BlogGang.com : : Maysa-Traveller

เที่ยวทะเลพม่าตามล่าหาหัวใจมรกต "เกาะค๊อกคอม" สุดประทับใจเมื่อได้ไปสัมผัส

สถานที่ท่องเที่ยว : เกาะค๊อกคอมหัวใจมะกต, Myanmar (Burma)
พิกัด GPS : 9° 47' 29.77" N 98° 6' 41.54" E

ดูแผนที่เพิ่มเติม

"ได้ยินข่าวกอสซิปเรื่องเกาะพม่าเปิดใหม่แว่วเข้าหูมาตั้งแต่ประมาณต้นๆ ปี
ว่าเกาะนี้นะทั้งสวยทั้งใส บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใยความงามเทียบกับสิมิลัน ตาชัยเมื่อตอนย้อนไปครั้งเมื่อหลายสิบปีก่อน
โหวววววว ขนาดนั้นเชียวแต่ดูภาพแล้วก็ก็น่าจะจริงนะชายหาดนี่ขาวโอโม่ไม่แพ้กันแต่ใต้น้ำไม่รู้คงต้องไปพิสูจน์ในเร็ววัน
เหมือนสวรรค์เป็นใจเมื่อพี่ตั้มแห่ง Thailandlism ชักชวนให้ไปถ่ายรูป ทริปเกาะค๊อกคอม...หัวใจมรกต
ว้าวๆๆๆๆ ตอนพี่ตั้มบอกแทบกรี๊ดๆๆๆ นี่มันจริงหรือนี่คิดอยู่แล้วว่าต้องไปแต่ยังไม่ได้เร็วขนาดนี้
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อมบ้างแต่มีหลายคนที่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นอย่ารอช้าไปสัมผัสความสวย ใส บริสุทธิ์ของทะเลพม่าไปพร้อมๆกับเราเลยค่ะ"

“เกาะค๊อกคอมป์หัวใจมรกต”
ถึงแม้ว่าเกาะนี้เป็นเกาะที่อยู่ในเขตประเทศพม่าแต่ว่าการดำเนินการธุรกิจทัวร์เป็นของคนไทยนะคะ
เพราะฉะนั้นเราจึงเริ่มเดินทางโดยออกจากท่าเรือบนฝั่งระนองค่ะ
ในการเดินทางก็ต้องมีการทำเรื่องการข้ามแดนแต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความยุ่งยากค่ะ
**ไม่ต้องใช้พาสปอร์ต** ใช้เพียงแค่บัตรประชาชนทางเอเจนซี่จะขอสำเนาจากเราก่อนการเดินทาง
และทางทัวร์จะทำเอกสารเตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยเรามีหน้าที่แค่ถือเอกสารไปประทับตราก่อนออกเดินทางแค่นั้นค่ะ
ทริปนี้เราเดินทางแบบประหยัดเวลาแต่ไม่เหนื่อยรับรองถูกใจมนุษย์เงินเดือนสุดๆ
เพราะไม่ต้องลางานวันหยุดปกติเสาร์ – อาทิตย์ก็เที่ยวทะเลพม่าได้แล้ว

แผนการเดินทางของเรา
แผนการเดินทางของเรา
คืนวันศุกร์ – นั่งรถออกจากกรุงเทพฯ 20.50 น. ถึงระนอง 06.30 น.
วันเสาร์ – เช้าออกทริปเที่ยวเกาะตอนเย็นกลับมาพักที่ระนอง 1 คืน
วันอาทิตย์ – เช็คเอ้าท์สายๆเที่ยวระนอง 1 สถานที่ท่องเที่ยวเช่นบ่อน้ำร้อน น้ำตก ภูเขาหญ้า เสร็จแล้วกลับกรุงเทพด้วยรถรอบ 20.50 น. ถึงกรุงเทพ 05.30 น. จะลางานพักผ่อนหรือถ้าร่างกายฟิตก็ไปทำงานต่อก็ได้

ราคา 3,500 บาทต่อคน(โปรโมชั่นทริป แถมที่พัก) ราคานี้รวมวันเดย์ทริป 3 เกาะ เกาะหัวใจมรกต, เกาะดันกิ้น, เกาะย่านเชือก แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพอากาศนะคะ รวมอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมแกรนด์อันดามันและที่พักที่ระนอง 1 คืน
เป็นไงค่ะทริป 2 วัน 1 คืนเที่ยวสบายไม่ต้องลางานกันเลยไปดูข้อมูลแบบละเอียดยิบกันเลยดีกว่า

การเดินทาง
ที่ระนองสามารถเดินทางได้ทั้งรถทัวร์และเครื่องบิน แต่เราเลือกเดินทางโดยรถทัวร์ค่ะ
เพราะดูแล้วว่าสะดวกและประหยัดเวลาที่สุดและเดินทางกับบริษัทสมบัติทัวร์
เราเลือกรถ วีไอพี 24 ที่นั่งราคาตั๋วเที่ยวละ 644 บาท รถจากรุงเทพไประนองมีทั้งหมด 3 รอบ  08.10, 20.50, 20.30

เราเลือกเดินทางรอบ 20.50 น. จะถึงระนองประมาณ 06.30 น. ช้ากว่าที่ลงไว้ในเว็บนิดหน่อย
ที่เลือกรอบนี้เพราะสะดวกดีนอนบนรถไปตอนกลางคืนถึงเช้าเราลงที่ออฟฟิศของสมบัติทัวร์
ออฟฟิศของสมบัติทัวร์ตั้งอยู่ที่ตลาดใหม่ระนองที่ไม่เลือกลงที่สถานีขนส่ง
เพราะว่าค่อนข้างเงียบและถ้ามาถึงตอนเช้ามากก็จะเปลี่ยว
ก็เลยเลือกลงที่ออฟฟิศสมบัติทัวร์และที่นี่ก็ยังสะดวกในการหาอาหารรับประทานตอนเช้าอีกด้วย

รายละเอียดทริป ”เกาะค๊อกคอมป์หัวใจมรกต”

ทริปวันนี้เราจะเดินทางออกจากฝั่งระนองเวลา 9.00 น.
เสร็จแล้วจะแวะที่เกาะสนที่ตั้งของโรงแรมแกรนด์อันดามันเพื่อนำเสบียงลงเรือ
และนำเอกสารขึ้นไปแสตมป์ผ่านแดนในฝั่งพม่าจากนั่นก็ออกเดินทาง
เกาะแรกของทริปนี้ที่เราจะไปคือ “เกาะค๊อกคอมป์” หรือ “เกาะหัวใจมรกต” และดำน้ำที่นี่ประมาณ 45 นาที
เกาะที่สองคือ “เกาะดันกิ้น” เราจะรับประทานอาหารกลางวันกันบนเกาะนี้
และนั่งพักผ่อนบนเกาะใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 2 ชั่วโมง
เกาะสุดท้ายของทริปคือ “เกาะย่านเชือก” ที่นี่เราจะดำน้ำใช้เวลาประมาณ 30 นาที
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับไปที่โรงแรมแกรนด์อันดามันเพื่อนรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็พักผ่อนตามอัธยาศัย
ถ้าใครพักที่นี่ก็อยู่ยาวส่วนถ้าใครพักที่ระนองก็ต้องนั่งเรือของโรงแรมกลับมาที่ฝั่งระนอง รถตู้ก็จะไปส่งที่พักของเราค่ะ

ข้อมูลแน่นแล้วเราเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่าค่ะ
เมื่อถึงระนองเราลงที่ออฟฟิศสมบัติทัวร์เดินออกไปหาอาหารเช้าทานรองท้องสักหน่อย
ตลาดที่นี่ของกินไม่ค่อยเยอะค่ะมารู้ทีหลังว่าเป็นตลาดเน้นขายส่งมากกว่าผลไม้ ผักอะไรพวกนี้
แต่ก็มีร้านหมูปิ้ง ไก่ย่างอะไรประเภทนี้อยู่บ้าง ตึกสีฟ้าๆนั่นคือออฟฟิศของสมบัติทัวร์

แต่มารู้ตอนขากลับว่ามีร้านอาหารชื่อดังอยู่แถวนี้เดินไป 700 เมตรก็ถึงแล้วชื่อร้าน “บังกีโรตีอาหรับ”
ใครจะเดินไปทานก่อนก็ได้ค่ะร้านนี้เปิดแต่เช้า ก็จะมีโรตี ข้าวหมกไก่ มัสมั่น ข้าวราดแกงก็มีค่ะ

หาอาหารทานเสร็จแล้วเราก็กลับมานั่งรอรถของบริษัททัวร์มารับเรานัดไว้ประมาณ 07.00 น.
นั่งรอสักพักรถก็มารับเราไปที่ท่าเรือบนรถมีนักท่องเที่ยวอยู่ 4-5 คน และรถก็ตรงไปที่ท่าเรือเลยค่ะ
พอถึงที่ท่าเรือเราจะเข้าไปที่ออฟฟิศของแกรนด์อันดามันก่อนเพื่อยื่นเอกสารผ่านแดนต่างๆ
จริงๆถ้าไม่แวะหาอะไรทานที่นี่เค้าก็จัดอาหารว่างไว้ให้มีขนมแซนวิช ชา กาแฟ ไว้บริการให้เราด้วย

เรานั่งรอสักพักจนลูกค้าคนอื่นๆมาครบแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเรียกรวมเพื่อแจงรายละเอียดในการยื่นเอกสารข้ามแดน
• เจ้าหน้าที่จะนำเอกสารที่กรอกไว้ให้เรียบร้อยแล้วยื่นให้เรา เราจะต้องยื่นพร้อมกับบัตรประชาชนตัวจริง
• ยื่นเอกสารที่เคาน์เตอร์ซึ่งอยู่ภายในออฟฟิศนี่แหละค่ะ เจ้าหน้าที่จะปั๊มตราประทับให้เรา
• เสร็จแล้วเก็บเอกสารไว้ที่ตัวก่อนและเดินหรือนั่งรถกอล์ฟไปยังท่าเรือได้เลยรอเจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเรือ
• เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเรือเราจะต้องยื่นเอกสารแผ่นเดิมให้เจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่จะเก็บเอกสารของเราไปเลย
   และจะนำไปปั๊มอีกครั้งที่ฝั่งพม่าซึ่งขั้นตอนนี้เราก็ไม่ต้องลงไปเองค่ะทางทัวร์จะจัดการให้เราก็นั่งรอในเรือได้เลยสบายๆ

ขั้นตอนไม่ยุ่งยากค่ะเพราะบริษัททัวร์เค้าจัดการเตรียมไว้ให้หมดแล้วเราก็แค่มีหน้าที่ไปยื่นก็เสร็จค่ะ
พอยื่นเอกสารเสร็จเก็บเอกสารไว้ที่ตัวนะคะแล้วเดินไปรอที่ท่าเรือได้เลย
เก็บเอกสารให้ดีๆ เพราะเราจะต้องยื่นเอกสารอีกครั้งก่อนลงเรือแต่ไม่ต้องยื่นบัตรประชาชนแล้ว
ไปท่าเรือมีบริการรถกอล์ฟแต่เราขอเดินเพราะจะได้ชมบรรยากาศฟ้าใส...ใส...เหรอ?
แต่ที่ระนองเป็นเมืองที่ฝนชุกอยู่แล้วนะคะ ทริปนี้ที่ระนองฝนก็ตกแทบทั้งวันแต่ตกแค่ปรอยๆ

ท้องฟ้าวันนี้ค่อนข้างขมุกขมัวมอมแมมมากช่างเหมาะกับการออกทะเลเสียนี่กะไร ฮ่าๆๆ
ก็เลยแอบกระซิบถามไกด์ เอิ่มมมมพี่ค่ะ วันนี้จะมีแสงแดดสาดส่องมาถึงพื้นดินบ้างหรือเปล่าค่ะเนี่ย
ได้คำตอบว่าเดี๋ยวบ่ายก็มีเมื่อวานก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ
ไกด์บอกว่าบางทีที่ฝั่งระนองฝนตกแต่พอออกทะเลไปที่เกาะแล้วฟ้าใสก็มีค่ะเพราะว่าระนองต้นไม้เยอะ
ความชื้นเยอะฝนก็เลยตกตลอดแต่บนเกาะค่อนข้างห่างจากตัวจังหวัดระนองแล้ว
แต่พูดตรงๆก็เผื่อใจไว้บ้างแล้วละคะแล้วแต่บุญกรรมที่สั่งสมมา นี่มันขนาดนั้นเลยเหรอ???? เดี๋ยวรอดูกันช่วงบ่าย
ก่อนออกจากท่าเรือไกด์ก็จะเรียกนักท่องเที่ยวรวมตัวเพื่ออธิบายรายละเอียดและข้อปฏิบัติต่างๆ
แล้วก็ขึ้นเรือค่ะนำเอกสารที่เราบอกไว้ด้านบนเตรียมไว้ยื่นให้เจ้าหน้าที่ด้วยนะคะ
ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะเก็บเอกสารของเราไปเลยนะคะเพราะจะเค้าจะรวบรวมไปยื่นให้ที่ฝั่งพม่าอีกที
ขั้นตอนนี้เราไม่ต้องทำแล้วค่ะนั่งรอในเรือสบายๆ ได้เลย

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทางเรือจะแวะที่โรงแรมแกรนด์อันดามันก่อนเพื่อรับนักท่องเที่ยวชาวพม่า
และรับเสบียงอาหารของพวกเราในวันนี้ขึ้นเรือด้วย และก็แวะที่เกาะสอง
เพื่อรับเจ้าหน้าที่ของพม่าขอไปสังเกตการณ์ในทริปนี้ด้วยค่ะ

นั่งเรือมาสักพักคนในเรือก็เริ่มดุกดิกๆ อะไรเหรอๆ เราก็ดูบ้างซิ

ว้าวๆ ถึงแล้ว “เกาะค๊อกคอม” หัวใจมรกตของฉ้านนนนนนน
แต่แดดนี่ซิยังไม่มาเลย คือก่อนออกไกด์ได้แจ้งไว้ก่อนแล้วว่าลำดับในการเที่ยวเกาะ
อาจจะสลับไปมาได้ตามสภาพอากาศนะคะ ถ้าไปไม่ตรงตามทริปเป๊ะๆ ก็อย่าไปวีนไปเหวี่ยงนะ เพื่อความปลอดภัย
แต่มาถึง “เกาะค๊อกคอมป์” ไกด์ลงความเห็นว่าโอเคค่ะคลื่นไม่แรง
สามารถลอดถ้ำเข้าไปชมความงามภายในหัวใจมรกตได้
“เกาะค๊อกคอมป์” ถือเป็นไฮไลท์ของทริปนี้หากมองจากมุมสูงจะเห็นอ่าวด้านในเป็นรูปหัวใจ
ในอดีตเคยเป็นปากปล่องภูเขาไฟมาก่อนแต่ตอนนี้คงไม่จะปะทุแล้วใช่มั้ย ^_^
การเข้าสู่หัวใจมรกตด้านในเราต้องว่ายน้ำลอดถ้ำเข้าไป ในวันที่แดดดีแสงจะส่องมาที่ผืนน้ำ
สะท้อนกับผนังถ้ำมีสีเขียวมรกต ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “หัวใจมรกต” นั่นเอง
และด้วยเราต้องว่ายน้ำลอดถ้ำเข้าไปเพราะฉะนั้นถ้าคลื่นแรงไกด์จะไม่พาเข้าไปข้างใน “หัวใจมรกต” ค่ะ
เพราะจะมีอันตรายจากการกระแทกหินตรงปากถ้ำและหินเหล่านั้นก็คมมาก
แต่วันนี้ถึงไม่มีแดดแต่คลื่นไม่แรงมากและน้ำไม่ขึ้นสูงถ้าน้ำขึ้นเยอะก็อันตรายค่ะเพราะเราจะใกล้ปากถ้ำมาก
แต่วันนี้เราเข้าได้อย่างราบรื่นทุกคนค่ะ ปรบมือรัวๆ
สิ่งที่ควรระวังอีกอย่างที่ไกด์บอกก็คือหอยเม่นไม่ควรยืนบนพื้นเพราะหอยเม่นที่นี่เยอะมาก
ควรลอยตัวไว้ตลอดๆ เพื่อความปลอดภัย

หลังจากเข้าไปสู่ข้างในของหัวใจมรกตแล้วดำน้ำลงไปต้องร้องว้าว ว้าว ว้าว
น้ำข้างในใสมากเพราะเป็นเหมือนอ่าวข้างในไม่มีคลื่นลมต่างจากข้างนอกมากน้ำใสแบบกิ๊งๆเลย
นี่ขนาดไม่มีแดดยังพูดกับเพื่อนร่วมทริปเลยว่าถ้ามีแดดจะสวยขนาดไหน
ไปดูรูปใต้น้ำจาก “เกาะค๊อกคอมป์” กันดีกว่าถ่ายมาไม่เยอะค่ะบางรูปก็ไม่ชัดเหลือมาเท่านี้ ^_^

ดำน้ำในนี้เพลินมากไม่เหนื่อยเลยเพราะคลื่นไม่แรงเราดำไม่ไกลจากปากถ้ำเท่าไหร่
เราว่าอีกฝั่งด้านในหัวใจมรกตคงต้องสวยมากแน่ๆเลยอ่ะ แต่ไกด์บอกว่าฝั่งนู้นจะลึกกว่าค่ะลึกมากเลยด้วย
แต่ตรงขอบๆที่พวกเราดำน้ำกันไม่ลึกมากค่ะ 2 – 5 เมตร
ช่วงขากลับออกไกด์บอกว่าให้ดำลงไปดูตรงปากทางเข้าจะมีกัลปังหาเราก็มองหาใหญ่เลย
ตรงนั้นน้ำจะขุ่นนิดน่อยค่ะเพราะเป็นปากถ้ำน้ำจะกระทบกับโขดหินเป็นคลื่น
แต่เราก็พยายามมองหาแล้วก็เห็นค่ะสวยมากเลยแต่ถ่ายรูปมาเบลอไปหมดมองไม่รู้เรื่องเลย
แต่สวยค่ะถ้าไปอย่าพลาดดำลงไปดูตรงจุดนี้นะคะ แต่ถ้าน้ำขึ้นเยอะใกล้ปากถ้ำก็ควรระวังอันตรายด้วยนะคะ

ดำน้ำเสร็จแล้วเดินทางไปต่อเกาะที่สองค่ะชื่อ “เกาะดันกิ้น” อยู่ไม่ห่างกันมากค่ะนั่งเรือประมาณ 15 นาที
ที่ “เกาะดันกิ้น” เราจะได้แวะพักทานอาหารกลางวัน พักผ่อนเล่นน้ำ ถ่ายรูปตามอัธยาศัย
ไฮไลท์ของ "เกาะดันกิ้น" คือชายหาดที่สวยงามทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใีฟ้าตัดกับหาดทรายขาวๆ

ถึงแม้จะมีชายหาดที่ไม่ยาวมากนักแต่ก็มีต้นไม้อยู่บนชายหาดไว้เป็นร่มเงาไว้ให้เรานั่งพักผ่อนกัน
ต้นไม้บนเกาะยังดูเป็นกิ่งไม้ระเกะระกะไม่มีการตัดตกแต่ง
แต่นั่นแหละค่ะคือสิ่งที่ต้องการคือธรรมชาติที่ยังดิบอยู่มาก บนเกาะยังไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยซ้ำ
เพราะยังไม่มีเส้นทางไกด์บอกว่าอนาคตจะมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ
และตอนนี้กำลังสร้างร้านอาหาร ห้องน้ำ และอนาคตจะมีแคมป์ปิ้งบนเกาะเน้นแบบธรรมชาติ
ที่นี่ไม่ได้ดำน้ำนะคะและก็ไม่เห็นมีใครดำเพราะคลื่นก็ค่อนข้างแรงอยู่สวนใหญ่ก็นั่งเล่น พายเรือ ถ่ายรูปกัน

มาดูอาหารกลางวันที่ทานบนเกาะกันบ้างดีกว่า เป็นอาหารใส่กล่องพลาสติกแบบนี้ดีมมากค่ะจะได้ไม่ต้องเพิ่มปริมาณขยะ
มีข้าวกระเพราะทะเลกับข้าวหมูกระเทียมให้เลือก เปิดกล่องมานอกจากกระเพราะหรือหมูกระเทียม
ยังมีไก่น่องเล็กอีก 2 ไข่ต้มอีก 1 ฟองกล่องใหญ่นะคะปริมาณก็เยอะเราทานไม่หมดเลยเสียดาย

ทานข้าวเสร็จนักท่องเที่ยวก็แยกย้ายไปตามมุมต่างๆบางคนก็นอนหลับพักผ่อนชิลไปเลย
ส่วนเราก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อยเดินกลับไปกลับมาบนชายหาด
พอตอนบ่ายแดดมาจริงๆด้วยค่ะ เหมือนที่ไกด์บอกเลยค่อยยังชั่ว
เจอแดดแล้วทะเลยิ่งสวยมากเลย ฟ้าก็สวยมาโชคดีเอานาทีสุดท้ายตอนใกล้จะกลับแล้ว

รูปบน “เกาะดันกิ้น” เยอะมากอยู่บนเกาะประมาณ 2 ชั่วโมงเราเดินไม่หยุดเลย ฮ่าๆๆ
นี่ขนาดว่าชายหาดไม่ยาวมากนะถ้าชายหาดยาวและมีทางเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติเนี่ย
สงสัยต้องขออยู่สักครึ่งวันแน่ ๆ สุดท้ายก็หมดเวลาบนเกาะนี้แล้วค่ะเราจะไปดำน้ำต่อกันที่ “เกาะย่านเชือก”

ออกจาก “เกาะดันกิ้น” ไปต่อที่เกาะสุดท้าย “เกาะย่านเชือก”
ที่นี่เราจะได้ดำน้ำกันบน “เกาะย่านเชือก”  มีชายหาดแต่ว่าไม่สามารถขึ้นได้คงเป็นเพราะเรื่องสัมปทาน

ปะการังที่นี่ส่วนมากจะเป็นปะการังผืนใหญ่ๆ ไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับที่อื่นแล้วเป็นยังไง
แต่เท่าที่เห็นปะการังสมบูรณ์มากเป็นต้นสวยงามปลาก็เยอะค่ะ นีโม่นี่มีตลอดไกด์เรียกบ่อยมาก
ปะการังบางชิ้นเป็นแผงใหญ่มากเบ่อเร่อเท่อเราตื่นเต้นมาก เพลินสุดๆ นี่ขนาดเราว่ายน้ำไม่เก่ง
เรายังดำผุดดำว่ายประมาณ 45 นาทีแต่รู้สึกไม่นานเลยเพราะเพลินมาก

พอทุกคนขึ้นเรือครบแล้วก็ได้เวลากลับฝั่งแล้วค่ะ รู้สึกยังไม่อยากกลับเลยอยากดำน้ำต่อ
โดรยรวมแล้วปะการังที่นี่จะหนาแน่นและเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ๆ บางเส้นศูนย์กลางใหญ่น่าจะเกือบเมตรก็มี
สรุปว่าสวยเราค่อนข้างตื่นเต้นไม่เคยเห็นปะการังสมบูรณ์ขนาดนี้ค่ะ
ออกจาก “เกาะย่านเชือก” เรือก็มุ่งหน้ากลับไปที่โรงแรมแกรนด์อันดามัน
เพื่อให้เราได้รับประมานอาหารเย็นและอาบน้ำที่โรงแรม
ถึงท่าเรือของโรงแรมแกรนด์อันดามันประมาณสี่โมงกว่าจะมีรถมารับขึ้นไปที่โรงแรม

ที่นี่ใครจะอาบน้ำล้างตัวหรืออยากเล่นน้ำต่อก็สามารถว่ายน้ำที่สระของโรงแรมต่อได้
ไกด์จะแจกบัตรรับประทานอาหารให้ เริ่มทานอาหารเย็นได้ตั้งแต่ 17.00 น.  จะทานตอนไหนก็ได้ตามสบายค่ะ
ส่วนไกด์และเรือที่พาเราไปท่องเที่ยววันนี้เค้าก็จะขอตัวกลับกันก่อน
แต่จะถามเราว่าเราจะกลับกี่โมงเพราะจะต้องแจ้งกับรถตู้บนฝั่งระนองที่จะไปส่งเราที่โรงแรม
เพราะว่าโรงแรมแกรนด์อันดามันตั้งอยู่บนเกาะสนของพม่าถ้าเราจะกลับจะต้องนั่งเรือรับ – ส่งของโรงแรม
แต่ถ้าใครนำรถมาเองก็สบายๆ เพราะเรือรับ – ส่งจากของโรงแรมแกรนด์อันดามันไปส่งฝั่งระนองมีทุกชั่วโมง
และจะมีพนักงานของโรงแรมค่อยสั่นกระดิ่งเรียกเรือมีถึง 23.00 น.

อาหารเย็นของทริปนี้ทานที่ห้องอาหารวิคทอเรีย แกรนด์อันดามันเป็นแบบบุฟเฟ่ต์
ใครดำน้ำเหนื่อยมารับรองทานได้จุใจอาหารก็มีหลากหลายส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย ขนม ผลไม้มีครบค่ะ
มีเคล็ดลับนิดหน่อยห้องอาหารวิคทอเรียมีวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมากค่ะ
เพราะฉะนั้นถ้ามาทานช่วงพระอาทิตย์กำลังตกก็จะโรแมนติกมากๆเลย

ทานอาหารเสร็จเราก็ไปสำรวจดิวตี้ฟรีกับคาสิโนหน่อย
ดิวตี้ฟรีที่นี่ของส่วนมากจะเป็นพวกขนมกับช็อคโกแลต นอกนั้นก็น้ำหอม นาฬิกา เหล้า บุหรี่ มีกระเป๋าแบรนด์ Kipling
ส่วนคาสิโนนี่เป็นครั้งแรกที่เราเคยเข้าคาสิโนก็ตื่นตีแต่เล่นอะไรไม่เป็นสักอย่าง
แต่ก็ดีแล้วละไม่งั้นเดี๋ยวเงินหมดอดกลับบ้าน อิอิ
เราอยู่ที่โรงแรมถึงเวลา 19.00 น. ก็ไปรอขึ้นรถที่หน้าโรงแรมและรถจะไปส่งเราที่ท่าเรือเพื่อขึ้นเรือกลับฝั่งระนอง

เดินทางถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพเราพักที่โรงแรมฟาร์มเฮ้าส์ ระนองพร้อมอาหารเช้าห้องพักใหม่และสะอาด

เช้าวันอาทิตย์ตื่นมาเช็คเอ้าท์เราต้องรอขึ้นรถกลับ 20.50 น. โน้นนนนนน
แต่เราต้องบริหารเวลาให้เป็น อิอิ วันนี้เราจะเที่ยวในตัวเมืองระนองซึ่งมีที่เที่ยวเยอะและหลากหลาย
จะไปนอนแช่น้ำร้อนชิลๆ ไปเดินป่าเที่ยวอุทยาน น้ำตกอลังการ หรือไปภูเขาหญ้าได้หมด
แต่เราขอเป็นรีวิวหน้านะคะเพราะรูปเยอะรายละเอียดแยะมาก

ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่ประทับใจมากทั้งทะเลที่สวยสมคำร่ำลือ หาดทรายขาว น้ำทะเลใส ปะการังสมบูรณ์
เท่านี้ก็ถือว่าเป็นการเที่ยวทะเลที่สมบูรณ์แบบมากๆแล้ว ธรรมชาติบนเกาะยังดิบมากจริงๆ
วันที่เราไปมีเรือเราเพียงแค่ลำเดียวเท่านั้นตอนพักบนเกาะดันกิ้นคือส่วนตัวสุดๆ
ใครจะไปในช่วงแรกๆนี่ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ เป็นช่วงกอบโกยก็ว่าได้ ฮ่าๆๆๆ
และใครที่มัวลังเลอยู่อย่าคิดนานนะคะได้ข่าวแว่วๆมาว่าบางวันก็เต็มแล้ว
ยิ่งช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์แล้วด้วยละก็คงต้องจองล่วงหน้ากันแต่เนิ่นๆเลยค่ะ
ขอบคุณพี่ตั้ม Thailandlism ด้วยที่ทำให้เราได้พบกับสถานที่ท่องเที่ยว Unseen ในครั้งนี้ด้วย
ขอบคุณที่ติดตามมาถึงตรงนี้ค่ะ แล้วเจอกันรีวิวหน้าค่ะ
ใครอยากพูดคุยเรื่องเที่ยวหรือสอบถามข้อมูลอะไรเพิ่มก็ไปทักทายได้ที่ https://www.facebook.com/maysatraveller ค่ะ

Create Date : 12 ตุลาคม 2558

1 comment

Last Update : 12 ตุลาคม 2558 20:24:56 น.

Counter : 3455 Pageviews.

Share
Tweet

Let's go to the sea....ไปเสม็ดเสร็จทุกราย

สถานที่ท่องเที่ยว : เกาะเสม็ด, ระยอง Thailand
พิกัด GPS : 12° 40' 16.69" N 101° 8' 51.60" E

ดูแผนที่เพิ่มเติม

ไปเสม็ด...เสร็จทุกราย
วลีฮิตติดปากที่เมื่อพูดถึงเกาะเสม็ดใครๆ ก็ต้องนึกถึง แต่ใครจะเสร็จหรือไม่เสร็จเราไม่รู้
แต่เราเสร็จแน่ อย่าตกใจนะจ๊ะที่บอกว่าเสร็จก็คือตกหลุมรักเกาะเสม็ดเข้าอย่างจัง
อ่อ...ต้องสารภาพอย่างเขินๆก่อนว่านี่เป็นการไปเกาะเสม็ดครั้งแรกของเราเลย อิอิ
ที่ไม่เคยคิดมาเสม็ดเพราะคิดว่ายังไงก็ของตายมาเมื่อไหร่ก็ได้น่า ด้วยความคิดแบบนี้จึงผ่านเวลามานานแสนนานนน
จนวันนี้โอกาสดีเพื่อนอกหัก 5555 อยากหนีมาชิวที่เสม็ดคนเดียวไอ้เราก็กลัวเพื่อนจะเหงาก็เลยอาสามาเป็นเพื่อน
นี่ขนาดมาปลอบใจเพื่อนยังอุตส่าห์กลับมารีวิวได้อีกนะเนี่ย 55555 (เพื่อนไม่ค่อยเฮิร์ทมากน่ะค่ะ ^_^)

การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างด่วนเพราะชวนกันตอนเย็นรุ่งเช้าก็ไปกันเลย
แต่เพื่อนเราเค้าเป็นเซียนเสม็ดอยู่แล้วก็เลยไม่ต้องหาข้อมูลอะไรทั้งนั้นไปแบบชิวๆ สบายๆ
มีแต่ตัวกับหัวใจเตรียมไปมันส์กันที่เสม็ด
เราเดินทางด้วยรถตู้โดยสารที่อนุสาวรีย์ ไปส่งถึงท่าเรือเลยค่ะ
แต่!!!!! ก่อนซื้อตั๋วขึ้นรถถามคิวรถตู้ด้วยนะคะว่ารถขับตรงไปบ้านเพเลยรึเปล่า
เพราะคิวรถตู้ที่เราขึ้นไปแวะที่ระยองแวะรับส่งคนตามรายทางเสมือนรถเมล์ก็ไม่ปาน
เพราะฉะนั้นอย่าลืมถามก่อนซื้อค่ะ ขนาดเพื่อนเราไปบ่อยยังพลาดเพราะที่นี่มีคิวรถตู้ที่ไปเสม็ดหลายเจ้านะคะ
หลังจากนั่งรถตู้เมล์มาเป็นเวลานานโขเราก็ถึงบ้านเพกันสักที

นั่งเรือประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงแล้วค่าเกาะแก้วพิสดาร..มีนางผีเสื้อสมุทรมารอรับเราด้วย

เมื่อเหยียบท่าเรือที่นี่เราก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมคนล่ะ 10 บาท (ซึ่งก็ไม่รู้จะเสียเพื่ออะไร)
เมื่อเดินออกมาด้านหน้าท่าเรือด้านซ้ายจะมี 7-11 ส่วนใครที่ไม่เช่ามอเตอร์ไซต์ก็จะมีวินรถทางด้านขวา
เดินไปเลยค่ะค่าโดยสารแล้วแต่ระยะทางของเราไปอ่าวไผ่คนละ 30 บาท
พอขับไปถึงด่านของอุทยานแห่งชาติก็เตรียมค่าธรรมเนียมอุทยานอีกคนล่ะ 40 บาท
สรุปค่าธรรมเนียมต่างๆคนละ 50 บาท ค่ารถตามระยะทาง

ส่วนใครอยากเช่ามอเตอร์ไซต์แนะนำให้เช่าไปเลยไม่ต้องคิดว่าไปเช่าด้านในของเกาจะถูกกว่าเพราะมันไม่ใช่
เช่าที่ท่าเรือนั่นแหละค่ะประมาณ 400 บาท ^_^
...
มาถึงก็ไปหาที่พักเราลงรถทีอ่าวไผ่เดินต่ออีกนิดหน่อยไปหาที่พักที่อ่าวพุทราค่ะซึ่งอยู่ติดกันเลย

"อ่าวพุทรา" มีชายหาดเล็กอยู่ติดกับอ่าวไผ่แต่จะมีความสงบมากกว่า
เพราะที่อ่าวไผ่จะมีบาร์ตอนกลางคืนจะครึกครื้นมากส่วนที่อ่าวพุทราที่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่เมตร
เราสามารถหาความสงบได้เหมาะแก่การพักผ่อนแต่ไม่ถึงกับวังเวงมาก
ถือว่ากำลังดีเลยล่ะค่ะพอตอนกลางคืนหากอยากปาร์ตี้ก็เดินไปที่อ่าวไผ่ได้เลย
และอีกอ่าวที่ติดกับอ่าวพุทราก็คือ "อ่าวทับทิม"
คือจริงๆก็ถือว่าเป็นอ่าวเดียวกันเลยก็ยังได้ที่เห็นในรูปนั่นแหละค่ะ
ฝั่งขวาจะเป็นอ่าวพุทราฝั่งซ้ายทางนู้นจะเป็นอ่าวทับทิม
ถ้ามาแล้วเห็นประติมากรรมหินแบบนี้ก็แสดงว่าคุณมาถึงอ่าวไผ่แล้วค่ะ

พี่คนที่นั่งอยู่นั่นแหละค่ะเป็นคนเรียงหินพวกนี้ไว้แต่ก็ไม่รู้ว่าเค้าจะเรียงไว้ทำไมนะคะ
ใครไปก็ฝากถามด้วยล่ะกัน ^_^

บรรยากาศที่อ่าวพุทราค่ะ สงบดีนักท่องเที่ยวไม่มากเท่าอ่าวไผ่ หาดทรายก็ขาวใช้ได้ค่ะ

ด้วยทำเลที่เหมาะสมทริปนี้เราจึงพักที่อ่าวพุทรานี่แหละค่ะทั้งสองคืนและอีกอย่างคือที่พักถูกมาก
แต่ห้องสภาพก็ตามราคานะคะแต่แต่ก็ไม่ได้แย่มากสำหรับเรา
ถ้าเครื่องนอนผ้าห่มหมอนห้องน้ำไม่สกปรกเราก็โอเค

เราพักที่ "อ่าวพุทราบีช" ค่ะ ห้องที่เราพักราคา 1,000 บาทเป็นห้องพัดลมมีสองเตียงใหญ่
ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ไม่มีนะคะ 5555 แต่เตียงใหญ่มากเพราะคืนที่สองเพื่อนมาอีก 4 คน
ก็นอนห้องเดิมนั่นแหละค่ะทั้หมด 6 คน นอนบนเตียงได้สบาย
ห้องพักมีหลายราคาต้องลองถามดูนะคะแต่เราลองถามห้องที่ติดทะเลไว้ห้องพัดลมราคา 1,200 เอง
เราว่าถูกน่ะเพราะอยู่ติดทะเลเลยติดจริงๆ เวลาน้ำขึ้นอาจขึ้นมาถึงเตียง...ก็เป็นด้ายยยย
ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดอื่นๆลองหาดูในอินเตอร์เน็ตนะคะแต่ให้เสิร์ชหาคำว่า
พุทราบังกะโลแทน เพราะเราลองเสิร์ชหาคำว่า อ่าวพุทราบีช ไม่ค่อยเจอข้อมูลเลยค่ะ

ข้างๆ ที่พักมีร้านนั่งดื่มชิวๆ แบบนี้ไว้สำหรับคนที่ไม่ชอบแสงสีเต็มขั้นแบบอ่าวไผ่นะคะ ^_^

ห้องติดทะเลของอ่าวพุทราบีชตื่นมาก็จะได้เห็นวิวประมาณนี้เลยค่ะ

ส่วนนี่ทับทิมรีสอร์ทค่ะ บนอ่าวพุทราและอ่าวทับทิมมีรีสอร์ทอยู่สองที่เท่านั้นนะคะ
ก็คือ "อ่าวพุทราบีช" กับ "ทับทิมรีสอร์ท" แต่ก็คนละเกรดกันเลยค่ะ
ก็แล้วแต่ใครจะเลือกแบบไหนตามสไตล์และงบในกระเป๋านะคะ
แต่เราว่าทับทิมรีสอร์ทก็สวยใช้ได้เลยค่ะสงบดีด้วย

เอาราคาค่ารถโดยสารจากคิวรถที่อ่าวทับทิมมาฝากค่ะ ราคาของอ่าวก็คงเรทใกล้ๆกัน
เพราะน่าจะเป็นคิวเดียวกันทั้งหมดนะคะเป็นกระบะสีเขียวแบบนี้หมดเลย

บนเกาะเสม็ดก็มีทัวร์นะคะมีีหลายรูปแบบแล้วแต่จะเลือกเลย

เดี๋ยวจะไปเยี่ยมอ่าวเพื่อนบ้านกันบ้างนะคะนั่นก็คือ "อ่าวไผ่"
อย่างที่บอกว่าใกล้มากระยะทางไม่น่าถึง 1 กิโลเมตร แต่ที่นี่คนจะเยอะคึกคักทั้งวัน
ฝรั่งนอนอาบแดดกันตั้งแต่เช้าคึกคักตั้งแต่เช้ายันค่ำที่นี่มีมินิมาร์ท ร้านอาหาร บาร์ อาหารการกินสะดวก
ส่วนราคาเราว่ามันก็เรทของบนเกาะก็ประมาณนี้แหละค่ะ ก็ถือว่าไม่แพง

เดินผ่านรีสอร์ทนี้เลยถ่ายรูปมาฝากห้องดูดีมีสกุลชื่อ "เสม็ดวิลล่ารีสอร์ท"

แอบส่องอ่าวไผ่...ดูซิค่ะครึกครื้นต่างจากอ่าวพุทราเลย

ร้านอาหารของกินเล่นมีหลากหลายที่อ่าวไผ่ค่ะ

ส่วนร้านนี้ Silver Sand Bar ตอนกลางคืนที่นี่มันส์เดี๋ยวจะมีภาพมาให้ดูกัน

ตอนเย็นทางร้านก็จะเริ่มตั้งโต๊ะบนชายหาด

ถัดจากอ่าวไผ่ก็จะเป็นหาดทรายแก้วจริงๆก็แทบจะเป็นอ่าวเดียวกันนะคะมีเพียงกองหินกั้นไว้เท่านั้น
ถ้าดูจากในรูปจะเห็นเป็นลักษณะชายหาดยาวไปเลย

ตอนเดินไปหาดทรายแก้วเห็นรีสอร์ทนึงน่ารักดีแต่อยู่บนเขาสไตล์น่ารักดีค่ะ
ชื่อ le blanc hill vintage

"หาดทรายแก้ว" เป็นชื่อที่คุ้นหูที่สุดเมื่อนึกถึงเกาะเสม็ดที่นี่ถือเป็นหาดที่นิยมสุดๆของเกาะเสม็ด
ตอนแรกที่ยังไม่ได้เดินไปก็เฉยๆน่ะแต่พอเหยียบเข้าหาดทรายแก้วรู้สึกตื่นเต้นเลย
เพราะทรายบนหาดทรายแก้วขาวและละเอียดอย่างคำที่เค้าว่ากันจริงๆด้วย
ไม่เคยไปทะเลฝั่งตะวันออกที่ไหนที่มีทรายขาวละเอียดขนาดนี้
สมแล้วเกาะเสม็ดได้รับการขนานนามว่า "เกาะแก้วพิสดาร" คงเป็นเพราะหาดทรายบนเกาะเสม็ดที่ขาว
ละเอียดสะอาดเหมือนแก้วนี่แหละ และสมัยก่อนชาวระยองก็ใช้ทรายจากเกาะเสม็ดทำแก้วด้วยน่ะ

ขาวมั้ยล่ะหมายถึงหาดทรายนะคะไม่ใช่สาวฝรั่งคนนี้ 5555

น้ำก็ใสทรายก็ขาวขนาดนี้จะไม่ให้หลงรักเสม็ดได้ยังไงล่ะค่ะ ♥♥♥

พระอภัยมณีกับนางเงือกยังหนีนางยักษ์มาอยู่ตรงนี้เลย

สาวคนนี้อดใจไม่ไหวลงไปนอนโพสท่าเกลือกกลิ้งบนหาดทรายอยากถ่ายบ้างอ่า
แต่ไม่มีใครถ่ายให้ T T

ชอบร้านขายเครื่องประดับร้านนี้มากเลยค่ะไม่ได้ชอบของที่เค้าขายนะคะชอบบรรยากาศร้าน
มันดูทะเล๊..ทะเลดี

กิจกรรมทางทะเลก็มีให้เล่นหลากหลายค่ะที่หาดทรายแก้ว
ถึงว่าที่นี่ถึงเป็นหาดยอดนิยมเพราะสามารถตอบโจทย์ได้ทุกไลฟ์สไตล์เลยจริงๆ

อันนี้คือศาลาอะไรใครรู้ช่วยบอกที???

ซื้อโรตีมานั่งกินชิวๆ ชมวิวบนชายหาดดีกว่า

น้องหมาที่นี่เยอะจริงๆคนรีวิวชอบมะหมาเลยขอเอารูปน้องหมามากฝากด้วยนะคะ ♥♥♥
ตัวสีขาวตรงกลางอยู่ที่อ่าวพุทราใครเจอก็ซื้อขนมให้เค้ากินด้วยนะคะน่าสงสารนิสัยดีน่ารักอยากเอากลับบ้าน

ตัวนี้พี่เบิ้มตัวใหญ่มากอยุ่ที่อ่าวไผ่แต่ท่าทางจะต๊องๆค่ะ น่ารักดี

พอตะวันเริ่มตกดินอ่าวไผ่ก็เริ่มกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง

แขกที่มาพักออกมาดินเนอร์ชมการแสดงควงกระบองไฟซึ่งที่นี่มีไม่กี่คนไม่อลังการเท่าร้านพลอยเสม็ดค่ะ

รูปนี้เกือบเป็นโลโก้ chanel ช่างจินตนาการจริงๆเลยเรา

ถ่ายรูปไฟไม่เป็นเลยถ่ายมาไม่สวยนะคะขออภัยด้วย ^_^
พอตกดึกความมันส์ก็เริ่มบังเกิด ร้านนี้เปิดเพลงมันส์ได้ใจเลยทองหล่อก็ทองหล่อเหอะ
ที่นี่มันส์จริงๆจ้า ^_^ ยิ่งตกดึกคนก็ยิ่งเยอะยิ่งเมายิ่งมันส์
ในชีวิตยังไม่เคยไปเที่ยวผับริมทะเลแบบนี้เลย แหม่สนุกจริงๆ (ที่นี่เหมาะสำหรับชาวสีม่วงอย่างแรง อิอิ)

หลังคืนนี้เราเมา เอ้ย มันส์กันอย่างเต็มที่พรุ่งนี้ก็คงต้องลาเสม็ดกลับไปทำงานหาเงินเพื่อทริปต่อไปกันต่อ
....
นางยักษ์ทำหน้าดุเหมือนยังไม่อยากให้เรากลับ เอ๊ะหรือจะฝากตามหาพระอภัยมณึ
เค้าอยู่หาดทรายแก้วนู่นมารออะไรตรงนี้

ไปล่ะน่ะเกาะเสม็ดต้องมาอีกแน่นอนชอบๆ ยังไปไม่ครบทุกหาดเลย
พูดจากใจไม่คิดว่าเสม็ดจะสวยขนาดนี้ อาจไม่ได้สวยที่สุดแต่สวยเกินที่คิดไว้
เพราะเราคิดตลอดว่าใครๆก็มาเสม็ดมันใกล้ฝั่งด้วยเลยไม่คิดว่าจะสวยอยู่
ไปเที่ยวเสม็ดเสร็จทุกรายจริงๆ ^_^ เพราะตอนนี้ติดใจและหลงรักเสม็ดเข้าแล้วค่ะ ♥♥♥

~♥♥♥~

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2557

5 comment

Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2557 10:46:17 น.

Counter : 1654 Pageviews.

Share
Tweet

ภูลังการีสอร์ท...ที่พักหลักร้อยกับวิวหลักล้าน

สถานที่ท่องเที่ยว : ภูลังการีสอร์ท, พะเยา Thailand
พิกัด GPS : 19° 12' 8.27" N 99° 53' 36.31" E

ดูแผนที่เพิ่มเติม

my dream destination...
คิดว่าเพื่อนๆนักเดินทางหลายคนคงมีสถานที่ในฝันกันทุกคน อาจจะเป็นในประเทศนอกประเทศก็ว่ากันไป
แต่วันนี้จะมาขอแบ่งปันสถานที่ในฝันของเราค่ะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยของเรานี่เอง
สถานที่นี้อยู่ที่จังหวัดพะเยา ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อครั้งยังไม่ได้สนใจการท่องเที่ยวมากมาย
ไม่เคยคิดว่าจะมาจังหวัดนี้เลยแม่แต่นิดเดียว แต่มาในวันนี้สถานที่ในฝันของเรากลับมาอยู่ที่นี่ จังหวัดพะเยา
...
...
สถานที่นี้คือภูลังกา อำเภอปง จังหวัดพะเยา
สถานที่แห่งถือว่าแปลกใหม่สำหรับเราเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วที่รู้จักสถานที่นี้เป็นครั้งแรกจากบล๊อกเกอร์ผู้หนึ่ง
เมื่อแรกเห็นก็ตกหลุมรักในทันทีและก็ตั้งใจว่าต้องไปสถานที่แห่งนี้ให้ได้
...
...
การเดินจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) มุ่งสู่จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ลำปาง
และต่อไปจนถึงจังหวัดพะเยา แนะนำให้ใช้ทางเส้นทางนี้ เนื่องจากสามารถเดินทางได้สะดวกที่สุด
และเป็นถนนสี่เลนตลอดเส้นทาง
จากจังหวัดพะเยา เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1021 (พะเยา-เทิง) ถึงหน้าอำเภอจุน
ถึงสี่แยกเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1021 ประมาณ 24.5 กิโลเมตร ถึงตำบลน้ำแวน อำเภอเชียงคำ
เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1176 ประมาณ 6.5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้าย เพื่อเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1179
(ฝายกวาง-บ้านดอนเงิน) ประมาณ 0.5 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหายเลข 1148
ประมาณ 14 กิโลเมตร ถึงสามแยกตัดกับทางหลวงหมายเลข 1092
จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1148 ประมาณ 2.9 กิโลเมตร ผ่านบ้านสิบสองพัฒนา
ถึงที่ทำการศูนย์วัฒนธรรมชาวเขา เลี้ยวซ้ายหักศอกเข้าสู่ถนน รพช. เพื่อมุ่งหน้าสู่วนอุทยานภูลังกา
ประมาณ 7.8 กิโลเมตร จะผ่านโครงการหลวงปังค่า โฮมสเตย์วิถีชีวิตชนเผ่ามั่งบ้านน้ำต้ม cr.kapook.com
...
...
วิวจากสองข้างทางขึ้นภูลังกาสวยมากๆ แสงแดดตอนสี่โมงเย็นส่องสะท้อนกับต้นหญ้าข้างทาง
แต่เสียดายกล้องแบตหมดอดถ่ายเลย ^_^
ที่จริงแล้วที่นี่เป็นวนอุทยานภูลังกาค่ะ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำเปื๋อย ป่าน้ำหยวนและป่าน้ำลาว
และป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยม มีเนื้อที่ประมาณ 7,800 ไร่ ข้อมูลจากเว็บไซต์อุทยานแห่งชาติ
เราแวะไปเที่ยวแต่ว่าไม่มีรูปมาฝากนะคะเพราะแบตหมดไปตั้งแต่ในตัวเมืองพะเยาแล้วค่า
ที่นี่มีที่ทำการและสามารถมากางเต้นท์ได้ค่ะ แต่ครั้งนี้เราไม่ได้มากางเต้นท์เราตั้งใจไปพักที่
ภูลังการีสอร์ท...ที่นี่แหละที่เป็นสถานที่ในฝันของเรา
...
ถ้าหากมาจากทางวนอุทยานฯ ภูลังการีสอร์ทจะอยู่ทางซ้ายมือค่ะให้สังเกตจะมีป้ายบอกตลอดทาง
เข้ามาเจอล๊อบบี้และร้านกาแฟของรีสอร์ทมีเด็กๆทั้งเจ้าถิ่นและแขกที่มาพักกำลังเล่นกับเจ้าหมาน้อยอยู่
ภาพแบบนี้ดูแล้วน่ารักอบอุ่นดีนะคะ ^_^
...
...
ที่นี่มีทั้งสถานที่สำหรับกางเต้นท์และห้องพักมีตั้งแต่หลักร้อยถึงพัน
เต้นท์คนละ 350 บาท ถ้านำเต้นท์มาเองคนละ 120 บาท ราคาห้องพักก็มีตั้งแต่ 700 บาท ถึง 3,000 บาท
...
...
ห้องแบบนี้ราคา 700 บาทค่ะพักได้ 2 คน
......
ส่วนหลังนี้ไม่แน่ใจจำไม่ได้ค่ะว่าชื่อภูอะไร
...
...
...
บ้านหลังนี้ชื่อบ้านภูสิงห์มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ราคา 3,000 บาทต่อคืนพักได้ 8 คน
ห้องนี้น่าจะเป็นห้องที่วิวสวยเพราะด้านหน้าไม่มีอะไรมาบังเลยแม้แต่น้อย ดูจากคนที่มาพักซิค่ะยืนชมวิวชิลเลย
...
...
หลังนี้(ด้านหน้าที่เป็นสีๆ) คือบ้านชมดาวพักได้ 4 คนค่ะราคา 1,500 บาท
ส่วนด้านหลัง(บ้านสีขาวๆ) บ้านภูชมฟ้าพักได้ 2-3 คน ราคา 1,500 บาท มีเครื่องทำน้ำอุ่นและโทรทัศน์
ห้องพัก 2 แบบนี้จะมีดาดฟ้าไว้สำหรับชมวิวค่ะและเป็นบ้านพักใหม่ด้วยสภาพดีเดี๋ยวไปดูวิวจากบ้าน 2 แบบนี้กัน
...
...
วิวหน้าห้องพักใหม่ก็ประมาณนี้เราว่าตรงนี้วิวดีค่ะเพราะไม่มีอะไรบังเลย
นี่ขนาดยังไม่ได้ไปยืนบนดาดฟ้านะคะ
...
...
ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปดูได้ที่เพจของภูลังการีสอร์ทเลยค่ะ
https://www.facebook.com/PhulangkaResort
ส่วนเราเลือกกางเต้นท์ค่ะคนละ 120 บาทเท่านั้นคุ้มสุดคุ้มกับวิวแบบนี้ ^_^
พอเริ่มมืดอากาศก็เริ่มเย็นพอสองทุ่มก็เริ่มง่วงกันแล้วค่ะ ก็เลยนอนพักผ่อนให้เต็มที่พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า
มาชมภาพที่รอคอยกันมาแสนนาน
...
...
เราลืมตาขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังมืดแต่ไม่รอช้าคว้ากล้องไปนั่งรอหมอกกันตั้งแต่เช้า
ถึงแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างมากแต่เราก็ได้เห็นหมอกปกคลุมเต็มพื้นที่ของหมู่บ้านด้านล่างแล้ว
แค่นั้นก็ทำเอาตื่นเต้นแล้วล่ะ
...
...
ถ้าอยากได้ภาพสวยๆแนะนำให้เดินออกมาหน้ารีสอร์ทแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอลานช่างภาพ
ถ่ายภาพกันได้โล่งๆไม่มีต้นไม้บังเลยค่ะ เสียดายมาสายไปหน่อยหมอกเริ่มจางแล้ว
...
...
สมกับเป็นลานช่างภาพจริงๆ ไม่ว่าจะกล้องเล็กกล้องใหญ่กล้องมือถือ แหม่มุมมหาชนจริงๆ
...

...
ที่ลานช่างภาพมีบ้านกำลังสร้างน่าจะเป็นบ้านพักใหม่ ดูวิวซิสุดๆไปเลย
ถ้าไปอีกรอบต้องจองบ้านหลังนี้เลย
...
...
เขาลูกนี้คือผาช้างน้อยเพราะมองคล้าย ๆ ลูกช้างในบางมุม เลยเป็นที่มาของ ต.ผาช้างน้อย
สายหมอกกำลังจะโอบล้อมภูเขาลูกน้อยๆลูกนี้
บางคนอาจสงสัยว่ามานั่งดูอะไรเป็นนานสองนาน แต่สำหรับเรา
การนั่งดูสายหมอกพัดผ่านไปทางนู้นทีทางนี้ที บางทีก็พัดมาเหมือนกำลังจะกลืนกินภูเขาทั้งลูก
มันเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาตืที่น่าทึ่ง
ไม่ว่ามนุษย์จะมีสติปัญญาหรือเงินมากเพียงใดก็ไม่สามารถจะทำได้
...
...
นั่งแช่อยู่ที่ลานช่างภาพอยู่นาน ก็กลับมาทานอาหารเช้าที่รีสอร์ท
120 บาทกับวิวสวยพร้อมอาหารเช้าด้วยน่ะจ๊ะ สุดยอดคุ้ม!!!
...
...
สถานที่สำหรับทานอาหารเช้าก็ดูเป็นธรรมชาติดีค่ะ เราคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ที่นี่ดูบรรยากาศดี
คงเป็นเพราะเค้าปลูกต้นไม้ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่ ไม้ประดับ ดอกไม้ต่างๆไว้เต็มรีสอร์ทเลยทำให้ที่นี่
ดูบรรยากาศดีและร่มรื่นมากๆ
...
...
มุมนี้เป็นซุ้มสมุนไพรต่างๆ สามารถชงดื่มได้มีกาน้ำต้มไว้บนเตาถ่าน
บรรกายากาศชาวบ้านๆแบบนี้ดูอบอุ่นดีค่ะ
...
...
ตอนทานอาหารเช้าคุณลุงแคะเหว่น (เป็นภาษาของชาวเขาแต่จำไม่ได้ว่าเผ่าอะไรนะคะ)
คุณลุงเป็นเจ้าของรีสอร์ทค่ะมาเล่าประวัติของชนเผ่าและนำ “เกีย เซน ป้อง”
จะเปรียบเสมือนพาสปอร์ตของคนในสมัยนั้นค่ะที่จำได้นิดหน่อยก็คือ
“เกีย เซน ป้อง” นี้กษัตริย์ของจีนในสมัยนั้นมอบให้กับคนจีนใช้ในการอพยพ
และชนเผ่าก็จะจดบันทึกเรื่องราวการเดินทางเมื่อผ่านไปยังสถานที่ต่างๆ
...
...
ทุกคนดูจะตั้งใจฟังคุณลุงพูดมากๆค่ะ เราก็ถ่ายรูปด้วยเลยจำไม่ค่อยได้
...
...
“เกีย เซน ป้อง” มีขนาดที่ยาวมากคุณลุงบอกว่า “เกีย เซน ป้อง” ฉบับนี้เป็นฉบับเดียวที่หลงเหลืออยู่ค่ะ
ฉบับอื่นๆถูกนำไปเผาทิ้งเมื่อครั้งตอนที่มีสงครามคอมมิวนิสต์กัน
นอกจากคุณลุงจะเล่าประวัติของ “เกีย เซน ป้อง”
คุณลุงยังเล่าประวัติของชนเผ่าตั้งแต่เมื่อสมัยอพยพมาจากเมืองจีนเข้ามาประเทศไทยได้อย่างไร
และเมื่อเข้ามาแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างไปจนถึงเมื่อครั้งคอมมิวนิสต์ที่นี่ก็เป็นฐานของคอมมิวนิสต์ด้วยนะคะ
ลานข้างล่างที่สวยๆนั่นก็เคยเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ของพวกคอมมิวนิสต์ด้วยค่ะ
จริงๆมีรายละเอียดเยอะและเรื่องราวสนุกมากๆ ถ้าคนชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์
ฟังคงเพลินแน่ๆค่ะ แต่เสียดายที่ความจำเราไม่ค่อยดีเลยเล่าได้แค่นี้อาจจะไม่ค่อยแม่นยำนะคะ ^_^
แต่ถ้าได้ฟังคุณลุงเล่าสนุกแน่นอนค่ะ
...
...
ดูวิวด้านหลังซิค่ะ นี่คือวิวตรงที่เรานั่งทานอาหารค่ะสวยสุดๆไปเลย
...
...
แสงแดดเริ่มส่องมาสายหมอกเริ่มจางไปแต่ความสวยงามยังคงไม่เปลี่ยนแปลงนะคะ
...
...
จบแล้วค่ะกับ my dream destination ของเรา
ในที่สุดก็ได้เดินทางมาที่นี่ซะที
รู้สึกคุ้มค่ามากกับภูลังการีสอร์ทเราพักที่นี่ในราคาคนละ 120 บาท
แต่วิวและบรรยากาศที่นี่เกินบรรยายจะเรียกว่าเหมือนสวรรค์แต่ก็ไม่รู้ว่าสวรรค์มันเป็นยังไง
เอาเป็นว่าใครยังตัดสินใจอยู่มาเถอะค่ะ กับที่พักหลักร้อยกับวิวหลักล้านแบบนี้ ^_^
...

Create Date : 21 มกราคม 2557

4 comment

Last Update : 21 มกราคม 2557 22:21:14 น.

Counter : 2152 Pageviews.

Share
Tweet

River Kwai Jungle Rafts...Hidden in Heaven @ กาญจนบุรี

สถานที่ท่องเที่ยว : River KwaiJungle Rafts ไทรโยค กาญจนบุรี, กาญจนบุรี Thailand
พิกัด GPS : 14° 20' 44.00" N 98° 54' 45.57" E

ดูแผนที่เพิ่มเติม

River Kwai Jungle Rafts...Hidden in Heaven @ กาญจนบุรี

เมื่อนึกถึงแพกาญจนบุรีแว๊บแรกอาจนึกถึงแพเธค ล่องไปตามแม่น้ำ 555 ^_^

ที่กาญจนบุรีมีแพหลากหลายรูปแบบ หลายเจ้าให้เลือกเข้าพักได้ตามใจแล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน

บางคนอาจชอบแพเธค บางคนชอบแพบนเขื่อน บางคนชอบแพล่องตามแม่น้ำ

แต่ก่อนไม่ค่อยคิดอยากจะนอนแพเท่าไหร่ด้วยเหตุเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์คิดว่าแพจะมีแต่ที่ที่คนเยอะๆ

แต่เมื่อได้มาเจอกับที่นี่ River Kwai Jungle Rafts ก็ถึงกับใฝ่ฝันพร่ำเพ้ออยากจะไปนอนแพให้จงได้

ด้วยเพราะทำเลที่ตั้งดึงดูดใจมากมายพร้อมด้วยไฮไลท์สำคัญของที่นี่ก็คือ ไม่มีไฟฟ้า!! (มันเรียกว่าไฮไลท์เหรอ)

จึงทำให้เริ่มหาข้อมูลและที่สำคัญหาช่วงเวลาโปรโมชั่นเพราะราคาเต็มที่นี่แอบแพงอยู่นะสำหรับเรา

ไปชมกันเลยดีกว่าว่าที่นี่จะดีมีสมกับการรอคอยหรือไม่ ^_^

การเดินเข้าถึง River Kwai Jungle Rafts นี้สามารถไปได้แต่ทางเรือเท่านั้นนะคะ

เราต้องจอดรถไว้ที่สำหรับจอดรถของรีสอร์ทที่จอดก็ดูปลอดภัยดีมีคนเฝ้าอยู่ค่ะ

แล้วก็ลงไปรอเรือที่ด้านล่างขึ้นเรือจะมีรอบ 14.00 น. 15.00 น. 16.00 น.

แต่จริงๆ พอไปถึงก็ได้ขึ้นเรือเลยนะคะ

รอบที่เราไปมีแค่กรุ๊ปเรา 4 คน แล้วก็คู่รักชาวต่างชาติอีก 1 คู่

นั่งเรือประมาณ 15 นาที มั้งค่ะ ที่ไม่แน่ใจเพราะลืมเวลาไปเลย

เพราะทัศนียภาพสองข้างทำเราเพลิดเพลินมากๆ

รูปทรงหน้าผาแปลกตาเหมือนมีถ้ำอยู่ตามหน้าผา สวยงามมากค่ะ

เรานั่งเรือผ่านหลายรีสอร์ทเลยค่ะส่วนมากก็จะเป็นรีสอร์ทในเครือเดียวกันกับ

Rever Kwai Jungle Rafts

แต่ละที่สวยๆทั้งนั้นเลย อย่างในรูปเป็นที่ The FloatHouse River Kwai

ราคาที่นี่รู้สึกว่าจะค่อนข้างสูงค่ะ

(สำหรับเราน่ะ ^_^) แต่ห้องสวยดีค่ะแต่เราดูแล้วไม่ค่อยชอบมันดูเพอร์เฟคเกินไป 555

ข้ออ้างที่จริงไม่มีตังค์

...

นั่งเรือมาสักพักก็ถึงแล้วค่ะ Rever Kwai Jungle Rafts ที่เราใฝ่ฝัน

วินาทีแรกรู้สึกชอบกับทำเลที่ตั้งมากๆ โอบล้อมด้วยธรรมชาติจริงๆ

welcome drink ของที่นี่

เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็มาชี้แจ้งว่าทานอาหารกี่โมง เล่นน้ำยังไงอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง

พอเสร็จเรียบร้อยเราก็เข้าห้อง เราได้พักห้อง 19 และ 20 เป็นทางปีกขวาของรีสอร์ท

หนึ่งแพจะมีทั้งหมด 4 ห้อง แพที่เราพักอยู่ถัดจากห้องครัว

ห้องรับประทานอาหารและล๊อบบี้เลยค่ะ

รู้สึกว่าค่อนข้างวุ่นวายถ้าใครไปแล้วขอเจ้าหน้าที่เลือกได้ขอให้หลีกเลี่ยงนะคะ 17,18,19,20

เพราะมันพลุกพล่านและเรือหางยาวก็ชอบมาจอดที่หน้าห้องด้วยค่ะ - -"

มาดูห้องพักกันบ้างดีกว่าในห้องจะมีสองเตียงค่ะ

เป็นเตียงใหญ่หนึ่งเตียงและเตียงเล็กสำหรับนอนได้คนเดียวอีกหนึ่งเตียง

จะเป็นแบบนี้ทุกห้องนะคะ ที่นี่มีทั้งหมด 62 เป็นแบบนี้ทั้งหมดค่ะ

ภายในห้องจะมีน้ำดื่ม 2 ขวด และพัด 2 อัน ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าแน่นอนค่ะว่าไม่มี

เพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ในห้องน้ำก็จะเป็นฝักบัวส่วนเรื่องน้ำใช้ไม่มีกลิ่นนะคะ สะอาดดี

ห้องน้ำที่นี่ไม่มีีประตูนะคะมีแต่ม่านเอาไว้ปิดเวลาทำธุระ

หลังห้องของทุกห้องจะมีเปลผูกไว้ด้วยค่ะตอนเช้าเรามานั่งเล่นตรงนี้

บรรยากาศดีไม่แพ้หน้าห้องเลยแถมยังสงบกว่าหน้าห้องอีกค่ะ

มองจากหน้าต่างด้านข้าง ห้องเราเป็นห้องที่อยู่ริมค่ะโชคดีมีหน้าต่างด้านข้าง

ส่วนของเพื่อนเราอยู่ตรงกลางถ้าไม่ได้เปิดหน้าต่างด้านหน้าห้องก็มืดเลยค่ะ

ตะเกียงอันน้อยที่จะสำคัญกับเรามากๆในเวลากลางคืนค่ะ

ทางเดินระหว่างแพจะอยู่ด้านหน้าห้องแบบนี้ค่ะเลยออกจะจอแจไปนิดนึง

และเปียกอยู่ตลอดเวลา

เพราะคนที่เล่นน้ำก็จะเดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณนี้ตลอด

...

พอสำรวจห้องสักแป๊บเราก็จะไปทำบุญที่วัดมอญที่หมู่บ้านมอญด้านหลังรีสอร์ทนี่เองค่ะ

ตอนเดินไปมีช้างมาเล่นน้ำด้วย

ที่นี่มีชาวบ้านประมาณร้อยกว่าคนค่ะ ในนี้มีวัดและมีโรงเรียนด้วยนะคะ

ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ทำงานที่รีสอร์ทนั่นแหละค่ะ พูดภาษาไทยยังไม่ค่อยได้

แต่ภาษาอังกฤษพวกนี้เค้าพูดได้ลื่นไหลเลยสำเนียงดีซะด้วย

...

เราตั้งใจจะไปทำบุญกันอยู่แล้วแต่ตอนแรกจะไปทำที่วัดอื่น

แต่ลองถามรีสอร์ทดูว่าที่วัดมอญมีพระจำวัดอยู่หรือไม่

ทางรีสอร์ทบอกมีเราก็เลยคิดว่ามาทำที่นี่จะดีกว่า

เพราะที่นี่เป็นวัดป่าน่าจะมีความต้องการมากกว่าวัดที่อยู่ในเมือง

ก็คิดไม่ผิดนะคะที่เลือกมาทำที่นี่ เพราะเราถามหลวงพี่ที่วัดว่ามีอะไรที่จำเป็นมากๆ

แล้วขาดอยู่มั้ยหลวงพี่ก็บอกว่าที่นี่เป็นวัดป่าถ้าจะถามว่าขาดอะไรมั้ย

มันก็ขาดทุกอย่างนั่นแหละจะนำอะไรมาถวายก็ได้

ใครจะไปเที่ยวที่นี่ก็อย่าลืมนำของไปทำบุญด้วยนะคะไปเที่ยวสุขกายแถมยังสุขใจด้วย

เราว่าพวกยาต่างๆก็น่าจะดีค่ะ ยาลม ยาดม ยาหม่อง

งของจำเป็นในชีวิตประจำวันน่าจะสำคัญอยู่

ที่เห็นกะละมังในรูปหลวงพี่บอกเอามารองน้ำฝนค่ะเพราะหลังคารั่ว

และที่นี่ก็ใช้เป็นทั้งกุฏิ อุโบสถ ใช้เป็นทุกอย่างเลยละคะเพราะมีอยู่หลังเดียว

ที่นี่มีพระจำวัดอยู่ 4 รูป และแมวอยู่หลายตัวค่ะ หลวงพี่ท่านเลี้ยงไว้

นั่งคุยกับหลวงพี่สักพักหลวงพี่ก็ไล่ เอ้ยบอกว่าฝนจะตกแล้วรีบกลับเถอะโยม

และแล้วฝนก็ตกจริงๆติดฝนอยู่ที่หมู่บ้านมอญสักพักก็เดินกลับที่พักค่ะ

...

พอกลับมาถึงก็รีบไปเล่นน้ำทันทีเลยเพราะกลัวจะมืดจนเกินไปทีแรกไม่กล้ากระโดดค่ะ

เพราะมองดูแล้วเหมือนน้ำมันเชี่ยวมาก ทำใจอยู่สักพักให้เพื่อนกระโดดไปก่อน ^_^

พอเห็นท่าว่าโอเคก็โดดเลยค่า

ส่วนมากคนจะไปกระโดดที่ต้นแพคือฝั่งซ้ายของแพแล้วก็ลอยไปขึ้นที่ท้ายแพ

ก็ลอยกันไปมาอย่างนี้แหละค่ะสนุกดี

แทบไม่ต้องว่ายน้ำเลยเพราะสายน้ำจะพาเราไปเอง มีตอนเรือมานั่นแหละค่ะ

จ้วงกันมันเลย ^_^

อันนี้นึกว่าแม่ชีลอยน้ำซะอีก 555

เล่นน้ำกันจนเย็นก็ขึ้นมาอาบน้ำเตรียมทานอาหารเย็นตอน 19.00 น. ที่นี่จะทานพร้อมกันหมดค่ะ

จะมีพนักงานเคาะระฆังแล้วก็ตะโกนว่า Dinnerrrrr อารมณ์เหมือนโรงอาหารเลย

อาหารเย็นรวมในค่าห้องแล้วนะคะ เราจองราคา 2,600 ต่อห้องค่ะก็ตกคนละ 1,300 บาท มีอาหารเช้า,ดินเนอร์

ด้วยควาที่เราอาบน้ำเร็วปานสายฟ้าเสร็จก่อนเพื่อนๆเลยออกมาเดินเล่นหน้าห้องก็เจอบรรยากาศสวยๆแบบนี้ค่ะ

พระจันทร์ขึ้นเร็วมากวันที่ไปใกล้วันอาสาฬหบูชาซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ

พระจันทร์ในคืนนั้นเลยสวยมากดวงใหญ่กลมโตและสว่างมากๆด้วย

แถมยังมีหมอกบางๆปกคลุมยอดเขาอีกตั้งหากสวยยยย อย่าบอกใครเลย..

(ไม่ต้องบอกใครน่ะ อิอิ)

รีสอร์ทเริ่มมืดเจ้าหน้าที่ก็เริ่มจุดโคมไฟกันแล้ว

ได้เวลาดินเนอร์ และชมระบำมอญกันแล้วค่ะ

ที่นี่ทานอาหารเย็นเวลา 19.00 น.ค่ะ

พอมารวมกันที่ส่วนทานอาหารถึงรู้ว่าวันนี้คนเยอะม๊ากกกก

เต็มทุกที่นั่งเลยค่ะฝรั่งท้างน้านนนนน มีคนไทยแค่สามกลุ่ม

อาหารก็มีแกงฟักใส่กะทิรสชาติคล้ายๆต้มข่าไก่ น่องไก่ผัดน้ำมันหอย ผัดดอกกะหล่ำ ผัดถั่วฝักยาว ผัดบวบ

ทั้งหมด 5 อย่าง กินกันสี่คนเกือบไม่หมดนะคะ หมูไก่นี่เต็มจานเลยค่ะ

พอพนักงานเห็นอาหารหมดก็มาถามเราว่าจะเติมอีกมั้ย

ดีจังเติมได้ด้วยบางที่ไม่ให้เติมเลย แต่เราก็อิ่มแล้วเลยไม่ได้เติมอีก

ทานอาหารเสร็จก็จะมีพนักงานมาขายตั๋วชมระบำมอญนะคะ เราไม่ได้ซื้อแบบเป็นแพ็คเกจ

เลยต้องซื้อเพิ่มราคา 150 บาท โชว์เริ่มตอนสองทุ่มครึ่งโชว์ครึ่งชั่วโมงค่ะ

(เวลาไม่ค่อยชัวร์แต่ประมาณนี้แหละค่ะ)

เรารีบไปจองที่กันเลยได้นั่งหน้าสุด เวทีดูขลังๆดีนะคะ

ที่นี่ดูในรูปสว่างเหมือนมีไฟใช่มั้ยค่ะแต่จริงๆแล้วไม่มีค่ะเป็นไฟจากตะเกียงเจ้าพายุทั้งนั้นเลยสว่างมาก

นั่งแปบเดียวการแสดงก็เริ่มค่ะมีโฆษกออกมาพูดฟังไม่ออกเลยพูดภาษาปะกิด ^_^

จับใจความได้ประมาณว่าคืนนี้มีโชว์อะไรบ้างนั่นเอง จากนั้นการแสดงก็เริ่มขึ้นแบบ

non stop

พี่ผู้ชายเสื้อฟ้าคนนี้รำเก่งมากค่ะดูแล้วน่าจะอยู่ในวงการมานาน ^_^

นักแสดงเหล่านี้เป็นคนมอญทั้งหมด ระหว่างการแสดงก็จะร้องเพลงเป็นภาษามอญไปด้วย

ฟังไม่รู้เรื่องเลย...แหมถ้ารู้เรื่องก็แปลกแล้ว

รู้สึกประทับใจกับการแสดงมากค่ะเกิดมาก็ไม่เคยจะได้ดูแบบนี้เลย

ระบำมอญจะเป็นการรำที่รวดเร็วต่างจากการรำแบบไทยนะคะเร็วมากๆ เน้นที่ช่วงขา

คนรำน่าจะมีช่วงขาที่แข็งแรงมากๆอย่าไปหือนะคะเดี๋ยวโดนเตะ 555

แต่การรำมอญหรือระบำมอญมีที่มานะคะ จะเล่าประวัติให้ฟังเคยดูมาจากรายการเทยเที่ยวไทยค่ะ

เค้าบอกว่าระบำมอญมีที่มาจากคนไทยนี่แหละค่ะ

ตอนสมัยรบกับพม่าเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนู่น เมื่อคนไทยเสียกรุงให้กับพม่า

คนไทยถูกจับไปเป็นเชลย พม่าเนี่ยรู้ว่าคนไทยรำสวย เลยเรียกคนไทยมารำให้ดู

แต่คนไทยที่ถูกจับไปเป็นเชลยก็รำให้ดูแบบไม่ได้ตั้งใจรำ รำไปส่งๆ เตะซ้ายเตะขวาไปเรื่อย

แหมก็ไปในฐานะเชลยจะให้ไปเต็มใจรำคงฝืนน่าดู แต่พม่าดันชอบซะงั้น เลยนำไปประยุกต์เป็นท่ารำของตัวเอง

ท่าของระบำมอญ รำมอญ หรือระบำโยเดียเนี่ยจึงมีลักษณะเตะเท้าไปมาถ้าใครได้ดูก็ลองสังเกตนะคะ

ยาวไปหน่อยนะคะ ^_^ พิธีกรรายการบอกมาว่าเคยได้ยินมาแบบนี้ถ้าใครมีข้อมูลก็มาแชร์กันได้นะคะ

อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นแบบนี้จริงรึเปล่า

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วค่ะเราก็กลับห้อง อากาศตอนกลางคืนไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่นะคะ

เรานอนห่มผ้าทั้งคืนเลย แต่ถ้าใครขี้ก็พกพัดลมแบบใส่ถ่านมาด้วยก็ได้ค่ะจะได้นอนสบาย

บรรยากาศตอนกลางคืนที่นี่ก็มืดดีค่ะ ^_^ ก็ดูโรแมนติกดีนะคะ

นั่งคุยกันหน้าห้องสักพักก็พากันเข้านอน แนะนำว่าให้เล่นน้ำเยอะๆเลยค่ะถึงตอนกลางคืนจะได้หลับสบายๆวันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้ากะว่าจะออกมาดูหมอกหน้าห้องสักหน่อยแต่ไม่มีเลยเสียดายจังแต่อากาศยามเช้าสดชื่นมากๆอากาศเย็นใช้ได้เลยค่ะ

เช้านี้ยังไม่มีใครตื่นแพนี้เลยเป็นของเรา 5555 เงียบต่างจากเมื่อวานมากๆ

ตื่นเช้าไม่มีอะไรทำก็เดินไปเดินมาไปนอนเล่นหลังห้อง เจอหมอกซะด้วย

หมอกน้อยๆ ก็ยังดี ^_^

มองจากหลังห้องเห็นช้างอยู่ตรงสะพานก็เลยรีบไปดู ช้างน่ารักมากๆ

ฝรั่งดูจะชอบช้างกันมากๆ เราก็ชอบช้างเป็นสัตว์น่ารัก ไม่รวมเวลาโกรธนะคะ 55

คนนี้ดูจะชอบเป็นพิเศษนั่งเล่นกับช้างอยู่นานเลยพร้อมกับพูดตลอดว่า fantastic พร้อมกับเอามือลูบช้าง

ฝรั่งยังรักช้างแล้วช้างเป็นสัตว์ประจำชาติเรา รักช้างและช่วยกันอนุรักษ์ช้างด้วยนะคะ

ประทับใจกับน้องช้างแล้วก็เดินเล่นบนรีสอร์ท ชอบที่นี่อยู่อย่างนึงค่ะ

เค้าปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้เยอะมากหน้าแพนี่มีดอกไม้บานทุกแพเลยค่ะ

สำหรับเราคิดว่าดอกไม้เหล่านี้มันทำให้แพดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากๆเลยทีเดียวลองคิดดูว่าถ้าไม่มีดอกไม้

ที่นี่อาจจะดูจืดๆไปเลยด้วยซ้ำ

ชาวต่างชาติเล่นน้ำกันแต่เช้าเลยค่ะ คงจะชอบกันมากๆเลย

รู้สึกดีนะคะถ้าพวกเค้าประทับใจกับการมาเที่ยวบ้านเรา

ตอนเช้าน้ำลงค่อนข้างมากเลยค่ะ จนสันทรายฝั่งตรงข้ามโผล่ขึ้นมาเลยมีหลายคนลอยน้ำไปขึ้นที่ฝั่งนู้นก็มี

ใครเล่นน้ำจนปวดเมื่อยตัวที่นี่ก็มีบริการนวดด้วยนะคะ

มีบางคนบอกว่าที่นี่ราคาค่อนข้างสูง และก็มองว่าที่นี่ไม่มีอะไรเลย แต่สำหรับเราชอบค่ะ

บรรยากาศที่นี่เหมาะกับการมาพักผ่อนมากๆ ใครชอบที่พักแบบสงบๆแนะนำที่นี่เลย

ได้เวลาต้องกลับแล้วไม่รู้ว่าเช็คเอ้าท์กี่โมงแต่เค้าจะถามเราตั้งแต่วันแรกที่มาว่าจะกลับกี่โมง

เราออกจากที่นี่ 11.00 โมงค่ะ เมื่อถึงเวลาก็มีเรือมารับ

สรุปว่าประทับใจกับที่นี่มากค่ะถ้ามีโอกาสกลับมาอีกแน่นอน

ลาก่อน River Kwai Jungle Rafts.

Create Date : 02 สิงหาคม 2556

7 comment

Last Update : 6 สิงหาคม 2556 20:29:14 น.

Counter : 1818 Pageviews.

Share
Tweet

♥...ล่องเรือ ชมทะเลทราย ถ่ายดอกไม้ นอนหงายดูดาว@อุบลราชธานี...♥

สถานที่ท่องเที่ยว : สามพันโบก ผาชะนะได น้ำตกสร้อยสวรรค์ น้ำตกแสงจันทร์, อุบลราชธานี Thailand
พิกัด GPS : 15° 47' 35.98" N 105° 24' 1.70" E

ดูแผนที่เพิ่มเติม

ล่องเรือ ท่องทะเลทราย ถ่ายดอกไม้ นอนหงายดูดาว @อุบลราชธานี
เมืองนี้ที่คนคิดว่าไม่ค่อยมีอะไรเที่ยว แต่ที่จริงมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะเลยค่ะ
ไป 3 วัน 2 คืน ยังไม่เพียงพอต่อการท่องเที่ยวที่อุบลแห่งนี้เลย

ไปเที่ยวอุบลครั้งนี้ได้ไปหลายสถานที่เลยค่ะเรียกว่าเที่ยวจนคุ้ม ที่แรกที่เราไปก็คือ "สามพันโบก" ค่ะเพื่อนของเราหลายคนๆยังไม่รู้จักที่นี่ แอบเสียดายนิดๆ ททท. อุตส่าเอาพี่เบิร์ดมาเป็นพรีเซนเตอร์โปรโมทสามพันโบก ยังไม่รู้จักกันอีกเหรอเนี่ย ^_^

เราไปถึงอุบลก็มืดค่ำแล้ววันแรกก็เลยไม่ได้ไปไหน พอเจอกับอาจารย์เรืองประทินเจ้าของบ้านสวนณัชชนา ที่เราพักอาจารย์ก็ชวนไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตอนเช้า อาจารย์นัดเจอกันตีห้าครึ่งเราก็รีบนอนเช้าก็รีบตื่นเลยค่ะ

ตื่นไปได้ดูท้องฟ้าสีสวยๆแบบนี้คุ้มค่ากับการตื่นเช้าจริงๆเลยนะคะ

แสงพระอาทิตย์ยามเช้าสะท้อนกับลำน้ำโขงช่างสวยงามเกินบรรยายจริงๆ

หินที่ยื่นออกมาตรงนี้เค้าเรียกว่าผาวัดใจค่ะ อาจารย์เรืองประทินพาไปถ่ายถ้าให้ไปเองคงหาไม่เจอแน่ๆค่ะ

แดดเริ่มมาแล้วเราก็นั่งเรือเพื่อจะไปตรงที่เค้าเรียกว่าสามพันโบก สามพันโบกก็คือสามพันหลุมนั่นแหละค่ะโบกก็คือหลุมนั่นเอง หลุมพวกนี้ก็เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำนั่นเอง

น้ำกัดเซาะจนเกิดเป็นโบกรูปร่างหน้าตาแปลกมากมายบางโบกก็มีคนตั้งชื่อให้แล้วแต่บางโบกก็ยังไม่มีชื่อก็แล้วแต่ใครจะจินตนาการว่ามันจะเหมือนรูปอะไร

สระนี้เค้าเรียกกันว่าสระมรกตค่ะ น้ำใสใช้ได้เลยแต่เราแอบกลัวเพราะมองลงไปก็จะเป็นหลุมต่างๆมันชวนหลอนๆยังไงก็ไม่รู้ หรือว่าดูภูติแม่น้ำโขงก็เลยฝังใจมั้ง อิอิ

จากสามพันโบกเรานั่งเรือต่อไปเที่ยวทะเลทรายกันค่ะ ประเทศไทยก็มีทะเลทรายด้วยน่ะ ^_^

ที่นี่คือหาดหงส์ค่ะเป็นหาดทรายเล็กๆริมฝั่งโขงถ่ายรูปออกมาดูคล้ายๆกับทะเลทรายเลยค่ะ

ถ่ายรูปสักพักเราก็กลับที่พักเก็บข้าวเก็บของเดินทางต่อค่ะ เราจะไปที่นี่ "น้ำตกสร้อยสวรรค์" ค่ะ

แต่ความตั้งใจของเราไม่ได้อยากจะไปเล่นน้ำตกหรือว่าอยากจะไปดูน้ำตกเท่าไหร่นะคะ ความตั้งใจของเราที่มาที่นี่ก็เพื่อสิ่งนี้ค่ะ

ดอกไม้สีสันสวยงามเป็นความตั้งใจของเราที่จะมาที่นี่ตั้งแต่แรก มาแล้วไม่ผิดหวังทุ่งดอกไม้เล็กๆกว้างใหญ่มีดอกไม้เยอะแยะแต่ถ่ายมาไม่หมดเพราะร้อนเหลือเกินจนแทบจะเป็นลมแดด ใครอยากไปลองเสิร์ชหาข้อมูลดูได้นะคะ "ทุ่งดอกไม้ที่น้ำตกสร้อยสวรรค์หรือป่าดงนาทาม" ใครชอบดอกไม้คงชอบที่นี่ค่ะ

ถ่ายรูปสักพักเราก็ต้องออกเดินทางต่อค่ะเพราะต้องใช้เวลาพอสมควรในการขึ้นผาชะนะไดเพราะทางค่อนข้างสมบุกสมบันเหมาะกับรถ 4WD คืนนนี้เราจะกางเต้นท์นอนที่นั่นเพื่อรอดูแสงแรกแห่งสยามกันค่ะ

คืนนี้ดาวเต็มท้องฟ้ามองเห็นดาวตกหลายดวงเลย ตอนอยู่กรุงเทพฯจะหาดาวสักดวงบนท้องฟ้ายังหายากเลย

คืนนี้รีบเข้านอนค่ะพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นแต่เช้าไปดูแสงแรกก่อนใคร ^_^

ตื่นแต่เช้าตรู่ฟ้ายังมืดพยายามเดินคลำทางเพื่อไปรอชมพระิอาทิตย์ ระหว่างรอก็ได้เห็นแสงสวยๆแบบนี้อีกแล้วมีความสุขจริง จริ๊ง นั่งดูวิวของสองฝั่งแม่น้ำโขงมองไปอีกฝั่งก็คือ สปป.ลาว แล้วค่ะ

ในที่สุดพระอาทิตย์ก็โผล่มาสักที ถึงวันนี้พระอาทิตย์จะไม่กลมโต สีแดงสวยงาม แต่ได้เห็นแค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ

พอพระอาทิตย์ขึ้นทุกคนต่างก็แยกย้าย เราก็กลับไปเก็บเต้นเตรียมตัวเดินทางกลับไปทำงาน ไปเผชิญกับความเป็นจริง หมดเวลาสนุกแล้วซิ หมดเวลาสนุกแล้วซิ - -"

ขากลับแวะไปเที่ยวน้ำตกลงรูมาขนาดนี้ถ้าไม่ได้แวะสถานที่ Unseen Thailand อย่างน้ำตกลงรูหรือน้ำตกแสงจันทร์ คงจะน่าเสียดายแย่นะคะ แต่เสียดายน้ำน้อยไปหน่อยค่ะ

คงถึงเวลากลับบ้านจริงๆแล้วเวลาแห่งความสุขหมดไปอย่างรวดเร็ว ตอนนั่งทำรีวิวก็คิดถึงอยากกลับไปเที่ยวอีกแล้ว แต่ก็ต้องทำงานโถ..อนิจจามนุษย์เงินเดือน - -"

สำหรับคนที่ยังไม่รู้อยากจะบอกว่าอุบลราชธานีมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมายเลยค่ะ ไม่ควรมองข้ามจังหวัดนี้เลยนะค่ะ ใครมีโอกาสก็ลองมาเที่ยวดู

"เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้"จริงๆค่ะ

Create Date : 30 กรกฎาคม 2556

1 comment

Last Update : 30 กรกฎาคม 2556 14:24:58 น.

Counter : 3165 Pageviews.

Share
Tweet

1 2