การเดินทางทำให้คนเราเติบโตขึ้น
 
 

Toy story 3 ความทรงจำที่แสนงดงาม

มีสองส่วนนะครับ ส่วนของผมและส่วนของแฟน



ส่วนของผมครับ

ดู toy story3 แล้วยอมรับเลยว่าแค่ของเล่นก็ทำให้เราคิดถึงเรื่องราวหลายอย่างในชีวิตได้เหมือนกัน

เรื่องแรกคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความผูกพัน ของบางอย่างมีค่ากับเรามากมายเมื่อเวลาหนึ่ง แต่แล้วกาลเวลาผ่านล่วงเลยไปเรากลับละเลยกับสิ่งที่เรารักที่สุด ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ด้วยวัยที่เปลี่ยนไป, ด้วยความสนใจที่เปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป หรือว่าภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ... ไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม ผมเชื่อว่าทุกคน ต้องลืมและทำบางอย่างตกบางอย่างไว้กลางทาง เมื่อไปหันกลังกลับไปบางครั้งก็อาจโชคดีที่สิ่งนั้นยังคงรอคอยอยู่ แต่บางสิ่งบางอย่างหายไปจากความทรงจำเสียแล้ว ในเรื่องเปิดฉากตอนที่เหล่าของเล่นวางแผนให้แอนดี้เด็กชายที่กำลังจะเติบโตเข้ามหาลัยเปิดกล่องของเล่นแล้วมาเล่นกับพวกตน แต่แล้วก็ไปเป็นไปดังหวัง แอนดี้ไม่ได้อยากเล่นกับพวกเขาเสียแล้ว หลายคงก็เจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นของที่ไม่มีชีวิต อย่างเช่น แสตมป์ที่เคยสะสม รถจักรยานคันเก่ง มอเตอร์ไซค์คันโปรด หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็น เพื่อนเก่าสมัยประถม หรือแฟนคนแรกหรือใครก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วย กับความทรงจำที่ลางเลือน ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าเวลามันเดินไปข้างหน้าจริงๆ แต่คิดว่าเวลามันแบ่งเป็นส่วนๆ และแต่ส่วนก็ยังอยู่ก็ยังอยู่เหมือนเดิมของมันอย่างงั้น เหมือนถูกเก็บไว้ในลิ้นชักอย่างดี ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่ที่เราคิดว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเพราะความทรงจำและประสบการณ์ที่เรามีมากขึ้นทำให้เรามองอดีตเปลี่ยนไป (เอ๊ะ.. จะมีใครเข้าใจหรือเปล่านะ) ความผูกพันเป็นอะไรที่ลึกซึ้ง และซับซ้อนมากกว่าที่เราจะอธิบายได้ และเป็นความสวยงามและมีค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน



อีกเรื่องคงเป็นเรื่องการยอมรับความจริงเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์เปลี่ยนรูปแบบไป เราสามารถที่จะยอมรับได้แค่ไหน และปรับตัวได้เหมาะสมหรือไม่ ในเรื่องพวกของเล่นบางตัวก็น้อยใจเจ้าของ และคิดจะไปหาเจ้าของใหม่ บางตัวเช่นวู้ดดี้หนุ่มคาวบอย กับไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ และยังอยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะแอนดี้เจ้าของโตเกินกว่าจะกลับมาเล่นพวกเขาเสียแล้ว แต่พวกเขากลับลืมไปว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปสิ่งที่เราจะทำได้ดีที่สุดคือยอมรับความจริงและต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับปัจุบัน ตอนที่แอนดี้เอาของเล่นมาให้น้องสาวตัวเล็กๆ ที่รู้จักกัน และก่อนจะไป ก็ได้เล่นกับพวกของเล่นอย่างสนุกสนานเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนั้น (ฉากนี้ยอมรับครับว่าน้ำตาซึมเลย) มันเป็นข้อพิสูจน์อีกครั้งว่าวันเวลาในอดีตไม่ได้หายไปไหนเลยมันคงอยู่ของมันอย่างนั้นเอง เพียงแต่เราจะจำมันได้หรือเปล่า ผมขอเสริมในส่วนที่เป็นเรื่องของครอบครัวด้วยนะครับ ตอนที่คุณเด็กพอจำความได้ คนรอบตัวคุณมีใครบ้าง เค้าทำให้คุณมีความสุขมากขนาดไหน เค้าคอยดูแลคุณขนาดตลอดเวลาไหม คุณลืมหรือทำใครตกหล่นไปในชีวิตบ้างหรือเปล่า ลองย้อนกลับไปดูนะครับ ว่าพ่อ แม่ คุณตา คุณยาย ของเราท่านต้องการให้เรากลับไปหา กลับไปพูดคุย และทำกิจกรรมร่วมกันไหม จะด้วยอะไรก็ตามไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน แต่เราก็ควรปรับตัวให้เหมาะสม กับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ดีกว่าที่จะลืมหรือเพราะอ้างว่าเราไม่มีเวลานะครับ ตอนจบเรื่องนี้เป็นอะไรที่ผมประทับใจมากมาย ทุกคนได้ยอมรับละปรับตัวได้อย่างดี แอนดี้ก็รู้ว่าจะเอาของเล่นไปไว้ในห้องเก็บของก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยกให้น้องสาวตัวเล็กๆเล่นก็ยังดีกว่า เพราะรู้ว่าความทรงจำสำคัญที่สุดเพราะมันยังอยู่ที่เดิม ส่วนพวกของเล่นก็ยอมรับว่าเจ้าของโตเกินกว่าที่จะเล่นพวกเขาแล้ว การที่ยอมรับเจ้าของใหม่เป็นสิ่งที่ดี เพราะความทรงจำที่ดีที่สุดมันก็ยังคงอยู่ที่เดิมเช่นกัน

แล้ววันนี้คุณลองกลับไปค้นของเล่นที่บ้านคุณดูบ้างหรือยังครับ ว่ามันยังอยู่หรือเปล่า หรือว่าถ้าหาแล้วไม่เจอลองค้นหาความทรงจำของคุณดูก็ได้ครับ ผมว่าคุณต้องเจอความทรงจำที่มีคุณค่าและสวยงามของคุณอย่างแน่นอน







ส่วนของแฟนครับ

Toy story 3 เมื่อมาถึงจุดเปลี่ยนที่คนเริ่มโตขึ้นและของเล่นอาจจะไม่เหมาะกับเขาอีกแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกจากกัน ถ้าของเล่นมีชีวิตจริง ความรู้สึกคงไม่แตกต่างไปจากที่หนังภาคนี้ต้องการสื่อแน่เลย



ชอบเรื่องนี้มากๆ เพราะนอกจากจะเล่าเรื่องเล่าการผจญภัยของเหล่าของเล่นได้อย่างสนุกน่าติดตามแล้ว ยังแสดงเรื่องราวความผูกพันธ์ระหว่างคนกับของเล่นได้อย่างประทับใจเชียวหล่ะ กัปตันวู๊ดดี้ผู้กล้าหาญ ยังคงเก่ง เท่ห์ มีความเป็นผู้นำ และรักพวกพ้องเสมอ ส่วน บัซ ไลท์เยียร์ ยังคงป่วนๆ งงๆ ตลอด ชอบสโลแกน สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น...จังเลย อนิเมชั่นทำดีมากถ้าได้ดูแบบ 3D จริงๆคงจะสุดยอดมากแน่ๆ ฉากผจญภัยสนุกตื่นเต้นทุกฉากเลย ขำมากๆตอนที่วู๊ดดี้ไปจัดการกับเจ้าลิงตีฉาบ (ถ้ามีของเล่นตัวนี้อยู่บ้านคงหลอนน่าดู)



ชอบสุดๆ..ฉากปิดตอนที่แอนดี้เอาของเล่นมาให้น้อง บอกลาของเล่น และบอกให้น้องดูแลของเล่นแทนเขาด้วย เพราะของเล่นพวกนี้เขารักมาก ซึ้งเลยอ่ะ คิดถึงตุ๊กตาสกั๊ง(ตดเหม็น)ของหนูจังเลย ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้วอ่ะ (อยู่ห้องเก็บของป่าวเนี่ย) การให้เป็นสิ่งที่ดีนะ สิ่งที่ไม่จำเป็นกับเราแล้วตอนนี้อาจจะเป็นของที่มีค่า มีประโยชน์มากมายกับคนอื่นถ้าเขามองเห็นค่าของสิ่งนั้น เรื่องนี้ต้องซื้อ DVD เก็บไว้เลยแหล่ะ เอาไว้ให้หลาน (กับลูก..ในอนาคต) ได้ดู ถ้าดูแล้วเค้าจะต้องรักของเล่นของเขายิ่งขึ้นอีกแน่นอน
^_^ รักนะของเล่นที่น่ารักของหนู จุ๊บ จุ๊บ






 

Create Date : 14 กันยายน 2553   
Last Update : 14 กันยายน 2553 12:56:17 น.   
Counter : 2664 Pageviews.  


brothers (ความรักและความเข้าใจ vs การเสียสละและการให้อภัย)

เกริ่น..(ไปดูหนังกะแฟนทุกวันพุธเลย ก็เลยคุยกันว่าเรามาเขียนถึงหนังในแง่มุมของแต่ละคนดีกว่า จะได้เพิ่มคุณค่า และเก็บความประทับใจให้จดจำ)




มุมมองของแฟน
ความรักและความเข้าใจ



The brothers ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายกับน้องชายที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อพี่ชาย (กัปตันแซม) ดีพร้อมไปซะทุกเรื่อง เป็นนายทหาร มีครอบครัวที่น่ารัก ภรรยาและลูกสาวอีก 2 คน เทียบกับน้องชาย (ทอมมี่) ที่ไม่เอาไหนและเพิ่งออกมาจากคุก พ่อของเขาก็มักจะภูมิใจในตัวพี่ชายเสมอและเปรียบเทียบกับน้องชายตลอดจนสร้างความน้อยเนื่อต่ำใจให้กับคนที่ถูกเปรียบเทียบ และแสดงพฤติกรรมเสเพลออกมา ดังนั้นสถาบันครอบครัวสำคัญ ที่จะหล่อหลอมให้คนเป็นแบบไหน



เหตุการณ์ที่แซมต้องไปรบที่อัฟกานิสถานเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ มันทำให้แซมที่พร้อมทุกอย่างกลายเป็นคนทีไร้จิตวิญญาณ และทำให้ทอมมี่เปลี่ยนแปลงตัวเองกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว และสร้างร้อยยิ้มให้กลับครอบครัวนี้ได้อีกครั้ง



ชีวิตตอนที่แซมถูกจับเป็นเชลย มันสร้างความเจ็บปวดให้แซมมาก แม้ว่าภาพที่บันทึกไว้จะถูกทำลายหรือลบเลือนไปแล้วแต่ถ้าจะให้ลบออกจากสมองคงจะเป็นไปไม่ได้ สงครามพรากจิตวิญญาณของเขาออกไปหมด ดูแล้วสงสารแซมสุดๆ ดำเนินเรื่องดีมากเลย นักแสดงทุกคนก็แสดงดี รู้สึกอินไปด้วยเลย โดยเฉพาะตอนที่อารมณ์บีบคั้นที่สุด ตอนใกล้จบที่เข้าใจผิดคิดว่าทอมมี่กับเมียตัวเองมีอะไรกัน เริ่มตั้งแต่เอาเหล็กทุบห้องครัว..จนสุดท้ายเกือบจะยิงตัวตาย (ร้องไห้เลยอ่ะ อารมณ์บีบคั้นมาก สงสารสุดๆ) ความรัก ความไว้ใจ ทำให้เรื่องนี้จบแบบไม่ทำลายจิตใจคนดูซะเกินไป

“You are my brothers”

ประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้น ที่ทำให้แซมได้สติขึ้นมาอีกรอบ ความรัก ความเข้าใจ จะทำให้เราข้ามผ่านเรื่องร้ายๆไปได้ ขอสนับสนุนสถาบันครอบครัวจ๊ะ ^_^












มุมมองของผม
การให้อภัยและการเสียสละ

เรื่องราวของหนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก็สมจริงสมจังจนปักใจเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เนื่องมาจากฝีมือของนักแสดงในเรื่องล้วนๆ หนังหลายเรื่องที่ดูผ่านมาแล้วก็เลือนไป แต่สำหรับเรื่องนี้ติดตรึงใจในความทรงจำส่วนลึก และเป็นความประทับใจยากจะลืมเลือน

เรื่องราวของสองพี่น้องที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

พี่ชายเป็นนาวิกโยธิน เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีมีลูกสาวที่น่ารัก เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว และเป็นที่พึ่งพิงของครอบครัวได้

น้องชายเพิ่งออกจากคุก ไม่มีงานการทำ ไม่เป็นที่ยอมรับของครอบครัว ใช้ชีวิตอย่างไม่มีคุณค่า เป็นรองจากพี่ชายในทุกเรื่องอย่างสุดโต่ง เพราะถูกพ่อที่เป็นนาวิกโยธินเก่าเหมือนพี่ชายกดดันทุกอย่างในชีวิต และทำให้ชีวิตของเขาต้องตกอยู่ในความมึดมนโดยไม่มีทางเลือก

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินของพี่ชายถูกยิงตกในแอฟกานิสถานทุกคนในครอบครัวได้ทราบข่าวร้ายว่าเขาตายแล้ว ฉากที่เชือดเฉือนอารมณ์ที่งานศพพี่ชาย พ่อของพี่น้องคู่นี้พูดกับน้องชายว่า
“ทำไมแกไม่ตายไปเพื่อชดใช้ให้พี่ชายแกกลับมา ในชีวิตนี้ฉันจะไม่มีวันยอมรับคนอย่างแก”



สิ่งที่น้องชายต้องการแก้ตัวจากความล้มเหลวในชีวิต แต่ไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ด้วยความรักในตัวพี่ชาย และการเสียสละรวมทั้งต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวด เมื่อพบว่าเสาหลักในครอบครัวหายไป จึงต้องการเติมเต็มกับสิ่งที่หลานสาวทั้งสองต้องการ ในขณะเดียวกันแฟนของพี่ชายซึ่งไม่ยอมรับในตัวน้องชายเลยก็เริ่มเปิดใจผ่อนคลายลง ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง พี่ชายรอดตายเพราะหลังจากเครื่องบินตกถูกกลุ่มมุสลิมจับตัวไป และต้องถูกทรมานกายและใจ ด้วยการบังคับให้ฆ่าลูกน้องตัวเอง ทำให้จิตวิญญาณสูญเสีย มีอาการทางประสาทอย่างรุนแรง



สิ่งที่น้องชายได้รับจากพี่ชายเมื่อกลับมาจากสงครามคือความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ การสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจคือการสูญเสียทุกสิ่ง พี่ชายเข้าใจผิดว่าน้องชายแอบเป็นชู้กับเมียสาว แต่เป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง แต่ด้วยความรักในตัวพี่ชาย และการเสียสละจึงต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดอีกครั้ง ฉากที่บีบคั้นอารมณ์มากที่สุดคือเหตุการณ์ในวันเกิดของลูกสาวของพี่ชาย พี่ชายที่สูญเสียการมองโลกในแง่ดีไปแล้ว และอารมณ์ไม่เสถียร ตวาดลูกสาวกลางโต๊ะอาหาร ลูกสาวคนโตที่ถูกกดดันจากพ่อในทุกๆเรื่องอย่างไม่ตั้งใจ พูดโกหกออกไปว่าแม่เป็นชู้กับอาซึ่งเป็นน้องชายของพระเอก คนเป็นพี่ชายกลับมาบ้านเก็บอารมณ์ไม่อยู่ คลุ้มคลั่งทำลายข้างของ และเกือบจะฆ่าตัวตายจากความบีบคั้นและสับสนในตัวเองจากอาการโรคประสาทและการมองโลกในแง่ร้าย สิ่งที่ช่วยชีวิตของเค้าเอาไว้ได้ก็คือคำว่า “พี่ชาย” ที่น้องชายตะโกนออกไป..สายใยบางๆแต่แข็งแรงเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเหตุการณ์นี้เอาไว้ได้



ทุกคนล้วนแสดงพฤติกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจมาจากแรงบีบคั้น แต่การให้อภัย และการเสียสละเท่านั้น ที่ช่วยทุกอย่างในสถานการณ์เลวร้ายได้

น้องชายติดคุกทำตัวเหลวแหลก – มาจากแรงบีบคั้นจากพ่อซึ่งได้รับเหตุการณ์เลวร้ายมาจากสงคราม - พี่ชายให้อภัยได้ทุกอย่าง

พี่ชายเข้าใจผิดว่าน้องชายเป็นชู้กับแฟนสาว – มาจากแรงบีบคั้นซึ่งได้รับเหตุการณ์เลวร้ายมาจากสงคราม – น้องชายให้อภัยได้ทุกอย่าง

พ่อของทั้งคู่กดดันน้องชายจนเสียคน -มาจากแรงบีบคั้นจากพ่อซึ่งได้รับเหตุการณ์เลวร้ายมาจากสงคราม – ลูกชายให้อภัยได้ทุกอย่าง

การให้อภัย และความเสียสละ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นส่วนที่ทำให้ความหมายของคำว่าครอบครัวสมบูรณ์




 

Create Date : 07 กันยายน 2553   
Last Update : 7 กันยายน 2553 21:09:33 น.   
Counter : 1138 Pageviews.  


กวนมึนโฮ เมื่อความรักไม่ต้องการเวลา

เกริ่น..(ไปดูหนังกะแฟนทุกวันพุธเลย ก็เลยคุยกันว่าเรามาเขียนถึงหนังในแง่มุมของแต่ละคนดีกว่า จะได้เพิ่มคุณค่าและเก็บความประทับใจโดยเขียนให้จดจำ )







มุมมองของผม

ดูหนังไทยทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่าหนังฝรั่ง โดยเฉพาะเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ จึงเข้าถึงอารมณ์ได้สุดๆเลย เพราะในชีวิตจริงเวลาอยู่กับแฟนก็กวนกันตลอดอยู่แล้ว และเรากับแฟนก็เคยไปใช้ชีวิตต่างแดนช่วงสั้นๆกันสามเดือน ครึ่งปี จึงอยากหาเวลาไปเที่ยว Backpack บ้าง บรรยากาศในเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงภาพตัวเองกับแฟนในอนาคตตอนไปเที่ยวได้เหมือนกัน
เรื่องราวมันค่อนข้างออกจะน้ำเน่าไปหน่อยแต่ก็เป็นหนัง Romantic comedy ก็เป็นแบบนี้ทุกเรื่องอยู่แล้ว จึงเป็นที่ยอมรับได้



ขอเขียนถึงฉากที่ประทับใจละกัน นะครับ...
- ฉากที่นั่งกินข้าวข้างถนน “นี่มื้อไหนที่กินข้าวด้วยกันแล้วชอบที่สุด..เราชอบมื้อนี้”
- ฉากที่ลานจอดรถที่สนามบิน พระเอกเจอชิพแล้วร้องไห้
- ฉากที่นางเอกทำเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้างในเสียใจมาก ตอนที่พระเอกเจอแฟนเก่า
- ฉากนอนดูดาวด้วยกันบนถนน แล้วนางเอกบอกว่าอยากแก้ผ้าเมื่อได้เจอหิมะครั้งแรก
- ฉากที่พระเอกทิ้งนางเอกไว้กับรถ แล้วมาพบพระเอกที่ล๊อบบี้โรงแรมแล้ววิ่งเข้าไปกอดนางเอก
- ฉากลานหิมะหลังนางเอกใส่เสื้อผ้า พระเอกใส่หมวกให้นางเอก แล้วแอบจุ๊กนางเอก
- ตอนพระเอกดูหนังเป็นร้อยๆแผ่น เพื่อสืบหานางเอกว่าเคยแสดงหนังเรื่องไหน
- ตอนที่พระเอกจำใช้เงามือของตัวเอง จับกับเงามือของนางเอก
- ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ นางเอกซ้อนพระเอกแล้วเผลอหลับไป



หนังเรื่องนี้มีแต่ฉากประทับใจ ผมว่าแฟนผมที่นั่งข้างๆตอนดูหนังด้วยกันคงอยากร้องไห้เพราะซึ้งหลายฉากมาก แต่ก็ไม่ร้องเพราะกลัวผมล้อแน่เลย เดี๊ยวลองไปถามแฟนดูดีกว่าว่าแอบร้องไห้หรือเปล่า



มุมมองของแฟน

กวน...อาการกวนๆของพระเอกจัดอยู่ในประเภทกวนตัวพ่อเลยหล่ะ กวน จน ฮา เลย ชอบที่สุดก็ตอนที่ให้ถ่ายรูปครึ่งตัว คิดได้ไงเนี่ย

มึน...นอกจากจะหมายถึงมึนเมาแล้ว น่าจะหมายถึงหน้ามึนด้วย

โฮ...แมนติก เป็นรูปแบบความรักแบบน่ารัก โรแมนติก ที่ดูแล้วซึ้งจนน้ำตาไหล ร้องไห้โฮๆ



สรุปแล้ว กวน มึน โฮ ได้ทุกอารมณ์ที่ว่ามาเลย ชอบทั้งตัวนักแสดงแล้วก็พล็อตเรื่องด้วย ประเทศเกาหลี อยากไปสักครั้งจังเลย จะไปตามรอยละครเกาหลีบ้าง แต่ไม่ไปแบบทัวร์นะ..น่าเบื่อแย่ ฉากที่กินข้าวกะครอบครัวเพื่อนที่เกาหลี ดูแล้วโครตคิดถึงตอนกินข้าวกะจีฮันและอาม่าเลย(เพื่อนคนเกาหลีที่รู้จักที่ US) คิดถึงอาหารเกาหลีฝีมืออาม่า อร่อยมาก แต่แอบคิดอยู่ในใจเหมือนมันกันว่าเนื่อตุ๋นที่อร่อยๆวันนั้น เนื้ออะไรหว่า?? ประทับใจ..ตอนที่พระเอกบอกรักนางเอก “คุณจะรักฉันได้ยังไง เราไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ ชื่อฉันคุณยังไม่รู้เลย” “ผมรู้แค่ว่า..เวลาอยู่กับคุณ ผม:-)โครตมีความสุขเลย อย่างงี้เค้าเรียกว่ารักป่าว” เราเชื่อในพรหมลิขิตนะ พรหมลิขิตชักนำให้เรามาเจอกัน บางคนเจอกันเพียงไม่กี่วันแต่เหมือนผูกพันธ์กันมานาน บางคนเจอกันแล้วก็เลยกันไป บางคนเจอเพื่ออยู่ด้วยกันเพียงระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่บางคนเจอกันเพื่ออยู่ด้วยกันตลอดไป แต่พรหมลิขิตก็มักจะล้อเล่นกับเราเสมอ เมื่อชักนำมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนที่คบกันมา 8 ปี กับ คนที่ไม่รู้จัก..ที่เจอกันเพียง 5-6 วัน คุณจะเลือกใคร? คนไหนที่ใช่....ต้องถามใจตัวเองนะจ๊ะ ^_^






 

Create Date : 28 สิงหาคม 2553   
Last Update : 30 สิงหาคม 2553 20:09:46 น.   
Counter : 3408 Pageviews.  


Salt ควาวามภักดีในงานและความรัก

เกริ่น..(ไปดูหนังกะแฟนทุกวันพุธเลย ก็เลยคุยกันว่าเรามาเขียนถึงหนังในแง่มุมของแต่ละคนดีกว่า จะได้เพิ่มคุณค่าและเก็บความประทับใจโดยเขียนให้จดจำ)









มุมมองของผม

อาชีพนักสืบต้องได้รับการฝึกอย่างหนักเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด และได้ความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงสุดในงานที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นตัวขัดขวางงาน ไม่แตกต่างกับงานอื่นๆทั่วไป เมื่อเราทำงานมันจะเริ่มจากการที่ต้องทำบ่อยๆ ซ้ำๆ จนกลายเป็นความรัก และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความภักดีในงานบางครั้งที่เป็นเหตุเป็นผล แต่บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่เราต้องทำให้งานบรรลุผล แม้บางครั้งต้องแลกมาด้วยชีวิตเช่นอาชีพนักสืบ ดังฉากเปิดในหนังที่นางเอกถูกทรมานอย่างหนักเพื่อเค้นความลับ แต่นางเอกยอมสละชีวิตเพื่องานที่เธอทำ

ตอนที่คู่รักของนางเอกมารับเธอที่พรมแดนเกาหลีเหนือ หน้าตาฟกซ้ำจากร่องรอยการทรมาน คนที่เป็นคนธรรมดายังสามารถทำทุกอย่างเพื่อคนรักได้แม้ต้องบุกเดี่ยวไปช่วยและเสี่ยงชีวิตก็ตามแล้ว ความรักต่างอย่างไรกับการทำงาน มันเริ่มจากการการที่ต้องเจอกันทุกวัน ทานข้าวด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน จนกลายเป็นความรัก และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความภักดีในความรักจึงไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลทุกครั้ง แม้ต้องแลกมาด้วยชีวิตก็ตามซึ่งมีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว ดังคำพูดของคนรักที่พูดกับนางเอกบนรถหลังถูกปล่อยตัวจากเกาหลีเหนือว่า “ขอเพียงผมอยู่กับคุณ ผมก็ไม่กลัวอันตรายใดๆอีกแล้ว”

ถ้าต้องทรยศต่องานเพราะความรัก คุณคิดว่าอย่างไร แล้วถ้าในมุมกลับกันมีบางครั้งที่เราต้องทรยศต่อความรักเพราะงานของเรา คงเป็นเรื่องที่คงต้องเจ็บปวดเป็นที่สุด ตัวนางเอกคงรู้สึกเจ็บปวดมากที่เห็นคู่รักถูกยิงต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ได้เพียงแค่สบตาคงไม่สามารถบอกความรู้สึกได้ทั้งหมด

เราทุกคนควรจะมีหน้าที่ภักดีในความรัก และภักดีในงานที่ทำ สำหรับผมแล้วผมให้น้ำหนักสำหรับความรักมากกว่างานที่ทำ แล้วคุณล่ะ ตอบตัวเองได้ไหมครับ

ปล. หลังดูหนังจบผมบอกแฟนว่าเธอเป็นสายลับไม่ได้หรอก เธอสงสัยว่าทำไมหรอ ผมเลยตอบว่าเพราะว่าเธอไม่อยากย้อมผมเพราะกลัวผมเสียน่ะสิ 55 , เธอเห็นด้วย



href="//www.bloggang.com/data/s/sujjarak/picture/1282228829.jpg" target=_blank>





มุมมองของแฟน

Salt สวยสังหาร เริ่มต้นเรื่องมีการปูทางถึงความสัมพันธ์ของพระเอก นางเอก ได้ค่อนข้างดี ซึ้งเหมือนกัน ตรงที่ว่า พระเอกเป็นคนจัดการให้นางเอกออกมาจากการถูกทรมานที่เกาหลีเหนือได้

เนื้อเรื่องดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง มีความงงงวย บวกกับความตื่นเต้นได้ตลอดเวลาว่านางเอกตกลงเป็น Salt รึป่าวแล้วมันมีแผนทำอะไรต่อไป ทำในสิ่งที่ชายนิรนามคนนั้นอ้างถึงป่ะ ฉากบู๊ก็ใช้ได้ แต่ออกจะเว่อร์ๆไปนิด เน้นความเก่งของนางเอกมากเกิน (ประมาณว่าใครจะหยุดมันได้ว่ะ) เนื้อเรื่องอาจจะขาดความเซอร์ไพรส์ไปนิดตรงที่เฉลยเร็วไปหน่อยว่าใครคือ Salt แล้วก็เหมือนว่าเรื่องจะจบประเด็นอยู่ตรงฉากที่นางเอกฆ่าทุกคนหมด แต่ยังดีมีจุดหักมุมให้เซอร์ไพรส์อีกตอนสุดท้าย

เรื่องนี้ประทับใจกับความรักของพระเอกและนางเอก ถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย แต่รู้สึกว่ามันมีเงาของความรักนี้ปนมากับหนังตลอด สิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้ คือ ความรัก ความนับถือ ทำให้เราทำทุกอย่างเพื่อคนๆหนึ่งได้ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เค้าจัดฉากขึ้นมาให้เรานั้นเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ ทำเพื่ออะไร (เค้าให้ไปฆ่าคนก็ทำ) และความรักอีกนั่นแหละก็สามารถทำให้เราตาสว่างได้เช่นกัน

บทสรุปท้ายสุด เราไม่ชอบการเป็นสายลับแล้วเราก็เป็นสายลับไม่ได้ด้วย จะไม่มี Who is Pek ? แน่ๆ




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2553   
Last Update : 28 สิงหาคม 2553 22:30:26 น.   
Counter : 781 Pageviews.  



cobainlover
 
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับทุกคน

ฟ้ากว้างใหญ่ แผ่นดินไพศาล

คนนับล้าน ยากจะรู้จัก

วินาทีนี้ อัศจรรย์นัก

เรามารู้จักกัน
[Add cobainlover's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com