บันทึกความทรงจำของนกไขลานตัวหนึ่ง



ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือแล้ว "อิน" คือมักจะได้รับรับอิทธิพลทางความคิดมาจากตัวละครในนิยายอยู่เสมอ หนังสือเล่มล่าสุดที่ผมเพิ่งอ่านจบไปไม่ถึงสามนาทีที่แล้วมีชื่อว่า "The Wind-up Bird Chronicle" โดยนักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อก้องโลกนาม ฮารุกิ มุราคามิ ผมมีความรู้สึกว่าตัวผมในตอนนี้ได้รับเอาความคิดของ "Mr Okada" ตัวละครเอกในเรื่อง เข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเหมือนกับว่ามีพลังงานลึกลับผลักดันให้ "Mr Okada" ถือกำเนิดขึ้นมาในตัวผม และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ รวมถึงปัจัยอื่นๆที่เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ตัว นั้นทำให้ผมมีพลังจนสามารถกลับมาเขียนได้อีกครั้ง

ผมจำไม่ได้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ผมบอกกับตัวเองว่าจะเริ่มเขียนหนังสืออย่างจริงๆจังๆเสียที ทุกครั้งที่ผมเริ่มเขียน มันต้องมีเรื่องให้หยุดเขียนเสมอ ที่จริงแล้วมันก็ไม่เรื่องอะไรที่มีเหตุผลเพียงพอนักหรอก เพียงแต่ทุกครั้ง ความรู้สึกอยากเขียนมันมักจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับควันบุหรี่ที่ผมไม่ทางรู้ว่ามันจะลอยไปไหน การหยุดเขียนแต่ละครั้งนั้นสร้างเจ็บปวดให้ผมเสมอ มันเหมือนกับเป็นการตอกย้ำว่าผมนั้นไม่มีทางเอาชนะโชคชะตาไปได้ ผมเองก็รู้ว่ามันเป็นความคิดที่แสนจะอ่อนแอ แต่ผมก็มักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวผมนั้นเกิดมาอยู่ในฝั่งของความโชคร้าย ใครบางคนบอกว่าคนเรามีอยู่สองประเภท คือคนที่โชคดีกับคนที่โชคร้าย คนที่โชคร้ายนอกจากจะเกิดมาพบแต่ความโชคร้ายแล้ว คุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขานั้นก็เพียงเพื่อ เกิดมาให้เพื่อคนโชคดีรับรู้ว่าตัวเองโชคดี หากตัวผมนั้นจัดอยู่ในหมวดหมู่ของคนโชคร้ายจริงๆ ผมคงต้องจมอยู่กับความรู้สึกที่ไม่มีวันเขียนหนังสือสำเร็จอย่างนี้ตลอดไปเป็นแน่

จะเรียกว่าผมเป็นคนโชคร้ายเสียทีเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะเองก็ใช้ชีวิตของผมอยู่คนเดียว ไม่ได้ไปปฎิสัมพันธ์อะไรกับใคร จึงไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ เมื่ออยู่คนเดียว ความโชคดีหรือโชคร้ายนั้นก็คงไม่แตกต่างกันมากนักหรอก เช่นเดียวกับภาษา

หากไม่ต้องการสื่อสารก็ไม่จำเป็นต้องมีภาษา
แต่ถ้าไม่มีภาษาแล้วเราจะสามารถคิดได้หรือ
เพราะว่าอย่างไรก็ตาม ผมว่าคนเราก็ต้องคิดเป็นภาษาใดภาษาหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่คนหูหนวกตาบอด
ถ้าอย่างนั้นแล้วการคิดนั้นน่าจะเป็นการสื่อสารกับตัวเอง
แปลว่ามันน่าจะมีมากกว่าหนึ่งคนอยู่ในตัวผม
แล้วเขาคนนั้นเป็นใครกัน
ผมสื่อสารกับเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมเราทั้งสองดูเหมือนจะไม่รู้จักกันเลย

ชีวิตของ "Mr Okada" ช่างเหมือนกับผมเสียจริง ทั้งในเรื่องของความเกียจคร้าน ความหยิ่งยะโส และการมองไม่เห็นคนอื่นนอกจากตัวเอง ผมไม่ได้มองว่าคุณสมบัติพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในการอยู่ร่วมในสังคม(เท่านั้น) หากไม่ได้ต้องการอยู่ร่วมในสังคมก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร(แต่มันจะเป็นไปได้หรือ) รอบๆตัวของเขาจึงไม่มีเพื่อนเลย มีแต่คนประหลาดๆในนิยายเท่านั้นที่สามารถมองข้ามนิสัยอันไม่น่าพิสมัยเหล่านี้ไปได้ จนไปเข้าไปพบกับแสงสว่างที่อยู่ภายในจิตใจของเขา การมองไม่เห็นคนอื่นนั้น มองผิวเผินเหมือนจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่สำหรับผมแล้ว คุณสมบัติข้อนี้มันก็ทำให้โอกาสในการทำร้ายคนอื่นลดลงไปด้วย แต่ลองมาคิดดูอีกที บางทีการทำร้ายจิตใจคนอื่นนั้นยังดีเสียกว่า อย่างน้อยระหว่างเราและเขาก็ยังมีคุณค่าต่อกัน แม้มันจะเป็นคุณค่าในทางที่ไม่ค่อยดีนักก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

ใครบางคนถามผมว่ารู้ไหมว่าความรู้สึกอะไรต้องข้ามกับความรู้สึกรัก ผมตอบว่าน่าจะเป็นความรู้สึกเกลียดชัง ใครคนนั้นบอกว่าความรู้สึกที่ตรงข้ามกับความรักคือไม่รู้สึกอะไรเลย




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2549 20:17:03 น.
Counter : 519 Pageviews.  

Thom Yorke's The Eraser

อาจจะเก่าไปซะหน่อย แต่ขออนุญาติแจ้งให้ทราบว่าโคตรเนิร์ดขวัญใจตลอดกาลของผม พี่ Thom Yorke แกเพิ่งออกอัลบัมโซโล(ไม่ใช่โลโซนะ) ไปเมื่อสองสามเดือนก่อน(มั๊ง) ที่ มีชื่อว่า The Eraser ไปหามาฟังกันได้ ตรงนี้จะขอเขียนถึงอัลบัมนี้ซักหน่อยตามประสาแฟนพันธุ์แท้-จะถูกหาว่าเป็น "เด็กแนว" ก็ช่าง อย่างน้อยก็ยังมีคำว่า "เด็ก" นำหน้าฟะ

เริ่มตั้งแต่หน้าปกอัลบั้มเลยเป็นไง
ยังคงเป็นขาประจำคนเดิม นาย Stanley Donwood คนที่ออกแบบงานอาร์ตเวิร์คให้วงหัววิทยุมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ มาคราวนี้ หน้าปกเป็นงานวู๊ดคัทสุดเท่ห์(จำสมัยเรียนอาร์ทฟันด์ได้ไหม ประมาณนั้นแหละ) เป็นรูปบุรุษลึกลับกำลังเสกให้นำ้ท่วมมหานครลอนดอน ถ้าสังเกตที่ตัวตึกดีๆจะพบว่ามันร่วมสมัยมาก-มีมิลเลเนี่ยมโดมด้วย มีอยู่วันนึงนั่งรสบัสผ่านป้ายโฆษณาอันใหญ่จนมองเห็นรายละเอียดของงาน ดูแล้วได้อารมณ์ดิบเถื่อนดีชะมัด นึกถึงงานสมัยนี้ที่มันเนี้ยบไปหมดเองตามธรรมชาติของการออกแบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ แล้วก็ใจหาย เวลาอยากออกแบบอะไรให้มันดูเลอะๆเปื้อนนี่ต้องตั้งใจทำ ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ-เผลอเป็นเนี้ยบไปหมด ไปๆมาๆมันดูแข็งๆ ห่างไกลจากความสามารถของมนุษย์ออกไปทุกที

กลับมาที่ตัวเพลง หลังจากลองอ่านงานวิจารณ์เกี่ยวกับอัลบั้มชุดนี้มาบ้าง นักวิจารณ์หลายท่านพูดประมาณว่าเหมือนฟังเรดิโอเฮดชุดใหม่ และพากันคาดเดาว่างานชุดใหม่ของเรดิโอเฮดที่น่าว่าจะออกปีหน้า ต้องไปในแนวอีเลกทรอนิกซ์จ๋าอย่างอัลบั้มชุดนี้เป็นแน่ หลังจากที่เราได้มีโอกาสฟังเพลงใหม่ของทางวงเรดิโอเฮดประมาณ 6-7 เพลง ขอให้ความเห็นสวนกระแสว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะงานของเรดิโอเฮดน่าจะฟังง่ายกว่ามาก ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรมาจำกัดความได้ดีกว่าคำว่าฟังง่าย แต่เอาเป็นว่า ทางวงคงไม่กลับไปช๊อกแฟนๆเหมือนตอนที่ปล่อย Kid A ออกมาอีกแล้ว ทีนี้มาพูดถีงThe Eraser ว่าทำไมถึงฟังยาก (ขอให้เข้าใจตรงกันว่าคำว่าฟังยากนั้นไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปทำท่าอะไรพิศดาลถึงมีโอกาสได้ยินเสียงเพลง แต่หมายถึงลักษณะของดนตรีที่ไม่เป็นที่คุ้นเคยของคนกลุ่มใหญ่ ประมาณ experimental ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงประมาณ bjork ประมาณนั้น) ทั้งนี้เป็นเพราะพี่ทอมแกบ้าครับ ขอฟันธง ถ้าปล่อยให้แกคิดเองทำเองไปเรื่อยๆ งานมันเลยจะออกมาประมาณนี้ คือแกก็จะเดินไปเรื่อยๆของแกจนไปถึงที่ไหนซักแห่งนึงที่ไกลมาก ตรงนี้เลยเห็นความสำคัญของสมาชิกที่เหลือวงเรดิโอเฮดขึ้นมาอย่างจับใจ แต่ก่อนเราก็คิดว่าเรดิโอเฮดนั้นมีแต่พี่ทอม กะพี่จอนนี่ เป็นตัวขับเคลื่อน ส่วนที่เหลือคอยหนับหนุนเท่านั้น แต่หลังจากที่ได้มีโอกาสฟังงานโซโลของทั้งสองคนแล้วก็พบว่าไอ้สองคนนี้มันบ้าจริงๆ ก็เลยต้องมีพี่ๆที่เหลือในวงเค้าเข้ามาคอยทำให้เรดิโอเฮดเป็นเรดิโอเฮดอย่างในทุกวันนี้ งานหนักนะนั่น-นึกถึงภาพตอนซ้อมกัน คงจะประมาณว่า เฮ้ยไอ้ทอม กูว่ามึงเขียนเพลงเหมาะกับคนบนดาวพลูโตมมากว่านะ นี่เค้าก็ไม่ได้เป็นสมาชิกระบบสุริยจักรวาลเราแล้ว กลับมาเถอะวะ หรือจะเป็น เฮ้ยจอนนี่ ถามจริงๆนั่น เสียงดนตรีหรือเสียงแมลงวันผายลมวะ

ไปๆมาๆไปพูดเรื่องอะไรไม่รู้ กลับมาพูดเรื่องอัลบั้มกันดีกว่า สรุปว่าชอบครับ หลังจากฟังไปแล้วประมาณสิบกว่ารอบ พบว่ามีเพลงที่ชอบเป็นพิเศษดังนี้
หนึ่ง The Eraser เพลงทีมีชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้ม อย่าถามว่าเนื้อเพลงเกี่ยวกับอะไร เพราะไม่รู้และไม่มีวันรู้ เรียกว่าเพลงที่แต่งโดยพี่ทอมนั้นมีความเป็นควอนตั้มสูง คืออยากให้มันหมายถึงอะไรมันก็หมายถึงอย่างนั้นแหละ มีวันนึงนั่งกินเบียร์กับเพื่อนชาวอังกฤษ(ย้ำว่าชาวอังกฤษจริงๆนะครับ ขออวดหน่วยเถอะ มาอยู่นี่หาเพื่อนเป็นคนอังกฤษแท้ๆยากกว่าตอนอยู่เมืองไทยอีกมั้ง ประมาณว่าขึ้นรถเมล์ไม่ได้ยินภาษาอังกฤษเลย) ก็เลยถือโอกาสถามเกี่ยวกับเนื้อเพลงเรดิโอเฮด มันว่าอย่าว่าแต่ยูเลย ไอก็ไม่รู้ และก็สงสัยว่าไอ้คนแต่งเองมันจะรู้เรื่องของมันหรือเปล่า-สงสัยจะเขียนให้คนบนดาวพลูโตจริงๆแฮะ เอาเป็นว่าเพลงนี้เมโลดี้สวย เสียงสังเคราะห์ต่างๆที่แทรกแซงเข้ามาเป็นช่วงๆนั้นลงตัว และแน่นอนว่าเสียงร้องของพี่ทอมนั้นกินขาดชาวโลกคนอื่นๆเสมอ โดยเฉพาะตอนที่แกหอน

เพลงต่อไปที่เราชอบคือเพลง The Clock หลังจากอ่านเนื่อเพลงนี้รวมถึงเนื้อเพลงอื่น บวกกับการให้สัมภาษณ์ของพี่แก คิดว่าอัลบั้มชุดนี้น่าจะมีเนื่อหาเกี่ยวข้องกับ การเมือง และสิ่งแวดล้อมมากอยู่นะ ตามสไตล์นักกิจกรรมเพื่อโลกที่ดีกว่าของพี่แก อย่างเพลง Harrowdown Hill นั้นก็พูดถึงเกี่ยวกับคุณดร. ที่ตายอย่างมีเงื่อนงัม หลังจากกล้าหาญออกมาเปิดเผยข้อมูลกรณีการบุกรุกอีรักของอังกฤษ และชื่อเพลงก็เป็นชื่อสถานที่พบศพของดร. คนดังกล่างนั่นเอง

เพลงสุดท้ายที่จะขอพูดถึงชื่อเพลง Atoms for Peace ส่วนตัวแล้วชอบเพลงนี้ที่สุดในอัลบั้ม ทุกอย่างมันลงตัวไปมากจยเกือบจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ อยากจะขอยืมสำนวนคณะกรรมการซีไรท์ของไทยมาใช้ซักหน่อย คือคำว่า "ง่ายงาม" โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า No more talk about the old days ?It's time for something great
นั้นช่างเข้ากับช่วงจังหวะชีวิตของเราเสียจริง เลยเผลอน้ำตาซึมหลังจากที่ไม่ได้ร้องไห้มาเสียนาน

จบดีกว่า รู้สึกหายอยากเขียนแล้ว ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้น๊า

หมายเหตุ เขียนเอง เออเอง ขี้เกียจหาข้อมูลเลยมั่วไปเรื่อย ผิดผลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ. โอกาสนี้




 

Create Date : 17 กันยายน 2549    
Last Update : 17 กันยายน 2549 0:11:42 น.
Counter : 498 Pageviews.  

หญิงสาวที่แสนสมบูรณ์แบบในยามเช้าที่งดงามของเดือนเมษายน



เช้าวันหนึ่งของเดือนเมษายน ในซอยแคบๆแห่งหนึ่งในย่านฮาราจูกุแห่งมหานครโตเกียว ผมเดินผ่านหญิงสาวที่แสนจะสมบูรณ์แบบ

จริงๆแล้วเธอเองก็ไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น ไม่ได้ดูโดดเด่นไปในทางไหน การแต่งตัวก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร แถมผมที่ด้านหลังของเธอยังคงเหลือริ้วรอยของของการนอนอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้น เธอเองก็ไม่ได้ดูอ่อนวัย-น่าจะอายุราวๆสามสิบปี และเราคงไม่สามารถเรียกเธออย่างเต็มปากได้ว่า "หญิงสาว" เสียด้วยซ้ำ แต่กระนั้นก็ตาม ผมก็รู้ตัวตั้งแต่เห็นเธอแวบแรกแล้วว่าเธอเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบสำหรับผม วินาทีแรกที่ผมเห็นเธอนั้น ผมได้ยินเสียงฟ้าคำรามอยู่ข้างใน และลำคอของผมนั้นก็แห้งผากขึ้นมาอย่างกระทันหัน

บางทีคุณเองอาจจะมีวิธีการมองหาผู้หญิงในฝันของคุณในแบบฉบับที่แตกต่างกันออกไป-ต้องผอมเพรียว, ดวงตากลมโตคู่นั้น, หรืออาจจะเป็นนิ้วมือที่เรียวงาม บางทีคุณอาจจะตกหลุมรักใครซักคนโดยปราศจากเหตุผลใดๆเลย หลังจากที่เฝ้ามองเธอบรรจงละเลียดอาหารในแต่ละมื้ออย่างสุดแสนที่จะปราณีต แน่นอน ผมเองก็มีผู้หญิงในฝัน บางครั้งขณะที่ผมนั่งอยู่ในร้านอาหาร ผมมักจะพบว่าตัวเองนั้นนั่งจ้องไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวถัดไป เพราะผมคลั่งไคล้เส้นโค้งที่ปลายจมูกของเธอ

แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังไม่เห็นว่าจะมีใครที่สามารถยืนยันได้ว่า หญิงสาวที่สมบูรณ์แบบของเขานั้นจะต้องสอดคล้องกับรสนิยมของเขา เหมือนกับที่ผมชอบมองจมูก แต่ผมก็ไม่ทันได้สังเกตจมูกของเธอ-เอ หรือว่าเธออาจจะไม่มีจมูกเลยเสียด้วยซ้ำ มีเพียงอย่างเดียวที่ผมมั่นใจก็คือ เธอไม่ได้สวยขนาดนั้น แปลกจริงๆ

"เมือวานนี้ผมเดินผ่านหญิงสาวที่แสนจะสมบูรณ์แบบ" ผมบอกใครบางคน
"เหรอ?" เขาเอ่ย "สวยขนาดนั้นเชียว?"
"ก็ไม่เชิง"
"งั้นก็คงเป็นผู้หญิงในแบบที่คุณชอบ?"
"ผมไม่รู้ ผมเองก็จำอะไรไม่ค่อยได้ ดวงตาของเธอ หรือแม้กระทั่งขนาดหน้าอกของเธอ"
"น่าแปลก"
"ใช่ แปลกมาก"
"แล้ว..." เขาพูดขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย "คุณทำอะไรบ้างล่ะ เข้าไปทักเธอ หรือว่าเดินตามเธอไปหรือเปล่า?"
"...ก็แค่เดินสวนกันบนถนนเฉยๆ"

เธอเดินมาจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก ส่วนผมเดินจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก และมันก็เป็นยามเช้าที่สวยงามของเดือนเมษายน

ผมน่าจะได้คุยกับเธอ ขอแค่ครึ่งชั่วโมงก็เกินพอ ก็แค่ถามเรื่องราวของเธอ แล้วก็เล่าเรื่องราวของผม แล้ว...สิ่งที่ผมต้องการจะทำจริงๆนั้นก็คือ ได้มีโอกาสอธิบายเธอถึงกงล้อแห่งโชคชะตาที่พาเรามาเจอกันในซอยแคบๆแห่งหนึ่งในย่านฮาราจูกุ ในยามเช้าที่งดงามของเดือนเมษายนในปี 1981 แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันต้องอัดแน่นไปด้วยความพิศวงที่แสนจะอบอุ่น หลังการการพูดจา เราอาจจะไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันที่ไหนซักแห่ง หลังจากนั้นอาจจะไปดูหนังซักเรื่อง แล้วแวะไปดื่มกันต่อ แล้วถ้าทุกอย่างลงตัว เราอาจจะมีอะไรกัน

คิดได้ดังนี้แล้วหัวใจผมก็เต้นโครมคราม

...

ตอนนี้ระยะห่างของผมและเธอเหลืออีกไม่มาก

ผมจะเข้าไปทักเธออย่างไรดี ผมควรจะเริ่มต้นพูดตอนไหน?

"สวัสดีครับ คุณพอจะมีเวลาว่างคุยกับผมซักครึ่งชัวโมงมั้ยครับ?" ฟังดูพิลึก มันจะทำให้ผมดูเหมือนคนขายประกันมากกว่า

"ขอโทษครับ แต่คุณพอจะรู้จักร้านซักอบรีดแถวๆนี้บ้างมั้ยครับ?" นี่ยิ่งไปกันใหญ่ ผมไม่ได้หอบผ้าหอบผ่อนอะไรมาซักหน่อย ที่สำคัญ ใครจะไปหลงเชื่อประโยคทื่อๆอย่างนี้

บางทีบอกกับเธอตรงๆไปเลยอาจจะดีกว่า "สวัสดีครับ คุณคือหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบของผม" บ้า! ใครจะไปหลงเชื่อ หรือถ้าเธอเชื่อ เธอก็อาจจะไม่อยากคุยกับผมก็เป็นได้ "ขอโทษค่ะ ฉันอาจจะเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ แต่คุณไม่ใช่ชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบสำหรับฉัน" มันอาจเกิดขึ้นได้ และถ้าเป็นอย่างนั้น หัวใจผมคงแตกสลาย และผมคงไม่สามารถกลับมาเป็นคนเดิมได้อีก ผมอายุสามสิบสองปีแล้ว สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่ชายวัยกลางคนทุกคนหวาดกลัวที่สุด

เราเดินสวนกันที่หน้าร้านดอกไม้ ในตอนนั้นมีสายลมที่แผ่วเบาแต่แสนจะอบอุ่นล่องลอยมากระทบกับผิวหนังของผม ผมไม่กล้าทักเธอ เธอในตอนนั้นอยู่ในเสื้อแขนยาวสีขาว มือขวาถือซองจดหมายที่ยังไม่ได้ติดแสตมป์ แสดงว่าเธอกำลังจะไปส่งจดหมายให้ใครบางคน ประมาณจากขอบตาที่บวมช้ำของเธอ เมื่อคืนที่ผ่านมา เธออาจจะนั่งเขียนจดหมายฉบับนี้อยู่ตลอดทั้งคืน และจดหมายฉบัับนี้นั้นอาจจะบรรจุความลับทั้งหมดของเธอเลยก็เป็นได้

ผมเดินผ่านเธอไปอีกสองสามก้าวใหญ่ๆแล้วจึงหันหลังกลับมา เธอได้หายไปกับฝูงชนเสียแล้ว

...

ตอนนี้ ผมรู้แน่นอนแล้วว่าควรจะพูดอะไรกับเธอ มันอาจจะยาวซักหน่อย จริงๆแล้วมันอาจจะยาวเกินกว่าที่ผมจะสามารถจะถ่ายทอดออกมาได้เสียด้วยซ้ำ พอถึงเวลา ความคิดของผมมันมักจะใช้งานจริงได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ตามผมจะขอเริ่มต้นว่า "นานมาแล้ว..." และจบด้วย "เรื่องมันเศร้า คุณว่ามั้ย?"

นานมาแล้ว ยังมีชายหนุ่มกับหญิงสาว ชายหนุ่มอายุสิบแปดปี ส่วนหญิงสาวอายุสิบหกปี หน้าตาของเขาไม่ได้หล่อเหลาเป็นพิเศษ ส่วนเธอก็ไม่ได้สวยถึงขนาดที่ต้องเหลียวหลังกลับมามองอีก เขาและเธอก็เป็นเพียงแค่คนเหงาธรรมดาเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ทั้งสองมีความเชื่ออยู่เต็มที่ว่างของหัวใจว่า ณ.ที่ไหนซักแห่งหนึ่งในโลกใบนี้ จะมีคนที่สมบูรณ์แบบรอคอยเขาและเธออยู่ ใช่ ทั้งสองเชื่อในปาฎิหารย์ และปาฎิหารย์นั้นก็เป็นจริง

วันหนึ่ง ทั้งสองมาพบกันที่มุมถนน

"เหลือเชื่อ" เขาบอก "ผมเฝ้ารอคุณมาทั้งชีวิต คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่คุณคือ ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับผม"
"คุณก็เหมือนกัน" เธอตอบเขา "คุณคือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบของฉัน ตรงตามที่ฉันจินตนาการไว้ทุกอย่าง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันอย่างกับความฝัน"

ทั้งสองนั่งคุยกันที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ จับมือกันไว้ และเล่าเรื่องราวให้กันและกันฟังอย่างไม่รู้จบ ทั้งสองไม่ต้องทนเหงาอีกแล้ว เพราะทั้งสองได้มาเจอคนที่สมบูรณ์แบบของกันและกันแล้ว จะมีอะไรสวยงามไปกว่าการพบและถูกพบโดยเนื้อคู่ของคุณ มันคือปาฎหารย์ในระดับที่เทียบเท่ากับจักรวาลเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ความคลาบแคลงใจนั้นก็ค่อยๆปรากฎตัวและขยายใหญ่ขึ้นในหัวใจของทั้งสอง มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ความฝันจะเป็นจริงได้ง่ายถึงเพียงนี้?

ดังนั้น เมื่อความเงียบบังเกิดขึ้นในช่วงหนึ่งของการสนทนา ชายหนุ่มจึงถือโอกาสบอกกับหญิงสาวว่า "เรามาทดสอบกันดีกว่า ถ้าเราเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบจริงๆ เราต้องได้เจอกันอีกครั้ง และเมื่อมันเกิดขึ้น เราก็จะรู้ได้อย่างแน่นอนว่าเรานั้นเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบจริงๆ คุณจะว่ายังไง?"
"แน่นอน" เธอเอ่ย "นี่คือสิ่งที่เราสมควรจะทำที่สุด"

แล้วทั้งสองจึงแยกจากกัน เธอเดินไปทางทิศตะวันออก ส่วนเขาไปทางทิศตะวันตก

การทดสอบที่ทั้งสองตกลงกันนั้น อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้มีความจำเป็นใดๆเลยที่จะต้องไปทำเช่นนั้น จริงๆแล้วทั้งสองไม่ควรทำมันเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะทั้งสองนั้นเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอนที่สุด และมันก็เป็นปาฎิหารย์เหนือปาฎิหารย์เพียงเท่านั้นที่บันดาลให้ทั้งสองได้มาพบกัน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะล่วงรู้ถึงความจริงข้อนี้ เพราะทั้งสองนั้นยังอ่อนเยาว์นัก

ในฤดูหนาว ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวนั้นต่างก็ได้รับเชื้อไข้หวัดที่อันตรายร้ายแรง ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายบางๆที่กั้นระหว่างความเป็นกับความตายนั้น ชายหนุ่มและหญิงสาวได้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป และเมื่อทั้งสองตื่นขึ้น ภายในหัวของทั้งสองนั้นว่างเปล่า

ชายหนุ่มและหญิงสาวเป็นเด็กที่ฉลาดและมีความมุ่งมั่น ในไม่ช้าทั้งสองก็กลับมาเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยกันขับเคลื่อนสังคม เป็นพลเมืองที่ดีที่รู้จัักวิธีการเปลี่ยนสายรถไฟใต้ดิน อีกทั้งยังสามารถส่งจดหมายแบบด่วนพิเศษที่ที่ทำการไปรษณีย์ได้อีกด้วย เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองยังสามารถกลับมาผ่านประสบการณ์ความรักได้อีกครั้ง บางครั้งก็ดี บางครั้งก็เกือบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว

วันเวลาผ่านไปเร็วจนน่าตกใจ จนชายหนุ่มอายุสามสิบสองปี ส่วนหญิงสาวอายุสามสิบปี

ในยามเช้าที่งดงามของเดือนเมษายน ระหว่างที่กำลังเดินไปหากาแฟดื่มเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ ชายหนุ่มเดินจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ส่วนหญิงสาวที่กำลังเดินไปส่งจดหมายแบบด่วนพิเศษนั้น กำลังเดินจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ทั้งสองมาพบกันในซอยแคบๆในย่านฮาราจูกุแห่งมหานครโตเกียว ทั้งสองพบกันที่กึ่งกลางของซอย ทันใดนั้นเอง แสงจางๆของความทรงจำที่หายไปนั้นก็กลับสว่างวาบขึ้นมาแวบหนึ่งในซอกหนึ่งหัวใจของทั้งสอง ชายหนุ่มและหญิงสาวได้ยินเสียงฟ้ารคำรามอยู่ข้างใน และรับรู้ได้ทันทีว่า

เธอคือหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบสำหรับเขา
เขาคือชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบของเธอ

แต่ความทรงจำนั้นมันช่างเลือนลาง และความนึกคิดของทั้งสองก็ไม่ได้สดใสอย่างเมื่อสิบสี่ปีที่แล้วอีกแล้ว
ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของชายหนุ่มและหญิงสาว ทั้งสองเดินสวนทางกัน และค่อยๆหายไปท่ามกลางฝูงชน

เรื่องมันเศร้า คุณว่ามั้ย?

ใช่แล้วล่ะ นี่คือสิ่งที่ผมควรจะบอกกับเธอ

ON SEEING 100% PERFECT GIRL ONE BEAUTIFUL APRIL MORNING
Haruki Murakami
Translated to English by Jay Rubin




 

Create Date : 17 กันยายน 2549    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2549 7:08:44 น.
Counter : 271 Pageviews.  


โครงสร้างนิยม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โครงสร้างนิยม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.