|
ปอกเปลือกให้ถึงแก่น
"ปอกเปลือกให้ถึงแก่น"
เราทุกคนล้วนใฝ่ฝันถึงชีวิตที่ดีขึ้น สามารถรักษาสมดุลของการงาน สุขภาพ ครอบครัว และสังคม แต่จะทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง ส่วนมากทำไม่ได้ เพราะจริงๆ มันเป็นเรื่องยาก ต้องใช้องค์ความรู้หลายอย่างมาประกอบและประยุกต์ใช้ให้เป็นด้วย
หนึ่งในองค์ความรู้เหล่านั้น คือความเข้าใจกลไกการทำงานของจิตใจและความคิด แค่พูดมาถึงตรงนี้ ถ้ากำลังจะเดินเข้าห้องเลคเช่อร์ คงอยากเดินกลับ
การทำงานของจิต เป็นสิ่งที่ถูกพูด บันทึกมานานหลายพันปีแล้วในแถบตะวันออก แทบทั้งหมดอยู่ในคัมภีร์ของศาสนา ส่วนที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ซึ่งเป็นของทางตะวันตก มีการเก็บข้อมูล ทดลองในกลุ่มอาสาสมัคร และสรุปไว้เป็นทฤษฎี เพิ่งจะมีมาไม่กี่ร้อยปีนี่เอง
ในแนวคิดใหม่ที่พยายามอธิบายกลไกของจิตในระยะไม่กี่ปีนี้ คงไม่มีของใครจะประสบความสำเร็จได้เท่าของ Professor Daniel Kahneman ผู้เขียนหนังสือ "Thinking fast and slow"
เมื่อเราหัดขับรถใหม่ๆ เราจำเป็นต้องทำตามขั้นตอนที่ถูกสอน ทีละขั้นๆ ในสมองเราคิดแต่ว่า ต้องเหยียบคลัทช์ก่อนเข้าเกียร์ เข้าเกียร์ต้องขยับซ้ายหรือขวาน่ะ จะถึงทางเลี้ยวต้องเปิดไฟเลี้ยว กลไกพวกนี้เราเรียกว่า "slow mode"
เช่นเดียวกับการนั่งทำโจทย์วิชาคำนวณ "slow mode" จะถูกนำมาใช้ ลักษณะของ slow mode คือ ต้องใช้ความพยายาม ความตั้งใจ และเป็นขั้นตอน
ถ้าเรากำลังเดินอยู่ข้างถนนตอนกลางคืน อยู่ๆมีคนวิ่งมากระชากกระเป๋าเรา การตอบสนองของเราคือการขัดขืนทันที ต่อจากนั้นก็อาจวิ่งหนี หรือเข้าต่อสู้ กลไกเหล่านี้คือ "fast mode"
ลักษณะเด่นของ fast mode คือ เป็นอัตโนมัติ รวดเร็ว ไม่ได้ผ่านการคิดตรึกตรอง หรือใช้ความพยายามใดๆ
อาจกล่าวได้ว่า "fast mode " เป็นกลไกส่วนที่แนบแน่นกับสัญชาติญาณ เป็นส่วนที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดในสมัยยุคโบราณ และมาถึงยุคนี้ บางทีความสะดวกสบาย สารพัดจะทำให้ กลไกส่วนนี้อ่อนด้อยไปหรือเปล่า?
โดยปกติในการดำเนินชีวิตประจำวัน "fast mode"ของเราจะเปิดไว้ตลอด ในขณะที่"slow mode"จะสงบนิ่ง เมื่อเราเห็นภาพเราก็ดูเอง ได้ยินเสียงดังเราก็หันไป ขับรถมีคนวิ่งตัดหน้าก็เบรค เห็นแม่ค้าขายกล้วยทอดเดินผ่านมาก็เรียก ทั้งหมดโดยไม่ต้องคิด
"Fast mode" มีการสะสมข้อมูลเพิ่มจากยุคหิน กรณีแม่ค้าขายกล้วยทอดเป็นตัวอย่าง จะเกิดได้แบบไม่ต้องคิดเมื่อเราเป็นคนชอบกินกล้วยทอดอยู่แล้ว หรือกรณีเดินอยู่ได้ยินคำทักทายเป็นภาษาต่างประเทศ fast mode จะตอบสนองหากเราเคยเรียนรู้ภาษานั้น หรือเคยใช้ชีวิตในประเทศนั้น
เนื่องจาก Fast mode มีลักษณะตรงๆ เห็นของสวยงามก็อยากกิน อยากได้ เห็นหรือได้ยินอะไรที่ไม่ชอบใจก็ถอยห่าง หรือถูกคุกคามก็ต่อสู้หรือหลบหนี เมื่อ fast mode เผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น จะเกิดการส่งต่อให้ "slow mode" ออกมาช่วย เช่นขับรถมาสบายๆ อยู่ๆเจอเส้นทางใหม่ที่ไม่คุ้นเคย "slow mode" ต้องออกมาช่วยเปิดแผนที่ หาทิศทาง
หรือ fast mode ถูกเปิดออกด้วยความโมโหเมื่อถูกขับรถปาดหน้า เป็นหน้าที่ของ slow mode ต้องออกมาควบคุมไว้ไม่ให้เกิดการกระทำที่เลยเถิดไป พูดง่ายๆ ตัว slow mode เหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่คอยคุมเด็กเอาแต่ใจอย่าง fast mode ครับผม
Create Date : 09 กรกฎาคม 2558 |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2558 0:29:31 น. |
|
0 comments
|
Counter : 478 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|