Keeping an eye on pop culture. Because I said so.
Group Blog
 
All Blogs
 

มีอะไร ในหนังสือคนดัง...?

เรื่อง : แหนง-ดู 04-10-2006

“ไคลี มิโน้ก” นักร้องสาวเซ็กซี่จากออสเตรเลียเพิ่งจะมีหนังสือสำหรับเด็กเล่มแรกของเธอมาวางจำหน่ายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังสือเล่มนี้ ไคลี ใช้เวลาในช่วงพักฟื้นจากการรักษาโรคมะเร็งทรวงอกเมื่อปีที่แล้วเขียนขึ้นมา

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านั้นในปี 2003 ราชินีเพลงป๊อป “มาดอนนา” ละทิ้งความเป็น “แมทีเรียล เกิร์ล” ไปสร้างสรรค์หนังสือเพื่อเด็ก The English Roses ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นหนึ่งในหนังสือภาพที่ขายได้เร็วที่สุดตลอดกาล แม้ว่านักวิจารณ์จะไม่ปลื้มก็ตามเถอะ

ผู้เชี่ยวชาญในวงการสิ่งพิมพ์เมืองนอกบอกว่า หนังสือที่เขียนโดยคนดังนั้นกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น นั่นจึงทำให้คนดังหันมาเขียนหนังสือมากขึ้น ตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า อดีตสมาชิกวง เดอะ บีเทิลส์ “พอล แม็คคาร์ทนีย์” รวมทั้ง “เจย์ เลโน” พิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดังก็ได้เซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์เพื่อออกหนังสือสำหรับเด็กในอนาคต

ดูเหมือนว่า .. หนังสือเด็กเป็นทางเลือกที่คนดังเมืองนอกเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับการเขียนหนังสือเล่มแรก ถึงแม้ว่าออกมาแล้วจะขายได้หรือไม่ จะได้รับคำวิจารณ์ในแง่ดีหรือเลว ... ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าหันมาดูแวดวงบันเทิงไทย “หยาดทิพย์ ราชปาล” ก็เพิ่งจะออก “หนูไม่ใช่...คาสโนวี่” เพื่อที่จะบอกใครๆ ว่า ข่าวที่ว่าเธอเจ้าชู้เยอะนั้นไม่จริงเลย และแม้จะบอกว่า พ็อกเกตบุ๊กเธอไม่ตั้งใจจะแฉใคร แต่น้องหยาดก็เขียนถึงผู้ชายที่เป็นข่าว ทั้งที่เป็นแฟนและไม่ใช่ ทั้งพระเอกดาวรุ่ง นักร้องหนุ่มชื่อดัง หนุ่มไฮโซ ฯลฯ ไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วย

หรือถ้าจะย้อนหลังไปเมื่อเดือนก่อน “น้องแน็ท” ดาวหนังเรตเอ็กซ์ชื่อดังก็ได้นำเรื่องราวส่วนตัวของเธอมาตีพิมพ์ให้ได้อ่านกันอย่างลึกซึ้งถึงกึ๋น หรือ สาวเซ็กซี่อย่าง “หญิง-จุฬาลักษณ์ กฤติยารัตน์” ก็ออก พ็อกเกตบุ๊กชื่อ “อ่อย” (Seducation เปิดยุทธการอ่อย โปรยเสน่ห์จับผู้ชายให้อยู่หมัดภายใน 10 นาที) เพื่อแฉคนดังที่เคย “กิ๊ก” กับเธอ มาก่อน

อาจจะไม่ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่เมื่อคนดังบ้านเราคิดจะเขียนหนังสือแล้วละก็มักจะหนีไม่พ้นหนังสือประเภท “แฉแหลก” ไม่ว่าจะ “แฉวงการ” หรือ “แฉตัวเอง” ความจริงแล้ว เรื่องแฉๆ ที่เมืองนอกก็มี แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เฟื่องฟูหรือเยอะเสียน่าเบื่อ ... !?

หนังสือของคนดังนั้นขายดี เพราะว่า ความอยากรู้อยากเห็นของคนอ่าน นอกจากนั้นแล้วก็คงจะไม่ผิดถ้าจะบอกว่า การประชาสัมพันธ์และการตลาดนั้นมีส่วนอย่างยิ่ง นี่คือ “เทรนด์” เมื่อหนังสือและ นักเขียนกลายเป็น “แบรนด์” สิ่งที่ตามมาคือ การทำพีอาร์และมาร์เก็ตติ้ง เป็นเรื่องปกติ

ในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์นั้น นักเขียนจริงๆ ก็เคยออกอาการน้อยใจ เมื่อคนดังได้รับค่าตอบแทนมากกว่านักเขียนอาชีพ ที่เมืองนอกเขาก็เป็นเหมือนกัน

อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่อง “เงิน”

ไม่น่าเศร้าหรอกหรือ ... ที่ผู้ซึ่งไม่เคยข้องเกี่ยวกับวงการหนังสือ คนที่ไม่มีความสามารถทางด้านการเขียนจริงๆ แต่ทว่ามีชื่อเสียงเป็นคุณสมบัติที่ทำให้พวกเขามีพ็อกเกตบุ๊กเป็นของตัวเองออกมาอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพยายาม ออกมาแล้วก็มีคนสนใจอ่าน เพราะว่า แรงพลักดันของการประชาสัมพันธ์และการตลาด

ขณะที่คนซึ่งมีความสามารถทางด้านการเขียนนั้นกว่าจะได้หนังสือออกมาสักเล่ม และหนังสือที่พิมพ์ออกมาเพียง 3 พันเล่ม ออกวางแผงแล้วก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะขายหมด (ต้องส่งเข้าประกวดรางวัลซีไรต์ --- เผื่อว่าจะขายดีขึ้น)

คิดแล้วก็เศร้าแทนเหมือนกัน @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 17:07:08 น.
Counter : 299 Pageviews.  

ขอ ' ใจ ' เธอหน่อยได้ไหม ?

เรื่อง : แหนง-ดู 04-10-2006

From : nd@pt.com
To : posh@prettyishmedia.com
Subject : จิตสำนึกในการให้บริการ ... ไม่มี

วันก่อนฉันนัด “หญิงเหมียว” ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสใกล้บ้าน (ของหญิงเหมียว) หลังเดินออกจากรถไฟฟ้าฉันก็รู้สึกกระหายน้ำ จึงเดินไปสั่งกาแฟเย็นที่ร้านกาแฟบนสถานีรถไฟฟ้า ร้านเล็กๆ นั้นมีพนักงานทำงานอยู่คนเดียว และเธอกำลังทำบัญชีอะไรสักอย่างอยู่ตอนที่ฉันไปถึง

“กาแฟเย็นแก้วใหญ่ค่ะ”

พนักงานสาวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉันแล้วไม่พูดอะไร กลับไปก้มหน้าก้มตาทำบัญชีต่อ คงจะติดพันอยู่น่ะ ระหว่างนั้นฉันก็เลยก้มหน้าหาหยิบสตางค์ในกระเป๋า เสร็จแล้วก็หันกลับไปมอง พนักงานคนนั้นยังคงก้มหน้าก้มตาทำบัญชีอยู่เหมือนเดิม เอ๊ะ!!!

“น้องคะ กาแฟเย็นแก้วใหญ่ค่ะ” เงียบ ... ยังไงกันเนี้ย!!!

“จะขายมั้ยคะ หรือว่าจะทำบัญชีต่อ ... ”

เธอเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วทำท่าเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน

“ขายค่ะ ขาย”

จากนั้นเธอก็กุลีกุจอชงกาแฟ ตักน้ำแข็ง เทกาแฟใส่แก้ว ... เสร็จอย่างรวดเร็ว

พอช ... ถ้าเพียงแต่เธอหันมาบอกฉันสักคำว่า รอสักครู่นะคะ แล้วเธอจะกลับไปทำบัญชีต่อนานกว่านั้นอีกหน่อย ฉันก็อาจจะไม่ต้องอารมณ์เสีย แต่เธอกลับไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งยังไม่มี ทีท่ากระตือรือร้นที่ฉันมาใช้บริการร้านของเธออีก ฉันก็รู้สึกผิดนะ พอช ที่ต้องไปแว้ดใส่น้องเขาอย่างนั้น แต่ในฐานะลูกค้าฉันก็คาดหวังว่าควรจะได้รับบริการที่ดีกว่านี้

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อฉันและก๊วนไปรับประทานอาหารและดื่มฉลองวันศุกร์ ร้านนี้เขาปิดตี 1 แต่ว่าเที่ยงคืนครึ่งเขาก็เริ่มเก็บของ ปิดครัว และเตรียมตัวกลับบ้านแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวจะกลับเหมือนกัน แต่ว่า ... เครื่องดื่มยังเหลืออีกนิดหน่อยก็เลยขอ เมื่อขอสั่งน้ำดื่มเพิ่มอีกขวดและน้ำแข็งอีกถัง ... ใจร้ายเนอะ น้ำกับน้ำแข็งมันไม่จำเป็นต้องใช้เวลาปรุงซะหน่อย แค่มีกะใจที่จะหยิบให้สักนิดมันก็จบ และลูกค้าก็จะเกิดความประทับใจด้วย ... นั่นล่ะ เราก็เลยตั้งใจว่า จะไม่กลับไปร้านนี้อีก

จากทั้ง 2 กรณี ฉันสันนิษฐานว่าเกิดเพราะพนักงานไม่มี เซอร์วิส มายด์ ซึ่งก็ควรจะรวมถึงยิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือร้น รวดเร็ว ครบถ้วน มีคุณภาพ มีคุณค่า น่าประทับใจ สุภาพ อ่อนโยน อดทน เก็บอารมณ์ ให้ความสำคัญกับลูกค้า ฯลฯ ทั้งหมดทำให้ลูกค้าพึงพอใจ มัดใจลูกค้า และทำให้เขากลับมาใช้บริการอีก

วันนั้นนอกจากรู้สึกผิดที่แว้ดน้องคนขายกาแฟ ฉันก็ยังรู้สึกผิดเป็นครั้งที่ 2 คือ ฉันเดินถือกาแฟเย็นแก้วนั้นไปถึงฟิตเนส ไม่ยอมดูดสักคำเดียว เพราะฉันแอบคิดในแง่ลบว่า ถ้าเกิดน้องคนนั้นเอาอะไรใส่เข้าไปในถ้วย ตอนที่เธอเดินไปตักน้ำแข็งหลังร้าน อะไรบางอย่างที่มันไม่ควรกิน (อย่างที่ฉันเคยเห็นในหนังที่พวกพนักงานเสิร์ฟชอบทำกับลูกค้าขาวีนทั้งหลาย - หยืยยย) ฉันก็เลยไม่กล้าดื่ม แต่เมื่อถึงฟิตเนสฉันก็วางกาแฟเย็นไว้บนโต๊ะ เมื่อหญิงเหมียวเห็นเข้าก็ถาม

“อะไรอ่ะ” “กาแฟเย็น” ว่าแล้วหญิงเหมียวก็ฉวยแก้วขึ้นมาดูดปื้ดใหญ่ “อืม อร่อยดีนี่ อิ่มแล้วเหรอ งั้นขอกินหมดเลยน่ะ”

เออ คือว่า !!!??? @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 17:04:24 น.
Counter : 181 Pageviews.  

ทำ ‘เพื่อชีวิต’ คนอื่น ... ซะบ้าง?

เรื่อง : แหนง-ดู 03-10-2006
แม้งานจะยุ่งระดับน้องๆ “คปค.” แต่เมื่อถึงวันหยุด เราก็ต้องพักกันบ้าง ... ว่าแล้ว วันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนก็เลยตัดสินใจไปหย่อนอารมณ์กับอะคูสติก คอนเสิร์ตชื่อว่า “ทุ่งฝันตะวันรอน” โดยลุง เอ๊ย ... น้าแอ๊ด คาราบาว

แต่ ... ชีวิตก็เป็นซะอย่างนี้ ตั้งใจจะไปคลายเครียด กลับต้องเจอเรื่องเครียดยิ่งกว่าเก่าอีก!!!

วันนั้น หอประชุมปรีดีพนมยงค์ ในซอยทองหล่อ คราคร่ำไปด้วยแฟนๆ ของ น้าแอ๊ด รวมทั้งแฟนของ คาราบาว ส่วนใหญ่จะปรากฏตัวในเครื่องแบบ “เพื่อชีวิต” ในรูปแบบที่คล้ายคลึงใกล้เคียงกับศิลปินเจ้าของงานกันทั้งนั้น ซึ่งก็สร้างสีสันและแสดงถึงความเป็นหมู่เหล่าเดียวกันได้เป็นอย่างดี

เมื่อถึงเวลาเข้าไปชมคอนเสิร์ตในหอประชุมก็ปรากฏว่า ที่นั่งข้างหลังเราเป็นหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง พวกเขาแสดงตัวเป็นแฟนเพลงคาราบาวด้วยเครื่องแต่งกายแบบเต็มยศ โดยเฉพาะผู้ชายนั้นแต่งตัวเหมือนน้าแอ๊ดซะ “ยิ่งกว่าแกะ” !!!

หลังจากมาถึงได้สักครู่ พวกเขาก็เริ่มต้นคุยกันซะลั่น โดยไม่จำเป็นต้องแอบฟัง ใครๆ ก็ได้ยินได้รู้ว่า พวกเขาเป็นอดีตนักศึกษาจากรั้วสถาบันชั้นสูงแห่งหนึ่ง เป็นแฟนเพลงของศิลปินเพื่อชีวิตกลุ่มต่างๆ ไปดูคอนเสิร์ตนู่นนี่มาแล้ว ฯลฯ กว่าคอนเสิร์ตจะเริ่ม คนที่นั่งข้างๆ ก็เกือบจะเผลอไผลนึกว่า สนิทสนมคุ้นเคยกันดี เพราะรู้เรื่องพวกเขาเกือบจะทุกซอกมุม

ในเมื่อคอนเสิร์ตยังไม่เริ่ม จะคุยก็คุยไป ใครจะว่า ...

เมื่อถึงเวลา ... น้าแอ๊ด และเพื่อนพ้องนักดนตรีก็ขึ้นเวที คนดูก็ส่งเสียงปรบมือเป่าปากต้อนรับกันคึกคัก ซึ่งกลุ่มข้างหลังเราก็ไม่พลาดอยู่แล้ว

ด้วยคอนเสิร์ตครั้งนี้ น้าแอ๊ดอยากจะลองเล่นอะคูสติกแบบเต็มรูปแบบดูบ้าง จึงเป็นธรรมดาที่เสียงร้องเสียงดนตรีนั้นจะออกมาไม่ดังกระหึ่มอย่างคอนเสิร์ตเพลงร็อกหรือป๊อปอื่นๆ ที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีไฟฟ้าล้วนๆ คอนเสิร์ตนี้จึงเหมาะกับการฟังแบบชิล ชิล เพลินๆ เงียบๆ ซึมซาบเสียงดนตรี รวมทั้งเนื้อหาสาระในบทเพลงกันอย่างเต็มที่

แต่ ... เพราะคนกลุ่มหนึ่ง สุนทรียจากการชมคอนเสิร์ตนี้จึงลดน้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย

ช่วงเริ่มต้นการแสดงนั้นน่าตื่นตาตื่นใจดี เสียงพูดคุยข้างหลังจึงเงียบไป แต่ก็ไม่นาน บทสนทนาของพวกเขาก็ดังเข้ามาสัมผัสโสตเป็นระยะ ... อย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าน้าแอ๊ดจะเล่นเพลงช้า เพลงเร็ว หรือคุยกับคนดู แฟนเพลงของน้าแอ๊ดข้างหลังเราก็ยังไม่หยุด --- สุดจะทนจริงๆ

การไม่พูดคุยระหว่างชมมหรสพนั้นเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่ใครๆ ก็น่าจะรู้ (ไม่จำเป็นต้องเรียนจบจากสถาบันระดับสูงอย่างคนกลุ่มที่นั่งข้างหลังเราด้วยซ้ำ) นอกจากจะ “สะกดคำว่า มารยาท” ไม่เป็นแล้ว ความประพฤติของคนกลุ่มนี้ยังถือว่า พวกเขาไม่ได้ให้ความเคารพนับถือศิลปินที่พวกเขาชื่นชมคลั่งไคล้เลยสักนิด

เพราะการแสดงออกถึงความเป็น “แฟน” ของศิลปินกลุ่มหนึ่งนั้นไม่ได้อยู่ที่การแต่งกายเลียนแบบพวกเขาเท่านั้น แต่น่าจะอยู่ที่ การให้เกียรติ การเข้าใจในสิ่งที่พวกเขานำเสนอ และรับฟังพวกเขา

เหมือนจะเป็นความขัดแย้งกันอยู่ไม่น้อย ที่ผู้ซึ่งแสดงตัวว่า เป็นแฟนเพลง “เพื่อชีวิต” แต่กลับประพฤติตนแบบ ผู้ที่ไม่มีจิตใจคิดถึงคนอื่นๆ หรือคิดถึงสังคม ทั้งๆ ที่บทเพลงและศิลปินเพลงในแนวทางเพื่อชีวิตนั้นมุ่งเน้นนำเสนอเรื่องราวของชีวิต สังคม โลก และปัญหาในแง่มุมต่างๆ เพื่อรับรู้และช่วยกันแก้ไขให้ดีขึ้น

หรือจะเป็นความคาดหวังที่มากเกินไปว่า คนฟังเพลงเพื่อชีวิตและคนที่เป็นแฟนของศิลปินเพื่อชีวิตควรจะมีจิตใจที่จะคิดถึงชีวิต (อื่นๆ) คิดถึงปวงชน สังคม และโลก ... บ้าง

หรือในความเป็นจริงแล้ว คนกลุ่มที่เราได้พบและต้องทนกับพฤติกรรมนั้นก็เป็นเพียงแฟนเพลงเพื่อชีวิตประเภท “เปลือก” หรือ “กระพี้” ทว่า “แก่น” ของพวกเขาแล้วก็ทำเป็นแต่เรื่อง “เพื่อชีวิตของตัวเอง” เท่านั้น @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 17:02:06 น.
Counter : 184 Pageviews.  

จิตสาธารณะ...รู้จักมั๊ยเพ่ ?

เรื่อง : แหนง-ดู 27-09-2006

From : nd@pt.com
To : posh@prettyishmedia.com
Subject : เรื่องเหม็นๆ จากความมักง่าย !!!

เมื่อเช้าวานนี้ คุณน้าของฉันตื่นกรี๊ดลั่นบ้านเอาตอน 6 โมงเช้า

เหตุเพราะเปิดประตูหน้าบ้าน (ห้องแถว) ออกมาพบกับ “ด็อก ชิต” ที่กระจัดกระจาย เต็มหน้าบ้าน

“เป็นสิริมงคลกับชีวิตจริงจริ๊ง” คุณน้าท่านบ่นเสียงดัง หวังว่าจะให้ได้ยินเข้าหูคนข้างบ้านที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของกองอึหมาเหล่านั้น (มั้ง) แต่คนที่ได้ยินแน่ๆ คือ หลานสาวที่กระเด้งจากเตียง และวิ่งปรู๊ดจากชั้น 3 มาชั้น 1 รวดเร็วประหนึ่งนักวิ่งทีมชาติ

เมื่อตื่นลงมาแล้วก็ไม่ให้เสียเวลาเปล่า หลานสาวก็เลยถูกเกณฑ์ให้เก็บ “ขี้หมา” ของชาวบ้านไปทิ้งซะดีๆ !!! เวรรรรรร!!!

ละแวกบ้านคุณน้า (เป็นห้องแถวใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ) นั้นมีหลายบ้านที่เลี้ยงหมา ตอนเช้าๆ (เห็นตอนที่เราเดินสวนชาวบ้านกลับมานอน...) ก็จะเห็นหลายคนจูงเจ้า “เพื่อนรัก ของมนุษย์” ออกมาทำธุระส่วนตัวกันเป็นแถว ส่วนมากก็จะเป็นริมถนน บนฟุตบาท แถวถังขยะ ฯลฯ เพราะว่าสวนสาธารณะนั้นอยู่ไกลเกินจะเดินไปถึง

แต่ไม่ว่าจะให้ “อึฉี่” ที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เจ้าของต้องเก็บอึสัตว์เลี้ยงสุดรักของตัวเองไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทางด้วย

ไม่ใช่มักง่าย...ปล่อยให้ชาวบ้านชาวช่องเขาเดือดร้อน เพราะทัศนียภาพอันไม่งามตา แถมกลิ่นก็ไม่รัญจวนใจเอาซะเลย (ใครเผลอไปเหยียบก็ซวยไปทั้งวัน...)

ไม่ว่าจะเป็น...อึของดัลเมเชียน โกลเดนรีทีฟเวอร์ หรือ “เธาเซินด์ เวย์” (พันทางน่ะ) มันก็เหม็นเหมือนกัน

ถ้าเป็นอึของ “สตรีต ด็อก” (หมาข้างถนน) ก็ยังให้อภัยได้ว่า มันไม่มีเจ้าของ จะเก็บเอง ก็ไม่มีมือ !!!

มันน่าขำนะ พอช คนบางคนมีปัญญาซื้อหมาตัวละหลายหมื่น แต่ไม่มีปัญญาคิดให้ได้ว่า...รักหมาก็ต้องเก็บอึของน้องหมาด้วย...!!!

คนที่คิดไม่ได้ นี่เรียกว่า “ไม่มีจิตสาธารณะ” แต่ถ้าเป็นที่บ้านฉันก็จะเรียกว่า “คนเห็นแก่ตัว”

เพราะไม่มีสำนึกในเรื่องของส่วนรวม เป็นคนประเภท “ไม่ใช่เรื่องของกรู...ใครจะทำไม”!!!

เดือนก่อนนู้น ฉันได้ไปฟังคุณหมอ เหวง โตจิราการ ท่านปาฐกถาเรื่องเกี่ยวกับจิตสาธารณะมา ท่านบอกว่า คำนี้ (ฝรั่งเรียกว่า Public Mind) หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด จิตสำนึกที่เป็นไปเพื่อเป็นประโยชน์ เกื้อกูล ส่งเสริม สนับสนุน สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อ สาธารณชนคนหมู่มาก รวมถึงบทบาทในการลดทอนอำนาจของกิเลสตัณหาต่างๆ ไม่ว่าจะยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวกูของกู โลภะ โทสะ โมหะ ของปัจเจกชน ทำให้ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น คือ สังคม หรือสาธารณชนให้เกิดความเดือดร้อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ฉันว่าจะพิมพ์ข้อความนี้ตัวโตๆ ไปแปะไว้หน้าบ้าน เผื่อว่าคนรวย (สุนัข) บ้านข้างๆ จะได้คิดและสำนึกซะบ้าง

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเวิร์กไหม เพราะเจ้า “จิตสาธารณะ” มัน “ซื้อไม่ได้” น่ะสิ พอช เอ๋ย!!!

หลังจากเก็บ “ด็อก ชิต” เสร็จแล้ว หลานสาวตัวดีก็กลับไปงีบต่อ (ล้างมือแล้วย่ะ) เคลิ้ม ไปได้นิดเดียวก็ต้องสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เปล่า...ครั้งนี้คุณน้าไม่ได้ปลุกไปเก็บ “อึ” แต่ฉันกลับฝันร้าย ฝันว่าทั้งซอยหน้าบ้านเต็มไปด้วยของเสียสุนัข

โอ้...“ซอย ออฟ ชิต” (ซอยขี้หมา)!!! นรกชัดๆ @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 16:58:46 น.
Counter : 160 Pageviews.  

โทรทัศน์ รักษาโรค ติดข่าวสาร

เรื่อง : แหนง-ดู

วันหนึ่งเมื่อโทรทัศน์ทุกช่องในบ้าน ไม่มีอะไรให้ชม เจ้าจอสี่เหลี่ยมนั้นกลายเป็น "จอที่ว่างเปล่า" คุณจะรู้สึกอย่างไร

ก. ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย เพราะว่า ไม่ดูทีวีอยู่แล้ว

ข. แทบตาย ... ทำเอากินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับเลยล่ะ

คนส่วนใหญ่ก็น่าจะแยกกันอยู่ในสองกลุ่มที่ว่า แต่ความจริงก็น่าจะมี ข้อ ค.สำหรับคนที่มีสภาพ "เบื่อๆ" "อยากๆ" เจ้าจอสี่เหลี่ยม (แบนบ้างไม่แบนบ้าง) ที่เรียกกันว่า โทรทัศน์

วันเดียวกันนั่นล่ะ บางคนอาจจะค้นพบว่า ตัวเองมีอาการ "เสพติด ข่าวสาร" อย่างรุนแรง อาการที่ว่านี้จะเป็นมากกับคนที่ "ติดโทรทัศน์" ซึ่งเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อผู้คนในสังคมมากที่สุด และเป็นสื่อที่นำเสนอข่าวสารเช้าสายบ่ายเย็นและดึกดื่น --- ไม่ใช่แค่กรอบเช้าหรือบ่ายเท่านั้น

เนิ่นนานมาแล้วที่เรื่องราวของคุณค่าในเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์นั้นถูกนำมาเป็นประเด็นในการพูดคุย (และถกเถียง) นั่นเป็นเหตุให้หลายคนเลิกดูโทรทัศน์ บางบ้านไม่มีโทรทัศน์สักเครื่องหนึ่ง เพื่อที่จะสกัดกั้นสื่อสาระ จากโทรทัศน์ที่ถือเป็น "น้ำเสีย" ในความคิดของพวกเขาให้ไกลตัวไกลบ้านและไกลครอบครัว

ในบางประเทศมีชมรม "คนไม่ดูโทรทัศน์" หรือ "คนต่อต้านการชมโทรทัศน์" ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนที่ "เซย์โน" กับโทรทัศน์นั้นมีอยู่เป็นกอบ เป็นกำ แต่ถึงอย่างนั้น คนไม่มีโทรทัศน์หรือไม่ดูโทรทัศน์ในสังคมไทย (หรือในสังคมอื่นๆ) นั้นมักจะถูกมองว่า แปลก เพราะพวกเขาเป็นคนกลุ่มน้อย แต่พวกเขาไม่ได้ผิด เพียงแต่คิดต่าง และให้คุณค่ากับบางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนใคร

ด้วยการนำเสนอข่าวสารเหตุการณ์ที่ฉับไว มีคุณสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งให้ทั้งเสียงและภาพมาพร้อมกันนั้น ทำให้โทรทัศน์กลายเป็นสิ่งที่หลายๆ คนขาดไม่ได้ นอกจากนั้น โทรทัศน์ยังเป็นสื่อที่ฟรี!!! เปลืองแต่ค่าไฟเท่านั้น ขณะที่สื่ออย่างอื่นอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ต้อง "ซื้อ" มาอ่าน

คนที่คิดว่า "ชีวิตไม่ได้ขาดอะไรไป เพราะโทรทัศน์" นั้น อาจจะเป็นคนที่นิยมติดตามข่าวสารจากสื่ออื่น หลายคนชอบความละเอียดและลึกซึ้งของ ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์มากกว่า ถึงแม้ว่าจะช้ากว่าโทรทัศน์ไปบ้าง

สิ่งที่บรรดาสถานีโทรทัศน์ต่างๆ แก้ไขคือ การนำเสนอรายการข่าวใน เชิงวิเคราะห์เจาะลึก เพื่อที่จะได้มีความใกล้เคียงคล้ายคลึงกับสื่อสิ่งพิมพ์

ถึงอย่างนั้น หลายคนก็รู้สึกว่า โทรทัศน์มัน "รีไวด์" กลับมาฟังมาดูใหม่ไม่ได้ แต่หนังสือพิมพ์จะกลับมาอ่านอีกกี่ครั้งก็ได้ (ถ้าไม่หายหรือขาดไป ซะก่อน)

สำหรับบางรายการที่เรียกตัวเองว่า รายการ "เล่าข่าว" นั้น ก็ให้ตงิดๆ ในใจว่า อย่างนี้ซื้อหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารมาอ่านเองจะดีกว่าไหม

คงจะอยุติธรรมเกินไป ถ้าหากจะบอกว่า ไม่มี "น้ำดี" ในโทรทัศน์ แต่รายการดีๆ เหล่านั้นก็ไปหลบอยู่ในซอกหลืบของผังรายการ ออกอากาศในเวลาที่ไม่มีคนดู ไม่สร้างรายได้ และต้องลาจากในที่สุด

หลายคนมองว่า การดูโทรทัศน์นั้นเสียเวลา เหตุเพราะความตื้นเขินและฉาบฉวยในเนื้อหาสาระ เมื่อรายการจบ ทุกอย่างก็จบ ไม่เหลืออะไรไว้ในหัวคนดู

นี่เป็นเพียงแค่อิทธิพลในทางลบที่โทรทัศน์มีต่อเราๆ ท่านๆ ที่โตเป็น ผู้ใหญ่แล้ว ไม่พูดถึงเด็กๆ เยาวชนที่ยังไม่สามารถมีวิจารณญานในการ ไตร่ตรองและเลือกเสพของตัวเอง

ไม่ใช่แค่ว่า "ไม่ได้อะไร" แต่บางครั้งคนดูถูกยัดเยียดจากโทรทัศน์ "ซิตคอม" หรือละครบางเรื่อง ที่คิดอยากจะดูแบบขำๆ จะได้ผ่อนคลายบ้าง แต่กลับต้องเครียดไปยิ่งกว่าเก่าอีก เพราะว่า โฆษณาแฝงที่มาให้เห็นกันจะๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในฉากแล้วฉากเล่า!!!

โทรทัศน์จึงน่ารังเกียจในสายตาของบางคน เพราะว่า มันทำหน้าที่รับใช้ "ระบบทุนนิยม" มากเกินไป

แล้วเรายังจะเชื่อในสาระที่โทรทัศน์นำเสนอได้อยู่อีกไหม?

ด้วยอาการ "ติดข่าวสาร" ขั้นโคม่าที่โทรทัศน์สร้างให้เกิดขึ้นกับหลายๆ คนนี้ แท้จริงแล้ว โทรทัศน์เองมีศักยภาพเพียงพอที่จะรักษาอาการนั้นได้ไหม?

ใครบางคนตั้งคำถาม!!! @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 16:56:28 น.
Counter : 184 Pageviews.  

1  2  3  

Nd_Bangkok
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Nd_Bangkok's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.