างๆได้ ทั้งอาจจินตนาการว่า ผีมีรูปลักษณ์น่าเกลียด น่ากลัว และสามารถดลบันดาลให้ตนและครอบครัวประสบความทุกข์ยากหรือได้รับอันตรายต่างๆได้ หากทำให้ผีไม่พอใจ จึงต้องเซ่นสรวงสังเวยผี เพื่อให้ผีเกิดความพอใจ

 แล้วความจริงคืออะไร วิญญาณหรือผีมีจริงหรือไม่ ?




เสถียร โกเศศ

ในการศึกษาทางวัฒนธรรมต่างก็เชื่อกันว่าวัฒนธรรมการนับถือผีเป็นระบบความเชื่อแรกเริ่มในแต่ละวัฒนธรรมทั้งสิ้น ซึ่งกล่าวได้ว่าแบบแผนความเชื่อเรื่องผียังปรากฏอยู่ในแทบทุกวัฒนธรรมแม้ว่าสังคมจะเจริญไปมากแค่ไหนก็ตาม โดยมากการอธิบายถึงความตายจะไปเกี่ยวข้องกับผีในฐานะที่ผีคือสถานะคู่ตรงข้าม (binary opposition) กับการมีชีวิตอยู่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งผีคือสถานะของมนุษย์หลังจากตายไปแล้วนั่นเอง ดังนั้นการดำรงอยู่ของผีคือโลกทัศน์ที่มนุษย์สร้างให้กับโลกหลังความตายนั่นเองในสังคมไทยโลกทัศน์หรือความเชื่อเกี่ยวกับความตายอันหมายถึงการไปสู่สถานะของผีหรือ“ตายเป็นผี” นั้น เป็นความเชื่อที่ดำรงอยู่มาก่อนการรับเอาวัฒนธรรมทางศาสนาและความเชื่ออย่างอื่นเข้ามาในดินแดนแถบนี้แล้ว และความเชื่อและแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวันของผู้คนก็ไม่ได้แยกอย่างชัดเจนว่าอันไหนเป็นผี พราหมณ์หรือพุทธแต่เป็นเพียงการปฏิบัติเพื่อให้ดำรงชีวิตอย่างปกติสุขไปได้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นความเชื่อเกี่ยวกับผีจึงสามารถดำรงอยู่และปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็น

ในงานของเสถียรโกเศศกล่าวไว้อย่างชัดเจนที่ว่า “ตายคือตายแต่ร่างกาย แต่เราซึ่งเป็นลม ๆมองไม่เห็นตัวนั้นถือกันว่าไม่ตาย สิ่งที่เป็นลม ๆ นี้เดิมเราเรียกว่า ขวัญ แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกว่าวิญญาณและวิญญาณนี้แหละ ถ้ายังไม่มาเกิดเป็นคนอีก ก็ไปเกิดเป็นผี” ซึ่งหมายความว่า ขวัญคือสิ่งที่ออกจากร่างกายของคนในคติความเชื่อเรื่องผีเดิมของคนไทยนั้นเมื่อรับเอาความเชื่อแบบพราหมณ์-พุทธเข้ามาจึงมาอธิบายว่าเป็นเรื่องของวิญญาณความเชื่อเกี่ยวกับผีหรือชีวิตหลังความตายของบุคคลจะมีความใกล้ชิดกับการมีชีวิตอยู่มากกล่าวคือในโลกทัศน์ของคนไทยได้แบ่งผีดีกับผีร้ายเอาไว้ ซึ่งโดยมากผีดีมักจะเกิดจากคนที่เมื่อตอนมีชีวิตอยู่มักเป็นคนดีและเป็นที่เคารพนับถือของคนอื่นเมื่อตายไปจึงไปเป็นผีดี ผีประเภทนี้มักได้แก่ ผีบรรพบุรุษ ผีปู่ย่า ผีปู่ตา ผีเจ้านาย เสื้อเมือง (คือผีเชื้อเมือง) เป็นต้น ส่วนคนที่ตายไม่ดีหรือมีสถานะทางสังคมที่ไม่ดีเมื่อตายไปก็มักจะกลายไปเป็นผีไม่ดีอย่างเช่น ผีปอบหรือภาคเหนือเรียก ผีกะ เกิดจากการไปผิดข้อห้ามทางสังคม ผีตายโหงที่เกิดจากการตายไม่ดี เป็นต้น

มีตำราโบราณได้กล่าวไว้ว่า เนื่องจากสังคมไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมเกษตรกรรม วิถีชีวิตของผู้คนต้องพึ่งพิงธรรมชาติอย่างแนบชิดและแน่นแฟ้น ดังนั้นคนไทยจึงมีความเชื่อในสิ่งต่างๆ เช่น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โชคลาภ ไสยศาสตร์ คาถาอาคม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตลอดไปถึงความเชื่อเกี่ยวกับภูติ ผี ปิศาจ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความเชื่อที่กล่าวมาข้างต้น เป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณเป็นสำคัญ

ครูเสถียรโกเศศ ได้กล่าวตอกย้ำให้เห็นว่า ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดานั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งความคิดความอ่านและจิตใจยังคงผูกพันกับเรื่องผีสางเทวดาอยู่มาก เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะส่งผลดีหรือร้ายให้กับตัวเองและครอบครัวอย่างไร บางครั้งถึงกับต้องมีการทำบุญ แก้อาถรรพ์ บูชา บวงสรวง เพื่อให้เทวดาที่ตนนับถือ คุ้มครองตนและบริวาร ความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ทำให้เกิดมีพิธีกรรมต่างๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ขึ้นกับสถานที่และความเชื่อ

เรื่องที่คนทั่วโลกสงสัยและพยายามพิสูจน์ตลอดมา การเจอผีหรือถูกผีเข้าสิง มีเรื่องเล่าทั้งในประเทศและจากนิตยสารต่างชาติมากมาย ในยุโรปและอเมริกามีการศึกษาเรื่องพลังจิตและโลกต่างมิติอย่างจริงจัง แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้ชัด ยกเว้นกรณี ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน ที่พิสูจน์การกลับชาติมาเกิดจากทั่วโลกจนยอมรับว่ามีจริง ข่าวหน้าหนึ่งหลายครั้งที่ผีมาเข้าฝันบอกที่ซ่อนวัตถุโบราณหรือศพแล้วก็พบ จริง ใครไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่เชื่อ บางคนไม่เชื่อแต่ดันกลัวผีเสียอย่างนั้น

พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งการเวียนว่ายตายเกิดทุกภพภูมิ จึงประกาศตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากไม่มีภพภูมิ จะบำเพ็ญบารมีไปทำไม จะมุ่งนิพพานเพื่อตัดภพชาติทำไม?? นรก สวรรค์ ผี เทวดา ไม่ใช่สิ่งสมมุติมาหลอกให้ทำดี แต่เป็นความจริงของธรรมชาติ ผู้ไม่เชื่อว่ามีจริงถือเป็นมิจฉาทิฐิ

ชีวิตแต่ละภพเหมือนคลื่นความถี่ต่างระดับกัน สมมุติจิตผีอยู่ในคลื่น 107.5 แต่จิตคนอยู่คลื่น 99.0 จะเจอกันได้ ต้องจูนคลื่นให้มาตรงกันด้วย คนชั่วตายไปอยู่ภพกันดารเหมือนติดคุก คนดีตายเป็นเทวดาเหมือนได้โบนัสไปเที่ยวต่างประเทศ สองกลุ่มนี้ยากที่จะย้อนกลับมาหามนุษย์เพราะจิตจมอยู่ในความสุขหรือทรมานมาก จนไม่สนใจเรื่องอื่น มีแค่ไม่กี่จำพวกที่ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์ แต่การปรากฏร่างที่ต้องใช้พลังงานสูงและคนที่จะเห็นต้องมีตัวเป็นสื่อหรือมี สมาธิระดับหนึ่ง ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเจอกันยาก ถ้าทำได้ก็แค่พอสัมผัส ได้กลิ่น ปรากฏให้เห็นแวบๆ ในบางเวลาหรือในฝันเท่านั้น.



ท่านพุทธทาสภิกขุ

ท่านพุทธทาสภิกขุ อธิบายปัญหานี้ไว้ว่า “สิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ ของพุทธศาสนา ต้องเป็นปฏิจจสมุปปันนธรรมเสมอ คือวิญญาณเกิดดับตามเหตุปัจจัยเฉพาะหน้า เช่น เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสอะไรๆ จักษุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณและมโนวิญญาณ ก็เกิดขึ้น วิญญาณประเภทลอยล่องอย่างนั้นจึงไม่มี เพราะฉะนั้นสัมภเวสีอย่างภาษาของคนพวกนั้น จึงไม่ใช่สัมภเวสีในพุทธศาสนา”

ในหนังสือเรื่อง “ผีมีจริงหรือไม่?” ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้แปลบทสวด เขมาเขมสรณทีปีก คาถา เป็นภาษาไทย ไว้ดังนี้ (ขอนำมาเฉพาะบทแปล ภาษาไทยมาแสดง ในบทความนี้)

“มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดภัยคุกคามแล้ว
ก็ถือเอา (ผี) ภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อารามและรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ
นั่นไม่ใช่สรณะอันเกษมเลย นั่นไม่ใช่สรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว
ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว เห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐสี่ด้วยปัญญาอันชอบ
คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ
คือเครื่องถึงทางระงับทุกข์
นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”

ท้าย บทแปลนี้ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้มีหมายเหตุ ไว้ว่า “คาถาบทนี้มีไว้เพื่อให้ภิกษุหรืออุบาสกอุบาสิกาสวดในเวลาทำวัตรเย็น ซึ่งวัดส่วนมากไม่นิยมสวด ถึงจะสวดก็ไม่ค่อยรู้คำแปล ยิ่งไปกว่านั้น พระอาจารย์ทางไสยศาสตร์บางรูปยังนิยมเอาคาถานี้ไปสวดในเวลาทำพิธีไล่ผี หรือเกี่ยวกับไสยศาสตร์ โดยไม่รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไร แม้ในคำสวดทำวัตรเย็น บทสังฆาภิคีติ ตอนท้ายๆ ก็ยังมีข้อความว่า สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระ(อริย)สงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคำสัจนี้ ข้าพเจ้าพึงเจริญในศาสนาของพระศาสดา แต่แล้วคำสัจนี้ก็เป็นการกล่าวเท็จและผู้กล่าวเท็จจึงไม่มีทางเจริญในศาสนาของพระพุทธเจ้าได้เลย”


แม้ว่าศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาหลักของประเทศไทย ประชาชนร้อยละเก้าสิบเป็นพุทธศาสนิกชน อีกทั้งศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีหลักคำสอนให้เชื่อในความมีเหตุมีผล ประกอบด้วยปัญญา ปฏิเสธสิ่งงมงาย แต่ปัจจุบันชาวพุทธในประเทศไทยส่วนใหญ่ถูกความไม่รู้คืออวิชชาครอบงำปัญญา อีกทั้งยังมีพระภิกษุในวงการพุทธศาสนาบางรูป ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นที่พึ่งแก่ชาวพุทธ ในทางตรงกันข้ามกลับชักนำสั่งสอน ให้พุทธศาสนิกชนเดินไปในทางที่ผิด มีการอวดอุตริมนุสธรรม นำหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาสอน ทำให้ศาสนาพุทธมัวหมอง

ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ ชาวพุทธจะต้องถือเอาพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ นำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แท้จริงมาเป็นหลักประพฤติปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิต โดยใช้ปัญญาเป็นแสงธรรมนำชีวิตไปสู่ความเจริญ

ชาวพุทธไม่ควรงมงาย หลงเชื่อในสิ่งเหลวไหล ผี ที่น่ากลัวของมนุษย์ คือ ความกลัว,ความโลภ,ความโกรธ,ความหลง ซึ่งแฝงเร้นอยู่ภายในกายเรานี้เอง หากสลายมันออกไปจากจิตใจได้ ก็เสมือนไล่ผีออกไปจากตัวเราแล้ว นั่นเอง.



นักจิตวิทยา

แนวคิดและความเป็นมาของความเชื่อตามหลักจิตวิทยา ศึกษาออกมาว่า ความเชื่อของมนุษย์ได้มีวิวัฒนาการตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. ความเชื่อในธรรมชาติ ความเชื่อระดับต่ำสุดของมนุษย์ คือความเชื่อในธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเกิดอยู่ข้างเคียงกับมนุษย์ มนุษย์เกิดมาลืมตาในโลก สิ่งแรกที่มนุษย์ได้เห็นได้สัมผัสก่อนสิ่งอื่นคือธรรมชาติรอบตัวมนุษย์และธรรมชาติต่างๆ เหล่านั้น ได้แก่ ความมืด ความสว่าง ความหนาว ความร้อน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว แม่น้ำลำธาร ต้นไม้ ฟ้าร้องฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มนุษย์เชื่อว่าธรรมชาติเหล่านั้นมีตัวตน มีอำนาจพิเศษและสามารถก่อให้เกิดคุณและโทษแก่มนุษย์ได้ มนุษย์จึงเกรงกลัวและกราบไหว้ ดังนั้น การนับถือธรรมชาติจึงนับเป็นขั้นแรกแห่งความเชื่อของมนุษย์
2. ความเชื่อในคติถือผีสาง เทวดา วิวัฒนาการแห่งความคิดของมนุษย์เกิดขึ้นพร้อมกับความเจริญรอบข้างอย่างอื่น มนุษย์มีความสงสัยว่าความมืด ความสว่าง ความร้อน ความหนาว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฟากฟ้า แม่น้ำ แม้ภูเขาและต้นไม้ใหญ่ที่สามารถบันดาลให้เกิดความผันแปรไปได้ต่างๆ ในตัวธรรมชาติเหล่านั้น และมีผลบันดาลให้เกิดความสุขและความทุกข์แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงสร้างรูปเทวดาบ้าง รูปมนุษย์บ้าง หรือรูปครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์บ้าง เช่น พระภูมิเจ้าที่ แม่ย่านางเรือ และเทพารักษ์ต่างๆ เป็นต้น เพื่อบูชาธรรมชาติเหล่านี้คงมีอำนาจอะไรอย่างหนึ่งสิงสถิตอยู่ อำนาจที่สามารถบันดาลให้เป็นได้นั้น เรียกว่า เจตภูตหรือวิญญาณ เจตภูตที่มีอำนาจทำความทุกข์ให้เกิดขึ้น อาจเป็นมารร้ายหรือ ผีสางอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนที่นำความสุขมาให้ อาจเป็นเทวะประเภทใดประเภทหนึ่ง และในขั้นนี้ เจตภูตที่ทรงอำนาจสิงอยู่ในธรรมชาตินั้นๆ อาจแบ่งออกได้อีกเป็น 3 ลำดับแห่งวิวัฒนาการทางความคิดของมนุษย์ดังนี้

2.1 เริ่มจากธรรมชาติแต่ละอย่างก่อน แล้วกว้างออกไปถึงธรรมชาติทุกอย่างในโลก โดยเชื่อว่าสรรพสิ่งในโลกมีวิญญาณสิงสถิตอยู่

2.2 เชื่อว่าวิญญาณเหล่านั้นมีอำนาจไปแต่ละอย่าง อาจบันดาลความดี ความชั่ว ความสุข และความทุกข์ให้แก่มนุษย์ได้แต่ละอย่างตามอำนาจและความกรุณาที่มีอยู่ วิญญาณเหล่านั้นต้องมีรูปร่าง แต่ไม่สามารถเห็นได้

2.3 เริ่มสร้างขึ้นด้วยความนึกคิดของตนเอง ภาพที่ตนนับถือเรียกว่าพระเจ้าหรือเทพเจ้าหรือผีสางเทวดาก็ตามเกิดขึ้นมาแต่ครั้งนั้น ความเชื่อเช่นนี้เป็นมูลเหตุอีกประการหนึ่งของศาสนา นักปราชญ์ในสังคมมนุษย์โบราณเรียกความเชื่อนี้ถือว่าวิญญาณหรือเจตภูต

3. ความเชื่อในวิญญาณบรรพบุรุษ ความเชื่อเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษ ได้แก่ มารดา บิดา ปู่ย่าและตายายที่ตายไปแล้ว วิญญาณของบุคคลเหล่านั้นไม่ได้ไปไหน ยังคงอยู่เพื่อ ปกปักรักษาดูแลบุตรหลานของพวกตน ทำให้เกิดการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ โดยสังเกตตัวอย่างได้ที่การบังสุกุลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วของคนไทย และการกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษของคนจีน

4. ความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ ความคิดของมนุษย์ได้พัฒนาติดต่อมาจากความคิดเรื่องสร้างภาพเทพเจ้าตามมโนคติของตน โดยคิดเห็นว่าธรรมชาติอย่างใดควรมีรูปเป็นอย่างไร และธรรมชาติอย่างไหนมีอำนาจสูงต่ำกว่ากันอย่างไร บางพวกเชื่อว่าพระอาทิตย์เป็นเทพเจ้าสูงสุด บางพวกชื่อว่าฟากฟ้าเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ บางพวกเชื่อว่าพระจันทร์เป็นเทพเจ้าสูงสุดกว่าเทพเจ้าองค์ใด เทพเจ้าแต่ละองค์มีอำนาจลดหลั่นกัน และมีหน้าที่แตกต่างกัน.


ผีในแง่คิดทางวิทยาศาสตร์

ก่อนอื่นเรามารู้จักคำว่า ผี ตามทัศนะและตามความเชื่อของพระพุทธศาสนา คือ ผีเป็นสัตว์โลกจำพวกหนึ่งซึ่งมนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ มีจิตใจ แต่มีร่างอันไม่สมประกอบ ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา อาจสิงอยู่หรือท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้ค่ะ
 1. ผี ทุกชาติทุกภาษาเมื่อปรากฎตัว อากาศบริเวณนั้นจะมีอุณหภูมิลดต่ำลง จนร่างกายเกิดปฎิกริยาตอบสนองโดยรูขุมขนหดตัวเเละทันทีขนลุกชูชันขึ้นมา ทันที
 2. ผี ทุกชาติทุกภาษาเมื่อปรากฎตัว มักจะมาเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น มีแต่ตัวเท้าลอยเหนือพื้น ปรากฎร่างเพียงด้านข้างให้มองเห็น เป็นภาพขมุกขมัว
 3. ผี ทุกชาติทุกภาษาเมื่อปรากฏตัว เวลาจะพูดจะจามักพูดช้าๆ ยืดๆ ยานๆ


ทฤษฎี

1. เนื่องจากนักวิทายาศาสตร์เชื่อว่า ผี เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งซึ่งเมื่อต้องการปรากฏตัวให้ผู้อื่นเห็นจะต้องใช้ พลังงาน ซึ่งผีจะต้องดึงพลังงานจากสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นมาช่วยในการทำกิจกรรม อากาศบริเวณนั้นจึงมีอุณหภูมิต่ำลงจนร่างกายตอบสนองได้

2.เนื่องจากต้องการแค่จะสื่อสารกับมนุษย์ดังนั้นการปรากฏร่างเต็มพื้นที่ใช้ สอยจึงเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ ผีที่ฉลาด จึงปรากฏกายเพียงบางส่วน เพื่อสงวนพลังงานไว้เพื่อระยะเวลาสนทนาจะได้ยาวนานขึ้น ถึงแม้ว่าเมื่อเริ่มบทสนทนามนุษย์คู่สนทนาจะวิ่งหางจุกตูดไปแล้วก็ตาม

3.เนื่องจาก พลังงานเป็นสิ่งจำเป็นดังนั้นในการปลดปล่อยพลังงานแต่ละครั้งจึงต้องค่อยๆ ผ่อนออกมาเมื่อเพื่อไม่ให้เสียพลังงานโดยไม่จำเป็น และสงวนพลังงานเอาไว้


ทฤษฏีข้างต้นอธิบายได้อย่างมีเหตุผลแต่ขัดหลักธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ การ ที่จะดึงพลังงานจากสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นพลังงานของตนนั้นเป็นไปไม่ ได้เลยทางฟิสิกส์ไม่มีเครื่องกลใดที่สามารถ เก็บพลังงาน หรือ ความร้อน โดยไม่มีการทำงาน



ดร.โดนัลด์ จี. คาร์เพนเตอร์

นักวิทยาศาสตร์ชื่อ ดร.โดนัลด์ จี. คาร์เพนเตอร์ ได้เขียนถึงปรากฏการณ์ร่างของปิศาจไว้ 7 ประการ ดังนี้

1. ช่วงเวลาที่ผีปรากฏกาย
ปรากฏตัวในเวลากลางคืน ซึ่งการปรากฏตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานประมาณ 2 วินาทีถึง 10 วินาที แล้วก็จะหายตัวไป แต่สามารถปรากฏตัวขึ้นมาได้อีก บางรายอาจจะมากกว่านี้ เคยมีผู้พบผีนานถึง 10 นาที

2. แสง
ผีชอบปรากฏกายในที่มืดๆ แต่ผู้คนยังสามารถมองเห็นได้ แสดงว่า ผีต้องเปล่งแสงได้ ซึ่งแสงสว่าง โดยมีความเข้มของแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน จึงจะทำให้มนุษย์มองเห็นได้ ดร.คาร์เพนเตอร์บอกว่าผีจะเปล่งแสงออกมาเป็นแสงเรืองๆ อย่างเช่นตอนมองเข้าไปในตึกร้างมืดๆ แต่สามารถเห็นใครได้อย่างชัดเจน อย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ในสถานการณ์ปกติ

3. รูปร่างของผี
การปรากฏกายของผี ผู้คนส่วนใหญ่จะมองเห็นในชุดเครื่องแต่งกายธรรมดา แต่บางกรณีมองเห็นในรูปของหมอกควันสีขาว หรือมีสีอื่นๆเจือปนอยู่ด้วย บางครั้งปรากฏกายเพียงรางๆ โปร่งแสง มองทะลุผ่านไปได้ บางครั้งรูปร่างของผีเล็กกว่าขนาดคนจริง การปรากฏตัวของผีต้องมีเครื่องนุ่มห่มด้วย และมักปรากฏเป็นภาพรางๆ โปร่งแสง มีขนาดเล็กกว่าคนธรรมดาทั่วไป

4. ทิศทางการปรากฏตัว
ผีปรากฏกายแบบเผชิญหน้ากับผู้พบเห็นเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยครั้งที่จะปรากฏกายแบบด้านหลัง ด้านข้าง หรือในลักษณะอื่น

5. รูปแบบของผี
ส่วนใหญ่ผีจะปรากฏกายเป็นรูปคนหรือเหมือนคน การปรากฏกายเป็นรูปอื่นๆ ก็มีบ้าง

6. บรรยากาศ
การที่ใครจะเจอผีหรือการที่ผีจะปรากฏร่าง บรรยากาศจะผิดปกติไปจากเดิม การปรากฏตัวของผีจะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงโดยเฉียบพลัน เนื่องจากต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูล เข้าไปสะสม ทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้

7. การปรากฏกายรูปแบบอื่นๆของผี
ผีไม่สำแดงกายเสมอไป แต่อาจจะปรากฏในรูปของกลิ่น เสียง หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ผู้ประสบรู้สึกว่าแตกต่างจากสภาพแวดล้อมในเวลานั้น หรือผิดปกติจากเดิมซึ่งสามารถสัมผัสได้ทางจิตหรือความรู้สึก มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกันการปรากฏตัว (มักจะมากับกลิ่นธูปหรือกลิ่นเหม็นเน่า)

ทั้ง 7 ประการนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยและบุคคลหลากหลายอาชีพที่มีประสบการณ์ ด้านภูตผีปิศาจ พวกฝรั่งได้ยึดถือปรากฏการณ์นี้เป็นมาตรฐานเรียกชื่อว่า "มาตรฐาน SNG"(Standard Night time Ghost) ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐาน 2 กรณี



สมมติฐานในการเห็นผี แยกไว้ 2 กรณี คือ

กรณีแรก อาจจะเกิดจากภาพหลอนหรืออาการของประสาทหลอน เพราะการปรากฏร่างของผีเป็นการป้อนข้อมูลให้ระบบจิตใต้สำนึกและสมอง ทำให้เกิดอาการทางประสาทหลอน นอกจากนี้อารมณ์และความรู้สึกก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดภาพหลอนได้

เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบผี อาจเกิดจากการรบกวนกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง หรือซึ่งเรียกว่า "ประสาทหลอน"

หรือไม่ก็เกิดจากการกระตุ้นให้สมองเกิดภาพหลอนขึ้นเอง โดยสิ่งเร้าภายนอก โดยอาจใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขนาดพอเหมาะยิงตรงไปยังสมองก็เป็นได้ หรือเกิดการควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเรียกว่า "ถูกควบคุมหรือถูกทำให้เกิดประสาทหลอน

สรุปแล้วสมมติฐานข้อนี้ถือว่า "ผีไม่มีอยู่ในโลก"
แต่ปรากฏการณ์ผีคือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุนั่นเอง


กรณีที่สอง ก็คือในทางตรงกันข้าม สรุปกันง่ายๆ ได้ว่า ผีเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ "ประสาทหลอน" หรือการควบคุมให้ประสาทหลอน


ทั้งนี้ ข้อมูลสนับสนุนสมมติฐานหลัง ก็คือกรณีที่ มีผู้เห็นผีพร้อมๆ กันในมุมมองที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าผีปรากฏตัวได้ด้วยการเปล่งโฟตอน (แสง) ออกมา ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุเหล่านั้น

สมมติฐานข้อที่ 2 พอจะลากโยงเข้าหาวิชาฟิสิกส์ได้ ซึ่งจะทำให้เรื่องผีเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ขึ้นมา นั่นคือจัดให้ผีเป็น "พลังงานในรูปแบบหนึ่ง"

ถ้าผีเป็นพลังงานแล้ว การปรากฏกายของผีได้ต้องประกอบด้วย

1. ต้องเกิด "แรงกระตุ้นแบบกระทันหัน" เป็นจังหวะๆที่เรียกว่า อิมพัลส์(Impulses)
2. แต่ละอิมพัลส์มีค่าเฉลี่ยประมาณ 60 จูล คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 15 กิโลกรัม
3. พลังงานสูงสุดอยู่ที่ 6,000 วัตต์หรือมากกว่านั้นในแต่ละอิมพัลส์
4. ผีจะปรากฏกายหลอกหลอนในรูปแบบต่างๆได้ ต้องดึงดูดเอาพลังงานเข้าไปสะสมไว้อย่างต่ำ 60 จูล

และจากนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ หรือที่มีชื่อว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้ว่า "สสารและพลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นหรือทำลายลงได้ มันทำได้เพียงแต่เปลี่ยนสภาพจากแบบหนึ่งไปอีกแบบหนึ่งเท่านั้น" จึงอาจจะเป็นแรงขับอีกอย่างหนึ่งให้เรานำมาขบคิดว่า ถ้าหากคนเราตายไป แล้วร่างกายเราจะหายไปไหน

จึงพอมีแนวทางให้ได้เห็นว่า ร่างกายมนุษย์มีทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงาน เคมี สมองและประสาทของเราเต็มไปด้วยพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนเสียชีวิตลง ร่างกายค่อยๆเสื่อมสลาย จะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานไฟฟ้าของสมองและพลังงานเคมีของอวัยวะต่างๆ ที่เคยเผาไหม้และขับเคลื่อน ?

ตาม กฎของไอน์สไตน์นั้น พลังงานทุกอย่างไม่สามารถสูญสลายหายวับไปเฉยๆ พลังงานจะเปลี่ยนสภาพและยังคงอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พลังงานจากร่างกายที่ดับสลายจะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ ละบุคคล เช่น เป็นผี เป็นดวงจิต เป็นวิญญาณหรือเป็นเพียงก๊าซเท่านั้น

เพราะ ฉะนั้น ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่นอน ว่า ผี มีอยู่จริงหรือไม่ และยังคงเป็นปัญหาที่มีคนหลายกลุ่มถกเถียงกันอยู่จนทุกวันนี้ นี่เป็นเพียงสมมติฐาน เพราะเรื่องผียังเป็นปัญหาโลกแตกหาข้อยุติได้ยากอยู่



ริชาร์ด ไวส์แมน

ริชาร์ด ไวส์แมน (Richard Wiseman) แห่งมหา วิทยาลัยเฮิร์ทฟอร์ดไชร์ ท่านผู้นี้ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นคนวิจัยเรื่องดวงนั่นเอง

งานวิจัยนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะไปถ่ายทำ(วิจัย)ที่พระราชวังแฮมพ์ตันคอร์ท (HamptonCourtPalace) พระราชวังผีสิง ของอังกฤษกับที่ เซ้าธ์บริดจ์ฟอลท์ส (South Bridge Vaults) ในเอดินเบอระ สก็อตแลนด์ ที่ต่างก็ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยนหนักหนา

งานวิจัยแรกสุดทำที่พระราชวังแฮมพ์ตันคอร์ท ซึ่งพระราชวงศ์อังกฤษใช้ประทับยาวนานกว่า 500 ปีจึงขรึมขลังอย่างไม่ต้องสงสัย ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์โด่งดังและติดอันดับ “สถานที่เฮี้ยนที่สุดในอังกฤษ” อีกด้วยจากปูมหลังทางประวัติศาสตร์ของวังเอง

วังแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของ พระนางแคทเธอรีน โฮเวิร์ด (Catherine Howard) ที่เข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับกษัตริย์เฮนรีที่แปด ใน ค.ศ.1540 แต่หลังจากนั้น 15 เดือนก็โดนจับได้ว่าคบชู้และโดนตัดสินประหารชีวิต ในตำนานร่ำลือกันว่าพระนางอ้อนวอนขอพระราชทานอภัยโทษจากพระราชา แต่ก็ยังโดนจับลากตัวออกไปผ่านส่วนที่ปัจจุบันเรียกว่า ห้องแสดงภาพผีสิง (The Haunted Gallery)

จนปลายศตวรรษดังกล่าวก็มีเสียงร่ำลือหนาหูว่า ผีพระนางปรากฏตัวในห้องแสดงภาพดังกล่าวในรูปสาวชุดขาว ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องที่หาต้นตอไม่ได้เนืองๆ ภายหลังยังพบปรากฏการณ์แปลกๆ เช่น อุณหภูมิห้องลดลงฉับพลันชวนเสียวสันหลัง ความรู้สึกอย่างรุนแรงว่ามีผู้อื่นอยู่ด้วยในห้องดังกล่าวทั้งๆ ที่ไม่มีใครเลย บ้างก็จู่ๆ วิงเวียนจะเป็นลมขึ้นมา

ค.ศ.1999 ศาสตราจารย์ไวส์แมนและทีมงานด็อกเตอร์พลพรรคจับผี ประกอบด้วย ดร.แคโรลีน วัตต์ พอล สตีเวนส์ เอมมา กรีนนิ่ง และเซียแรน โอคีฟ เข้าไปตรวจสอบในพระราชวังดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้เข้าไปศึกษาปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ณ ที่นั้น

งานวิจัยนี้ใช้คนทั่วไปมากกว่า 600 คน โดยให้เดินไปมาทั่วบริเวณพระราชวังนี้ พร้อมกับจดบันทึกตำแหน่งที่พบเรื่องแปลกๆ มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบหลายแบบไว้ด้วย หลักๆ ก็เป็นกล้องจับความร้อน และเซ็นเซอร์จับสนามแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้า แต่ก่อนเริ่มภารกิจทั้งหมดนั้นอาสาสมัครต้องทำแบบสอบถามที่ใช้แยกแยะระหว่าง ผู้เชื่อและไม่เชื่อเรื่องผีเสียก่อน

ข้อสรุปหลักๆ ที่ได้น่าสนใจยิ่ง เช่น คนที่เชื่อเรื่องผีสางเทวดารายงานว่าพบผี “มากกว่า” พวกที่ไม่เชื่อ และมักเชื่อจริงจังว่าสิ่งที่เจอเป็นผีอีกด้วย ไม่แปลกใจที่มีคนว่าผีมักจะหลอกคนที่กลัวกล่าวอีกนัยหนึ่งผีจำนวนไม่น้อยอาจ มาจากจิตใจของคนๆ นั้นสร้างขึ้นนั่นเอง

มีการเปรียบเทียบอีกแบบหนึ่งด้วย โดยแบ่งอาสาสมัครเป็นสองกลุ่มย่อย กลุ่มหนึ่งทางผู้ทดลองบอกก่อนว่า พื้นที่ที่จะเข้าไปเพิ่งมีรายงานเรื่องปรากฏการณ์ประหลาด ขณะที่อีกกลุ่มไม่ได้บอก ผลก็ชัดเจนดีว่าอาสาสมัครกลุ่มแรกรายงานว่าพบเจอเหตุการณ์ประหลาดมากกว่า อีกกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ

ในกลุ่มแรกนี้ คำพูดคนอื่นจึง “สร้างผี” ขึ้นในใจผู้ฟังได้


ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ บรรดาคนที่รู้สึกถึงความผิดปกติต่างระบุตำแหน่งจำเพาะที่ซ้ำๆ กัน เมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าบางตำแหน่งมีปรากฏการณ์ธรรมชาติพื้นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือการกระโชกของลมเฉพาะจุด อันเป็นผลจากโครงสร้างของปราสาทเอง หรือไม่ก็เป็นผลจากสนามแม่เหล็กเฉพาะตำแหน่งนั้นๆ หรือแม้แต่ความเข้มของแสงเงาตรงจุดนั้นๆ

ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่าปรากฏการณ์ผีสิงที่พบ อย่างน้อยบางส่วนเป็นผลทางจิตวิทยา และจากปรากฏการณ์ธรรมชาติรูปแบบต่างๆ และเมื่อทดสอบเพิ่มเติมที่เซ้าธ์บริดจ์ฟอลท์ส ก็ได้ผลที่คล้ายคลึงกัน



เมื่อได้กล่าวปัจจัยของความจริงและความเชื่อเรื่องผี หรือที่เรียกว่า วิญญาณ ดังกล่าว มาเบื้องต้นแล้ว ต่อไปนี้เป็น 10 อันดับสถานที่สยองขวัญรอบโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุจูงใจที่ทำให้ใครต่อใครพูดได้ว่า กลัวผี


10 อันดับ
สถานที่สยองขวัญรอบโลก


10. สุสานมัมมี่ ปานาโม ประเทศอิตาลี (LAS CATACUMBAS DE LOS CAPUCCINOS)

สุสานมัมมี่ เมืองปานาโม ประเทศอิตาลี เป็นสุสานใต้ดินเก่าแก่ตั้งอยู่ในใต้อารามนักบวชคาปูชิน แห่งโบสถ์ฟรานซิสกัน ของคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก ที่เมืองปาร์เลอโม (PARLEMO) เกาะซิซิลี ที่นี้มีซากมัมมี่กองเต็มไปหมด จะเป็นชุมชนแออัดอยู่แล้ว ถึงขนาดที่บางศพที่มาทีหลัง ไม่มีที่ให้ยืนสบายๆ ต้องถูกแขวนไว้กับตะขอ บนผนังโน่น และถ้าเดินเข้าไปก็จะเจอแต่ศพนั่ง.....นอน...... ยืน...... บางตัวละยังคงสวมเครื่องแต่งกายเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตด้วย มีมัมมี่เด็กด้วยนะ เป็นผู้หญิงอายุ 8 ขวบชื่อโรซาเลีย ลอมบาร์โด (ROSALIA LOMBARDO) ที่ดองไว้70 - 80 ปีแล้วด้วย หน้าตายังน่ารักเหมือนคนนอนหลับเลย ในปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่นี้เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวมีจำกัดเวลาเข้าชม






9. อุโมงค์ที่ฝรั่งเศส กรุงปารีส (Pont de L’Alma)



ประเทศฝรั่งเศสถานที่เจ้าหญิงไดอาน่าประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2540 และยังคงเป็นปริศนาค้างคาใจคนทั้งโลกว่าอุบัติเหตุหรือ ถูกฆาตกรรม เพราะในคืนที่เกิดโศกนาฏกรรม มีการเปลี่ยนเส้นทางรถยนต์ไปยังอุโมงค์ Pont de L’Alma อย่างไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่จุดหมายเดิม คือการเดินทางไปยังอพาร์ตเมนต์ของฝ่ายชาย และทำไมวิทยุสื่อสารของตำรวจในกรุงปารีส ไม่สามารถใช้การได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่รถยนต์พระที่นั่งของเจ้าหญิงเดินทางเข้าสู่อุโมงค์ จนเกิดเหตุร้ายและไม่สามารถติดต่อสื่อสารเพื่อขอรับการช่วยเหลือเพื่อรักษาพระชนม์ชีพของพระองค์ได้อย่างทันท่วงที





8. เทือกเขาร็อกกี้ โคโลราโด (Colorado Rockies)

ประเทศสหรัฐอเมริกาเทือกเขาร็อกกี้ นี้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้น เป็นเรื่องของมนุษย์กินคน ที่ไม่ใช่คนป่า ปี 1874 ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัด คณะนักสำรวจหกคนได้ขุดอุโมงค์ในหุบเขาโคโลราโด ต่อมาอุโมงค์เกิดถล่ม การสื่อสารถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และต่อมา ฤดูใบไม้ผลิมีเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดกลับมาจากหุบเขาโคโลราโด อยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี เขาคนนี้มีนามว่าอัลเฟร์ด แพคเกอร์ และเมื่อเขาออกมาก็ถูกจับเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากินเพื่อนของเขาสองคนเพื่อมีชีวิตรอดเพราะอาหารหมดและเพื่อนก็ตายไปทีละคนทีละคน เขาเลยอดใจไม่ไหวกินเป็นอาหารเสียเลย






7. หมู่เกาะปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea)

รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ปาปัวนิวกินีเป็นเกาะอยู่ทางเหนือ ของทวีปออสเตรเลีย ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆมากกว่า 700 เผ่า แต่ละเผ่าต่างคนต่างอยู่ การเดินทางไปมาหาสู่กันลำบากมาก เพราะพื้นที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน และใครอยากเห็นมนุษย์กินคนก็ต้องเข้าไปลึกหน่อยนะ โชคดีอาจไปทันตอนคืนพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะ และกินซุปเนื้อมนุษย์ วิธีปรุงอาหารรายการนี้ง่ายมาก นำน้ำใส่หม้อดินขนาดใหญ่ต้มให้เดือด บั่นศพมนุษย์ที่ตายทั้งสองฝ่ายให้มีขนาดที่จะใส่ในหม้อนั้นได้ใส่ลงในหม้อ นำผักชนิดต่างๆ รวมทั้งมันและเผือกใส่รวมลงไปด้วย ต้มจนสุกและเปื่อยดีแล้วก็ตักออกมากินกัน ส่วนคนที่ยังไม่ตายก็มัดไว้ก่อนและค่อยๆ ฆ่าให้ตาย นำมาปรุงเป็นอาหาร กินเลี้ยงกันในคืนต่อๆ มารองเท้าหนัง ถุงเท้า ตลอดจน เสื้อผ้าก็ถูกนำมาต้มจนเปื่อย และกินจนหมดสิ้นเช่นเดียวกัน สำหรับหัวกะโหลกเก็บไว้ เป็นเครื่องประดับตามบ้านเรือนสวยงามมาก





6. โรงงานนรก “ค่ายเอาชวิตซ์” (Auschwitz)

ประเทศโปแลนด์ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง “ค่ายเอาชวิตซ์”(Auschwitz) ที่ใกล้เมืองเอาชวิตซิน ค่ายนี้สร้างขึ้นเพื่อสังหารชาวยิวด้วย การรมแก๊สพิษและเผาในเตาเผา โดยมีเหยื่อที่โดนถึง 1 ล้านสองแสนคน จากที่ต่างๆ ทั่วยุโรป จํานวน 22 ล้านคน ไปที่ค่าย โดยขนไปทางรถยนต์ รถไฟ และเรือเดินสมุทร และปัจจุบันสภาพยังเหมือนเดิมทุกประการไม่ว่าเตารมแก๊ส เตาเผา ค่ายพัก คุก มีกลิ่นแห่งความตายติดมาด้วย พร้อมกับความวังเวง เมื่อท่านไปก็อาจเจอผีชาวยิวที่ไม่ไปเกิดอีก เรียกว่าได้สองเด้งกันเลย ปัจจุบันเอาชวิตซ์เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีนักท่องเที่ยวสนใจมากที่สุด แห่งหนึ่งของ โปแลนด์ ซึ่งพยายามรักษาสภาพ เอาชวิตซ์ให้ใกล้เคียง สภาพเดิมให้มากที่สุด






5. ปอมเปอี (Pompei)

ประเทศอิตาลีปอมเปอีเมืองเก่าสมัยกลาง ตั้งอยู่บริเวณภาคใต้ของคาบสมุทรอิตาลี ริมอ่าวเนเปิล เมืองนี้เป็นชุมชนขึ้นมาก่อนคริสต์ศักราช โดยอยู่ใต้อิทธิพลของกรีก ต่อมาราว 80 ปีก่อนคริสตกาลกลายเป็นเมืองตากอากาศฤดูร้อนของชาวโรมันหลังตกเป็นอาณานิคมของอาณาจักรโรมัน กระทั่ง ถูกภูเขาไฟระเบิดถล่มทั้งเมือง ตอนนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สยองขวัญมาก เค้าหล่อรูปคนตายในท่าที่ถูกลาวาทับไว้ ก็เลยเป็นสถานที่แสดงท่าหนีตายของชาวเมืองไปเพราะวปอมเปเอียนและสัตว์เลี้ยงแข็งเป็นหินคงสภาพเกือบทุกประการ รวมถึงความหวาดกลัวต่อความตายที่ยังตราติดอยู่บนดวงหน้า บางซากนั่งเอามือปิดหน้า บางซากซบอยู่กับกำแพง ปอมเปอีจึงได้อีกชื่อว่า "ซากเมืองแห่งความตาย" ปัจจุบันเมืองโบราณปอมเปอีได้รับการฟื้นฟู องค์การยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997






4. คุก และหอคอยลอนดอน (Tower of London)

ประเทศอังกฤษหอคอยลอนดอน ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ผีดุที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ที่นี่เป็นพระราชวังหลวง และป้อมปราการ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ของกรุงลอนดอนในประเทศอังกฤษ สถานที่เกิดเหตุแห่งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ยาวนานกว่า 900 ปี นองเลือด เป็นพระราชวังที่เดิมสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1078 ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เคยเป็นป้อมปราการ, ปราสาทราชวัง, คุก แดนประหาร หอคอยเคยใช้เป็นป้อมที่ขังนักโทษที่มียศศักดิ์สูง และยังเป็นสถานที่สำหรับประหารชีวิต และทรมานนักโทษ ที่เล่าขานกันว่ามาปรากฎให้เห็นบ่อยๆ ที่หอคอยแห่งลอนดอนคือ วิญญาณของพระนางแอนน์ โบลินน์ มเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด ซึ่งถูกประหารชีวิตฐานนอกพระทัยพระเจ้าเฮนรี่ ว่ากันว่าตอนประหารพระนาง เพชฌฆาตยกพระเศียรขึ้นชู พระเนตรของพระนางยังคงลืมอยู่ และพระโอษฐ์ก็ขมุบขมิบ ผู้คนที่ไปดูการประหารเชื่อว่าพระนางทรงสาปแช่ง ทำให้บางครั้งหลายคนมักเห็นพระนางมาปรากฏกายให้เห็นแบบผีหัวขาด เคยมีทหารยามเห็ยผู้หญิงสวมผ้าคลุมศีรษะเดินเล่นริมระเบียงที่ถูกปิดตาย แต่มีลักษณะหิ้วที่ทุกวันนี้วันดีคืนดียังมีคนเห็นแอนน์ โบลีนถือหัวและร้องครวญอย่างทรมาน ไม่รวมกับอีกหลายวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในหอคอยแห่งนี้ซึ่งมักจะส่งเสียงร้องขอชีวิต หรือเสียงลากโซ่ตรวนให้ผู้คนได้ยินและปรากฎให้เห็นเป็นระยะๆ จึงทำให้ที่นี่ยังคงโด่งดังเรื่องความหลอนตลอดกาล ปัจจุบันหอคอยลอนดอนเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารและหอคอยหลายหลัง ที่เก็บเครื่องมือทรมานและเครื่องมือประหารนักโทษแบบโหดๆ ของยุคกลาง และมีอีกาดำ






3. ปราสาทของวลาด ดารคู ทรานซิลวาเนีย
 ประเทศโรมาเนีย


ปราสาทที่เป็นแหล่งที่มาของนิยายผีดูดเลือด แดรกคิวล่า ที่ว่าน่ากลัวคือเจ้าชายจอมเสียบ วลาด ดารคูลา ผู้เป็นเจ้าของปราสาท แกชอบเอาจับเอาเหล่าเชลยมาเสียบด้วยไม้แหลมจากก้น จนทะลุขึ้นไปซีกบน แล้วก็เอามานั่งเรียงรายกันไปในบริเวณกว้างๆ เช่นกำแพงเมือง หรือ สนามหญ้าใหญ่ๆ วันไหนครึ้มอกครึ้มใจ เขาก็จะนั่งดินเนอร์ดูการประหารด้วยวิธีนี้เสียตรงนั้นเลย ส่วนปราสาท ปัจจุบันยังอยู่ แต่มันอยู่สูง เค้าได้สร้างบันไดให้คนขึ้นไปดูความงามปนสยองกันได้สะดวกแล้ว






2. อัลคาแทรซ, ซานฟรานซิสโก (Alcatraz)
ประเทศสหรัฐอเมริกา


คุกที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกา อัลคาแทรซ (Alcatraz) สถานที่คุมขัง อัลคาโปน เจ้าพ่อชื่อดัง และภายในคุกสยอง วังเวงจริงๆ และได้ฉายาว่าเดอะร็อกเป็นคุกที่ไม่มีใครแหกสำเร็จ ถึงแม้จะมีนักโทษพยายามใช้ของชิ้นเล็กๆ ตัดซี่กรงเหล็กและแอบว่ายน้ำหนีออกไป แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเขามีชีวิตรอดไปได้ นักโทษหลายคนตายในห้องขังที่นี่ ส่วนหนึ่งตายเพราะบาดแผลติดเชื้อ และนี่เองเป็นที่มาของเสียงประหลาดมากมาย เช่น เสียงตัดเหล็ก เสียงปิดประตูห้องขัง เสียงหวีดร้องจากใต้ดิน และความรู้สึกถูกจ้องมอง ปัจจุบันคุกนี้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว แถมเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถค้างคืนได้สถานที่สุดเฮี้ยนติดอันดับ






1. ทุ่งสังหาร” (KILLING FIELD) ประเทศกัมพูชา

ทุ่งสังหาร” (KILLING FIELD) สถานที่กองกำลังเขมรแดงในอดีตใช้ประหารนักโทษทางการเมือง โดยมีวิธีการฆ่าก็เป็นไปอย่างหฤโหด คือ จับนักโทษเอามือไพล่หลัง ให้นั่งคุกเข่าแล้วผู้คุมจะใช้ไม้ตีต้นคอ ไม่ว่าจะเป็นเสียม จอบ หรือไม้ตีเบสบอลเอามาใช้ฆ่าคนได้ทั้งสิ้น เป็นการประหยัด เพราะถ้าใช้ลูกปืนยิงจะแพงกว่าเอาไม้ตี และใกล้ๆกับทุ่งกว้างนั้นยังมีต้นไม้ใหญ่ 2 ต้น ลักษณะคล้ายต้นก้ามปูบ้านเรา ต้นหนึ่งไว้ใช้ติดเครื่องขยายเสียง หรือลำโพงเอาไว้ถ่ายทอดเสียงนักโทษที่ชอบร้องครวญครางก่อนจะถูกฆ่า เพื่อให้ได้ยินโดยทั่วกัน จะได้ไม่กล้ากรีดร้องกันมากนัก เพราะการร้องจะทำให้เพิ่มความน่ากลัวกันไปใหญ่ ส่วนต้นก้ามปูอีกต้นหนึ่ง เรียกว่า ต้นไม้สังหาร จะใช้กับเด็กๆ ไม่ว่าเด็กเล็กหรือเด็กโต ผู้คุมจะจับสองเท้ารวบเข้าหากันแล้วจับฟาดเปรี้ยงกับต้นไม้ เด็กเล็กๆ จะเสียชีวิตทันที แล้วจากนั้นก็โยนลงหลุม บางหลุมถูกฆ่ายกครอบครัวพ่อแม่ลูก บางหลุมขุดขึ้นมาแล้วไม่พบหัวเลยก็มี เป็นผีหัวขาด เหลือแต่โครงกระดูก นักโทษเหล่านี้อาจจะเป็นปัญญาชนหรือนักโทษที่หัวรุนแรง ไม่ก็พวกที่มีแนวคิดต้องต้านเขมรแดง เลยตัดหัวเสียบประจานเสียก่อนจะส่งตัวมายังทุ่งสังหาร








เมื่อเดินทางมาถึงบทส่งท้ายของบมความ ต้องขอขอบคุณที่มาดีๆ เหล่านี้ เพราะเป็นแหล่งข้อมูลที่ทำให้บทความนี้สำเร็จขึ้นมาได้

//www.oknation.net/blog/roisaii/2013/07/27/entry-2

//www.dek-d.com/education/6890/

//ghostcheeze.blogspot.com/p/blog-page_26.html

//www.gotoknow.org/posts/508328

//www.jozho.net/index.php?mo=5&qid=925093

//namchai4sci.wordpress.com/2012/10/17/%E0%B8%9C%E0%B8%B5-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93-1/

https://m.facebook.com/note.php?note_id=172594699419397&_ft_=fbid.201964399876132&_rdr

//travel.truelife.com/detail/3014378

//pantip.com/topic/31325940

//27.254.44.103:81/~topten/77-top.html

//www.thaigoodview.com/node/157421

ผู้เขียนบทความเรื่องความเชื่อ (Beliefs) พิธีกรรม (Rituals) คาถาอาคม (Magic) ภาษา (Language) และคติชาวบ้าน (Folklore)

ขอบคุณบทความทุกบทความที่นำเสนอ ทำให้เรียบเรียงมาได้ถึงจุดนี้

ขอสวัสดีจงมีแก่ท่าน



Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2557 13:03:29 น.
Counter : 6532 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สุขสม
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



กุมภาพันธ์ 2557

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28