ความเป็นไปไปในโลกสมัยนี้นั้นการที่จะตามใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะยากเย็นอะไรอีกต่อไปแล้ว ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะว่าเทคโนโลยีในสมัยปัจจุบันนั้นมันเข้าถึงตัวเราได้ง่ายดายนั่นเอง ถามว่าเราจะวัดจากอะไรก็ให้มองไปรอบๆได้เลยว่าในทุกๆคนนั้นล้วนพก Smartphone ติดตัวกันทุกคน ไม่ใช่แค่พกธรรมดา แต่ทุกคนล้วนเอามากดเล่นกันจนเรื่องธรรมดาไปแล้ว เราจะเห็นจนชินตากันอย่างแน่นอน ซึ่งความที่เทคโนโลยีนั้นใกล้ตัวเรามากขนาดนี้ทำให้การที่เราจะเข้าถึงใครสักคน ใกล้ชิดใครสักคนก็ทำได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งคือการใช้ เทคโนโลยี GPS นั่นเอง ซึ่งการมีเครื่องนี้ก็สามารถทำให้การติดตามใครสักคน ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่หากถามว่าจริงๆแล้วมันจำเป็นต้องใช้เครื่องแบบนี้ไหม ก็อาจตอบได้ว่าก็ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็นเช่นกัน เรามาลองดูกันเลยว่าเพราะอะไร เหตุใด เราถึงต้องใช้เครื่องนี้กัน

เลือกใช้เพราะเกิดการหึงหวง ไม่ไว้ใจ เกรงว่าอีกฝ่ายจะคุยกับคนอื่น ?

ปัญหานี้เป็นปัญหาแรกๆเลยที่ที่จะลอยเข้ามาในหัวว่าเพราะอะไรเราถึงใช้เครื่องติดตาม เพราะเนื่องจากการที่มีใครคนใดคนหนึ่งเริ่มมีอาการเปลี่ยนไป ไม่ใส่ใจเหมือนเดิม เริ่มมีท่าทีอาการผิดสังเกตไปจากเดิม ทำให้มีการพูดคุยกันน้อยลง และก่อให้เกิดปัญหาการทะเลาะกันนั่นเอง ทำให้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายไปหาอีกคนได้ ซึ่งการใช้เครื่องติดตามก็สามารถทำให้รู้พิกัดและตำแหน่งว่าบุคคลๆนั้นเดินทางไปที่ไหนนั่นเอง ซึ่งการใช้งานก็ง่ายดายมาก โดยจะใช้งานผ่านระบบ Internet โดยจากแสดงผลว่าคนๆนั้นได้เดินทางไปยังจุดไหน ทำให้เราสามารถทราบและเดินทางไปหาได้โดยทันที ซึ่งก็ถือว่าเป็นเครื่องที่ช่วยในการติดตามหาคนได้อย่างสะดวกมากๆ แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่าคงไม่มีใครอยากที่จะมาคอยนั่งติดตามใครอยู่ตลอดเวลา และ ก็คงไม่มีใครอยากให้ใครมาคอยติดตามเราเช่นกัน ฉะนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดและเห็นผลที่สุดก็คือการที่คุณใส่ใจซึ่งกันและกัน ซื่อสัตย์ต่อกันและกัน ไม่มีมือที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อทำให้ทั้งคุณและคนรักของคุณสบายใจ และเชื่อใจซึ่งกันและกันนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อ 2 คนมีการไว้เนื้อเชื่อใจกัน ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง ปัญหาการเลิกรา ปัญหาการมีมือที่ 3 ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้นถามตัวเองว่า วันนี้คุณใส่ใจนที่คุณรักแล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่ทำก็อย่ามัวรอช้า รีบทำซะเถอะก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น

ตัวอย่างการใช้งานอุปกรณ์ติดตามตัว gps ขนาดเล็ก

Story by : sjspycam.com

การทำงานในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยสำหรับ ผู้คนที่ทำงานกับบริษัทเอกชนต่างๆ ที่ต้องใช้โทรศัพท์ในการตอบโต้กับลูกค้า หรือเจ้านายในช่วงวันหยุด หรือแม้กระทั่งช่วงดึกของเวลาทำงานก็ตาม ผู้คนเหล่านี้หลีกเลี่ยงการทำงานในบ้านไม่ได้ ในขณะเดียวกันสภาพแวดล้อม ความปลอดภัยของข้อมูล ระหว่างที่บ้าน และที่ทำงาน ก็จะต่างกัน สำหรับส่วนใหญ่ เป็นรายละเอียดข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและมีผลกระทบเป็นอย่างมาก ถ้าหากรั่วไหล หรือสูญหาย การเก็บบันทึกข้อมูลก็เป็นอีกภารกิจหนึ่งของบริษัทที่ต้องเป็นมีระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล จะต้องมีการจัดเตรียมการฝึกอบรมเกี่ยวกับความรู้ด้านความปลอดภัยให้แก่พนักงาน ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอที ที่มีทักษะและประสบการณ์สูง มาฝึกอบรมและดูแลในเรื่องความปลอดภัยนี้ แต่ตามหลักความเป็นจริงแล้วงานด้านไอทีเป็นสิ่งที่จะสร้างความน่ารำคาญให้แก่คนอื่นมากที่สุด เพราะทุกคนจะต้องจำไว้ว่าข้อมูลนั้นละเอียดอ่อนต่อความผิดพลาดมาก มันมักจะมีผลกระทบที่ร้ายแรงทางกฎหมาย ต่อสัญญาจ้างงานของนายจ้างและพวกเขา ดังนั้นเรามาดู 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลกันเถอะ

1. ใส่ใจกับความปลอดภัยของแล็ปท็อป ในขณะที่เดินทาง การที่ทำงานนอกสถานที่นั้นย่อมเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลถูกลวงความลับเสมอ การเดินทางไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด แล็ปท็อปของคุณอาจสูญหาย หรืออาจจะถูกโจรกรรม โดยการจูงใจในการโจรกรรมก็คือการขายแล็ปท็อปนั้นเอง เมื่อคุณทำงานนอกสถานที่ ที่ควรที่จะล็อคเอาท์ระบบต่างๆ ที่เป็นรหัสในการเข้าสู่ข้อมูลของบริษัทเสมอ
2. การใช้รหัสในการเข้าถึงดิสก์เพื่อปกป้องข้อมูลของคุณ หากแล็ปท็อปของคุณสูญหาย หรือถูกขโมย นั้นก็มั่นใจได้ว่าข้อมูลข้างในนั้นจะยังปลอดภัย การป้องกันปัญหานี้คุณควรติดตั้งซอฟต์แวร์การเข้ารหัสดิสก์ทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลนั้นจะถูกเข้ารหัสเมื่อแล็ปท็อปถูกปิด เมื่อแล็ปท็อปเปิดใช้งาน ผู้ใช้งานต้องใส่รหัสเพื่อตรวจสอบสิทธิ์ก่อนบูตข้อมูล
3. ป้องกันตัวเองจากเครื่องดักฟังระยะไกล เมื่อทำงานในที่สาธารณะ การเดินทางถือเป็นเรื่องปกติ และจำเป็นสำหรับการทำงาน ไม่ว่าจะคุยกับเพื่อนร่วมงาน หรือคุยกับเจ้านาย ต่างก็ต้องพูดถึงข้อมูลสำคัญเสมอ คุณไม่มีทางรู้ได้ว่าใครที่กำลังดักฟังเสียงของคุณที่ขณะกำลังพูดคุยธุระกับอีกคนหนึ่งอยู่ หากเป็นไปได้ควรระวัดระวังในการพูดคุยให้มากขึ้น
4. ถ้าคุณมีความจำเป็นที่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมเชื่อมต่อกับแล็ปท็อปคุณควรระมัดระวังเป็นพิเศษ หากจำเป็นต้องใช้คุณควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอุปกรณ์เหล่านั้นแฝงอะไรไว้บ้าง
5. การเชื่อมต่อเครือข่ายสาธารณะ เมื่อคุณทำงานข้างนอก ต้องระมัดระวังในการสื่อสารของคุณให้มากขึ้น เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทั้งหมด เครือข่ายสาธารณะถือเป็นศัตรูที่เราจะพลาดไม่ได้ การใช้งานเชื่อมต่อเครือข่าย VPN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลการรับส่งข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลอาจจะถูกดักจับด้วยโปรแกรมบางตัวก็เป็นได้

เครื่องดักฟังหรือเครื่องดักฟังเสียงหรือบางคนอาจจะเรียกว่าเครื่องแอบฟัง ซึ่งก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไปตามชื่อที่ใช้เรียกนั่นเอง เราจะมาบอกภัยที่มาจากเครื่องดักฟังโทรศัพท์มือถือกันนะครับ ตัวเครื่องดักฟังโทรศัพท์มือถือนั้นก็ ตามชื่อของมันเลย เอาไว้ใช้กับการแอบฟังเสียงโทรศัพท์นั้นเอง การใช้เครื่องดักฟังนั้นก็มีอยู่หลายรูปแบบตามราคา บางรุ่นนี่เราโดนใช้เครื่องดักฟังตัวนี้เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราโดนดักฟังจริงหรือเปล่า ในชีวิตปัจจุบันต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวง เพราะเทคโนโลยีสมัยเดินไวมากๆจนเราตามไม่ทันกันเลยทีเดียว ถ้าหากถามว่า เครื่องดักฟังเราไปซ่อนไว้ เป้าหมายจะรู้ตัวไหม ?? ไม่รู้แนะนอนครับ ด้วยขนาดที่เล็กเท่าเหรียญสิบ ทำให้ไม่เป็นจุดสังเกตุ ถ้าไว้ในรถเช่นใต้พ่วงมาลัย ใต้เบาะจะดูเหมือนเป็นอุปกรณ์ที่ติดมากับรถ ถ้าในห้องเอาไว้ใต้โต๊ะ โชฟา เก้าอี้ หรือใส่ถุงกระดาษ ประยุกต์การใช้ได้หลากหลายมากครับ ซึ่งไม่มีทางจับได้อย่างแน่นอน และวิธีที่เราจะรู้ได้ว่ามีเครื่องดักฟัง ก็จะมีเครื่องแสกนหาเครื่องดักฟังก็ช่วยได้ในระดับนึง แต่ทางที่ดีเราควรที่จะป้องกันไว้ดีกว่าแก้ทีหลังดีกว่า เพราะหากบางข้อมูลที่สำคัญมากๆถูกขโมยไปหรือถูกแอบฟังก็จะเกิดความเสียหายไม่มากก็น้อง เดี๋ยวจะยกตัวอย่างภัยของเครื่องดักฟัง กันซักตัวอย่างนึงนะครับ

เอาละครับเราจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับตัวเครื่องดักฟังระยะไกลกันนะครับ มีผู้ชายอยู่คนนึงทำงานอยู่บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ไปขโมยข้อมูลจากบริษัทของคู่แข่งนั่นเอง เขาก็คิดหนักเลยว่าเขาควรจะทำงานนี้ดีหรือไม่ดี แต่ด้วยภาระหน้าที่ ที่เขาต้องเลี้ยงดูครอบครัวของเขา เขาจึงจำเป็นต้องทำเพื่อครอบครัวของเขานั่นเอง เขาจึงเริ่มหาข้อมูลวิธีต่างๆในการขโมยข้อมูลจากบริษัทคู่แข่ง จนกระทั่งเขาได้พบวิธีที่แสงสะดวกสบายนั่นเอง เขาไปเจอ "เครื่องดักฟังเสียงระยะไกล" ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด เขาจึงเริ่มศึกษาและวิธีการใช้งานของมัน หลังจากเขาได้ทดลองใช้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เขาจึงเริ่มแผนการที่วางไว้ โดยการที่เขาปลอมตัว messenger หรือ คนส่งเอกสาร เขาได้นำเอกสารบางอย่างที่ใส่ไว้ในซอง แต่ภายในซองนั้น มีเครื่องดักฟังอยู่นั่นเอง เขาได้เอาเอกสารไปฝากไว้กับเลขาของเจ้าของบริษัทคู่แข่ง เลขาก็ได้นำเอกสารนั้นไว้ในห้องของเจ้าของบริษัท พอระยะนึงเจ้าของบริษัทก็เข้ามาได้คุยเรื่องงานต่างๆข้อมูลสำคัญต่างๆทางโทรศัพท์ในห้องอย่างเสียงดังเพราะเขาคิดว่าห้องของเขาไม่มีอะไรอย่างแน่นอน เพราะห้องของเขาเป็นห้องที่ไม่มีเสียงออกไปอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปคิดว่าจะมีเครื่องดักฟังอยู่ในห้องของเขานั่นเอง จนกระทั่งเขาไปเห็นซองสีน้ำตาลแปลกๆวางอยู่บนโต๊ะของเขา เขาก็ได้เปิดดูภายในซองก็พบเครื่องแปลกๆอะไรไม่รู้อยู่ในซองเลยเอาออกไปถามเลขา เลขาก็ตกใจ ว่าไอ้เครื่องนี้ มันคือเครื่องดักฟังนี่หน่าไปอยู่ในนั้นได้ยังไง เลขาก็นึกได้ทันทีว่ามีคนส่งเอกสารคนนึงมาฝากเอกสารไว้ ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมากจึงเลยโทรหา คนส่งเอกสารคนนั้น
หลังจากที่ มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆโทรข้าวของผู้ชายคนนี้ เขาดันทิ้งเบอร์มือถือจริงๆของเขาไปซะได้ ด้วยการที่เขาพึ่งเคยทำครั้งแรกบวกกับความกลัวจึงพลาดสิ่งสำคัญที่สุดไป หลังจากที่รับโทรศัพท์ ในสายนั้นคือ เจ้าของบริษัทคู่แข่งนั้นเอง เจ้าของก็พูดออกมาว่า “ถ้าคุณเอาข้อมูลที่คุณได้ยิน และเอาไปบอกคนอื่นผมจะแจ้งตำรวจและจะฟ้องคุณให้หมดตัว” หลังจากที่เขาได้ยินคำพูดนั้นเขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก สิ่งแรกที่เขาคิดถึงคือ ภาพครอบครัวของเขานั่นเอง เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องที่ยินจากที่ได้แอบฟังมา และเขาก็ไม่ได้ไปบอกบริษัทของเขา ทำให้เขาถูกไล่ออกจากบริษัทนั้น แต่เขาก็คิดดีแล้วว่าถูกไล่ออกยังไปหางานทำใหม่ได้ แต่ถ้าเขาถูกจับและดำเนินคดีครอบครัวของเขาจะอยู่กันยังไง และใครจะเป็นคนปกป้องครอบครัวของเขากัน
เป็นไงบ้างครับที่คือเรื่องๆนึงที่เกิดจากการใช้เครื่องดักฟังในทางที่ผิดกันนะครับ มันจะส่งผลดีหรือผลเสียก็อยู่ที่วิธีการใช้งานแต่ละคนกันนะครับ

มาลองดูรีวิว เจ้าเครื่องนี้กัน