กรกฏาคม 2558

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
26 กรกฏาคม 2558
ข้าว
//manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000083976

เอเจนซีส์ /ASTVผู้จัดการออนไลน์ – แอนดี เมฮาร์ก (Andy Meharg) ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษด้านวิทยาศาสตร์การเกษตรและดินประจำสถาบันเพื่อความมั่นคงอาหารของโลก (Institute for Global Food Security)ในมหาวิทยาลัยควีนส์ออฟเบลฟาสต์ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ของอังกฤษ ประกาศการค้นพบล่าสุดที่น่าทึ่งว่า ถึงแม้ “ข้าว” ที่เป็นอาหารหลักของคนกว่าครึ่งโลกนั้นจะมีสารหนูอนินทรีย์ (arsenic)ที่เป็นพิษสะสมในระดับสูง โดยสารนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เนื่องมาจากสภาพของต้นกล้าที่ต้องการอยู่ในที่ลุ่มน้ำ แต่ทว่างานวิจัยของเมฮาร์กที่เป็นการค้นพบครั้งแรกในโลกระบุว่า สามารถแก้ไขได้ง่ายด้วยวิธีการหุงข้าวในเครื่องต้มกาแฟสามารถกำจัดสารหนูให้หมดไปได้ถึง 85% หลังก่อนหน้านี้ในปี 2008 นักวิจัยคนเดียวกันนี้พบว่า “ข้าวกล้องมีปริมาณสารหนูอนินทรีย์สะสมมากกว่าเมื่อเทียบกับข้าวขาวขัดสี”

       หนังสือพิมพ์เทเลกราฟ สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(23)ว่า แอนดี เมฮาร์ก (Andy Meharg) ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษด้านวิทยาศาสตร์การเกษตรและดินประจำสถาบันเพื่อความมั่นคงอาหารของโลก (Institute for Global Food Security)ในมหาวิทยาลัยควีนส์ออฟเบลฟาสต์ อังกฤษ ประกาศความสำเร็จครั้งแรกในโลกถึงวิธีการทำให้สารหนูอนินทรีย์ (arsenic) ที่เป็นสารพิษตามธรรมชาติสะสมอยู่ในข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนเกือบทั้งโลก รวมถึง ชาวไทย ให้หมดไปได้สำเร็จ

       ทั้งนี้สื่ออังกฤษชี้ว่า สารหนูนี้เกิดจากลักษณะของการเพาะปลูก ซึ่งข้าวเป็นพืชที่ต้องปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมถึง และยังพบว่าสารหนูตกค้างในข้าวนี้เป็นสาเหตุอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แต่ทว่าการหุงข้าวในเครื่องต้มกาแฟแบบตั้งเตาไฟจะสามารถช่วยกำจัดสารพิษที่ทำให้ก่อมะเร็งได้สำเร็จถึง 85%

       เทเลกราฟอธิบายเพิ่มเติมต่อว่า “ข้าว” เป็นพืชเพียงชนิดเดียวที่ต้องเติบโตในสภาพน้ำที่ท่วมถึงในทุ่งนา และสภาพนี้ทำให้เกิดการปล่อยสารหนูที่เป็นสารอนินทรีย์ตามธรรมชาติออกมา และส่วนมากจะตกค้างอยู่ในแร่ธาตุดินในพื้นที่ ซึ่งต่อมาจะถูกดูดซึมโดยต้นกล้าที่ชาวนาทำการเพาะปลูก

       และการสะสมสารหนูในระดับสูงนั้นเป็นปัจจัยทำให้เกิดปัญหาสุขภาพด้านต่างๆตามมา

       เมฮาร์กนักวิจัยผู้ค้นพบให้ความเห็นว่า งานวิจัยครั้งนี้ถือว่าเป็นก้าวแรกของโลกในการค้นพบวิธีการป้องกันโรคมะเร็งที่เกิดจากสารหนูสะสมในระดับสูงในข้าวด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลมากที่สุด

       “ในงานวิจัยชิ้นนี้ ทางเราได้คิดค้นวิธีการหุงข้าวเพื่อที่จะกำจัดสารหนูอนินทรีย์ออกไป โดยทางคณะผู้วิจัยค้นพบว่า การใช้เทคโนโลยีกระบวนการกลั่นกาแฟด้วยการใช้เครื่องต้มกาแฟแบบตั้งเตาไฟที่พบเห็นได้ทั่วไปตามบ้านเรือนมากำจัดสารหนูที่สะสมในข้าวได้รับผลดี เพราะภายในหม้อต้มกาแฟประเภทนี้จะช่วยทำให้น้ำเดือดยังคงไหลผ่านไปยังข้าวในลักษณะที่ไหลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทางคณะผู้วิจัยพบว่า “เทคโนโลยีการกลั่นประเภทนี้จะสามารถลดระดับสารหนูสะสมตกค้างภายในเมล็ดข้าวได้มากที่สุด” เมฮาร์กกล่าว

       นักวิจัยชาวอังกฤษยังระบุเพิ่มเติมว่า คนที่ต้องรับประทานข้าวเป็นอาหารหลักและได้รับสารหนูตกค้างเป็นเวลานาน เสี่ยงที่สุดในการเกิดโรคด้านต่างๆที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคระบบประสาทถูกทำลาย แต่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดในการได้รับสารหนูอนินทรีย์ในข้าวติดต่อเป็นเวลานานคือ “โรคมะเร็งปอดและโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ”

       สื่ออังกฤษยังระบุว่า นอกจากนี้องค์การความปลอดภัยของอาหารแห่งยุโรป ( European Food Safety Authority : EFSA) พบว่า “ข้าว” ยังเป็นอาหารที่มีระดับสารหนูสะสมมากเป็น 10 เท่าเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่น ดังนั้นเทเลกราฟจึงสรุปว่า ถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงสำหรับประชาชนในชาติที่ถือเป็นอาหารหลัก ซึ่งพบในหลายภูมิภาคของโลกที่กำลังพัฒนา เพราะมีความความเสี่ยงสูงเนื่องมาจากต้องบริโภคทุกวัน

       ทั้งนี้ สถาบันวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยควีนส์ออฟเบลฟาสต์กำลังอยู่ในช่วงระหว่างการขอจดลิขสิทธิ์สำหรับการคิดค้นหม้อหุงข้าวแบบใช้เทคโนโลยีแบบการกลั่นกาแฟ และในไม่ช้าผู้บริโภคข้าวเป็นหลักจะสามารถหาซื้อเทคโนโลยีไว้ประจำครัวเรือนได้ในไม่ช้า

       อย่างไรก็ตาม สารหนูในข้าวซึ่งเป็น agent ทำให้เกิดโรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องใหม่ จากบทความทางวิชาการของดร. นุชนาถ รังคดิลก และ รองศาสตราจารย์ ดร. จุฑามาศ สัตยวิวัฒน์จากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และ สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ว่าด้วย “ปริมาณของสารหนูในข้าว” ที่ถูกตีพิมพ์ 3 ปีก่อนหน้านี้บนเว็บไซต์ศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมพิษวิทยาและจัดการสารเคมี (อพม) ยืนยันความเกี่ยวข้องระหว่างสารหนูอนินทรีย์และการเกิดโรคมะเร็งเนื่องมาจากการรับประทานข้าว

       โดยชี้จากรายงานการวิจัยของเอ เอช สมิธ (A. H. Smith) และคณะ ในปี 1992 ภายใต้หัวข้อการวิจัย “ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งจากสารหนูในน้ำดื่ม” หรือ Cancer risks from arsenic in drinking water ระบุว่า สารหนูอนินทรีย์ซึ่งถือเป็นสารหนูที่เป็นพิษมากกว่าสารหนูประเภทอื่นทั้งหมด และยังสามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้จริง ทั้งนี้ในการวิจัยของสมิธพบว่า ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งนั้นครอบคลุมไปถึง โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งที่ไต และโรคกระเพาะปัสสาวะ

       นอกจากนี้ในบทความชิ้นนี้ของสองนักวิจัยชาวไทยยังระบุว่า จากงานวิจัยในหัวข้อ “สารหนูในน้ำดื่มและความเสี่ยงของโรคมะเร็งทางเดินปัสสาวะ” (Arsenic in drinking water and risk of urinary tract cancer ) ของ Chen et al ในไต้หวัน ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ต่อเนื่อง พบว่า “การได้รับสารหนู ถึงแม้ว่าจะเป็นปริมาณน้อย แต่ได้รับเป็นระยะเวลานานตั้งแต่เกิดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น”

       และที่น่าสนใจมากกว่านี้ ในบทความของนักวิจัยชาวไทยระบุเพิ่มเติมว่า ในงานวิจัยของเมฮาร์กและคณะในปี 2008ภายใต้หัวข้อการวิจัย “Speciation and localization of arsenic in white and brown grains” พบว่า จากการศึกษาปริมาณสารหนูในข้าวขาว (39 ตัวอย่าง) และข้าวกล้อง (45 ตัวอย่าง) ที่เก็บมาจากหลายที่ทั้งซุปเปอร์มาเกต แปลงทดลองนาข้าวของเมฮาร์ก ค้นพบว่า “ข้าวกล้องมีปริมาณสารหนูอนินทรีย์สูงกว่าข้าวขาว”

       และในการศึกษาในปีถัดมา(2009) ของเมฮาร์กจากการสุ่มตัวอย่างหาสารหนูอนินทรีย์ในผลิตภัณฑ์ข้าวขาวขัดสีจาก 10 ประเทศ (4 ทวีป) รวมทั้งข้าวจากประเทศไทยด้วย พบว่า ตัวอย่างข้าวจากประเทศอียิปต์และอินเดียมีปริมาณเฉลี่ยของสารหนูทั้งหมดต่ำที่สุด (0.04 และ 0.07 mg/kg ตามลำดับ) และข้าวจากประเทศอเมริกาและฝรั่งเศสมีปริมาณสารหนูทั้งหมดสูงที่สุด (0.25 และ 0.28 mg/kg ตามลำดับ) ส่วนข้าวขาวจากประเทศไทย (54 ตัวอย่าง) มีปริมาณสารหนูทั้งหมด 0.14 mg/kg (0.01-0.39 mg/kg)

       และนอกจากนี้ บทความของของดร. นุชนาถ รังคดิลก และ รองศาสตราจารย์ ดร. จุฑามาศ สัตยวิวัฒน์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในจีน ประเทศที่ถือว่า ข้าวเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับไทย พบว่าชาวจีนได้รับสารหนูอนินทรีย์เฉลี่ยถึงวันละ42 μg และข้าวเป็นต้นเหตุสำคัญในการสะสมสารหนูถึง 60% ของชาวจีนซึ่งก่อให้เกิดมะเร็ง โดยการอ้างอิงมาจากการวิจัยของLi และคณะในปี 2001



Create Date : 26 กรกฎาคม 2558
Last Update : 26 กรกฎาคม 2558 11:10:15 น.
Counter : 992 Pageviews.

1 comments
  
สวัสดีนะจ้ะ เราแวะมาเยี่ยมนะจ้ะ ^____^ สักคิ้ว 6 มิติ ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้วลายเส้น เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: peepoobakub วันที่: 14 มีนาคม 2560 เวลา:12:14:07 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

siamha
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]