เรื่องเล่าจากทริปเหิงเตี้ยน-เซี่ยงไฮ้ 2018
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ได้ไปเยือนตงง้วน ณ เมืองเซี่ยงไฮ้และเหิงเตี้ยนกับเพื่อนๆผู้รักซีรีส์จีน วัตถุประสงค์ของทริปไม่มีอะไรมาก คือตามรอยซีรีส์ ได้ถ่ายรูปกับฉากต่างๆในซีรีส์ที่เราชื่นชอบและดาราที่เราชื่นชมแต่ขณะที่เที่ยวไป เราก็มองและคิดอะไรเรื่อยเปื่อย สนุกที่ได้เห็นอะไรมากกว่านั้นเลยขอมาเล่าเรื่องข้อสังเกตจากทริปเหิงเตี้ยน-เซี่ยงไฮ้ 2018 ในห้องนั่งเล่นของความคิดซักหน่อย
1) คนจีนอาจดูเหมือนทำอะไรตามใจฉันไม่มีระเบียบ แต่น่าอัศจรรย์มากที่ทุกอย่างอยู่ๆก็ flow ไปได้เองอย่างราบรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคล้ายว่าจริงๆแล้ว คนจีนดำเนินชีวิตโดยยึดมั่นในหลักการที่ว่า "ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองแล้วทุกอย่างจะดำเนินไปได้เอง"
ข้ามถนนไม่ต้องดูไฟแดงไฟเขียว คนข้ามมีหน้าที่ข้ามให้ดีๆ (ดูให้ดีว่ามีรถมามั้ย ถ้ามีก็อย่าเพิ่งข้าม) คนขับก็มีหน้าที่ขับให้ดีๆ (ดูว่ามีคนข้ามถนนมั้ยถ้ามีก็ชะลอหรือชะลอไม่ทันก็บีบแตรเตือนไป) แค่นี้ก็ข้ามถนนกันได้อย่างปลอดภัยโดยแทบไม่ต้องดูสัญญาณไฟเลย
ก่อนเดินทางมาเราเคยดูข่าวมีคลิปจากกล้องวงจรปิดถ่ายตอนเจ้าหน้าที่เทศกิจจีนไล่พ่อค้าแม่ค้าที่วางของขายบนทางเท้าไล่แล้วไม่ไปก็ทุบทำลายข้าวของเลยตอนหลังคลิปตัดภาพไปที่เทศกิจขับรถพุ่งชนแผงขายของพุ่งชนหมายถึงพุ่งชนจริงๆแบบไม่เบรกไม่ชะลอ แม่ค้าต้องรีบเก็บของหนีเองไม่หนีก็โดนชน ตอนนั้นเราคิดว่า โห เทศกิจโหดว่ะ ตอนนี้มาพิจารณาใหม่ ก็เป็นไปตามหลักการนี้นะ เทศกิจทำหน้าที่ของตัวเอง แม่ค้าก็ทำสิ่งที่ตัวเองควรทำแล้วผลลัพท์ก็เกิดขึ้นเองด้วยความเรียบร้อย
ตอนที่ไปเดินเล่นแถว เดอะ บันด์ ชมตึกรามแสงไฟริมแม่น้ำที่เซี่ยงไฮ้เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนคงเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ต้องล้างพื้นทางเดินริมแม่น้ำตามปกติแต่คนที่มานั่งชมวิวก็ยังมีอยู่มาก คุณลุงคนล้างพื้นตะโกนอะไรประโยคเดียวแล้วก็จัดการฉีดน้ำล้างพื้นและเก้าอี้แถวนั้นทันทีคนต้องรีบลุกหนีออกไปเพราะกลัวเปียก แต่ไม่มีใครบ่นอะไร นี่คุณลุงและคนชมวิวก็ทำตามหลักการนี้อีกแล้ว
2) แต่ถึงยังไงคนจีนก็เคารพกติกา เคารพสิทธิของตัวเองและสิทธิของคนอื่น อะไรที่ทำไม่ได้เค้าก็ยอมรับและไม่ทำ
จำไม่ได้ว่าตอนพวกเราซื้อตั๋วหรือซื้ออะไรซักอย่างกำลังเก้ๆกังๆเพราะไม่รู้ภาษา คนจีนข้างหลังก็เดินเข้าไปหาแม่ค้าเพื่อสั่งแม่ค้ากลับชี้มาที่พวกเรา บอกว่าพวกเรามาก่อน
ที่สนามบินผู่ทงเซี่ยงไฮ้ ตอนที่จะเช็คอินขึ้นเครื่องกลับบ้านพวกเราไปเข้าแถวเป็นกลุ่มแรกตั้งแต่เจ้าหน้าที่ยังไม่มาตั้งป้ายบอกว่าแถวไหนเป็นแถวไหนพอป้ายมา คนอื่นที่ต่อแถวหลังเราก็ขยับย้ายไปตั้งแถวใหม่ส่วนพวกเรายังยืนอยู่เพราะไม่อยากไปต่อท้ายแถวใหม่ซึ่งตอนนี้ยาวแล้วกลัวเสียสิทธิที่อุตส่าห์มาเป็นกรุ๊ปแรก พอเคาน์เตอร์เปิดสมาชิกในกรุ๊ปเราก็พุ่งตัวไปทันทีเจ้าหน้าที่ที่คงไม่เห็นว่าเราเข้าแถวอยู่อีกด้านก็ไล่พวกเราไปต่อแถว ห้ามแซงจนต้องบอกว่าพวกเรามาก่อนนะ เจ้าหน้าที่จึงยอมเช็คอินให้ สองปีก่อนที่สนามบินดอนเมืองเราก็เคยโดนนักท่องเที่ยวจีนไล่ไปเข้าแถวเหมือนกันตอนนั้นเราจะเข้าไปเคาน์เตอร์เช็คอินแต่ต้องเดินผ่านบริเวณเครื่องสแกนสัมภาระที่จะโหลดใต้ท้องเครื่องบังเอิญเราไม่มีสัมภาระโหลด จึงเดินเข้าไปเลย ป้าคนจีนที่กำลังต่อแถวยาวเหยียดรอสแกนกระเป๋านึกว่าเราจะแซงก็เลยตะโกนเสียงดังให้เราไปต่อแถว แต่เพราะเราไม่ได้เดินแซงเพื่อจะมาสแกนกระเป๋าป้าเลยไม่ได้พูดอะไรอีก
อดจินตนาการต่อถึงเหตุการณ์ของลุงล้างพื้นไม่ได้ว่า ถ้าเป็นบ้านเราลุงล้างพื้นคงโดนถ่ายคลิปด่าว่อนโซเชียลแล้ว
3) คนจีนมีความฮาร์ดเซลล์ เค้ามีเทคนิคและวาทะศิลป์ชนิดที่ทำให้เราถึงไม่อยากซื้อก็ต้องสนใจขึ้นมาซักนิดหนึ่งจนได้
เริ่มจากการเข้าapproach เป้าหมาย อาจจะด้วยการเดินเข้าหาประชิดตัวแจกโบรชัวร์แบบแรงๆให้กระดาษมีเสียงพึ่บพั่บ พูดอธิบายนำเสนอมันทุกอย่างและการเล่า story ของสินค้า
เราชอบเทคนิคการเล่าstory เป็นพิเศษ เพราะมันช่วยสร้างความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือและเห็นคนจีนใช้เทคนิคนี้กันมาก ตั้งแต่
จุดอ่อนอย่างเดียวในปัจจุบัน น่าจะเป็นเรื่องภาษาเห็นเราหน้าจีนก็พูดภาษาจีนใส่ แต่พอเราทำหน้าใส พูดคนละภาษา เค้าก็เลยต้องถอย(คนขายผลไม้หลังจากฮาร์ดเซลล์ใส่ ก็พึมพำว่า 大概不是中国人 = สงสัยไม่ใช่คนจีน) แต่ทันทีที่ไม่มีอุปสรรคเรื่องภาษา(เช่น พนักงาน Starbucks ที่พูดอังกฤษเป็น) ก็สามารถฮาร์ดเซลล์ต่อไปได้
คนไทยเสียเปรียบเรื่องการขายเพราะเป็นคนขี้เกรงใจ และถ้าขี้อายด้วยก็ยิ่งลำบากเลยจริงๆแล้วความสามารถในการขายเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นเซลล์แต่ทำงานอะไรก็ต้องใช้ความสามารถในการขาย ทำยังไงให้ลูกค้าชอบ presentation ของเราทำยังไงให้หัวหน้าเห็นผลงานของเรา (ไม่ใช่ทำงานแทบตายแต่ลูกรักได้หน้า/คาบงานเราไปเสนอหน้าเสียเอง) ทำยังไงให้คนเชื่อคำพูดของเรานี่ก็อาศัยการขายทั้งสิ้น
4) คนจีนเดี๋ยวนี้กล้าใช้จ่าย คนจีนสมัยก่อนคงจะเป็นคนประหยัดอดออมดูจากที่พ่อแม่ปลูกฝังเรา ซึ่งพ่อแม่ก็ถูกปลูกฝังมาจากอากงอาม่าอีกที
แต่คนจีนเดี๋ยวนี้คงไม่ใช่
เราไปเที่ยวมาดามทุสโซ เซี่ยงไฮ้ซึ่งเราคิดเอาไว้ว่าสถานที่นี้คงไม่ใช่ที่ที่คนจีนจะมาเดินเที่ยวเล่นประมาณว่าคนไทยก็ไม่เข้ามาดามทุสโซที่สยามพารากอน แต่ผิดคาดคนจีนมาเที่ยวมาดามทุสโซเยอะมาก และเข้ามาตลอดเวลา ยิ่งสายยิ่งเยอะ
ที่อึ้งกว่านั้นคือธุรกิจขายรูปถ่ายในมาดามทุสโซเฟื่องฟูมากขายดีมากคือมันจะมีหุ่นขี้ผึ้งดาราดังที่เค้ากั้นไม่ให้นักท่องเที่ยวไปยืนเซลฟี่กับหุ่นถ้าอยากมีรูปคู่ ต้องให้พนักงานถ่ายให้แล้วไปซื้อรูป เราก็คิดตามสไตล์เราว่าใครจะซื้อวะ คงต้องคนที่ชอบมากจริงๆซึ่งคงมีน้อย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่!! ขณะที่เรากำลังเซลฟี่ฟรี (ต้องยืนอยู่นอกรั้วกั้นแล้วเซลฟี่กับหุ่นอยู่ไกลๆ) ระหว่างนั้นมีคนจีนเข้าไปถ่ายรูปแบบเสียตังค์เกือบจะตลอดเวลาและเคาน์เตอร์รับรูปถ่ายไม่เคยว่างเลย
ใครๆบอกว่าเมืองจีนเปลี่ยนไปแล้วก็น่าจะจริง ที่จีนเป็นประเทศที่เดี๋ยวนี้โลกต้องให้ความสำคัญ เราว่านอกจากจำนวนประชากรมหาศาลคนของเค้าก็มีความแข็งแกร่ง บ้านเมืองห้องน้ำอะไรก็พัฒนาทันสมัยและสะอาดขึ้นเยอะแล้ว (มีระบบชักโครกอัตโนมัติในห้องน้ำสาธารณะบางที่ เช่น จุดพักรถสถานที่ท่องเที่ยว) อินเตอร์เน็ตเข้าถึงทุกพื้นที่ (คนไทยในจีนบอกมา) อ่านข่าวเห็นว่าเอาระบบคะแนนมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีของประชากรด้วย
เค้าไม่ใช่ประเทศที่เราจะไปดูถูกว่าเจ๊กยังงั้นยังงี้อีกแล้วในขณะที่ตรงนี้ต่างหากที่ไม่มีระเบียบ"ทำอะไรตามใจคือไทยแท้" คำกล่าวนี้ว่าไว้กี่ปีก็ยังเป็นสัจนิรันดร์ เสียงเพลงในฝนพรำ
เมื่อก้าวพ้นประตูตึก ฉันจึงรู้ว่าฝนกำลังตก มันโปรยปรายลงมาเป็นสายบางเบา เหมือนมู่ลี่สีขาวกั้นระหว่างสายตากับสิ่งรอบตัว ฉันจงใจไม่หยิบร่มในกระเป๋าออกมากาง แต่ตั้งใจยืนหลบฝนใต้ชายคาตึกอยู่อย่างนั้น ชื่นชมสายฝนและรับไอกลิ่นอันชุ่มฉ่ำ ...ฉันชอบสายฝน... ทำไมถึงชอบนะ? ...ไม่รู้ซี... ไอโฟนเริ่มเล่นเพลงถัดไป ส่งเสียงผ่านเข้ามาในหูฟัง ...ใต้ร่มคันเดียวกันวันฝนพรำ ฉันยังคงจดจำยังตรึงอยู่ในหัวใจ... เพลง rain ของบัวชมพู ฟอร์ด ฉันยังจำได้ ตอนเพลงนี้ดัง ฉันกำลังแอบชอบคนคนหนึ่ง แม้จะรู้จักกันแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้คุย เพราะฉันไม่รู้จะคุยอะไร ที่สำคัญ.. ฉันไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำ ครั้งแรกที่ได้คุยกัน วันนั้นเป็นวันฝนตก มันโปรยปรายลงมาเป็นสายบางเบา เหมือนมู่ลี่สีขาวกั้นระหว่างสายตากับสิ่งรอบตัว ฉันยืนอยู่ใต้ชายคาตึก นึกหงุดหงิดใส่ฝนที่ดันตกลงมาตอนกำลังจะกลับบ้าน แล้วเขาก็เดินผ่านมา "ติดฝนเหรอ" เขาหยุดทักพลางยิ้มให้ "...อือ..." ฉันจงใจไม่หยิบร่มในกระเป๋าออกมากาง "กำลังจะกลับบ้านเหรอ" เขาชวนคุย "...อือ..." ฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น รู้สึกว่าปากสั่นตอนที่กลั้นใจถามกลับไป "...แล้วพี่อินล่ะ ยังไม่กลับเหรอ" เราคุยอะไรกันต่อสักพักที่ฉันก็จำไม่ได้แล้ว ก่อนเขาจะโบกมือให้ "ไปก่อนนะ บ๊ายบาย" ฉันมองเขาวิ่งฝ่าฝนไปที่สนามบอล เพลง rain ของบัวชมพู ฟอร์ด ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ...ไม่กี่นาทีที่เธออยู่เคียงข้างกาย ทั้งดวงใจที่มีมันชื่นฉ่ำไปหมดทั้งใจ... ฝนที่ตกหนักขึ้นทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ ถ้าไม่รีบกลับบ้านตอนนี้ กลัวฝนจะตกหนักขึ้นอีก ตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ... นึกแล้วก็อมยิ้มกับตัวเอง เพลงในหูฟังยังเล่นอย่างต่อเนื่อง ...rain's falling in my heart ฉันยังคงจดจำแม้จะนานเพียงใด จะไม่ลืมวันที่ฝนเป็นใจ ให้เราได้อยู่ใกล้กัน... ฉันหยิบร่มในกระเป๋าออกมากางพลางก้าวฝ่าสายฝนออกไป ...ฉันชอบสายฝน... ทำไมถึงชอบนะ? ...ไม่รู้ซี... Nostalgia ทวนฝันวันเยาว์
ไม่แน่ใจว่าเพราะกระแสย้อนอดีตของธุรกิจต่างๆ หรือเพราะวัยที่เพิ่มขึ้น ทำให้พักหลังมานี้รู้สึก Nostalgia อย่างสม่ำเสมอ นั่งหาเพลงเก่าๆฟัง แปะบนพื้นที่เก่าๆที่เคยนั่งเล่น ย้อนอดีตไปยิ้มไป :)
ในบันทึกนี้ ไม่มีใคร
..แล้วน้ำตาก็ไหลอย่างที่คิดไว้จริงๆ..
มันเริ่มเอ่อจนล้นออกมาจากหางตาข้างขวา ถึงใบหู หยดที่สองก็ตามมาบ้าง จากนั้นข้างซ้ายจึงเริ่มมีหยดน้ำไหล พวกมันพากันรินออกมาช้าๆ แล้วก็เร็วขึ้นจนกลายเป็นสาย ฉันเพ่งสมาธิอยู่ที่ความเคลื่อนไหวของน้ำตา เผื่อว่าจะทำให้ฉันลืมและหลับลงเสียได้ แต่ก็ไร้ผล ประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ยังดังก้อง แล้วความรู้สึกข้างในก็ระเบิดออกมาเป็นเสียงสะอื้น "บางทีคนเราคงจะไม่สามารถลืมรักแรกได้" เขาบอกฉันผ่านทางโทรศัพท์ เป็นประโยคทิ้งท้ายราวกับจะให้มันเป็นเหตุผลของการบอกลา ฉันฝืนยิ้มให้แม้ว่าเขาจะไม่เห็น หวังว่าจะทำให้น้ำเสียงของฉันฟังดูเข้มแข็ง "ไม่เป็นไร" หลังวางสาย ฉันรีบเข้านอนแต่หัวค่ำ ฉันจะไม่ร้องไห้ แต่แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมคนเราจึงลืมรักแรกไม่ได้ ช่างน่าอิจฉาคนที่เป็นรักแรกเสียจริง เมื่อหวนคิดดู ฉันไม่เคยเป็นรักแรกของใครเลย ถ้าอย่างนั้น.. จะยังมีใครคิดถึงฉันบ้างไหม เสียงเพลงจากที่ไหนสักแห่งดังลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เพลงที่ฉันชอบ เพลงที่เขาเคยเปิดให้ฉันฟัง น่าแปลกที่"เขา"ที่นึกถึงไม่ใช่คนที่เพิ่งทำให้ฉันร้องไห้ แต่เป็นเขาอีกคนหนึ่งที่จากกันไปตั้งนานมาแล้ว ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมคนเราจึงลืมรักแรกไม่ได้ ช่างน่าอิจฉาคนที่เป็นรักแรกเสียจริง เมื่อหวนคิดดู ฉันไม่เคยเป็นรักแรกของใครเลย ถ้าอย่างนั้น.. คงไม่มีใครคิดถึงฉันแล้วสินะ ปลาวาฬสีน้ำเงิน ที่ว่ายผ่าน หัวลำโพง - มธ.ศูนย์รังสิต
หลังออกจากห้องสอบ แม้หัวสมองยังมึนๆเบลอๆ แต่ก็รีบจ้ำมาคืนหนังสือที่ห้องสมุด คิดในใจว่า เสร็จแล้วจะได้กลับบ้านเร็วๆ
วันนี้ มหาวิทยาลัยค่อนข้างเงียบ เป็นสิทธิพิเศษหรือเวรกรรมของเด็กคณะนี้ก็ไม่รู้ ที่ต้องมาสอบในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันครอบครัว ขณะกำลังข้ามถนนไปห้องสมุด ก็ได้ยินเสียง ฟืด.. ดังกังวานไปทั่วบริเวณ นั่นมันเสียง ปลาวาฬ ในภาพยนตร์สารคดีชัดๆ หันไปมองยังต้นเสียง ที่แท้ เป็นรถปอ.สาย 29 สีน้ำเงิน ที่เบรกครั้งนึง ก็จะได้ยินเสียง ฟืด.. ดังก้อง ทีหนึ่ง คล้าย ปลาวาฬสีน้ำเงินกำลังส่งเสียง ..ขอให้คนบนรถคันนั้น เดินทางถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ.. รถเมล์ไทย ที่ดีๆก็มีไม่น้อย แต่บ่อยครั้งน่ากลัวทั้งรถทั้งคนขับ (บางครั้งกระเป๋ารถเมล์ ลูกคู่ของคนขับ ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน) ตัวอย่างที่เคยเจอ ก็เช่น ตอนอยู่มัธยม นั่งรถเมล์ธรรมดา กลับบ้าน รถเมล์คันนั้นพยายามช่วยลดอุบัติเหตุด้วยการเปิดประตูให้คนขึ้นลงเฉพาะที่ป้ายเท่านั้น ..เราก็นั่งสังเกตแล้วก็ชื่นชมคนขับในใจ ซักพัก ขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่ ประตูบานนั้นมันก็ส่งเสียงดังครึ่ก แล้วก็ล้มเข้ามาในตัวรถทั้งบาน!! โชคดีไม่มีคนยืนอยู่ในรัศมี รถเมล์ต้องจอดข้างทาง ให้ผู้โดยสารต่อรถคันอื่น บนรถปอ.สาย 29 ผู้โดยสารคนหนึ่ง ท่าทางเป็นคนแขกต่างชาติ ไม่ค่อยรู้ทาง สื่อสารกับกระเป๋ารถเมล์ไม่เข้าใจว่าต้องลงป้ายไหน จึงลังเลๆอยู่นาน สุดท้ายก็ลงที่ป้ายป้ายหนึ่งเพราะกระเป๋ารถเมล์ตะคอกว่า จะลงไม่ลง แถมด้วยเสียงคนขับด่าว่า ซื่อบื้อ รถเมล์ซิ่ง รถเมล์ขับจี้ก้นรถคันหน้า รถเมล์ควันดำ ฯลฯ คงได้แต่ระมัดระวังตัวให้มากๆ สำหรับทุกท่านที่ต้องโดยสารปลาวาฬเหล่านี้ |
เซียงยี้
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
|
|||||||||||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |