|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
แรกก้าว » เขียนไทยให้ถูก
บทเรียนแรกที่ผมนึกถึง หลังจากนั่งเขียนฝันมาหลายปี ก็คือการเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องครับ
ส่วนหนึ่งมาจากนิสัยของผมเองด้วย คือรู้สึกอยากเขียนภาษาไทยให้ถูก แปลกที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย รู้แต่ว่าถ้าเขียนอะไร ก็จะพยายามเขียนให้ถูก เท่าที่ความรู้ของเราจะเอื้ออำนวย แต่พอนั่งเขียนฝันด้วย อ่านฝันของคนอื่นด้วย นานๆ เข้าแล้ว กลับยิ่งรู้สึกมากขึ้นทุกที ว่าการเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องนี่ มันสำคัญ มั่ก มั่ก มั่ก มากกกกกกก... จริงๆ
ในแง่ที่ผมเป็นฝ่ายเขียน ผมมีความรู้สึกว่า เราต้องเคารพคนอ่านหนึ่งล่ะ การที่เขาอุตส่าห์สละเวลามานั่งอ่านงานเขียนของเรานี่ สำหรับผมรู้สึกว่าเขา ให้ เรามากมายแล้ว เราก็ควรต้องตั้งใจกับงานที่จะไปสู่สายตาเขาให้มาก พยายามตรวจทานกลั่นกรองให้มันดูดีที่สุด ซึ่งก็รวมถึงตัวสะกดที่ถูกต้องด้วย
และในทางกลับกัน ตัวหนังสือที่เราเผยแพร่ออกไป มันก็เป็นหน้าเป็นตาของเรา คนอื่นเขาจะนับถือให้เกียรติเราหรือเปล่า ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวหนังสือที่เราเขียนนี่เอง ผมจึงพยายามระมัดระวังให้ถูกต้องที่สุด ไม่อยากให้คนอื่นเห็นแล้วเลิกคิ้ว คิดว่า โห... เขียนหนังสือยังไม่ถูก แล้วที่เขียนมาจะเชื่อได้มั้ยเนี่ย...
ส่วนในแง่ที่ผมเป็นฝ่ายอ่าน ผมอ่านหนังสือที่เป็นเล่มจริงๆ มามาก และอ่านงานเขียนบนเว็บมาเยอะ (ที่ถนนนักเขียนเป็นส่วนใหญ่) ผมได้เรียนรู้กับตัวเองเลยว่า เวลาเจอคำที่สะกดผิดแล้ว การอ่านมันจะสะดุดไปเล็กน้อย ไอ้ที่ผิดแบบจิ้มผิดเห็นแล้วเดาความหมายได้นี่ยังไม่เท่าไหร่ ไอ้ที่ผิดแบบสะกดผิดนี่ เห็นแล้วมันเผลอสะดุดไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ถ้านานๆ โผล่มาซักคำนี่ ก็ไม่มีผลต่อการอ่านทำความเข้าใจเรื่อง หรือการตามอารมณ์ของเรื่องนัก แต่ถ้าเจอแบบบรรทัดเว้นบรรทัด สารภาพว่าแรงใจในการอ่านร่วงโรยอย่างรวดเร็วทีเดียว
ผมถึงได้เรียนรู้ว่า การเขียนภาษาไทยให้ถูกต้อง มีผลต่อการนำเสนองานของเราอย่างมาก ส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของจรรยาบรรณ เป็นความรับผิดชอบต่องานเขียนของตัวเองขนาดนั้นเลย
การเขียนภาษาไทยไม่ถูกต้อง เท่าที่เจอมา ผมคิดว่าน่าจะมีอยู่สี่แบบใหญ่ๆ
(1) จิ้มผิด คือกรณีที่คนเขียนรู้ว่าจะต้องสะกดยังไง ตั้งใจจะสะกดอย่างนั้น แต่นิ้วมันสัมผัสผิดแป้น เลยได้คำอื่นมาแทน ซึ่งบางทีก็อ่านออก บางทีก็อ่านไม่ออก อันนี้มักจะเกิดได้ง่ายกับคนที่พิมพ์เร็ว และคิดเร็ว คิดไปพิมพ์ไปเหมือนพูด บางทีสะบัดนิ้วผิดนิดเดียว ก็ได้ตัวอักษรที่ใกล้ๆ กันมาแทน แถมบางทีมันยังคล้ายๆ กันซะอีก อย่าง ค.ควาย กับ ต.เต่า หรือบางทีกดยกแคร่ (ปุ่ม Shift) เร็วไปหรือช้าไป หรือสลับกัน (โอ้ เป็นมาหมดทุกแบบ ไม้เอกกลายเป็นไม้จัตวา หรือไปยกแคร่ผิดตัวก็มี) แล้วตัวหนังสือบนจอก็ไม่ได้ใหญ่โต บางทีถ้ามันคล้ายๆ กันมาก (ค/ต หรือ ก่/ก๋) ก็มองแทบไม่เห็นเหมือนกัน หรือแม้เมื่อตอนกลับมาตรวจทาน บางทีเพราะคนอ่านเขียนเอง รู้อยู่แล้วว่าตั้งใจจะเขียนว่าอะไร สายตามันก็ลากปรื๊ดผ่านไป ไม่ทันเห็นอีกว่าจิ้มผิด
ผิดแบบนี้แก้ด้วยการตรวจทานสถานเดียว และอาจจะต้องตรวจกันหลายรอบ ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่นานๆ ไปก็จะขี้เกียจ (ฮา) จำได้ว่าเขียนนิยายเรื่องแรก (ไอ้เรื่องในไหนั่นแหละครับ) กว่าจะเอาไปลงที่ถนนนักเขียนได้ ผมจะตรวจอยู่ประมาณเหยียบๆ สิบรอบ จนเวลาใครเจอที่สะกดผิดของผมซักคำนี่ จะดีอกดีใจ ประมาณว่าแก้แค้นสำเร็จ (ไปจับผิดเขาไว้มาก) หลังๆ นี่ รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เหลือแค่ประมาณสี่ห้ารอบ ผลก็คือมีหลุดออกไปมากกว่าเดิม แทบทุกบทเลย (งือ) ต้องอาศัยตานักอ่านช่วยกันเก็บมาคืน
(2) ไม่รู้ว่าตัวเองสะกดผิด คือกรณีที่เราเข้าใจผิด คิดว่าคำนั้นสะกดอย่างนี้ และหลงคิดไปว่าเราเข้าใจถูก แต่ที่แท้มันผิด (เอ้อ งงมั้ยเนี่ย) ตัวอย่างเช่น ตงิด คำนี้แต่ก่อนผมนึกว่าสะกด ตะหงิด มาตลอด เพิ่งมารู้ว่าตัวเองสะกดผิดตอนที่ไปนั่งเล่นที่สำนักพิมพ์ซึ่งเพื่อนทำงานอยู่ (เพื่อนแถวๆ ถนนฯ นั่นแหละ) แล้วขอลองทำข้อสอบพิสูจน์อักษรที่สำนักพิมพ์ใช้รับคนเข้าทำงานดู เลยเพิ่งไปรู้ตอนเฉลยว่าเราเขียนผิด กรณีแบบนี้คนเขียนจะไม่รู้ตัว และจะสะกดผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น อนุญาต บางคนนึกว่ามีสระอิ (เลยกลายเป็นญาติน้อยๆ ไป) หรือ สังเกต บางคนนึกว่ามีสระอุ (คงเพราะเทียบเคียงจากคำว่า เหตุ)
ผิดแบบนี้ต้องแก้ด้วยหลายอย่างประกอบกัน การใช้โปรแกรมตรวจคำสะกดผิดก็พอช่วยได้ แต่ก็ไม่ทั้งหมด จะมีบางคำที่หลุดลอดหลงหูหลงตาไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่ผิดแล้วก็ยังมีความหมายอยู่ เช่น ราด/ลาด มีความหมายทั้งคู่ ถ้าสะกดผิด โปรแกรมก็มักจะตรวจไม่เจอ จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นช่วย
ทางหนึ่งก็คืออาศัยคนอ่านช่วยมอง ถ้าสนิทๆ กันและคนอ่านพอมีเวลา จะขอให้ช่วยตรวจเลยก็ยังได้ แต่ทางนี้ก็ยังไม่พอ ที่สำคัญที่สุดคือ คนเขียนเองต้องช่างสังเกตและจดจำเป็นนิสัย คำที่เราเข้าใจผิดพวกนี้ เวลาอ่านข้อความที่คนอื่นเขียน เราจะมีโอกาสเจอว่าเขาสะกดถูก (แต่ดันไม่เหมือนเรา เอ๊ย เราดันไม่เหมือนเขา) ได้ง่ายๆ ถ้าเราอ่านแบบเลื่อนลอย ปล่อยให้ความแตกต่างนี้ไหลผ่านสายตาไป ไม่ได้เก็บเข้าสมอง เราก็เสียโอกาสที่จะรู้ว่า คำนี้ ที่จริงเราสะกดผิดมาตลอด แป่ว...
สิ่งที่คนเขียนหนังสือควรทำ คือทันทีที่เห็นคำซึ่งสะกดผิดไปจากแบบที่เราเชื่อว่าถูก ควรจะหาคำตอบให้ตัวเอง ว่าที่จริงมันสะกดยังไงกันแน่ พจนานุกรมควรจะมีไว้ใกล้มือ และถ้าใช้อินเตอร์เน็ตประจำอยู่แล้ว ก็ควรจะเปิดเว็บพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถานให้เป็นนิสัย ถ้าค้นหาไม่ได้ทันที ก็ควรจะจำหรือจดไว้ หรือถามคนที่ถามได้ อย่าปล่อยผ่านเลยไปโดยเสียเปล่า
(3) ไม่สนใจว่าตัวเองเขียนถูกหรือผิด ถ้าใช้สำนวนเก่าก็ต้องบอกว่า สักแต่ว่าเขียน จะถูกหรือผิดก็ช่าง อันนี้ก็เกิดได้หลายกรณี
กรณีที่ไม่รู้ว่าคำนั้นสะกดยังไง มักจะเป็นคำที่หน้าตาแปลกๆ และยาวๆ สามารถสะกดได้หลายแบบให้ออกเสียงเหมือนกัน หรือบางทีรูปสะกดไม่เหมือนเสียงที่เราพูดจริงๆ เช่น ขะมักเขม้น มันควรจะมีสระอะหรือไม่มี มีตัวเดียวหรือสองตัว ข.ไข่ ตัวหลังควรจะอยู่ก่อนหรือหลังสระเอ พอไม่ได้เขียนนานๆ ก็เป็นงงเหมือนกัน สำหรับกรณีแบบนี้ คนที่ต้องการเขียนให้ถูกก็จะเปิดพจนานุกรม ส่วนคนที่ ไม่สนใจว่าตัวเองเขียนถูกหรือผิด ก็... ลุยเลย
มีบางกรณีที่คนเขียนไม่สนใจเอาเลยจริงๆ ว่าตัวเองเขียนอะไรลงไป ไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ ผมเคยอ่านงานที่สะกดคำแบบนี้มาแล้ว ตะลึงตั้งแต่บรรทัดแรกยันบรรทัดสุดท้าย เห็นแล้วนึกว่าเด็กประถมหัดเขียน ถ้าเป็นกรณีที่เด็กเขียนจริงๆ ก็แล้วไป หรือบางคนที่มีความขัดข้องในส่วนของสมองที่ควบคุมการสะกดคำ (dyslexia) อันนี้พอเข้าใจได้ว่ามันสุดวิสัยจริงๆ แต่ถ้าเกิดจากเหตุข้างต้นที่ว่า ไม่สนใจว่าตัวเองเขียนถูกหรือผิด คนอ่านก็อาจจะพลอย ไม่สนใจว่าคุณเขียนถูกหรือผิด ไปด้วยเหมือนกัน (เลยไม่ได้อ่านต่อ ฮา)
กรณีทั่วไปที่พบมักจะไม่สุดขั้วขนาดนั้น แต่มักเกิดจากความเกียจคร้าน สะเพร่า หรือมักง่ายมากกว่า เวลาอ่านงานลักษณะนี้จะรู้สึกได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งใจจับผิด เพราะคำผิดผ่านตามากจนไล่จับกันแทบไม่ทัน ยิ่งในปัจจุบันที่การเผยแพร่นิยายบนหน้าเว็บทำได้รวดเร็วทันใจ คนเขียนเขียนเสร็จก็ลงงานได้เลย ไม่ต้องผ่านสายตาใครตรวจทานให้ แล้วถ้าตัวเองไม่ได้ตรวจด้วย โอกาสปล่อยคำผิดมาให้เห็น เป็นหน้าเป็นตา ของตัวเองก็มากเหลือเกิน
ซึ่งจะว่าไปแล้ว บางทีคนเขียนก็น่าเห็นใจ เพราะเรามีภาระอื่นที่ต้องทำควบคู่ไปกับการเขียนอยู่มหาศาล บางคนทำงาน บางคนเรียน บางคนเลี้ยงลูก บางคนทั้งทำงานทั้งเรียนทั้งเลี้ยงลูก โอ๊ย สารพัด แค่เจียดเวลามาเขียนแต่ละหน้าแต่ละบทก็แทบกระอักอยู่แล้ว แถมบางทีคนอ่านก็ทั้งรอทั้งเร่ง มีเวลาว่างจี๊ดเดียวก็รีบเขียนรีบแปะ ยังไม่มีเวลาตรวจจริงๆ ถ้านั่งตรวจละเอียดๆ ก็อาจจะได้แปะปีหน้า เป็นต้น แต่ก็นั่นแหละ ผมว่าถ้าคนเขียนใส่ใจกับการ เขียนไทยให้ถูก ของตัวเองอยู่เป็นประจำ โอกาสผิดพลาดก็จะลดลงอย่างมโหฬารตั้งแต่แรก (ทำให้ต้องใช้เวลาตรวจทานน้อยลง) เพราะตัวคนเขียนเองจะคอยสังเกตการใช้คำให้ถูกอยู่แล้ว ส่วนความผิดพลาดจากการจิ้มผิดนั้นถือว่าอภัยได้ พอรีบๆ เข้า ใครก็เป็นกันทุกคน
แต่ถ้าเป็นการ ไม่สนใจว่าตัวเองจะเขียนถูกหรือผิด จริงๆ ก็ถือว่าเอวัง กรณีนี้ต้องแก้ที่ทัศนคติสถานเดียว ถ้าแก้ทัศนคติไม่ผ่าน ก็คงไม่มีทางจะ เขียนไทยให้ถูก ได้ในชาตินี้
นักเขียนบางคนคิดว่า ตัวเองจะเขียนไทยให้ถูกหรือผิดยังไงก็ได้ พอส่งต้นฉบับไปถึงสำนักพิมพ์ ก็จะมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษรคอยตรวจ มีบรรณาธิการคอยดูแลแก้ไขให้อยู่ดี
ติดตามกระทู้ถนนนักเขียนไปนานๆ รวมถึงเดินเหล่ตามร้านหนังสือด้วยแล้ว ผมก็รู้ว่าความหวังดังกล่าวนั้นไม่จริงเสมอไป หนังสือหลายเล่มเปิดดูเห็นการสะกดคำแล้วบอกได้ว่าขนลุก และพอมีเสียงสะท้อนนักอ่านไม่พอใจที่ผิดพลาดมาก ก็กลายเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันขำๆ ว่าหนังสือสะกดผิดเป็นความรับผิดชอบของนักเขียนหรือสำนักพิมพ์ (ฮา... ไม่ออก)
ดูเหมือนข้อสรุปของหลายคนจะเป็นไปในทางเดียวกันว่า กรณีแบบนี้ทั้งนักเขียนและสำนักพิมพ์ (โดยบรรณาธิการผู้ดูแลเล่มนั้น) ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ปัดให้ใครฝ่ายใดฝ่ายเดียวไม่ได้
แต่แน่นอนว่านักเขียนบางคนก็คงไม่เห็นด้วย และตัดสินใจว่ามันควรจะเป็น หน้าที่ ของบรรณาธิการ (หรือพิสูจน์อักษร หรือใครก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเอง) ก็ว่ากันไป...
(4) เจตนาเขียนผิด กรณีนี้ก็มีจริง คือรู้ว่าตัวเองเขียนผิด แต่ตั้งใจเขียนให้ผิดแบบนั้น (ใครจะทำไม) คำที่พบบ่อยๆ ได้แก่ เทอ เป็นคำที่เห็นปุ๊บรู้ได้ทันทีว่าอยู่ในกรณีนี้ เพราะแม้เด็กประถมทั่วไปยังเขียนถูก จะอ้างว่า เข้าใจผิด ก็คงไม่ได้ และถ้าจิ้มผิด คงไม่ผิดเหมือนกันหมดทุกย่อหน้าทุกบรรทัดแน่ (และ ท.ทหาร อยู่มือขวา ธ.ธง อยู่มือซ้าย)
เรื่องเจตนาเขียนผิดนี้ ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าเส้นแบ่งอยู่ตรงไหน แบบไหนที่เรียกว่า ผิด ที่ยอมรับไม่ได้ แค่ไหนที่ยอมรับได้ อย่างเช่นคำว่า มหาลัย คำนี้ใช้ได้มั้ย ใช้ได้ในกรณีไหน คำว่า ฉัน/ชั้น เขา/เค้า สัก/ซัก หรือกระทั่ง ไหม/มั้ย อะ/อ่ะ หนู/นู๋ อะไรอีกล่ะ มหาศาลบานตะไท รู้สึกว่ามีมากกว่านี้มากแต่ยังนึกไม่ออก
เรื่องนี้แต่ละคนมีมาตรฐานต่างกันไป ตั้งแต่หย่อนที่สุด คือฉันจะเขียนแบบนี้ใครจะทำไม ไปจนถึงตึงที่สุด คือคำไหนไม่มีในพจนานุกรม (หรือไม่ใช่หน้าตาแบบที่ควรจะเป็น) อย่าให้เห็นในสายตา มิฉะนั้นจะโกรธ
ส่วนตัวผมเองอยู่ในฝั่งทางตึงๆ นะครับ แต่เนื่องจากเป็นคนเขียนนิยาย ซึ่งต้อง ถอด บทสนทนาออกมาเป็นตัวเขียน ทำให้ผมตึงได้ไม่ที่สุด มีหลายอย่างที่ผมต้องขยับเข้ามาใกล้ตรงกลางอีกนิด ไม่งั้นคำพูดในนิยายอาจจะกลายเป็นตำราเรียนไป
ส่วนกรณีที่หย่อนที่สุด คือ ฉันจะเขียนแบบนี้ใครจะทำไม อันนี้ก็เอวัง...
เขียนไทยให้ถูก เขียนยังไง
ผมมองแยกออกเป็นสามเรื่องนะครับ
(1) ถูกอักขรวิธี
(2) ถูกตัวสะกด
(3) ถูกความหมาย
ขอตีเส้นแบ่ง จะได้เห็นหัวข้อชัดๆ
เขียนไทยให้ถูกอักขรวิธี
ตัวอักษรคือสัญลักษณ์ที่เราเอามาใช้แทนเสียงและความหมายในภาษา และเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการสื่อสาร เพื่อให้เข้าใจกันได้ ทุกคนที่ใช้ ภาษา เดียวกัน ก็เลยมีกฎเกณฑ์ในการใช้สัญลักษณ์นั้นร่วมกัน ถ้าหากไม่มีกฎเกณฑ์นี้ หรือไม่ใช้กฎเกณฑ์เดียวกัน ก็คงสื่อสารไปไม่ถึงกัน ไม่รู้เรื่องกัน
อักขรวิธี หมายถึงการเอาตัวอักษรมาผสมกันเป็นคำ ทุกๆ คำที่ผ่านตามาถึงบรรทัดนี้ ที่เรามองเห็น อ่านออกเสียงได้ และเข้าใจความหมาย ก็เพราะอักขรวิธีเป็นกฎที่เชื่อมพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และเครื่องหมายต่างๆ แต่ละตัวเข้าด้วยกัน
วรรณยุกต์
คนไทยเราไม่ค่อยมีปัญหาในการผสมพยัญชนะกับสระ พยัญชนะนั้นมันเป็นทุ่นให้อย่างอื่นมาเกาะอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรให้ผิด (คือผมยังนึกไม่ออก) ส่วนสระนั้น ถ้าผิดแล้วเราจะเหวอทันที มันจะผสมกันออกมาเป็นคำที่อ่านไม่ได้ เช่น เกลีอ แกลีย โกิ เป็นต้น เท่าที่อ่านงานเขียนมา ยังไม่เคยเห็นใคร ไปไกล ได้ขนาดนี้ (ยกเว้นกรณีจิ้มผิด)
แต่เรามีปัญหากัน มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก ในเรื่องการใช้วรรณยุกต์ ผมไม่เคยนั่งนับทำสถิติ แต่เท่าที่อ่านผ่านตามา งานที่เขียนวรรณยุกต์ไม่ถูกนั้นมากมายมหาศาล ยิ่งคำง่ายเท่าไหร่ ยิ่งผิดมากเท่านั้น
สาเหตุคงมาจากทั้งสองฝั่ง ฝั่งแรกคือสาเหตุภายนอก กฎเกณฑ์การใช้วรรณยุกต์ของไทยเรามันละเอียดอ่อน พอแยกแยะออกมาแล้ว ก็จะมีกรณียิบย่อยเยอะแยะ (จริงๆ ไม่มากขนาดนั้น แต่ในความรู้สึกของบางคนคงจะบอกว่ามันมากจริงๆ) และกรณีเหล่านี้ดูผาดๆ เหมือนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย (เหตุผลมีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่จริงแล้วหลักการน่ะมี) ถ้าจะให้ใช้ถูกสงสัยต้องท่องกันหน้ามืด
อีกฝั่งคือสาเหตุภายใน คือมาจากตัวคนใช้ภาษาเอง อาจจะเป็นความไม่เข้าใจ ไม่สนใจ เกียจคร้าน สับสน ท้อแท้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พอรวมกันสองฝั่งแล้ว เราจะพบเห็นการเขียนเครื่องหมายวรรณยุกต์ผิดได้เยอะจริงๆ
เท่าที่ผมสังเกต มีอยู่สองกรณีที่เจอมากๆ
(1) ใช้วรรณยุกต์ในตำแหน่งที่ใช้ไม่ได้
ไม้เอก กับ ไม้โท เป็นสองไม้ที่ใช้ทั่วไป ใช้ได้กับพยัญชนะทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นอักษรสูง กลาง หรือต่ำ ไม่ค่อยมีปัญหานี้
ไม้ตรี เป็นไม้ที่มีปัญหามากที่สุด เพราะเป็นไม้ที่ใช้ได้กับ อักษรกลางเท่านั้น ใช้กับอักษรหมวดอื่นไม่ได้เลยโดยสิ้นเชิง อักษรกลางมีแค่ 9 ตัว ได้แก่ ก จ (ฎ ฏ) ด ต บ ป อ ผมใส่วงเล็บ ฎ กับ ฏ ไว้ เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีคำไหนใช้สองตัวนี้ใส่วรรณยุกต์ เหลือที่ต้องจำจริงๆ แค่ 7 คือ ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง สำหรับคนที่ต้องการเขียนหนังสืออย่างมีคุณภาพ และเจอปัญหาในการใช้วรรณยุกต์ ผมขอเสนอแนะว่า จำอักษรกลางให้ได้จะมีประโยชน์มากทีเดียว
การเขียนผิดที่พบมากในกรณีนี้ คือการเอาไม้ตรีไปใส่อักษรต่ำ (เพื่อให้ออกเสียงตรี) เช่น มั๊ง มั๊ย ง๊วงง่วง เง๊าเหงา ซ๊วยสวย ว๊านหวาน ว๊าย ทุกคำในลักษณะนี้ ใช้ไม้โทสะกดทั้งหมด
ไม้จัตวา เป็นไม้ที่วุ่นวายเล็กน้อย เพราะโดยในระบบเสียงภาษาไทยตามปกติ ใช้ไม้จัตวากับอักษรกลางเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ถ้าเป็นอักษรไม่กลาง (สูงกับต่ำ) ก็จะมีวิธีผันเสียงจัตวาได้โดยไม่ต้องใส่ไม้จัตวา ซึ่งก็มีสองแบบ คือ แบบที่มีอักษรต่ำกับอักษรสูงที่คู่กันออกเสียงเหมือนกัน (เลยเรียกว่าอักษรคู่) เช่น
ค/ข เอามาผันเป็น คา ข่า ค่า/ข้า ค้า ขา ไม่ต้องใส่ไม้จัตวา
หรือถ้าอักษรต่ำตัวนั้นไม่มีคู่ (เลยเรียกว่าอักษรเดี่ยว) เราก็ใช้ ห นำจนผันได้ครบอีก เช่น
น/หน เอามาผันเป็น นา หน่า น่า/หน้า น้า หนา ไม่ต้องใส่ไม้จัตวาอีกเหมือนกัน
แต่จะมีบางกรณีที่ผันเสียงจัตวาแบบนี้ไม่ได้ คือถ้าเป็นสระเสียงสั้นคำตายและต้องการออกเสียงจัตวา (ซึ่งจริงๆ แล้วคำที่ใช้ในภาษาไทยไม่มีเสียงนี้ แต่ถ้าอยากออกเสียงจริงๆ ก็ทำได้) เช่น ก๋ะ (ลองออกเสียง ก๋า แล้วหยุดให้สั้นลงครึ่งจังหวะ) ถ้าจะเปลี่ยนเสียง ก เป็น ค/ข แล้วเขียนว่า ขะ จะไม่ได้ เพราะกลายเป็นเสียงเอกไปแทน ถ้าอยากเขียนแทนเสียงนี้ให้ได้จริงๆ ก็อาจจะจำเป็นต้องสะกดเป็น ค๋ะ/ข๋ะ ซึ่งแปลกตา (และคนรักภาษาไทยบางคนจะบอกว่าผิด) โชคดีที่เราคงไม่มีเหตุให้ต้องเขียนเสียงแบบนี้กันบ่อยนัก
เพราะฉะนั้น ถ้าว่ากันเฉพาะคำที่มีใช้อยู่ตามปกติในภาษาไทยแล้ว จะจำไปเลยว่า ไม้จัตวาใช้กับอักษรกลางเท่านั้น แบบเดียวกับตอนจำวิธีใช้ไม้ตรี ก็ถือว่าปลอดภัย และควรจะครอบคลุมโอกาสกว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น คำแบบนี้ นู๋ ไม่ควรจะปรากฏในงานเขียน และเปลี่ยนเป็น หนู แทน
ในประเด็น ใช้วรรณยุกต์ในตำแหน่งที่ใช้ไม่ได้ นี้ ยังมีอีกแบบ คือใส่วรรณยุกต์ซ้ำซ้อน หมายถึงว่า ถึงจะไม่ใส่วรรณยุกต์ก็ออกเสียงนั้นได้ตามต้องการแล้ว รูปวรรณยุกต์ที่ใส่เข้าไปไม่ได้เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ให้ผิดไปจากเดิม เช่น
อะ ออกเสียงเอกอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ไม้เอกให้เป็น อ่ะ อีก
นะ ออกเสียงตรีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ไม่โท (หรือบางคนใส่ไม้ตรี) ให้เป็น น๊ะ อีก (อันนี้ผิดสองตลบเลย ซ้ำซ้อนด้วย แถมยังซ้อนผิดตัวอีก เพราะ น.หนู เป็นอักษรต่ำ ใช้ไม้ตรีไม่ได้)
การใช้วรรณยุกต์ซ้ำซ้อนกับเสียงนี้ เข้าใจว่าคนเขียนต้องการเลียนเสียงพูดที่ใส่อารมณ์เน้นหนักมากกว่าปกติ บางคนบอกว่าถ้าไม่ใส่รูปวรรณยุกต์แล้ว เสียงที่เกิดขึ้นในหัวจะไม่เหมือนกับที่ตั้งใจไว้ เช่น เวลาจะอ้อน เสียง น๊า จะแหลมสูงกว่า น้า ซึ่งถ้าเขียนว่า น้า แล้วจะไม่ได้อารมณ์ (หรืออาจจะนึกไปถึงน้องของแม่แทน)
ส่วนตัวผมเองยังไม่มีข้อสรุปตรงนี้นะครับ (ยังเรียนไม่พอ ต้องคิดต่ออีก) แต่เท่าที่ดู การใช้อักขรวิธีแบบนี้ถอดเสียงพูดในบทสนทนา อาจจะทำให้เกิดผลต่อความรู้สึกคนอ่านได้หลายแบบ เช่น (ก) อ่านแล้วเฉยๆ ไม่สังเกต ไม่ได้สนใจว่ามันผิดหรือเปล่า (ข) ได้อารมณ์ พิเศษ ตามที่คนเขียนเจตนา (ค) เสียอารมณ์หรือหงุดหงิด เพราะรู้สึกว่าใช้ภาษาไทยผิดวิธี
ส่วนตัวผมเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะอยู่ในแบบ (ค) แต่เดี๋ยวนี้ก็ทำใจให้ยอมรับได้มากขึ้นเวลาอ่านเจอ เพราะเข้าใจว่าจะแทนเสียงให้ได้อย่างใจนี่มันยากจริงๆ แต่ถ้าต้องเขียนเอง ผมก็คงจะยังไม่ใช้วิธีนี้ ขอใช้วรรณยุกต์แบบถูกต้องตามอักขรวิธีก่อนดีกว่า อาศัยบริบทหรือคำบรรยายช่วยเอา เพราะที่จริงแล้วก็มีเสียงที่คนใช้สื่อสารอีกหลายเสียงที่ไม่มีในภาษาเขียน และสะกดเป็นคำได้ยาก แต่เราก็สามารถใช้คำใกล้เคียงมาสื่อความได้ เช่น เสียงโครม พรืด พรวด เปรียะ ถึงมันจะไม่เหมือนเสียงจริงที่ได้ยิน แต่ก็ใช้สื่ออารมณ์เหล่านั้นออกมาได้เข้าใจตรงกัน ผมก็เลยคิดว่าส่วนตัวตอนนี้ยังสะกด อะ ปะ นะ น้า ไปก่อน (จนกว่าจะเปลี่ยนใจ)
หมายเหตุเพิ่มเติม - มีบางคำที่เหมือนใช้วรรณยุกต์ซ้ำซ้อนแต่ไม่ใช่ และที่จริงสะกดถูกต้องตามอักขรวิธี คือ บางคำใช้ไม้เอกกำกับคำใช้อักษรต่ำที่เป็นเสียงโทอยู่แล้ว แต่ทำให้เสียงสั้นลง เกิดจากการลดรูปไม้ไต่คู้ ส่วนใหญ่เป็นคำเลียนเสียงที่ไม่ใช้ในภาษาตามปกติ แต่เขียนได้ไม่ผิดอักขรวิธี มักจะประกอบด้วยอักษรต่ำ สระที่ทำให้เป็นเสียงสั้นด้วยไม้ไต่คู้ เช่น เอะ แอะ เอาะ มีตัวสะกดในแม่คำตาย เช่น ล่อกแล่ก (คำนี้พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานบรรจุว่า ลอกแลก แต่พจนานุกรมฉบับอาจารย์วิทย์ เที่ยงบูรณธรรมบรรจุว่า ล่อกแล่ก ซึ่งไม่ผิดอักขรวิธี และตรงกับเสียงจริงที่ออก) คำจำพวกนี้ ถ้าทำให้เสียงสั้นลงจะต้องใส่ไม้ไต่คู้ เช่น งอก พอใส่ไม้ไต่คู้เป็น ง็อก เสียงวรรณยุกต์จะเปลี่ยนกลายเป็นตรี ถ้าอยากได้เสียงโทเหมือนเดิม ต้องเติมไม้เอกเข้าไปเป็น ง็่อก ซึ่งลดรูปเอาไม้ไต่คู้ออก เหลือเพียง ง่อก ซึ่งไม่มีในพจนานุกรม แต่ออกเสียงได้ และสะกดถูกต้องตามอักขรวิธีไทย ไม่ถือว่าซ้ำซ้อน
(2) ใช้วรรณยุกต์ไม่ตรงกับเสียงที่ต้องการ หรือใช้สลับกัน
กรณีนี้ พบเยอะ มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อีกเหมือนกัน ที่เห็นบ่อยที่สุด (ในโลก) ได้แก่คู่ คะ/ค่ะ ซึ่งใช้สลับกันบ่อยมากถึงมากที่สุด และก็ยังมีคู่อื่นในทำนองเดียวกันอีก เช่น นะ/น่ะ ยะ/ย่ะ วะ/ว่ะ ที่เป็นอักษรกลางก็มีเหมือนกัน เช่น จ๊ะ/จ้ะ
ทุกคู่ที่ว่ามา คำแรกออกเสียงตรี (เสียงสูง) ส่วนคำหลังตามทฤษฎีออกเสียงโท (คือสะบัดจากสูงลงต่ำ เหมือนกับ ค่า, น่า, ย่า, ว่า, จ้า แต่สั้นเพียงครึ่งจังหวะ) แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คนส่วนใหญ่กร่อนเสียงลงเหลือเสียงต่ำอย่างเดียว เลยออกเสียงเหมือนกับเสียงวรรณยุกต์เอก (คือเหมือนกับ ขะ, หนะ, หยะ, หวะ, จะ) แต่ไม่ได้เกิดกับทุกคนหรือทุกคำเท่าเทียมกัน บางคำนิยมกร่อนมาก บางคำนิยมกร่อนน้อยกว่า (ที่นิยมกร่อนมากเช่น ว่ะ คนออกเสียงว่า หวะ แบบเต็มปากเต็มคำ จะหาออกเสียง ว่า แต่ตัดสั้นก็ยากเต็มที ส่วนที่นิยมกร่อนน้อยก็เช่น จ้ะ คนส่วนใหญ่ยังขยันออกเสียงโทเต็มๆ เหมือน จ้า แต่สั้น ไม่ค่อยกร่อนเหลือ จะ อาจเพราะคำว่า จะ มีความหมายอื่นที่ใช้บ่อย)
การเขียนผิดแบบนี้ ผมเข้าใจว่าเกิดจากความสับสนโดยแท้ คือคนเขียนไม่ได้ตั้งใจเขียนผิด อยากเขียนให้ถูก แต่ไม่สามารถจริงๆ บางคนถามแล้วถามอีก แต่ฟังคำอธิบายหลายรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ยังใช้ไม่ถูก บางคนพยายามหาเทคนิคมาช่วยจำกันต่างๆ นานา (บางเทคนิคก็ถูกติงว่าผิดอีก) วุ่นวายดีแท้
เท่าที่พบมา ผมเห็นมีอยู่หลายแบบ เช่น (ก) ใช้สลับกันเป๊ะทุกครั้ง คงเส้นคงวาน่านับถือเชียว (ข) คนเขียนรู้ว่ามันต้องแยก แต่ตัวเองแยกไม่ถูก เลยเขียนให้เหมือนกันหมดเลย เช่น คะ หมด หรือ ค่ะ หมด ปล่อยให้คนอ่านตัดสินใจเอาเอง (ค) ใช้ถูกบ้างผิดบ้าง กระจุยกระจายทั่วไป เป็นศิลปินอย่างแท้จริง (ง) ใช้ผิดแบบมีระบบ เช่น บางคนท่องมาว่า ถ้าประโยคบอกเล่าใช้ ค่ะ คำถามใช้ คะ พอลงมือเขียนก็เลยจะมีที่ผิดอย่างเช่น นะค่ะ ในที่ที่ควรจะเป็น นะคะ แต่พอดีว่ามันไม่ใช่คำถามเลยผิด
เครื่องหมายพิเศษ
นอกจากวรรณยุกต์แล้ว อีกอย่างที่มีการใช้ผิดหรือสับสนอยู่บ้าง คือเครื่องหมายต่างๆ เช่น ไม้ยมก ไปยาลน้อย มหัพภาค (คือจุด)
เครื่องหมายพวกนี้ มีคำแนะนำการใช้อยู่ในเว็บของราชบัณฑิตยสถาน ที่พิมพ์ขายเป็นเล่มเล็กๆ สวยๆ ก็มี ถ้าหาซื้อติดโต๊ะทำงานไว้ได้ก็จะดีเยี่ยมครับ หรือถ้าไม่อย่างนั้น หาเวลาเปิดเว็บ อ่านผ่านตาสักครั้ง ก็จะพอเห็นเป็นแนวทาง
ที่เจอผิดมากที่สุด และนักเขียนควรใช้ให้ถูกต้อง คือใช้ไม้ยมกในที่ที่ไม่ควรใช้ ตัวอย่างเช่นข้อความข้างหน้านี้ ถ้าเขียนว่า ในที่ๆ ไม่ควรใช้ แบบนี้ล่ะก็ผิด
เหตุผลคือ ไม้ยมกใช้สำหรับซ้ำคำคำเดียวกัน ที่เหมือนกันเป๊ะ เช่น ดีๆ สวยๆ ร้อนๆ คำหน้ากับคำหลังเหมือนกันเป๊ะ ถ้าคำหน้ากับคำหลังเขียนเหมือนกันแต่ไม่ใช่คำเดียวกันเป๊ะ แบบนี้ใช้ไม้ยมกไม่ได้ครับ เพราะเป็นสองคำที่หน้าตาบังเอิญมาเหมือนกัน ไม่ใช่คำซ้ำ ตัวอย่างเช่น
ในที่ที่ไม่ควรใช้ -- ที่ ตัวแรก แปลว่าสถานที่, ที่ ตัวหลัง แปลว่าซึ่ง
ซ้ำคำคำเดียวกัน -- คำ ตัวแรก หมายถึงคำที่เขียน, คำ ตัวหลัง อยู่ในชุด คำเดียวกัน ขยายตัวแรกอีกที
ถ้าคิดไม่ออก มีวิธีทดสอบคือ ให้แยกคำคู่นั้นออกมา แล้วดูว่ามันมีความหมายหรือเปล่า เช่น ที่ๆ เอ่อ... อะไรล่ะเนี่ย ที่ๆ เนี่ย หรือ คำๆ มันแปลว่าอะไร ถ้าแยกแล้วไม่มีความหมาย แสดงว่าไม่ใช่คำซ้ำแน่ครับ
อีกคำที่ต้องจำไปเลยคือ ต่างๆ นานา ห้ามใส่ไม้ยมกเป็น นาๆ เพราะมันไม่ใช่ทุ่งนาสองผืน แต่เป็นคำคำเดียวในภาษาบาลีสันสกฤต คือ นานา แยกไม่ได้
ส่วนไปยาลน้อย (ฯ) ถ้าคำไหนย่อมา ก็ควรจะใส่ให้เขาครับ เช่น พฤหัสฯ กรุงเทพฯ ถ้าไม่ใส่มันก็ด้วนๆ ชอบกล
มหัพภาค (คือจุด) ค่อนข้างจะวุ่นวายหน่อย ปัจจุบันนี้ คำย่อใหม่ๆ มักนิยมจุดแป๊ะเดียวตอนสุดท้ายเลย ไม่ว่าจะมีตัวอักษรกี่ตัวเรียงกัน แต่ถ้าเป็นคำย่อที่ใช้กันมานานจนชิน ก็มักจะมีจุดหลังทุกตัวอักษร เช่น ม.ค. หรือ พ.ศ. ถ้าจะให้แน่ใจที่สุด ก็ควรตรวจดูจากเอกสารอ้างอิงของราชบัณฑิตยสถานครับ
เขียนไทยให้ถูกตัวสะกด
ประเด็นนี้ผมพูดถึงไปแล้วบ้างในช่วงต้น ตรงหัวข้อ (2) ไม่รู้ว่าตัวเองสะกดผิด นะครับ ในหัวข้อนั้นผมพาดพิงถึงสาเหตุและทางแก้ไขที่นักเขียนเอาไปใช้ได้ ตรงนี้ผมมีประเด็นเพิ่มเติมเล็กน้อย คือเรื่องการสะกดคำให้ถูกต้องนี่ มันเกี่ยวข้องกับคำอยู่สามพวกใหญ่ๆ
(1) คำที่มีปรากฏในพจนานุกรม
ไม่ว่าจะเป็นคำที่มีความหมายในภาษา หรือคำเลียนเสียงที่ใช้กันแพร่หลายจนได้รับบรรจุในพจนานุกรม เช่น พรวด (กลุ่มนี้มักจะเป็นคำขยาย) ข้อเสนอแนะของผมสำหรับคำพวกนี้คือ สะกดให้ตรงกับพจนานุกรมเล่มใดสักเล่มหนึ่งครับ
ที่ต้องเขียนว่า เล่มใดเล่มหนึ่ง เพราะมีบางคำที่มีปรากฏในบางเล่มแต่เล่มอื่นไม่มี และมีบางคำที่ต่างเล่มก็บรรจุไว้ต่างกัน และมีแตกต่างไปจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
เป็นความจริงของโลกอีกอย่างที่นักเขียน (และคนใช้ภาษาทั้งหลาย) พึงตระหนักก็คือ ไม่มีพจนานุกรมเล่มใดเลยในโลกที่ไม่มีคำผิดหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเหตุนี้จึงต้องมีการ ชำระ กันเป็นระยะๆ เช่นทุกสิบปี และแต่ละคราวก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนไปอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เพิ่มคำใหม่เท่านั้น และคำบางคำแม้ในหมู่นักวิชาการด้านภาษาก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน สะกดไม่ตรงกันอยู่ คนใช้ภาษามีสิทธิ์ที่จะเลือกเชื่อความเห็นใดก็ได้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้นเป็นแนวทาง แต่ไม่ใช่กฎหมาย เห็นต่างได้ถ้าเรามั่นใจในเหตุผลและการใช้ของเรา
ตัวอย่างเช่น มุก/มุข ที่ใช้หมายถึงคำตลกหรือเรื่องตลก ฉบับราชบัณฑิตฯ บรรจุว่า มุก นักวิชาการทางภาษาหลายท่านเห็นแย้ง บอกว่าควรจะเป็น มุข มากกว่า โดยน่าจะมีที่มาจากการเล่าเรื่องแบบ มุขปาฐะ ซึ่ง มุข นั้นมีความหมายว่า ปาก พจนานุกรมฉบับมติชนบรรจุไว้ว่า มุข ส่วนเราเป็นนักเขียน อยากจะใช้แบบไหนก็ตามใจ แต่ขอให้ใช้แบบเดียวกันตลอดทั้งเล่ม พอไปถึงสำนักพิมพ์แล้ว เขาจะมีมาตรฐานของเขาเองอีกที (ส่วนใหญ่อาจจะใช้ตามราชบัณฑิตฯ ผมไม่ทราบ) เขาจะตรวจแก้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งสำนักพิมพ์
หรืออย่าง พิเรน/พิเรนทร์ ที่หมายถึงแปลกพิกล ฉบับราชบัณฑิตฯ บรรจุว่า พิเรนทร์ แต่ฉบับอาจารย์วิทย์บรรจุว่า พิเรน โดยแยก พิเรนทร์ ออกมาอีกคำ แปลว่า จอมนักรบ, พระเจ้าแผ่นดิน (ส่วนโปรแกรมตรวจตัวสะกดที่ผมใช้ ขีดเส้นใต้สีแดงบอกว่าผิดทั้งสองแบบ ฮ่วย...)
(2) คำทับศัพท์
ที่ต้องใช้บ่อยมักเป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ บางคำมีปรากฏในพจนานุกรมบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะยังไม่ได้บรรจุอยู่ (หรือมีในพจนานุกรมเฉพาะทางซึ่งเราไม่มี) ผมแนะว่าลองอ่านหลักเกณฑ์การเขียนทับศัพท์ในเว็บราชบัณฑิตฯ ดูครับ หลักใหญ่ใจความมีไม่มาก ถ้าผ่านตาแล้วก็น่าจะพอใช้เป็นแนวได้ไม่พลาด ส่วนรายละเอียดยิบย่อยถ้าจำไม่ไหว ก็ถือว่าเอาหลักใหญ่ไปประยุกต์ใช้แล้วกัน
ที่จริงหลักการทับศัพท์ก็ยังมีได้หลายแนวอีก ยิ่งถ้าเป็นชื่อเฉพาะในภาษาตระกูลเดียวกับบาลีสันสกฤต ซึ่งมีรากศัพท์ใกล้เคียงกับภาษาไทยเรามาก ยิ่งชวนมึน สำหรับการเขียนนิยายเราอาจจะไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าได้อ่านผ่านตาไว้บ้าง ก็จะมีประโยชน์ครับ
เวลาเอามาเขียนจริง หลายคำที่มีรูปเฉพาะซึ่งคุ้นตากันอยู่แล้ว ก็จะไม่ใช้หลักทั่วไปที่ราชบัณฑิตฯ วางไว้ (คุ้นๆ ว่าในเว็บให้ตัวอย่างคำพวกนี้ไว้ด้วยเหมือนกัน) หรือบางคำเราอาจจะไม่เห็นด้วยกับการเอาหลักมาใช้เสียทีเดียว อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของนักเขียนแต่ละคน ขอแค่ให้มีเหตุผลในการเขียน ไม่เรื่อยเปื่อย และเขียนแบบเดียวกันทั้งเล่มก็ถือว่าใช้ได้ครับ พอไปถึงสำนักพิมพ์ คำพวกนี้ก็อาจจะถูกเปลี่ยนให้ตรงกับมาตรฐานสำนักพิมพ์อีก แต่อย่างน้อยเราก็ทำส่วนของเราให้ดีที่สุด
ตัวอย่างประเด็นที่เราอาจจะเห็นต่างจากหลักของราชบัณฑิตฯ ได้ เช่น เสียงพยัญชนะที่มีลักษณะเป็นคู่เสียงมีลมกับไม่มีลม (ธนิตกับสิถิล หรือ aspirated กับ unaspirated) ซึ่งภาษาไทยเราแยกเป็นสองเสียง แต่ภาษาอังกฤษมีเสียงเดียว เช่น /p/ ซึ่งเราอาจถอดเป็น พ (มีลม) หรือ ป (ไม่มีลม) ก็ได้ ซึ่งแม้ในคำเดียวกัน บางคนอาจจะเลือกถอดต่างกัน เสียง /t/ กับ ท และ ต ก็ทำนองเดียวกัน
หรือในกรณีของตัวสะกด ซึ่งราชบัณฑิตฯ วางหลักไว้ว่าแม่กก กด กบ ที่ภาษาอังกฤษสะกดด้วยเสียง /k/ /t/ /p/ เวลาถอดให้ใช้ตัว ก ต ป เป็นตัวสะกด แต่ในบางกรณี เราอาจจะเห็นว่ารูป ค ท พ อาจจะเหมาะสมกว่า คุ้นตากว่า หรือสวยกว่า ก็สุดแต่คนเขียนจะพิจารณาตามเหมาะสมครับ
(3) คำอื่นที่ไม่ปรากฏในพจนานุกรม
มักจะเป็นคำเลียนเสียง เช่น คำเลียนเสียงธรรมชาติ บางคำมีบรรจุในพจนานุกรมแล้ว เช่น โครม เปาะแปะ จั้กๆ เปรียะ เปรี๊ยะ แต่บางคำอาจจะไม่มีในพจนานุกรม เช่น เผียะ เพียะ คำเลียนเสียงมนุษย์หรือสัตว์ เช่น หงิงๆ โอ้กอ้าก พวกนี้มีในพจนานุกรม แต่เราก็สามารถเขียนเสียงอื่นที่ไม่มีในพจนานุกรมได้อีก เช่น ง่ะ งือ งี้ด เป็นต้น
ข้อความสนทนาบางครั้ง คนเขียนต้องการถอดเสียงภาษาพูดออกมา ก็จะมีคำจำพวก ซะ งี้ งั้น ยังไง ซึ่งพวกนี้ไม่มีในพจนานุกรม ข้อเสนอแนะของผมคือ เขียนให้ถูกอักขรวิธีครับ เราต้องการถ่ายทอดบทสนทนาของตัวละคร ซึ่งเป็นภาษาพูด เป็นเรื่องธรรมดามากที่คำในภาษาพูดบางคำไม่มีในพจนานุกรม แต่คนก็พูดอย่างนั้นจริงๆ
มีทางเลี่ยงเหมือนกัน คือแปลงออกมาเป็นภาษาเขียนทั้งหมด ใช้ เสีย แทน ซะ หรือ อย่างไร แทน ยังไง เป็นต้น แต่ตอนอ่านก็จะได้อารมณ์ไปอีกแบบ (อารมณ์แม่พลอย?) สุดแต่คนเขียนจะพิจารณาครับ
ส่วนกรณีของการใช้วรรณยุกต์ไม่ถูกอักขรวิธีเพื่อแสดงอารมณ์ ผมพูดถึงไปแล้วข้างบนนะครับ
เขียนไทยให้ถูกความหมาย
ประเด็นนี้เป็นข้อผิดพลาดที่พบไม่บ่อยมาก แต่เวลาเห็นแล้วก็อดอึ้งปนขำไม่ได้เหมือนกัน กรณีที่เจ๋งที่สุดที่ผมเคยเห็น คือคนเขียนเจตนาจะชม แต่เลือกใช้สำนวนที่ฟังดูตรงกันข้าม คนอื่นอาจจะขำ แต่คนถูกพูดถึงจะขำหรือเปล่าผมก็ไม่กล้าเดา
มีอยู่สองกรณีใหญ่ๆ ที่ผมเคยเห็นมานะครับ คือเรื่องของคำ กับเรื่องของสำนวน
เราเป็นคนไทย เรามักจะรู้สึกว่าเรารู้ภาษาไทย เราเลือกใช้คำได้ถูกต้องโดยอัตโนมัติ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นอัตโนมัติแค่ไหน แต่ของผมเองนี่ ขอสารภาพแบบไม่ยอมอายว่า อัตโนมัติไม่หมดครับ ยิ่งเวลาเขียนนิยายนี่ มีหลายครั้งเหลือเกินที่ผมต้องหยุดคิด ว่าที่จริงผมต้องการสื่ออะไรออกไปกันแน่ และคำที่ผมกำลังจะพิมพ์นั้น มันใช่อย่างที่ต้องการจริงหรือเปล่า
หลายครั้งที่ผมเปิดพจนานุกรม ไม่ใช่ดูตัวสะกด แต่ดูความหมายให้มั่นใจ ว่าคำที่ผมเลือกใช้นั่น มันตรงกับที่ผมต้องการจริงๆ ไม่เบี่ยงไปทางอื่น
คำพวกนี้มักจะไม่ใช่คำที่ใช้บ่อยในภาษาพูด แต่เป็นคำที่ปรากฏในนิยายได้ มักเป็นข้อความบรรยาย มักเป็นคำที่มีความหมายเฉพาะหรือละเอียดอ่อน มักเป็นคำที่สร้างภาพพจน์ สื่ออารมณ์ ก่อให้เกิดอารมณ์บางอย่าง ผมยังนึกตัวอย่างไม่ออกตอนนี้ แต่เพื่อนนักเขียนบางคนอาจจะเคยเจอมาคล้ายๆ กัน คือต้องหยุดคิดให้แน่ใจ ว่าคำนี้คือคำที่ใช่จริงๆ
ถ้าตัดเรื่องความ ตรงใจ หรือ ถูกใจ ออกไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด คำที่เราเลือกมาควรจะใช้ให้ถูกความหมาย เป็นความหมายที่เข้าใจในวงกว้าง ถ้าคนเขียนไม่เข้าใจความหมายของคำที่เลือกมาและใช้ผิดๆ คนอ่านก็คงไม่ได้รับสารที่เราตั้งใจจะสื่อ
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเลือกใช้แต่คำพื้นๆ เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราเลือกใช้คำโลดโผนไม่ได้ หรือว่าใช้คำในลักษณะเปรียบเปรยไม่ได้ บางทีคนเขียนอาจจะต้องการ เล่น กับคำ ซึ่งผมเห็นว่าสามารถทำได้ และถ้าทำได้ดีจะยิ่งดีด้วย เพราะจะเป็นกลิ่นอายเฉพาะในงานเขียนของเรา เป็นบุคลิกของเราซึ่งคนอื่นลอกเลียนไม่ได้ เพียงแต่ถ้าเราจะ เล่น กับคำ เราก็ต้อง รู้จัก มันให้มากพอ อย่าเล่นผิดๆ เท่านั้นเองครับ
เรื่องคำนี่ ข้อเสนอแนะของผมคือ พจนานุกรม ครับ บางครั้งถ้าพ้นจากขอบเขตที่พจนานุกรมอธิบายไว้ ก็ยังมีแหล่งข้อมูลอื่นให้ค้นคว้าได้ แต่ถ้าจะแวะไปวิหารเทพเจ้ากู๋ (Google) หรือเทพีวิกกี้ (Wikipedia) ก็ขอให้ระมัดระวังเรื่องความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลสักเล็กน้อย และใช้วิจารณญาณให้มากครับ
อีกเรื่องคือสำนวนไทย เรื่องนี้พจนานุกรมช่วยได้น้อยมาก ถ้าต้องการแหล่งอ้างอิงคงจะต้องหาหนังสือเกี่ยวกับสำนวนไทยโดยตรง ผมเคยค้นในเว็บก็พบบ้างไม่พบบ้าง สุดแท้แต่ว่าจะเป็นสำนวนที่ใช้กันกว้างขวางแค่ไหน
บทเรียนสำคัญที่ผมได้จากเรื่องสำนวนคือ ถ้าไม่เข้าใจความหมายของสำนวนนั้นจริงๆ หรือถ้าไม่แน่ใจ ก็ไม่ควรใช้ครับ ควรจะเลือกระหว่างค้นคว้าจนแน่ใจก่อน หรือเปลี่ยนรูปข้อความไปเลย ผมเคยเห็นสำนวนผิดที่ผิดทางในงานเขียนมาแล้ว ต้องบอกว่ามันทำลายทั้งอรรถรสในการอ่านงานอย่างแรง (บางทีต้องหยุดอ่านมานั่งขำ) และยังทำลายความน่าเชื่อถือของคนเขียนไปบ้างด้วย (ประมาณว่า เขียนมาได้ยังไงเนี่ย)
ที่พร่ำเพ้อมาทั้งหมดนั้นคือข้อสังเกตและบทเรียนที่ผมได้มา ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ผม เขียนไทย ได้ ถูก สมบูรณ์เพียบพร้อมแล้วหรอกนะครับ ทุกวันนี้ก็ยังพยายามต่อไป
อย่างเรื่องอักขรวิธี บางครั้งผมก็ยังต้องคิด ว่าไอ้เสียงนี้ในบทสนทนาเนี่ย ผมจะถอดมันออกมายังไงดี ถ้าเขียนว่า น้าาาา... แบบนี้ มันจะสื่ออารมณ์ออกมาได้ตรงมั้ย ควรจะเปลี่ยนเป็นแบบอื่นรึเปล่า หรือต้องมีคำบรรยายเสริมมั้ย
เรื่องตัวสะกดผมก็ปรึกษาพจนานุกรมอยู่ตลอดเวลา และได้เรียนรู้คำใหม่ๆ (ที่จริงคือคำเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนผิดมาตลอด เช่น คร่อม ผมเคยเขียน คล่อม มานาน แต่มีเพื่อนนักอ่านช่วยติงให้) ต่อให้เป็นคำที่ คิดว่ารู้แล้ว แต่ถ้าไม่มั่นใจเต็มร้อยจริงๆ ผมก็ยังยอมเจียดเวลาเปิดพจนานุกรม เดี๋ยวนี้เว็บของราชบัณฑิตฯ ปรับปรุงโปรแกรมพจนานุกรมใหม่แล้วด้วย ค้นหาได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นมาก บางทีเวลาเขียนงานผมก็ต้องเปิดหน้าเว็บพจนานุกรมของราชบัณฑิตฯ คู่ไว้ตลอดเวลาครับ
และเรื่องความหมายก็เหมือนกัน ส่วนใหญ่ผมมักจะงงพวกคำเลียนเสียงหรือคำแปลกๆ ยาวๆ ที่คุ้นๆ แต่ไม่มั่นใจ ว่ามันจะใช่แบบที่เราต้องการรึเปล่า ก็เปิดเว็บพจนานุกรมอีกเช่นกัน ยอมเสียเวลาอีกนิด ดีกว่าเขียนไปแล้วกลายเป็นคนละเรื่องไป
ท้ายที่สุด ถึงเราจะระมัดระวังเต็มที่ ตั้งใจ เขียนไทยให้ถูก อย่างเต็มที่แล้ว แต่มันก็จะยังมีข้อผิดพลาดใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาโลกครับ ไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์แบบไปได้เสียหมด
แต่ผมเชื่ออยู่อย่างว่า เมื่อเราตั้งใจเต็มที่แล้ว เราก็จะสามารถลดความผิดพลาดได้มากที่สุด เท่าที่ความไม่สมบูรณ์แบบของคนเราจะยอมให้เป็นไปได้ และเมื่อมีข้อผิดพลาดใหม่เกิดขึ้น เราก็จะพร้อมที่จะเรียนรู้จากมันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีกครับ
และผมเชื่อว่ามันจะเป็นก้าวแรกที่มั่นคง และอยู่กับเราไปตลอดทางที่เราเป็น คนเขียนฝัน ทีเดียว
เว็บที่เกี่ยวข้อง
ราชบัณฑิตยสถาน » หน้ารวม » พจนานุกรม » หลักเกณฑ์การทับศัพท์ - คำชี้แจง » หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษ » ที่หน้ารวม มุมซ้ายล่าง ยังมีหลักเกณฑ์อื่นอีกหลายอย่างครับ เช่น เครื่องหมายต่างๆ การเว้นวรรค การเขียนคำย่อ ลักษณนาม ราชาศัพท์ เป็นต้น
พันทิป » พันทิป pantip.com » ถนนนักเขียน » ห้องสมุด » กระทู้ กรณีตัวสะกดและสำนวนที่ไม่ถูกต้อง ใครสมควรเป็นฝ่ายรับผิดชอบที่สุดคะ » กระทู้ เดี๋ยวนี้นักเขียนตระหนักถึงความเป็น "สื่อ" ของตัวเองมากน้อยแค่ไหนคะ » กระทู้ ความเข้าใจผิดในการผันเสียงวรรณยุกต์
Create Date : 03 มกราคม 2552 |
Last Update : 3 มกราคม 2552 14:41:27 น. |
|
22 comments
|
Counter : 4981 Pageviews. |
|
|
|
โดย: BestChild วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:16:50:10 น. |
|
|
|
โดย: เทียนสี IP: 80.225.180.64 วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:3:04:17 น. |
|
|
|
โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:9:13:52 น. |
|
|
|
โดย: มณีนาคา วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:18:58:43 น. |
|
|
|
โดย: teansri วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:20:44:22 น. |
|
|
|
โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 6 มกราคม 2552 เวลา:7:46:20 น. |
|
|
|
โดย: nikanda วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:19:34:19 น. |
|
|
|
โดย: Tinnatorn วันที่: 8 มกราคม 2552 เวลา:5:24:25 น. |
|
|
|
โดย: h@-more วันที่: 9 มกราคม 2552 เวลา:1:28:12 น. |
|
|
|
โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 9 มกราคม 2552 เวลา:17:02:37 น. |
|
|
|
โดย: ปณาลี วันที่: 17 มกราคม 2552 เวลา:12:28:09 น. |
|
|
|
โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:13:08:25 น. |
|
|
|
โดย: ปณาลี วันที่: 28 มกราคม 2552 เวลา:17:56:06 น. |
|
|
|
โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 31 มกราคม 2552 เวลา:21:42:26 น. |
|
|
|
โดย: ซา'เคียว (samurai_KYO ) วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:42:43 น. |
|
|
|
โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 4 สิงหาคม 2552 เวลา:10:12:57 น. |
|
|
|
โดย: Mesong IP: 90.217.180.35 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2553 เวลา:18:21:35 น. |
|
|
|
โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:12:26:24 น. |
|
|
|
โดย: หนูหริ IP: 111.103.65.170 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2554 เวลา:16:50:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
หลายคำก็เพิ่งรู้จริงๆ ว่า อ้าวนี่... เราเขียนผิดจริงดิ!
อันที่จริงเวปของราชบัณฑิตฯ ก็เก็บไว้เป็น favorite อยู่นะคะ คอยเข้าไปดูตลอดเวลาที่ไม่แน่ใจคำไหน แต่มันบังเอิญว่าบางคำมั่นใจว่าเขียนถูกเลยไม่ไปดูนี่สิ ปรากฎว่ามันผิด เหอะ เหอะ
อ่านแล้วก็แอบคิด ตรงประโยคคำพูดหรือบทสนทนา อารมณ์อ่านจะเป็นอารมณ์แม่พลอย น่าคิดนะคะ เขียนถูกต้องตามหลักภาษา เลยกลายเป็นว่าอารมณ์อนุรักษ์
แบบนี้เกิดลองเขียนเรื่องสั้นแนวเด็กมัธยมหลงรักนักร้องวัยรุ่น แล้วยกเลิกอิโมติคอนทั้งหลายแหล่ ใส่ภาษาแม่พลอยเข้าไปแล้วลองอ่านดู ท่าทางจะสนุก อิ อิ อิ
ไม่ก็ลองคุยกับเพื่อนฝูงแบบอ่านออกมาจากตัวอักษรตรงตัวดู
จาก "เฮ้ย... เป็นไรมากมั้ยเมิง"
เป็น "นี่แน่ะ... เป็นอย่างไรมากไหมพ่อคุณ"
กร๊าก...
ล้อเล่นค่ะ อันที่จริงความเห็นส่วนตัวคืออยากให้เขียนแบบถูกต้องมากกว่าเขียนแบบแปลงสาร (เอะ แล้วไอ้ "แปลงสาร" นี่เขียนถูกไหมนี่?) เกินกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือ คือสำหรับบางคำในบทสนทนาโต้ตอบ อารมณ์นิยายแนวใหม่อาจได้อารมณ์มากกว่าหากจะเขียนแบบ ไหม เป็น มั้ย อย่างไร เป็น ยังไง
อุ๊ย... เม้นท์ยาวง่ะ
ไปดีกว่า
ปล. แอบสงสัย งานเขียนคุณพีทที่ผ่านมาใช้คำว่า "คร่อม" บ่อยขนาดนั้นเลยเหรอ เอิ๊กๆๆ