วัยรุ่น ปริญญา ดอกชบา คนตาบอด
ชีวิตของผม ทำงานกับ "วัยรุ่น" มาชั่วชีวิตเมื่อยี่สิบปีก่อน ผมก็เคยเป็น "วัยรุ่น" มิได้เกิดมาแล้วมีอาวุโสเลยดังเช่นวันนี้นั่นหมายถึง ผมเคยเป็นเด็กมาก่อน ผ่านพ้นวัยรุ่น เริ่มเข้าทำงานและ อาวุโสขึ้นตามลำดับด้วยเกิดเป็น "คน" จึงมีเรื่องที่ต้อง "คน" จำนวนมากผ่านการ "ถูกเคี่ยวเข็น" มาหลายเรื่อง ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างเหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง โกรธบ้าง รักบ้าง อกหักบ้าง หักอกเขาบ้างเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น .....สิ่งที่เคยทำผิดพลาดในชีวิต คิดย้อนไป แลจำได้ว่ามีอยู่ไม่น้อยโชคดีที่ทุกวันนี้มีโอกาสดี ที่สามารถได้ทำงานที่ตัวเองรักงานที่มีความพิเศษ คือสามารถพูด "ตรง" ได้เท่าที่อยากพูดพูดแต่เรื่องจริงได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลใจนักว่า ผู้รับฟังจะชอบหรือไม่เพราะมหาวิทยาลัย จ้างมาให้ "สอน" เรื่องจริง มิเช่นนั้น เขาไม่จ้างทุกวันได้ทำบุญ โดยสร้าง "คน" โดยการ "เคี่ยวคน" ให้เป็น "คนเคี่ยว" สู้ชีวิตต่อไปได้ เมื่อผ่านพ้นอ้อมกอดของมหาวิทยาลัยแต่ผมก็ยังแปลกใจทุกครั้ง ที่ศิษย์ซึ่งผ่านการ "เคี่ยวเข็นเย็นค่ำ"ที่เคยบ่นว่า "เหนื่อย ..… ท้อ" บางคน …..โกรธเมื่อถูกตำหนิ และไม่ได้ "คะแนน" ดังที่ตนเองคาดหวังตั้งใจเหล่านั้นแวะเวียนกลับมาทักทาย และ เอ่ยปากว่า "อยากกลับมาเรียนกับผมอีก"โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นการฝึกงาน เพราะเขารู้แล้วว่า "เรื่องของคน" ฝ่าฟันยากกว่าเรื่องของ "งาน"แต่หากไม่ "สามารถอาจหาญในงาน" ก็จะไม่ก้าวผ่าน "คน" วันนี้ ผมยังคงได้ความรู้ใหม่จากการไปสัมมนานอกมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ก้าวไปไม่หยุดนิ่ง ส่งผลให้ครูต้องก้าวตามศิษย์จะเก่งไม่ได้ ถ้าครูของเขาไม่เก่ง ศิษย์จะเก่งได้ ต้องมีครูดี แต่ครูที่ดี มิอาจเอ่ยอ้างส่วนธุลีใดในความสำเร็จของศิษย์ว่าส่วนหนึ่งมาจากครู ….. และปริญญานั้น ได้มาจากความสามารถของศิษย์เองครู …. มักแอบมองความสำเร็จของศิษย์ ด้วยความชื่นชมซึ่งวันพระราชทานปริญญาบัตรในปีนี้ จะเป็นวันหนึ่งที่ครูหลายคนรวมทั้งผม เฝ้ารอด้วยความสุข ไม่แตกต่างจากศิษย์และก็เข้าใจเสมอว่า … เมื่อศิษย์ประสบความสำเร็จครู …จะไม่ใช่คนแรกที่ศิษย์คิดถึงซึ่งเป็นเช่นนี้มานาน ไม่ว่าเรือจ้างลำนี้ จะพายย้อนกลับไปรับ "ศิษย์"กลับไปส่งยังฝั่งนั้น ….อีกกี่รอบก็ตามความสุขของครูหลายคน มีเพียงแค่เห็นศิษย์ของตน "สู้กับปัญหา"เพราะคนที่มอง "ปัญหา" เป็น "ปัญหา" แต่ไม่ได้มองโอกาส ในปัญหานั้นจะไม่มีวัน ผ่านพ้นปัญหานั้นไปได้ ไม่ว่าจะมีวัยวุฒิสูงขึ้นเพียงใดในความเป็นจริง ผมก็มีครูเป็นผู้ที่อ่อนวัยกว่า จำนวนไม่น้อยวันนี้ ผมได้ไปเต้นแอโรบิคที่ศูนย์สุขภาพตามตารางการออกกำลังกายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าครั้งที่ผมมาเต้นใหม่ ๆ ผมก็เต้นไม่ทัน ตามท่าต่าง ๆ ที่ trainer สั่งผมทำได้แค่ยืนดูคนอื่น ๆ เต้น และแปลกใจว่าทำไมเขาเต้นทัน และหลายคนที่เป็น "มือใหม่" เหมือนกับผม ก็เดินออกจากห้องไปทีละคน ...... ทีละสองคนหากวันนั้น ผมเดินตามเขาไป แล้วไม่กลับมาเต้นอีก ในวันรุ่งขึ้น " ผมก็จะเต้นไม่ทัน อยู่เช่นเดิม "ผมไม่ได้อายุ 20 เหมือนลูกศิษย์ ที่จะเคลื่อนไหวร่างกายได้เร็วนักและก็คงเหนื่อยเร็วกว่า ด้วยวัยที่ล่วงเลยมากกว่าพวกเขาเกือบสองเท่าแต่ผมมองในทางดี ว่าวันนี้ไม่ทัน พรุ่งนี้ก็ต้องดีขึ้น …. พรุ่งนี้ต้องทันวันนี้ไม่ไหว พรุ่งนี้ต้องไหว เต้นไม่ไหวก็หยุด หยุดยืนดูคนอื่นเต้นต่อไปด้วยความชื่นชมและ "จดจำ" ท่าเต้น ของคนที่เต้นดีไว้ วันพรุ่งนี้ เราจะเต้นดีกว่าเดิมผู้ที่อ่อนวัย ซึ่งเต้นได้อย่างคล่องแคล่วเหล่านั้น เป็นครูของผมเช่นกันสิ้นสุดวันนี้แล้ว ผมนึกถึงเพลงของวง "เฉลียง" เพลงหนึ่ง"ศิษย์" ของผมหลายคน อาจไม่เคยฟังบทเพลงของวงดนตรีวงนี้และอาจไม่เข้าถึงถ้อยคำ อันเปี่ยมไปด้วยสัมผัสที่คมคายเหล่านี้ได้ลึกซึ้งนักแต่จากเนื้อเพลงที่ปรากฎนี้ คงสรุปให้เห็นชีวิตที่ต้องก้าวต่อไปได้ดี" ต้นชบาและคนตาบอด " คือชื่อของเพลงนี้…..ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ จับดวงใจแม้ใครบังเอิญได้เดินมองมาอาจจะพบเห็น เห็นด้วยตา ต้นชบาขึ้นในโรงเรียนสอนคนตาบอดไม่อาจชมดอกชบา ด้วยดวงตาสองตามีกรรมโลกจึงมืดมนไม่อาจพบเห็นเหมือนบางคน ว่าดอกผลนั้นมีสีสันรูปทรงอย่างไรบอดก็เพียงสายตาเท่านั้น แต่จิตใจก็ยังผูกพันความงาม อาจจะรับรู้ไปตาม สูดกลิ่นงามฟังเสียงวิไลร่มไม้บังเงาต่างก็เพียงผู้จะชม สิ่งจะชมสำคัญมันนั้นคืออันใด" เหตุกับผลนั้นหรือว่าใจ ต้นชบาก็มีความหมายไปตามคนมอง "สิ่งจะงามอยู่กับใจ บอดที่ใจ เห็นไปอย่างไรไม่มีวันงาม" โลกจะสวยนั้นสวยไปตามจิตที่งาม มองโลกสดใสไปในทางดี "..…..
วันเพ็ญเดือนสิบสองปีหน้า ฤาจะแตกต่างต่างไป
“ .... วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง ... ”ท่อนหนึ่งของเนื้อร้อง ที่ได้ยินกันปีละครั้ง ดังก้องกังวานมาตั้งแต่บ่ายของวันนี้แน่นอนว่า คนไทยทุกคนควรจะทราบ ว่าวันนี้ เป็นวันลอยกระทง แต่น้อยคนเท่านั้นจะทราบว่า ในความเป็นจริงแล้ว ประเพณี ลอยกระทง ที่ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 นี้ นั้นเป็นประเพณีที่เก่าแก่และมีความสำคัญมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัยเป็น ราชธานี จากหลักฐานในพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชพิธี 12 เดือน เราเรียกการลอยกระทงในสมัยสุโขทัยว่า การลอยพระประทีป หรือลอยโคม ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า การลอยพระประทีปกระทงนี้เป็นงานนักขัตฤกษ์ของประชาชนคนไทยทั่วไป ไม่เฉพาะเป็นแค่งานของทางราชการหรืองานพระราชพิธีเท่านั้น เพราะไม่ได้มีพิธีสงฆ์หรือพิธีพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จากนั้นมี เรื่องเล่าต่อถึงประเพณีลอยกระทงที่ได้กล่าวไว้ในฤดูสิบสองเดือน ถึงเรื่องนางนพมาศ ซึ่งมียศเป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นสนมเอกของพระร่วงพระเจ้าแผ่นดินสยาม (กรุงสุโขทัย) ว่าเมื่อเวลาเสด็จลงประพาสลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน พระอัครมเหสีและพระสนมฝ่ายในตามเสด็จด้วยในเรือพระที่นั่ง นางนพมาศจึงได้คิดประดิษฐ์กระทงถวายพระร่วง เป็นรูปดอกบัวและรูปต่างๆ ให้ทรงลอยตามสายน้ำไหลแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือการลอยโคมในสมัยของนางนพมาศ ยังเป็นการกระทำเพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำ “นัมมทานที” ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า "แม่น้ำเนรพุทธา"ประเพณีลอยกระทงที่สืบทอดต่อกันมา มีความเชื่อหลายประการ อาทิ เป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬา ฯบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ การบูชารอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที หรือเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคาที่ใช้น้ำในการอุปโภค บริโภค รวมถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลองอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการลอยเพื่อส่งของแก่ญาติที่อยู่ห่างไกล การระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว การลอยเคราะห์หรือสะเดาะเคราะห์ และการอธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนา ผมเชื่อมั่นว่า น้อยคนนัก ที่จะออกไปลอยกระทงในวันนี้ และมี “ ความรู้ ” เรื่องนี้ ออกไปกับจิตที่ติดในกายหลายคนมองวันนี้ เป็นเพียงวันพิเศษวันหนึ่ง ที่จะได้มีโอกาส ออกไปท่องเที่ยวในยามค่ำคืนและมีโอกาส ที่จะได้ไปกับ “ ใครสักคน ” คนที่ใช่ .......คนนั้นการลอยกระทงครั้งล่าสุดของผม เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๒ครั้งนั้น มีโอกาสได้ไปลอยกระทงกับผู้ที่จะเป็นภรรยา ที่สระน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแหล่งศึกษาของเรา .... ถึงแม้ว่า สระน้ำของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะไม่ใหญ่มากมายนักเมื่อคะเนนับจำนวนนิสิตที่อยู่รายรอบสระ ยิ่งทำให้สระ ดูเล็กลงไปถนัดตาถึงแม้ทำเลที่ตั้งของมหาวิทยาลัยของเรา เปรียบเด่นแปลกแตกต่างจากสถาบันอุดมศึกษา ที่มีที่ตั้ง ณ ริมฝั่งเจ้าพระยา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา พระราชนิพนธ์เพลงที่กล่าวถึงสถาบัน ไว้ท่อนหนึ่ง ความว่า“ ....แหล่งศึกษาร่มเย็นเด่นริมสายชล เราทุกคนรักสุดหัวใจปลูกยูงทองไว้เคียงโดม มุ่งประโลมโน้มใจรัก ธรรมจักรนบบูชาเทอดไว้…. ”ผมและภรรยาก็ซาบซึ้งในเพลงพระราชนิพนธ์อีกเพลงหนึ่ง ที่เราร้องได้ชัดเจน อันมีท่อนสำคัญว่า “ ....น้ำใจน้องพี่สีชมพู ทุกคนไม่รู้ลืมบูชา พระคุณของแหล่งเรียนมา จุฬาลงกรณ์ ...” เพลงนี้มีความสำคัญต่อชีวิตของเรา ……….ไม่แตกต่างกันจากวันนั้น ถึงวันนี้ ณ พุทธศักราช ๒๕๕๒ สิบปีล่วงมาเช่นเดียวกับ หลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ไป “ขอขมาต่อพระแม่คงคา” ดังเช่นหลายปีที่ผ่านมาสิ่งที่สามารถทำได้ในวันนี้ คือกลับบ้าน มาอยู่กับภรรยาและลูกและช่วยภรรยาดูลูกบ้าง ในเวลาที่ “ ชยพล ” สะดุ้งตื่น อันมีเหตุเกิดจากพลุดอกไม้ไฟ ที่คาดว่าจะส่งเสียงดัง ..... ทั้งคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองปีหน้า ลูกชายของผมจะครบสามขวบ คงถึงเวลาที่ต้องพาเขาไป “ ขอขมาต่อพระแม่คงคา ” ณ ที่ใดที่หนึ่ง หากเป็นไปได้ ผมจะพาเขาไป จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สักครั้งเพราะ ณ ที่แห่งนี้ .. เป็นจุดกำเนิดของชีวิตของเขาจนกว่า “ ชยพล ” จะถามพ่อของเขาว่า .... ทำไม่ต้องลอยกระทงผมในฐานะพ่อ คงไม่ได้เริ่มต้นอธิบายสาระดังกล่าวข้างต้นแก่เขาผิดจากฐานะครู .....ที่นับไปหนึ่งเดือนนับจากวันนี้ ผมจะส่งศิษย์รุ่นปัจจุบัน ขึ้นฝั่งโดยสมบูรณ์โดย ณ วันนี้ บทเรียนที่ทุกคนได้ จะเข้มข้น และมีการสอนที่เข้มงวด ในมาตรฐานเดียวกันทุกคน ซึ่งอาจมีคนที่หนักใจ ท้อใจ และไม่พอใจจากการสอนของผมบ้างแต่เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งนานไป .... นานไป เขาจะรู้ว่า “ จะไม่มีใครที่สอนเขาได้ตลอดเวลา ”และ บทเรียนที่ “ มีค่าที่สุด ” ของผม คือ การที่สอนให้เขาเรียนรู้ “ ชีวิตจริง จากงานจริง และความเป็นจริง ”ผมมุ่งหวังที่จะให้ศิษย์ทุกคน “ คิดเป็น และ ทำได้ ” แต่น้อยคนนักที่จะ “ คิดเป็น ” ฤา “ ทำได้ ” จะห่างไกลเหลือคณา หาก “ ชยพล ” เปรียบไป มิใช่ดั่งแก้วที่คว่ำ ท่ามกลามสายฝนสักวัน เขาจะ “ คิดเป็น และ ทำได้ ” เพราะพ่อและแม่ของเขาเป็นครูของเขา …. เป็นครูโดยเป็นตัวอย่าง “ ที่ดี ” ให้ลูกดูเสมอไม่ว่าจะเป็น วันเพ็ญเดือนสิบสอง ที่น้ำจะนองมากเพียงใดวันเพ็ญเดือนสิบสองปีหน้า ฤาจะแตกต่างต่างไป
ใครก็เป็นครูได้ แต่คงไม่ง่าย ถ้าจะเป็นครูดี
วันนี้ เป็นวันพุธอีกหนึ่งวันของผม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวันธรรมดา ของใครหลายหลายคน แต่ทุกวันพุธในภาคการศึกษานี้ ช่างเป็นวันที่หนักสาหัส ของผม วันนี้ก็เช่นกัน ผมรวบรวมสมาธิที่จะสอนภาคทฤษฎี อย่างตั้งใจ ดังที่ได้ตั้งใจ และ ตั้งใจ ไว้อย่างมั่นคง วันนี้ ผมไม่มั่นใจว่าจะสอนได้ดีนัก แต่หลังจากเห็นรอยยิ้มของนักศึกษาจำนวนมาก และการพยักหน้าตอบรับ สิ่งที่ผมสอน อย่าง "จริงจัง" ผมก็เรียกพลังที่มีทั้งหมด พร้อมสอดแทรกอารมณ์ขันลงไปในเนื้อหา อย่างสุดความสามารถ นักศึกษาหลายคนอาจไม่รู้ว่า การเตรียมการสอนของผมไม่ได้ง่ายดายนัก เนื้อหาที่ต้องเรียงไว้ ตัวอย่างชิ้นงานทางโทรทัศน์ ที่คิดไว้อย่างมีระบบ ว่าจะสอนเรื่องใดสำหรับตัวอย่างนี้ และที่ขาดไมได้ การเตรียมความสุขเล็ก ๆ ด้วยคำพูดที่แทรกอารมณ์ขัน เพื่อเรียกรอยยิ้มจากนักศึกษา ให้ปรากฎเปื้อนบนใบหน้าที่อ่อนวัยเหล่านั้น เป็นความสุขของผม ไม่น้อยไปกว่าผู้ยิ้ม ในระหว่างสองชั่วโมงเรียน ที่สำหรับบางคนมันช่างนานแสนนาน แต่นักศึกษาหลายคน กลับตั้งใจมาจองที่นั่งแถวแรก ๆ ในวิชาของผม และ ...ไม่เคยยกนาฬิกาขึ้นดูเลย ตลอดชั่วโมงเรียน ผมกล่าวขอบคุณพวกเขาเสมอ ขอบคุณที่เขามา เขามาตั้งใจเรียน วันนี้ผ่านไปอีกวัน ด้วยความสุข ในฐานะที่ผมได้เป็นผู้ให้ ผมสอดแทรกจริยธรรมหลาย ๆ อย่างลงไปในเนื้อหาอย่างแนบเนียน ผมมั่นใจว่า นักศึกษาของผมจะเรียนรู้เรื่องของ การมีสัมมาคารวะ ในการทำงาน ผ่านตัวอย่างชิ้นงานทางโทรทัศน์ชิ้นงานหนึ่งและหลายคนเรียนรู้เรื่องของการให้ความสำคัญกับครอบครัว ผ่านทางตัวอย่างชิ้นงานหนึ่ง หลายคนหัวเราะอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่รู้เลยว่า วิธีการสอนของผม เป็น Edutainment ที่แนบเนียนเกินกว่าพวกเขาจะคาดหมายได้ แต่ เบื้องหลัง กว่าจะมาเป็นสองชั่วโมงนี้ ผมเตรียมตัวนับสิบชั่วโมง ไม่เคยมีใครรู้ นอกจากภรรยาของผม ขอบคุณ ครอบครัว ภรรยา และลูกที่เป็นกำลังใจ ให้ผมสามารถทำในสิ่งที่ผมรักได้ในเวลานี้ ขอบคุณที่ให้ "เวลา" ผมได้เป็นครู ที่หลายคนคงไม่รู้ว่า ใครก็เป็นครูได้ แต่คงไม่ง่าย ถ้าจะเป็นครูดี
เมื่อลูกศิษย์ซื้อ ภรรยาไม่ซื้อ
ผมตัดสินใจ ทำ Profile Facebook ขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ณ เวลาที่เขียนเรื่องนี้ ก็ผ่านไปได้สามวันพอดีมีเพื่อนปัจจุบัน เพื่อนเก่า ศิษย์ปัจจุบัน และ ศิษย์เก่าแวะเวียนมาขอ ADD เป็นเพื่อน จำนวนนับสิบผมเคยแปลกใจ ว่าเพราะเหตุใดFacebook จึงได้รับความนิยมอันรวดเร็วแต่ในวันนี้ วันที่ผมมี Account เป็นของตัวเองจึงได้เข้าใจว่า เพราะเช่นนี้เองสำหรับผม Facebook ดูแลยากและค่อนข้างสับสน วุ่นวายการจะเรียนรู้ว่า Wall ของตนเอง ต่างจาก Wall ของเพื่อนอย่างไรอาจเรียนรู้ได้ไม่ยากแต่การที่จะเขียน หรือแม้แต่อ่านให้ครบทุก Wallของเพื่อนทุกคน ของทุกการ Update ต่างหาก ที่เป็นเรื่องยากวันนี้ เกมส์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Facebook ได้รับความนิยมเกมส์หนึ่งที่เป็นที่ยอดฮิตในปัจจุบัน ขณะที่นั่งเขียนอยู่นี้คือ Friends for SALE ..เพื่อน มีไว้ขายผมไม่ได้ค่อยใส่ใจเรื่องของเกมส์มากนัก เพราะไม่คิดที่จะเล่นเกมส์ใด ๆ ในระบบ Social Networkแต่การที่เพื่อน หรือแม้แต่ศิษย์หลายคนเล่นเกมส์นี้ ทำให้น่าศึกษาว่า ทำไม เกมส์ที่ชื่อดูจะแปลกแตกต่าง และดูจะขัดต่อ "มิตรภาพ"เช่นนี้ จึงได้รับความนิยมมากมาย วันนี้ ผมเพิ่งเข้าใจเข้าใจได้ เพราะวันนี้ ตัวเองถูกซื้อไปในเกมส์นี้ โดยศิษย์เก่าคนหนึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่การซื้อขายด้วยเงินจริง และ เป็นเรื่องของการเล่นเกมส์แต่ผมได้แง่คิดที่น่าสนใจ มุมมองใหม่เพราะเหตุใด ศิษย์ที่ผมเคยสอนมา ถึงซื้อผมไปเขาพูดติดตลกว่า " อาจารย์น่าจะขายได้กำไรดี เขาเก็งกำไรได้ เขาจะได้กำไรแน่ " น่าสนใจ ผมมีค่ามากขนาดนั้นเชียวรึ จะมีคนมาซื้อผมในระบบเล่นเกมส์นี้ในราคาที่เขาตั้งไว้สูงขนาดนั้นเชียวรึจากการสอบถาม เพื่อนคนหนึ่งที่เล่นเกมส์นี้ บอกกับผมว่ามีเพื่อนเก่าโทรมาหามากมาย โทรมาบอกว่า " ช่วยซื้อฉันกลับมาที "ในทาง Social Network สิ่งนี้ น่าสนใจมากและ เกมส์นี้ เป็น Communication Tool ที่ดีมากเพราะผู้ออกแบบ "เล่น" กับ "ความรัก" ของคนเล่นกับ "มิตรภาพ" ที่ในชีวิตจริง ไม่มีขายแต่สามารถ "ซื้อ" ได้ในเกมส์และทำให้คนจริง ในชีวิตจริง มีเรื่องใหม่ที่จะสนทนากันได้ถึงแม้ว่า จะไม่มีสาระใด ๆ ก็ตามแต่หากมองว่า ลูกศิษย์ของผม เรียนรู้ที่จะเก็งกำไรทางธุรกิจเขาก็มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เกมส์นี้ ก็เป็นประโยชน์อยู่พอควรหากมองว่า มีคนมาขอซื้อผมต่อไปเรื่อย ๆ ในเกมส์นี้สักวันหนึ่ง ค่าตัวผมจะเพิ่มขึ้น เป็นที่น่าติดตามว่า ค่าตัวของผมจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนและใคร จะซื้อผมไป ใครจะเป็นคนสุดท้ายสำหรับผม ค่าตัวในเกมส์ คงไม่ใช่เครื่องชี้วัดใด ๆ แต่สิ่งที่ผมสนใจ ไม่ใช่คนสุดท้ายที่ซื้อ คือใครสนใจจะซื้อผมไปบ้างหากเราเป็นครู ที่ศิษย์ไม่คิดที่อยากจะ "เก็บ" ไว้เขาจะซื้อเราไหม ดังนั้น ความสำคัญอยู่ที่ "ใคร" คิดจะซื้อเรา ในเกมส์นี้บ้างต่างหากผมไม่ได้เปิดดูระบบ Facebook มาหลายชั่วโมงกลับมาบ้าน ก็คิดในใจว่า คงมีคน อยากจะ "ซื้อ" เราเก็บไว้บ้างพอเจอหน้าภรรยา ที่มี Account Facebook มานานนับปีก่อนหน้าผมผมเอ่ยปากบอกเธอ อย่างติดตลกว่าช่วยไปซื้อผมกลับมาหน่อยสิ เธอบอกว่า " ไม่เคยเล่น เกมส์นี้ เล่นไม่เป็น " ในทางการสื่อสาร การเล่นเกมส์นี้ อาจบอกนัยของคุณค่าบางอย่างเช่นกัน
ทำบุญ ในวันที่บีมครบสองขวบ
วันนี้วันเกิดน้องบีม ครบรอบสองขวบน้องบีมตื่นมาทำบุญแต่เช้า และยังคงสดใสร่าเริง ดังเช่นที่เคยเป็นบีมเกิดมาในวันที่ 8 เดือน 10 เมื่อสองปีก่อนเป็นเด็กที่มีรูปเป็นทรัพย์ มีความเฉลียวฉลาด มีเสน่ห์ คงมีไม่มากนักที่จะมีเด็กวัยสองขวบ ที่จะเป็นเช่นบีม ในวันนี้ อาจเป็นเพราะบุญกุศลเก่าของเขาและบุพการีอันมีบิดามารดา อีกทั้ง ปู่ ย่า ตา ยาย ยังมีกุศลผลบุญเกื้อหนุนส่งผลให้บีม มีวันนี้ วันที่ดีกว่าเด็กอีกหลายคน ในวัยเดียวกัน บีมยังเล็กเกินกว่าที่จะเรียนรู้เรื่องของการแบ่งปันแต่ผมมั่นใจว่า แม่ของเขาจะสั่งสอนให้ลูกของเรารู้จักที่จะแบ่งปันความสุข ให้กับผู้อื่น ในวันนี้ และวันหน้าเพราะหากบีมมีความสุข กับการให้ บีม จะมีความสุข ที่ยั่งยืน ได้อย่างแท้จริง ขอแบ่งปันบุญกุศลที่ได้ทำในวันนี้ ให้แก่เด็กผู้ด้อยโอกาสทุกคน ที่ไม่มีโอกาสเช่นเดียวกับบีม ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ร่วมโลกเดียวกันขอให้มีความสุข ทั่วกัน ตามอัตภาพที่มี