คุณพีทคุง พิธันดร
Group Blog
 
 
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
1 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
คุณพีทเรียนเขียนนิยาย





คุณพีทคุงกำลังหัดเขียนนิยายครับ

ตอนเด็กๆ เคยอยากเขียนนิยายรึเปล่าหว่า... นึกไม่ออกเหมือนกันแฮะ แต่ก็เคยอ่านนิยายมาพอสมควรเหมือนกันครับ




เริ่มแรกสุดเลย ตอนอยู่ประถม ที่มั่นใจว่าเป็นตอนประถม เพราะตอนมัธยมผมย้ายโรงเรียน และภาพที่จำได้ตรงนี้เป็นภาพตอนประถม ตอนนั้นโรงเรียนมีห้องสมุดอยู่สองห้อง ผมก็จำไม่ได้ซะแล้วว่าย้ายจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง หรือว่ามีสองห้องพร้อมกัน (โปรดเข้าใจว่ามัน น้าน... นาน... มาแล้ว) แต่เดาว่าคงจะย้ายมั้งครับ เพราะจำได้ว่าไม่ได้ไปสองห้องพร้อมกัน

ห้องแรกเป็นอยู่บนตึก เป็นพื้นไม้ขัดมันแบบเดียวกับห้องเรียนตอนประถมปลายของผมเลย แต่ห้องสมุดอยู่ตึกด้านในที่พวกพี่ๆ มัธยมเขาเรียนกัน ต้องไต่จากตึกประถมลงมาข้างล่าง แล้วเดินข้ามสนามบาสเข้าไปตึกข้างใน รู้สึกห้องนี้จะติดแอร์ด้วย จำได้ว่าเคยไปไม่กี่ครั้งเอง สงสัยว่าจะเป็นชั่วโมงเรียนวิชาไหนซักวิชา แล้วคุณครูพาเข้าแถวไปแนะนำห้องสมุด ที่ห้องนี้ผมไม่ได้ยืมหนังสือ แต่จำได้ว่าเคยไปอ่านนิทาน เป็นเล่มหนาๆ กระดาษสีน้ำตาลอ่อนๆ หอมๆ ตัวพิมพ์แบบโบราณเส้นคมสวยเชียว เป็นนิทานฝรั่ง แปลโดยคุณ อ.สนิทวงศ์

คิดว่าห้องสมุดคงจะย้ายลงมา เพราะตึกเรียนข้างในนั้นถูกถล่มสร้างใหม่ ห้องสมุดใหม่เป็นห้องปูน โล่งโปร่งกว่าห้องแรกมาก ไม่ได้ติดแอร์ อยู่ชั้นล่าง ถัดจากโรงอาหารไปจนสุดรั้วที่กั้นระหว่างแผนกประถมกับแผนกอนุบาล ห้องนี้ผมจำได้ว่าไปบ่อยๆ และผมเริ่มค้นพบหนังสือวรรณกรรมเยาวชนแปลเล่มบางๆ จบในเล่ม เรื่องแรกๆ ที่อ่านและยังจำ (ชื่อ) ได้มาจนถึงทุกวันนี้ก็มี ปริศนาระฆังแก้ว เมืองในตู้เสื้อผ้า เอมิลยอดนักสืบ และแมงมุมเพื่อนรัก

ตอนนี้เองที่ผมรู้จักการอ่านนวนิยายเป็นครั้งแรก นิยายที่อ่านจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าเขียนโดยคุณ ทมยันตี และนางเอกในเรื่องเดิมชื่อลั่นทม ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นทมยันตี (นานจนเลือนรางจริงๆ)

ห้องสมุดโรงเรียนประถมนี้ เป็นห้องสมุดที่หัดให้ผมรู้จักเข้าห้องสมุดเลยก็ว่าได้

พอขึ้นชั้นมัธยมผมก็ย้ายโรงเรียน ห้องสมุดที่นี่ใหญ่ขึ้นมาก อยู่บนชั้นสามของตึกใหม่ กินเนื้อที่ครึ่งชั้น เท่ากับห้องเรียนสามห้องเรียงต่อกันเลยทีเดียว (อีกครึ่งหนึ่งเป็นห้องโสตฯ แต่เดินถึงกันไม่ได้ เพราะมีตาข่ายกั้น ต้องไปขึ้นบันไดอีกฟาก) ห้องสมุดนี้มีหนังสือเยอะกว่าโรงเรียนประถมของผมมาก และจัดหมวดด้วยระบบตัวเลขทศนิยมของดิวอี้ ซึ่งทำให้ผมพลอยคุ้นเคยกับระบบนี้มากกว่าระบบตัวอักษรแบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน

ที่ห้องสมุดนี้ผมตะลุยอ่านเสียหลายหมวด นอกจากเรื่องวิทยาศาสตร์และลึกลับที่ผมกำลังชอบตอนนั้นแล้ว ผมยังค้นพบหนังสือเกี่ยวกับตำนานทางฮินดูที่ไทยรับเอามา เป็นหนังสือของคุณ ส.พลายน้อย ที่จำได้รางๆ ก็มี เทวนิยาย พฤกษนิยาย สัตวนิยาย หรืออะไรทำนองนั้น สองเล่มหลังนี่เกี่ยวกับพืชและสัตว์ในป่าหิมพานต์ ผมชอบเล่มแรกที่เกี่ยวกับเทพฮินดูเป็นพิเศษ

และที่นี่ผมก็ได้อ่านวรรณกรรมแปลชุด “บ้านเล็ก” ของ ลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ จำไม่ได้เสียแล้วว่าเล่มที่อ่านตอนนั้นเป็นสำนวนใครแปล ทราบว่าปัจจุบันนี้มีอยู่สองสำนวน จำได้แต่ว่าตอนนั้นติดมาก อ่านแล้วร้องห่มร้องไห้ ชอบมาก แล้วก็ปิ๊งอัลมันโซมากๆ ด้วย ตอนเด็กๆ เคยดูหนังโรง “บ้านเล็กในป่าใหญ่” แต่ก็นานจนลืมไปแล้ว (จำได้แต่ฉากลอร่านั่งเกวียนไปกับพี่น้องตอนย้ายบ้าน) ส่วนทางทีวีก็มีหนังชุด (ซีรี่ส์) เกี่ยวกับตอนที่ลอร่าโตแล้ว แต่งงานกับอัลมันโซแล้วและมีลูกๆ ของตัวเอง แต่ก็จำอะไรไม่ได้อีกนอกจากภาพในจอบางภาพเท่านั้นเอง เพราะนานเกิน มารู้ทีหลังว่าพอจบชุด “บ้านเล็ก” เจ็ดแปดเล่มแล้ว ยังมีเรื่องราวต่อเป็นหนังสืออีกสองสามเล่ม ชื่อ “สี่ปีแรก” กับ “ตามทางสู่เหย้า” หรืออะไรทำนองนี้

และก็ที่ห้องสมุดมัธยมนี่อีกเหมือนกัน ผมได้อ่านนิยายอิงธรรมะของคุณ สุชีพ ปุญญานุภาพ จำชื่อเรื่องไม่ได้เสียแล้ว จำได้แต่นามปากกาของผู้เขียน

ช่วงมัธยมผมอ่านหนังสือเยอะ อ่านเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ในนิตยสารก็เยอะ แต่ไม่เคยคิดจะเขียนเอง เป็นช่วงที่ทำให้ผมรักการอ่านเสียมากกว่า

พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หอสมุดกลางใหญ่โตเป็นตึกหลายชั้น ส่วนใหญ่พวกเราจะไปอาศัยนั่งตากแอร์กันตอนใกล้สอบ ผมแทบไม่ได้ยืมหนังสือมาอ่านเลย อาจเพราะตอนนั้นทำกิจกรรมค่าย ทุกวันก็มีอะไรให้ทำไปจนค่ำมืดอยู่แล้ว เสาร์อาทิตย์ก็มีคุยงานบ้าง ออกสำรวจหมู่บ้านบ้าง เคยขึ้นไปดูส่วนนิยายของห้องสมุดเหมือนกัน แต่นอกจากงานแนวลึกลับ (กึ่งสยองขวัญ) ของคุณ จินตวีร์ วิวัธน์ ที่ผมเคยรู้จักจากใน “ต่วยตูนพิเศษ” มาก่อนแล้ว ผมก็ไม่เคยหยิบยืมกลับมาอ่านเลย

แต่ก็ปรากฏว่ายังได้อ่านนิยายอยู่บ้าง เพราะที่บ้านรับนิตยสารสกุลไทยประจำทุกสัปดาห์ ผมก็ได้อาศัยอ่านจากสกุลไทยนี่แหละครับ ชื่อนักเขียนนิยายระดับแนวหน้าทั้งหลาย ผมก็เพิ่งมารู้จักเอาที่นี่เอง แต่เพราะที่บ้านรับแค่หัวเดียว นักเขียนที่ลงนิยายในนิตยสารอื่นผมก็จะไม่รู้จัก

ถึงตอนนั้นผมก็ยังไม่นึกอยากจะเขียนนิยายเอง




จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเพราะ Lord of the Rings ของคุณปู่โทลคีน (Tolkien) แท้ๆ

ผมเริ่มอ่านหนังสือของปู่โทลคีนเมื่อปี 2542 เริ่มจาก The Hobbit ก่อน เสร็จแล้วก็มาต่อ “ลอร์ดฯ” ปรากฏว่า พออ่านจบแล้วก็เกิดอาการ อึ้ง อึ้ง อึ้ง ผมไม่เคยอ่านนิยายแฟนตาซีฝรั่งมาก่อน ยิ่งเล่มหนาๆ ต้องทนอ่านนานๆ นี่ ไม่เคยคิดจะลองจับจริงๆ (ไม่เคยสังเกตเห็นบนชั้นหนังสือด้วยซ้ำ) แต่พออ่าน “ลอร์ดฯ” แล้ว เกิดความรู้สึกว่ามันช่างลุ่มลึกและอลังการมากเหลือเกิน

ที่จริงแล้วผมไม่ใช่ “สาวกลอร์ดฯ” บางบทผมอ่านแล้วก็เบื่อจัง บางส่วนผมก็ไม่ได้สนุกไปด้วย แต่ถ้าดูในภาพรวมแล้ว ผมประทับใจในความ “ลึก” ของเรื่องนี้มาก สิ่งที่ทำให้ผม “รู้สึก” มากที่สุดคือประเด็นว่าด้วยการอยู่ “ค้ำฟ้า” ของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ อายุยืนเหมือนว่าน่าจะดี แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยการเฝ้ามองสิ่งต่างๆ เสื่อมสลายไหลผ่านไปตลอดเวลาไม่จบสิ้น ถ้าลองเทียบกับชีวิตคนเราแล้ว ก็อาจจะเหมือนกับว่าเช้านี้ตื่นขึ้นมาเห็นดอกไม้กำลังผลิ พอตอนเที่ยงก็บานเต็มที่ เผลอแผล็บเดียวไม่ทันตกเย็น หันมาอีกที ต้นไม้ต้นนั้นตายไปแล้ว มันเป็นความเศร้าลึกๆ ที่จับใจผมเหลือเกิน

และพื้นหลังของภาพต่างๆ เหล่านี้ ก็เต็มไปด้วยรายละเอียดมีชีวิตชีวา ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน มีที่มาสืบต่อกันเป็นประวัติศาสตร์ยาวนาน ผมรู้สึกว่ามันช่างยิ่งใหญ่ เหมือนปู่แกสร้างโลกขึ้นมาหนึ่งใบเลยทีเดียว และทำให้ผมนึกอยากจะสร้างโลกของตัวเองบ้าง

ผมอยากเขียนนิยายก็ตอนนี้เอง




ด้วยความที่อยากสร้างโลก นิยายเรื่องแรกที่ผม “คิด” ก็เลยเป็นนิยายแฟนตาซี ผมเริ่มลงมือจดเรื่องราวลงในสมุด เริ่มกันตั้งแต่กำเนิดโลกเลยทีเดียว (เดินตามปู่เป๊ะ เพราะตอนนั้นกำลังอ่าน The Silmarillions อยู่ เป็นตำนานของมิดเดิลเอิร์ธ ตั้งแต่สร้างโลกไปจนถึงยุคก่อนเหตุการณ์ใน “ลอร์ดฯ”) แต่โลกของปู่กับโลกของผมนั้นไม่เหมือนกัน เพราะผมคิดคนละแบบ ไม่ได้ชอบแบบที่ปู่ชอบ

คิดการใหญ่ไปหน่อย โลกใบนั้นก็เลยไม่ได้ถือกำเนิดซักที

ช่วงปีนั้นผมพยายามเริ่ม “เขียน” อยู่เหมือนกัน แต่มันขาดวิ่นเป็นชิ้นส่วนมากๆ แบบว่าหน้าเดียว หรือไม่กี่หน้า เขียนไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้เป็นบทเป็นตอนด้วยซ้ำ (แล้วดันพยายามเขียนเป็นภาษาอังกฤษอีกต่างหาก คุณพระคุณเจ้าช่วย!)

เป็นอันว่ารอบนั้นพับไป แบบเรียบร้อยโรงเรียนคุณพีท อย่างประณีตงดงาม คือไม่มีอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน (ให้เป็นประวัติด่างพร้อยในสายตาสาธารณชน)

ผมมาเริ่มลงมืออีกทีเมื่อปี 2546

ตอนนั้นเพิ่งออกจากงานมาเรียนต่อ สงสัยเวลาว่างจะมาก ไม่ค่อยคุ้น ผมเลยนึกถึงโลกใบเก่าที่เคยคิดไว้ แล้วเอามาปัดฝุ่นเอียงคอมองอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่จะเริ่มเขียนตั้งแต่แรกสุดแถวๆ กำเนิดโลกนู้น ผมตัดสินใจมาจับเอาเหตุการณ์ยุคหลังๆ ที่โลกกำเนิดมาสำเร็จรูปเรียบร้อยแล้ว (ประหยัดเวลาสร้าง) ประมาณว่าร่วมสมัยกับพวกเราในโลกของเรายุคปัจจุบันนี่แล้วกัน

ผนวกกับผมกำลัง “อิน” กับหนังชุดของฝรั่ง (ซีรี่ส์) ชื่อ Charmed เป็นเรื่องของแม่มดพี่น้องสามสาวแสนสวย ซึ่งต้องปราบเหล่าร้ายนานาพันธุ์ (โอ้... เหมือนไอ้มดแดงสมัยก่อนเป๊ะ แต่สวยกว่ามาก หนุ่มๆ ในเรื่องก็หล่อโคตรๆ ทุกคน ผู้ร้ายก็ไม่เว้น) ประทับใจมากๆ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้ผมนึกถึงตัวเอกที่มี “พลังพิเศษ” บางอย่าง ที่ทำให้เขา “แตกต่าง” จากคนอื่น และทำให้เขารู้สึกกดดันที่ต้องหลบซ่อนปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ (ทำไมชอบไปประทับใจอะไรที่มันโศกๆ นักนะคุณพีท)

หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ผมเอาโลกแฟนตาซี (ที่ถือว่าสำเร็จรูปแล้ว แต่อย่าบอกใครนะครับ ว่าที่จริงผมยังไม่ได้สร้างเลย แหะๆ) มาบวกกับคนที่มีพลังพิเศษ ได้ออกมาเป็น “กุญแจข้ามภพ” นิยายเรื่องแรกที่ผมลงมือเขียนจริงจัง

แต่ไม่จบ... แป่ว...

เอาน่ะ ถึงจะไม่จบ ผมก็เขียนไปตั้งสิบสามบทเชียวนะ เอาลงในถนนนักเขียน เว็บพันทิป ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2546 ไปจอดบทที่ 13 เอาช่วงสิ้นปี นับถึงตอนนี้ก็ห้าปีพอดี จากวันที่จับ “กุญแจ” ยัดลงไหดองปิดผนึก ซึ่งถือว่าปิดผนึกจริงๆ เพราะตอนนั้นเขียนไปแล้วก็ต้องตัดสินใจว่าจะหยุด เพราะดันคิดการใหญ่เกินตัวอีกแล้ว (ทำไมนิยายแฟนตาซีเขียนยากจังฟะ) รู้สึกว่าต้องรื้อโครงใหม่ให้ชัดเจนกว่านี้ ไม่งั้นเขียนไปคงดิ้นกระแด่วๆ ไม่รอดแน่ เพราะฉะนั้น หยุดดีกว่า แต่สัญญา (กับตัวเอง) ว่าจะกลับมางัดไหแน่นอน (ตั้งเป้าไว้สิบปี นี่มันผ่านมาครึ่งทางแล้วนะเนี่ย แว้ก)

แต่การเขียน (ไม่จบ) คราวนั้นก็ไม่ได้เสียเปล่า ผมได้อะไรติดไม้ติดมือตั้งหลายอย่าง (อันนี้ไม่ได้ยัดลงไหเก็บไว้)

(1) ผมได้เพลงประกอบนิยายเพลงแรกในชีวิต (คือเป็นเพลงแรกที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบนิยายโดยตรง) ชื่อ “ทะเลดาว” และก็อุตส่าห์ได้โด่งดังอยู่ในกลุ่มคนเล็กๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ (หลายเดือนเหมือนกันนะ) ชื่นใจจัง

(2) ผมได้ตัวละครอเนกประสงค์มาหนึ่งตัว เอ๊ย หนึ่งคน ซึ่งเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นตัวประกอบเฉพาะกิจ (คือเพลง “ทะเลดาว” นี่ ต้องมีคนแต่งใช่มั้ยครับ หมายถึงในเรื่องน่ะ ก็เลยต้องหาคนแต่งขึ้นมาซักคนไง) แล้วเขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นตัวประกอบสารพัดประโยชน์ (คือเอามาแต่งเพลงอื่นๆ ในเรื่องอื่นๆ และใช้งานจุกจิกทั่วไป) จนสุดท้ายก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น “ผู้ช่วยผู้กำกับ” โดยถาวร (คือเวลาในเรื่องขาดอะไร ต้องการอะไรเพิ่ม ก็ส่งตาคนนี้ไปจัดการ) ตัวละครที่ว่าคือ “พี่แพน” หรือ “ศิลา” ซึ่งโผล่มาทีไรก็ขโมยซีนพระเอกกระจายทุกที ไม่รู้เป็นยังไง

(3) ผมได้รู้จักเพื่อนนักอ่านนักเขียนบนโลกอินเตอร์เน็ตหลายคน เป็นเพื่อนๆ ที่เจอกันในถนนนักเขียน พันทิป หลายคนคุยกันบ่อยจนคุ้นเคย และเริ่มนัดเจอกัน จนสนิทสนมเป็นเพื่อนกันมาจนทุกวันนี้

(4) ผมได้เรียนรู้จุดอ่อนในการเขียนของตัวเองเยอะแยะ ได้พบเจอปัญหาการเขียนที่คิดไม่ตก (เกาหัวแกรกๆ) และได้รู้ว่าการเขียนนิยายนี่ มันยากชะมัด

แต่สนุกโคตรๆ

และถึงผมจะจับ “กุญแจ” ยัดลงไหดองไปเรียบร้อย แต่ผมก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเขียนต่อไป




จากตรงนั้น (ตอนหยุดเขียนเรื่องแรกเพื่อบรรจุไห) มาถึงตรงนี้ ก็ห้าปีพอดี (ที่จริงขาดไปครึ่งเดือน เพราะบทสุดท้ายผมลงไว้กลางเดือนมกราคม 2547)

ช่วงที่ผ่านมา ผมได้เขียนอะไรเพิ่มเติมไปอีกพอสมควร

มีเรื่องยาวจบไปบ้างแล้ว เรื่องแรกคือ Soda Ice Diary แล้วก็มีเรื่องยาวในชุด ภูตกระซิบสื่อรัก ซึ่งวางไว้สิบเรื่อง ตอนนี้จบไปแล้วห้า มาได้ครึ่งทางพอดี

เรื่องสั้นก็มีบ้าง เป็นส่วนหนึ่งของชุดอีกเหมือนกัน (ชอบคิดอะไรเป็นชุดๆ) ชุดแรกลงถนนนักเขียนไปสองเรื่อง (ยังมีซ่อนไว้อีกสองเรื่อง) แล้วก็ได้ “ออร์เดอร์” เขียนเรื่องสั้นส่งรวมเล่มสี่เรื่อง ได้พิมพ์ไปสองเรื่อง ส่วนอีกสองเรื่อง สำนักพิมพ์ตัดสินใจว่าเรื่องสั้นขายไม่ดี ขอพับไปก่อน (แปลว่าไม่มีกำหนด ...หรือพับไปเลย... ฮา) เลยเอามาลงถนนนักเขียน เป็นของขวัญปีใหม่ปีที่แล้วเรื่องนึง เหลืออีกเรื่องที่ยังไม่ได้ลง

แล้วก็ได้ลองแปลด้วย มีแปลลงถนนนักเขียนหนึ่งเรื่อง ไม่จบ แปลยากชะมัด แล้วก็ได้รับออร์เดอร์ให้แปลหนังสือเด็กคือ The Floods (ครอบครัวกึ๊กกึ๋ยส์) รวมสองเล่ม พิมพ์ไปแล้วหนึ่งเล่ม สำนักพิมพ์บอกว่าขอดูตลาดก่อน ถ้าขายดีถึงจะพิมพ์เล่มที่สอง

และล่าสุด มีงานเขียนทดลอง ซึ่งพับตำราเก็บไว้ข้างหลัง เอาตัวละครขึ้นมาไว้ตรงหน้า สมมุติว่าเป็นชีวิตของคนจริงๆ หนึ่งคน ที่ดำเนินควบคู่กับไปเวลาจริงในตอนนี้ เป็นแบบฝึกหัด (ชิ้นหิน) ที่ลงประจำทุกสัปดาห์ในบล็อก “ลายปากกา”

และช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมก็พยายามหาหนังสือเกี่ยวกับการเขียนนิยายมาอ่าน พอดีแถวบ้านหาหนังสือภาษาไทยไม่ได้ ผมก็ต้องพึ่งพาหนังสือภาษาอังกฤษทั้งหมด บางเล่มอ่านแล้วก็ผงกหัวหงึก บางเล่มอ่านแล้วก็เกาคาง ทุกวันนี้มีสะสมไว้บนชั้นหนังสือข้างโต๊ะทำงานอยู่บ้าง แต่หนังสือใหม่ๆ ก็ราคาแพงเสียเหลือเกิน บางทีก็โชคดีเจอในห้องสมุดประชาชน ได้ยืมกลับมาอ่าน แต่ก็เสียตรงที่ไม่มีเก็บไว้อ้างอิงทีหลัง บางทีอ่านไปแล้วก็จำได้ค้างๆ คาๆ ติดสมอง แต่ให้นึกว่าค้างคามาจากเล่มไหน ก็สุดปัญญาปลาทองหัววุ้นของผมจริงๆ

ช่วงก่อนหยุดคริสต์มาสโชคดีได้ไปห้องสมุดอีก (ห้องสมุดเขาหยุดคริสต์มาสครับ ผมน่ะไม่หยุดหรอก) และโชคดีซ้ำสอง เจอหนังสือเกี่ยวกับการเขียนนิยายและชีวิตนักเขียนตั้งหลายเล่ม ผมเลือกยืมมาแค่หกเล่ม ที่เหลือยังรู้สึกไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ พออ่านไปแล้ว บางเล่มก็นิ่วหน้า บางเล่มก็เกาคอ (เบื่อคางแล้ว) แต่ก็มีบางเล่มที่... อื้ม... เขาเขียนได้ “ลึก” ถูกใจดีเหลือเกิน (ไม่ใช่ว่าเล่มอื่น “ไม่ดี” นะครับ เพียงแต่ “ไม่ถูกใจ” ไม่ตรงจริตคุณพีทกระมัง)

แล้วก็เกิดกิเลส ว่าเออหนอ เราก็ “หัดเขียนนิยาย” มาหลายปีแล้ว ถึงเวลา “นั่งเรียนเขียนนิยาย” ให้เป็นเรื่องเป็นราวดูบ้างเสียทีหรือยัง

ก็เลยเกิดเป็น “ลานเรียนเขียนฝัน” ขึ้นมาครับ




ผมมองว่าการเขียนนิยายคือการ “เขียนฝัน”

เพราะเรา “ฝัน” ออกมาเป็นเรื่องเป็นราว แล้วเอามา “เขียน” คนที่เขียนนิยายผมจึงอยากเรียกว่าเป็น “คนเขียนฝัน” ตอนที่เพื่อนนักอ่านนักเขียนกลุ่มหนึ่งจากถนนนักเขียน พันทิป รวมตัวกันก่อตั้ง “สำนักพิมพ์ ณ ถนนฯ” ก็มีการช่วยกันหา “สโลแกน” ของสำนักพิมพ์ ข้อเสนอของผมไม่ได้รับเลือก แต่ส่วนที่ว่า “คนเขียนฝัน” ก็ถูกเอาไปใช้ประกอบร่าง (กับคำในข้อเสนออื่น) เป็นสโลแกนว่า “ณ ถนนฯ - ถนนของคนเขียนฝัน” ซึ่งสำนักพิมพ์ใช้อยู่ตอนนี้ (ถึง “สำนัก” จะไม่ค่อยได้ “พิมพ์” อะไรก็เถอะ โฮะๆๆ)

ผมอยากนั่ง “เรียนเขียนฝัน” แต่ไม่อยากอุดอู้อยู่แค่ในห้อง อยากออกมาสูดอากาศในสวนข้างนอกบ้าง ผมเลยตัดสินใจว่า ผมจะออกมาเรียนใน “ลานเรียนเขียนฝัน” ข้างนอกห้องแทน

ส่วนวิธีการคงต้องใช้แบบนั่งเรียนด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครมาสอนให้ (งือๆ) ผมตั้งใจว่าจะเรียนด้วยการขบคิดกับตัวเอง ทั้งจากประสบการณ์ลุ่มๆ ดอนๆ ที่ผ่านมา และหยิบยกจากประเด็นที่ได้ยินได้ฟัง รวมถึงหนังสือที่อ่านแล้วถูกใจ แทนที่จะจดเอาไว้เฉยๆ ก็จดไปคิดไป ทบทวนตัวเองเปรียบเทียบไปด้วย ว่าเราคิดยังไง เคยทำมายังไง แล้วเจอปัญหาอะไรบ้าง (ส่วนทางแก้ก็... ตัวใครตัวมันมั้งครับ แหะๆ)

เมื่อผมอ่านแล้ว คิดแล้ว ก็จะเขียนไว้ตรงนี้ ที่ “ลานเรียนเขียนฝัน” เก็บไว้เป็นอนุสรณ์... เอ๊ะ ถูกเรื่องรึเปล่า... เอาใหม่ดีกว่า... เก็บไว้เป็นบันทึกการเรียนรู้ของตัวเอง บางทีผมย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง อาจจะคิดไม่เหมือนเดิมแล้วก็ได้ และ “สมุดจด” เล่มนี้อาจจะช่วยให้ผมพบทางออกของปัญหาที่เจอในอนาคตก็ได้

สำหรับเพื่อนที่แวะมาอ่าน ถ้าสนใจในการเขียน ถ้าสนใจในประเด็นที่ผมกำลังเรียนรู้ ก็อยากจะขอเชิญร่วมพูดคุยกันครับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์ อาจจะมีคล้ายกันบ้าง หรือต่างกันก็ยิ่งดี จะได้เปิดมุมมองกันและกันมากยิ่งขึ้น บางทีเราอาจจะได้อะไรมากกว่าที่เคยคาดไว้เสียอีก ใครจะรู้

และที่สำคัญ นั่งด้วยกันหลายๆ คน มันสนุกและอบอุ่นดีนะครับ




เว็บที่อ้างถึงจากข้างบน

» ถนนนักเขียน » พันทิป pantip.com
» บล็อก ลายปากกา penline.bloggang.com







Create Date : 01 มกราคม 2552
Last Update : 1 มกราคม 2552 7:06:09 น. 25 comments
Counter : 3910 Pageviews.

 
มาสวัสดีปีใหม่คุณพีท ฝั่งนั้นของโลกปีใหม่นานแล้ว ฟากนี้ยังอีกกว่า ๒ ชั่วโมงค่ะ

มาร่วมเรียนเขียนนิยายด้วยเด้อ


โดย: กุลธิดา IP: 162.39.118.97 วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:9:45:59 น.  

 
เหวอ เพิ่งเห็นว่าบ้านนี้ก็มีความเคลื่อนไหว อยากอ่านจัง ขอเวลาสักสามสี่วันคงอ่านจบ

งั้นมาสวัสดีปีใหม่ในบ้านนี้ด้วยละกัน

Photobucket


โดย: BestChild วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:10:34:55 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณพีท


แวะมาซิทอินค่า ^__^


โดย: ปิยะรักษ์ IP: 118.172.99.147 วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:10:59:50 น.  

 
มาอ่านค่ะ เป็นการเดินทางในการเขียนนิยายที่ยาวนานและเปี่ยมไปด้วยใจรักนะคะ การที่เรามีความมุ่งมั่นจะทำอะไรแล้วสนุกไปกับมันนี่เป็นเรื่องที่ดีจังค่ะ อ่านแล้วเอาใจช่วยนะคะ ^^

สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ



โดย: Life's for Rent วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:13:25:49 น.  

 
อยากมาเรียนด้วยคนค่ะ...

สวัสดีปีใหม่ค่ะ


โดย: teansri วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:18:04:11 น.  

 
ลานเรียนเขียนฝัน

น่าสนุกไม่น้อยแฮะ ผมจองนั่งอ่านฝันของนักเขียนดีกว่า


โดย: โก้ IP: 58.9.60.236 วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:18:09:52 น.  

 
อืมมมม น่าสนใจ น่าสนใจ ^ ^


โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:19:08:31 น.  

 
(1) คุณกุลธิดา

สุขสันติปีใหม่คร้าบ ป่านนี้ทางนั้นคงเช้าแล้วนะครับ ส่วนทางผมพ้นวันขึ้นปีใหม่ไปเรียบร้อยแล้วล่ะ หมดไปอีกหนึ่งวัน กลายเป็นปีเ่ก่าซะแล้ว เอ๊ย... แหะๆ

เขินจัง คุณกุลธิดาต้องมาช่วยสอนตะหากครับ มาร่วมเรียนได้ไง อิๆ




(2) คุณเบสต์

เหวอด้วย บ้านนี้เพิ่งเคลื่อนไหววันนี้เองครับ เห็นไวนะเนี่ย (ตาเจ็บจริงอะ อ๋อ รู้แล้ว โดนทิ้งอยู่บ้าน ไม่มีไรทำ สงสารสุดหล่อจัง และคิดถึงพี่เข้มบิ๊กไบค์ กรึ๋ย)

ไม่ต้องรีบอ่านก็ได้ครัีบ คุณพีทเป็นโรคเขียนอะไรสั้นๆ ไม่เป็น เรื่องนิดเดียวก็น้ำท่วมทุ่งเป็นคุ้งเป็นแคว ตาหายป่วยแล้วค่อยว่ากันใหม่เนาะ

สุขสันติปีใหม่ีที่นี่อีกรอบครับ




(3) คุณส้ม

จ๊าก มาซิทอินอะไรเนี่ย ไม่ได้เปิดห้องคร้าบ มามะ มานั่งเสื่อ (ซิทออน?) นั่งเฉยๆ ไม่พอนะ ต้องออกเสียงด้วย

สุขสันติปีใหม่ครับ




(4) คุณไลฟ์

จะว่ายาวก็ยังยาวไม่มากนะครับ นับเป็นจำนวนปีก็เล็กน้อย นับเป็นส่วนเสี้ยวของชีวิตก็เล็กน้อย แต่เปี่ยมไปด้วยใจรักนี่คิดว่าใช่ครับ ไม่รู้จะมีโอกาสให้เวลามันเต็มที่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้ยังทำได้ก็รีบทำไปก่อน ซักวันนึงอาจจะทำมาหากินเหนื่อยจนสะบัดนิ้วไม่ไหวนะ งิๆ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจ และสุขสันติปีใหม่กันอีกรอบครับ (เราทักกันตามที่ต่างๆ มากมายหลายรอบแล้วนะน้องไหม)




(5) คุณเทียน

เอาจริงดิครับ ถ้ามานั่งเรียนด้วยกัน ต้องช่วยกันคุยนา อ่านเฉยๆ ไม่พอนะครับ

สุขสันติปีใหม่ครับ (นี่ก็หลายรอบแล้วเหมือนกัน)




(6) พี่โก้

เจ้ย คอยอ่านฝันของนักเขียน พี่โก้ก็ตามอ่านตามให้กำลังใจประจำอยู่แล้วนี่ครับ เป็นนักอ่านที่เข้าไปเยี่ยมทุกคอลัมน์ของลายปากกา สม่ำเสมอมากๆ ขนาดงานชุกนะเนี่ย ปลื้มใจจัง




(7) พุทรา

สนใจจริงเหยอ สนใจจริงเหยอ

(แล้วจะพิมพ์สองครั้งทำไมเนี่ย อ๋อ เลียนแบบ อิๆ)


โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:20:34:21 น.  

 


แบบว่าถ้าว่างๆ จะแอบมานั่งเรียนด้วยนะก๊ะ อะโฮ๊ะ อะโฮะ

ปล. อัพบล็อกมาสวัสดีปีใหม่แล้วนะจะ


โดย: มณีนาคา วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:21:09:31 น.  

 
(9) คุณส้ม มณีนาคา

ได้เลยคร้าบ สุขสันติปีใหม่ครับ เดี๋ยวแวะไปดูที่บล็อก


โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:8:06:06 น.  

 
โครงการน่าสนใจ,

แวะมาขออนุญาต add ชื่อท่านลงบล็อคนะคะ


โดย: run saya IP: 125.25.247.20 วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:11:28:26 น.  

 
(11) คุณรัณ

ด้วยความยินดีครับ

อ๊าก คุณรัณไม่ได้ล็อกอิน ผมเลยเก็บลิ้งก์บล็อกคุณรัณไม่ได้ ไว้ค่อยไปตามหานะครับ


โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:15:54:54 น.  

 
สนใจจริงๆอ่ะเฮีย

แต่ว่า ... ส่วนใหญ่จะเขียนตามใจ เพราะถ้ารอให้ทุกอย่างเรียบร้อย มันคงจะไม่มีทางได้เขียน พอมีปัญหาค่อยมาหาทางแก้ ทางแก้ที่ได้รับคำแนะนำก็ไม่ได้มีข้อกำหนด หรือเงื่อนไขแน่ชัด สุดท้าย...มันก็เลยลำบากใจ พอถามมากๆเข้า คำตอบที่ได้ก็เดิมๆ มักจะโดนให้บอกว่า ... ต้องกลับไปอ่านเยอะๆ แล้วหาแนวทางของตัวเองเอาเอง ... พอพักกลับไปอ่าน ... งานขึ้นขี้เกลืออารมณ์โดนดองเค็ม คนเขียนเริ่มงง ต่อไม่ติด ... คราวนี้ก็พักยาว T_T รออารมณ์ใหม่ (วงจรนรกของพุทรา)

เลยยังไม่ค่อยเข้าใจว่า การเรียนเขียนนิยาย ...นี่มันจะเป็นยังไงนะ แต่ก็เชื่อว่า มันจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆ เกิดในหัวที่กลวงๆ รกๆ ของพุทรา

ถามพุทรานะ แค่อธิบายเฉยๆ มันไม่ค่อยเห็นภาพอ่ะ น่าจะมียกตัวอย่างประกอบด้วย เช่น การเขียนเกริ่มเอาบทสรุปนำหน้าในตอนเปิดเรื่อง เช่น นิยายเรื่อง A มันจะเห็นภาพกว่า แล้วมันจะไปหาตามอ่านได้เอง ถ้าสนใจรายละเอียดมากขึ้น .... ว่าแต่ตัวอย่างนิยายของเฮีย จะเป็นนิยายภาษาอังกฤษอ่ะจิ ซึ่งพุทราไม่ีมีปัญญาอ่านอีก .. อ่านหลอด เอ้ย ลอร์ด เป็นภาษาอังกฤษนี่สุดยอดเลยอ่ะ ศัพท์โคตรยาก

นี่เราเข้ามาบ่นเป็นยายแก่เลย ^ ^"


โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:19:11:10 น.  

 
มานั่งดูค่ะ อิอิ


มองดวงดาวบนฟ้าไกล
มองทีไรก็ยังสวย
อยากให้เธอมามองด้วย
จะได้ยิ้มสวยเหมือนดวงดาว

ขอดาวดวงไกลบนฟ้า
กระพริบมาเติมความว่างเปล่า
ลบเลือนความเหน็บหนาว
จนตราบเช้าให้ ฝั น ดี ^^

ฝันดีค่ะ คุณพีท


โดย: Life's for Rent วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:22:13:28 น.  

 
สวัสดีครับคุณพีท ^^
มอร์เคยพยายามเขียน 55 แต่ก็ยิ่งกว่าฝังลงไหอีกฮะ
ตอนนี้กำลังพยายามหาไฟมาเผาไหอยู่
คงอีกซักพัก ^^

ฝันดีครับ คุณพีท


โดย: h@-more วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:1:44:16 น.  

 
(13) พุทรา

รู้สึกวงจรนรกของพุทราจะค่อนข้างแพร่หลายนะ ตำราเกี่ยวกับการเขียนนิยายของฝรั่งหลายเล่มเลย พูดถึงปัญหาคล้ายๆ กันแบบนี้ คือกลุ่มอาการ "ไม่เป็นอันเขียน" สลับกันไปกันมาระหว่างลงมือเขียนแล้วติดปัญหา กับการมัวแต่พยายามศึกษาทางแก้ปัญหาจนไม่เป็นอันเขียน

บางทีถ้าวงจรของพุทราติดลูปตรงที่พักเขียนกลางทาง แล้วกลับไปต่อไม่ติด บางทีอาจเป็นเพราะจุดหยุดพักมันไม่เหมาะสมหรือเปล่า คือถ้าพักรายทางแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็เลยต้องกลับมาเริ่มใหม่ทุกที บางทีอาจจะต้องใช้วิธีอื่นหรือเปล่า

เอ่อ... หน้า "ลานเรียนเขียนฝัน" นี่ เฮียเป็นคนเรียนนะเฟ้ย ไม่ใช่คนสอน อธิบงอธิบายอะไร ไม่มี้ มันคือบทพร่ำเพ้อ... อ๊ะ ฟังดูแย่จัง เอาใหม่ มันคือบทรำพึง... อืม รู้สึกยังไม่ค่อยดี เปลี่ยนเป็น มันคือบทไตร่ตรอง ทบทวนความคิด ทบทวนประสบการณ์ของเรามากกว่า ถ้าพุทราได้ไอเดียอะไรไปก็ยินดีด้วย ถ้าไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน กร๊าก

ตัวอย่างที่พุทราแนะมา ฟังดูคล้ายตัวอย่างประกอบการสอนรึเปล่า ว่ามั้ย เนื่องจากเราไม่ได้สอน ก็คงไม่บังอาจยกตัวอย่าง (ยิ่งถ้าเป็นงานของคนอื่น หาเรื่องตายแน่ๆ คุณพีท) แต่ก็อาจจะมีรำพึง เอ๊ย ทบทวนถึงปัญหาที่ตัวเองเจอตอนเขียนบ้าง เช่น ไอ้ประเด็นเอาบทสรุปนำหน้า (เฮ้ย ไม่เคยเขียนแบบนี้ เอาล่ะ สมมุติ) เราทำไว้ยังไง เจอปัญหาอะไร

ส่วนทางแก้ สงสัยต้องตัวใครตัวมันอีกเหมือนกัน กร๊าก




(14) คุณไลฟ์

แว้ก มานั่งดูไรครับ เปล่าเล่นตลก เปล่าเต้นระบำ เปล่า... อะไรอีกดี เปล่าโชว์ซะหน่อย อิๆ

ยิ้มสวยเหมือนดวงดาว อะ ยิ้ม ยี้มมมมมม (เอ๊ะ คุ้นๆ เหมือนชื่อใคร)




(15) คุณมอร์

โอ้ มาเยี่ยมถึงสวยฝัน ขอบคุณมากครับ

โห ถ้าถึงกับเอาไฟมาเผาไหนี่ ข้างในมิสุกกันไปหมดเหรอครับ (ห่วงพระเอกนะเนี่ย แหะๆ)

เอาไว้อีกซักพักเริ่มเขียนเมื่อไหร่ อย่าลืมป่าวประกาศนะครับ จะได้ตามไปทำร้าย เอ๊ย ไปมุง ส่วนระหว่างนี้ ถ้ามีโอกาสแวะมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบ้าง ก็จะยินดีมากครับ


โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:13:34:34 น.  

 
ใ จ ร้ า ย ไ ด้ อี ก


เ สี ย ใ จ


โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:19:31:01 น.  

 
(17) พุทรา

ไม่ยู้เยื่อง


โดย: คุณเฮีย (พิธันดร ) วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:20:30:09 น.  

 
หวัดดีค่ะ..คุณพีท แทบไม่ได้โผล่หน้าเหียกๆมาที่นี่เลย
วันนี้มาแล้ว..อ่านบทความกึ่งไดอารี่ของคุณแล้ว ก็อดคิดถึงตัวเองไม่ได้
การเขียนเหมือนจะง่าย..แต่มันก็ไม่ง่ายเลยนะคะ..กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง
ยิ่งใจอยากเขียนมากเท่าไหร่..ก็ยิ่งเขียนได้น้อยเท่านั้น..

จำได้ว่า..ตอนเด็กๆเคยขโมยหนังสือเล่มหนึ่งมาจากห้องสมุดจำชื่อไม่ได้แล้ว..รู้แต่ว่า..หน้าปกเป็นภาพวาดด้วยดินสอ..เป็นรูปปากกา นก(รึเปล่า)ไม่แน่ใจ
แต่เป็นหนังสือสำหรับคนมีฝัน..อยากเป็นนักเขียน..จะเริ่มต้นอย่างไรดี
ตั้งใจขโมยเลยล่ะค่ะ..ความเป็นเด็กๆ อ่ะนะ อ่านแล้วติดใจ ใจมันอยากได้สุดๆ
อ่านแล้ว..ใจฮึกเหิม..มีไฟฝันมากเลยค่ะ..แต่ความจริงก็ต้องยอมรับ
บางครั้ง..การจะเป็นนักเขียนได้.."พรสวรรค์"ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งนะ
แต่ไม่ได้หมายความว่า..คนไม่มีพรสวรรค์จะไม่มีสิทธิเป็นนักเขียนหรอก
หรือคุณพีท..คิดว่าไง?

เวลาแจงดูแข่งรถ..จะทึ่งมากคือ"วาเลนติโน่ รอสซี่"
เค้าเกิดมาเพื่อจะเป็นนักแข่งจริงๆเลย..



โดย: nikanda วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:19:15:34 น.  

 
(19) คุณแจง

การเขียนเหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ง่าย ถึงอย่างนั้นจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ "ยาก" จนเกินตัวเราหรอกนะครับ (ผมว่านะ อิๆ)

เพราะการเขียนจริงๆ แล้วมันก็คือการสื่อสาร แบบเดียวกับที่เราพูดนั่นเอง คือสมองคิดเนื้อเรื่องที่ต้องการสื่อสาร เสร็จแล้วก็เรียบเรียงออกมาด้วยภาษา จากนั้นก็พ่นออกไป ถ้าเป็นการพูดก็ด้วยปาก ถ้าเป็นการเขียนก็ด้วยมือ

แน่นอนว่าเราหัดเขียนหลังหัดพูด แต่เราก็เขียนมาตั้งน้านนาน และสิ่งที่เขียนนี่ บางทีก็ไม่ต่างกับสิ่งที่เราพูดมากมายนะครับ การเขียนจึงเป็นเรื่องของ "การเรียบเรียงความคิด" บวกกับ "การเรียบเรียงถ้อยคำ" ซึ่งเราทำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

แต่ถ้าเราต้องการเขียนเรื่องแต่ง เช่น นิยายหรือเรื่องสั้น อันนั้นก็จะมีบางส่วนเพิ่มขึ้นมา เช่น "การคิดเนื้อเรื่อง" กับ "การคิดวิธีเล่า" อันนี้อาจจะต้องฝึกฝนมากขึ้น แต่ที่จริงก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะฟังนิทาน อ่านนิยาย ไปจนถึงนึก "จิ้น" จินตนาการต่างๆ นานา ผมว่าคนเรามีพื้นฐานที่ดีนะครับ

เจ้าอาการ "ยิ่งอยากเขียนมาก ยิ่งเขียนได้น้อย" เนี่ย เป็นอาการสามัญประจำบ้านคนอยากเขียนครับ ช่วงนี้ผมกำลังอ่านตำราเขียนนิยายของฝรั่งอยู่หลายเล่ม (ยืมห้องสมุดมา อ่านคัดๆ หาเล่มที่ชอบอีกที) อย่างน้อยสามเล่มในล็อตนี้ ชี้ให้เห็นเลยว่า "การอยากเขียน" กับ "การเขียน" นั้น มีคนจำนวนมากที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ เพราะกังวล กลัวไปมากมาย สุดท้ายเลยไม่ได้จรดปากกาลงบนกระดาษ (หรือจรดนิ้วลงบนแป้นพิมพ์) เพื่อ "ลงมือเขียน" เสียที

ผมอยากบอกว่า คุณแจงก้าวข้ามด่านแรกมาแล้วล่ะครับ ได้อ่านข้อเขียนของคุณแจงหลายเรื่อง ในหลายรูปแบบ คุณแจงเป็นคนอยากเขียนส่วนน้อยที่ได้เริ่มลงมือเขียนแล้ว ผมจำตัวเลขไม่ได้ แต่ตำราเล่มหนึ่งให้สัดส่วนไว้ต่ำมากครับ ในบรรดาคนที่อยากเขียน คนที่ลงมือเขียนน่าจะไม่ถึงหนึ่งในสิบ

และคุณแจงก็เขียนได้ดีเสียด้วย

งานเขียนของคุณแจงมีลักษณะเฉพาะที่เป็นจุดเด่นหลายอย่าง เวลาอ่านงานบางชิ้น ผมรู้สึกเลยนะว่า เอ ทำไมผมเขียนแบบนี้ไม่ได้นะ แต่มันเขียนไม่ได้จริงๆ เขียนไม่เป็น ทั้งที่อยากเขียนได้แบบนี้บ้าง

ถ้ารักที่จะเขียน เรามีเวลาอีกมากมาย ที่จะพัฒนา "เหลา" จุดเด่นของเราให้ยิ่งแหลมคม และฟื้นจุดที่เรายังไม่แข็งให้ดีขึ้น

ส่วนเรื่องพรสวรรค์นี่ เคยคุยกันที่ลายปากกาพอดี คุณแจงตอนนั้นคงไม่อยู่มั้งครับ (คงจะเป็นตอนคนที่บ้านเจ็บข้อเท้ารอบสอง ไม่แน่ใจ) ผมก็คุยเรื่องพรสวรรค์ไว้ยาวเหยียด มีเพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่นคุยด้วย คุณแจงลองแวะไปดูสิครับ น่าจะจุดประเด็นเรื่องพรสวรรค์กับการเป็นนักเขียนได้อีกหลายจุดทีเดียว

ระหว่างทาง ตอน พรสวรรค์ของปิ๋มศรี โดย พรายน้ำฟ้า

ตำราการเขียนอีกเล่ม บอกว่า เวลาเราเห็นงานชิ้นดีๆ ของนักเขียนที่เก่งๆ เราจะรู้สึกว่า เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักเขียนโดยแท้ ทุกอย่างช่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่คนอ่านไม่รู้คือ กว่านักเขียนคนนั้นจะเดินไปถึงตรงนั้น เขาต้องเขียนแล้วแก้ เขียนแล้วแก้ ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขียนเรื่องที่ไม่ได้พิมพ์อีกกี่เรื่อง จนฝีมือของเขาออกมาอย่างที่เราเห็นอยู่

ผมอยากจะแอบคิดว่า ทุกคนก็เกิดมาเพื่อเป็นนักเขียนได้นะครับ แต่ทางมันยาว แหะๆๆ


โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 9 มกราคม 2552 เวลา:16:50:59 น.  

 
สวนฝัน..เหมือนกันจริงด้วย ^^

ขอบคุณคุณพีทมากๆๆ ค่ะที่ไปทักทายกัน ตอนเย็นๆๆ บ่ายห้าโมงกว่าๆ ก็มาเยี่ยมบล้อกคุณพีททีหนึ่งแล้วแต่ไม่ได้ฝากรอยรัก ใจเราตรงกันจริงๆๆ เพราะคุณพีทก็ฝากรอยรักไว้ตรงบ่ายห้าโมงกว่าๆ เหมือนกัน อิๆๆ

เห็นคุณพีทอวยพรปีใหม่ย้อนหลัง งั้นอุ๋ยขอถือโอกาสอวยพรบ้างละกันนะคะ อิๆๆ สุขสันต์ปีใหม่ค่ะ ดีจัยและกรี๊ดเช่นกันที่ได้พูดคุยกับคุณพีท...^^ ยังคงปลื้มกับสไตล์การตอบกระทู้มาดนิ่มๆๆ สุภาพแต่แฝงสาระแง่คิดมากมายเช่นเดิมนะคะ อ้อ...อบอวลกลิ่นไอแห่งมิตรภาพด้วยสิเนอะ ทุกเมนท์ที่คุณพีทตอบไป สัมผัสได้ถึงไมตรีจิต ^^

บายค่า


โดย: คณิตยา IP: 124.122.138.139 วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:22:07:26 น.  

 
ไอ้เรื่องอยากเขียนนิยายสำหรับตูนเหมือนเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งรักษาไม่หายค่ะ

เป็นๆ หายๆ มาตลอดชีวิตเกิดจากการอ่านหนังสือนิยาย
มากมาย บางเล่มก็จบโดนใจจนเราอยากรู้ว่า
ตอนต่อไปของนางเอกและพระเอกเป็นอย่างไร
บางเล่มอาจจบแล้วแทบจะขว้างหนังสือทิ้ง
เขียนมาได้อย่างไรนี่...ถ้าเป็นฉันต้องสนุกว่านี้แน่ๆ
อะไรประมาณนี้

แต่จะอยากขนาไหน ก็ยังไม่เคยเขียนนิยายอยู่ดี
จนเจอคุณฟีนี้แหละค่ะ พระจันทร์ข้างใจจึงถือกำเนิดขึ้น
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องซื้อไหมาใส่หรือเปล่า

เรื่องหนังสือ ตูนก็ซื้อเยอะเหมือนกันนะคะ
พวกหัดเขียนนิยาย ตอนนี้มีของรตชา 1 เล่ม
ศาสตร์และศิลป์แห่งการเขียนนิยาย
ของคุณฟี 2 เล่ม ของใครก็ไม่รู้จำชื่อคนเขียน
ไม่ได้หนังสือชื่อว่า "โรงเรียนนักเขียน"
แล้วก็มีงานของสตีเฟ่น คิงส์ค่ะ ฉบับภาษาไทย
และอะไรหลายอย่างอีกมากมาย....
มีพจนานุกรม 1 เล่ม คลังคำ 1 เล่ม

ส่วนเรื่องเรียนยังไม่เคยเรียนเขียนนิยายเลยค่ะ
คว้าโอกาสไม่ได้สักที...แต่ตูนเรียนงานเขียนมาบ้างนะคะ
เรียนเขียนชีวิต เขียนคอลัมน์ เขียนกวี
ปีนี้ว่าจะเรียนเขียนนิยายค่ะ แต่แล้วก็เกิดอาการเสียดาย
ตังค์ในตอนสุดท้าย เรียน 2 วัน 3,500 บาท
แพงอ่ะ....

ปีนี้ก็เลยกะว่าจะเอาแบบฝึกหัดจากหนังสือแต่ละเล่ม
มาลองทำดูค่ะ แต่ยังไม่ได้เริ่มเลย....


เรียนเขียนฝันด้วยคนนะตัวเอง







โดย: ปณาลี วันที่: 17 มกราคม 2552 เวลา:12:54:31 น.  

 
(21) คุณอุ๋ย

ฮั่นแน่ คุณอุ๋ยมาฝากรอยรักไว้มุมนี้เอง ผมเข้ามาตอบรอยช้าหน่อยนะครับ สัปดาห์นี้เหมือนเวลาหล่นหาย (ไปกับกระทู้นั้น) เยอะเหลือเกิน สวนเสินไม่ได้เฝ้าเลย ขืนเป็นงี้บ่อยๆ สวนคุณพีทกลายเป็นสวนแฟบแน่ ปล่อยให้คุณอุ๋ยเป็นสวนฝันไปคนเดียว

ขอบคุณมากๆ ครับ ทั้งกับคำพรและคำปลื้ม จริงๆ แล้วคุณพีทสร้างภาพ กร๊าก ประมาณว่าบางทีอารมณ์ก็ขึ้นนะครับ แต่ต้องพยายามระงับงำไว้บ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวหนุ่มๆ เห็นจะตกใจ เสียตลาดหมด โฮะๆๆ แต่ก็เก็บไม่หมดหรอกครับ แอบจิกกัดไปบ้าง (ตามกระทู้ต่างๆ ทั่วไป) ตามแต่ดีกรีความรำคาญในแต่ละครั้ง

และขอบคุณสำหรับ "ใจ" ที่ให้มาบ่อยๆ ด้วยนะครับ ไม่ได้บอกหน้าทู้ กลัวจะออกนอกหน้าไปนี้สสสสสส อิๆ




(22) คุณตูน

ด้วยความยินดีเลยคร้าบ มานั่งเรียนเป็นเพื่อนผมซะดีๆ โฮะๆ

เป็นโรคที่รักษาไม่หายนี่ ฟังดูดีเหมือนกันนะครับ เหมือนว่ามันจะอยู่กับเราไปตลอด ยังไงชีวิตนี้ ก็ต้องไม่เผบอลืมความอยากเขียนนิยายแน่ๆ และต้องขอบคุณคุณฟีนะเนี่ย ที่ช่วยให้คุณตูนบันดาลนายปั๊บ เอ๊ย บันดาลพระจันทร์ข้างใจออกมา

อย่าเพิ่งรีบหาไหเลยดีมั้ยครับ เดี๋ยวคนอ่านจะลงแดงเอานา ยิ่งหนุ่มเสื้อขาวเปิดตัวมาแล้วแบบนี้ โอ๊วววววว (ลืมชื่ออีกแล้วอะ เมื่อไหร่จะจำได้ซะทีนะ เอิ๊ก)

หนังสือมีหลายเล่มยิ่งดีครับ อ่านบ้าง ทำแบบฝึกหัดบ้าง เขียนจริง (นิยายของเราเอง) มั่ง แล้วย้อนกลับมาอ่านใหม่ พอเจอปัญหาอะไรในการเขียนจริงๆ แล้วก็จะทำให้การอ่านครั้งต่อไป เห็นภาพและร้อง อ๊ออออออ ขึ้นมาหลายจุดเชียวล่ะครับ เรียกว่าเรียนกันได้ไม่จบไม่สิ้นเลยนะผมว่า

คอร์สที่เขาจัดก็คงจะแพงหน่อยนะครับ ไหนจะค่าเตรียมการ ค่าเอกสาร และค่าตอบแทนวิทยากรที่สละเวลามาให้เราอีก ผมว่า "ลายหาด" ของเรานี่ เป็นโอกาสดีเลยนะครับ ถึงจะนอกเวลากิจกรรม แต่ถ้าไม่เบื่อซะก่อน ก็ยังมานั่งคุยนั่งเล่นเพิ่มเติมกันได้ บนหาดก็ได้ หรือลงทะเลไปเล่นไปก็ยังได้ครับ (คุณพีทสามารถ) ไว้เราค่อยๆ มาคุยกันนะครับ ว่าคุณตูนสนใจอยากให้มีคุยเรื่องอะไรกันบ้าง

สู้ๆ ครับ โย่ว


โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:13:22:02 น.  

 
อยากเรียนด้วยค่ะ

ส่วนตัวชอบอ่านนิยายมาก จึงอยากมาเขียนบ้าง
แรกๆ ก็เขียนให้ตนเองอ่าน แล้วมาโพสต์ไว้
เห็นมีคนมาคอมเม้น ก็ดีใจที่มีคนมาแนะนำบ้าง มาชอบบ้าง
เรียกว่ามีปฏิกิริยาตอบสนอง

การเรียนรู้ก็ใช้วิธีอ่านหนังสือบ้าง แต่ว่าอ่านบล็อกคุณพีทแล้ว
ได้ความรู้แหล่มๆ ทั้งนั้น จึงขออุ๊บไปใช้งานบ้างนะค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนิยายค่ะ


โดย: รีเบกก้า วันที่: 24 มกราคม 2552 เวลา:14:06:56 น.  

 
(24) คุณรีเบกก้า

ด้วยความยินดีครับ มานั่งเรียนเป็นเพื่อนกัน อุ่นใจดีครับ ไม่เคว้งคว้าง อิๆ ถ้าเนื้อหาตรงไหนที่มีประโยชน์ เอาไปปรับใช้ได้ ก็ยินดีเลยครับ ผมเองก็ยังค้นหาแนวทางของตัวเอง และพยายามฝึกมืออยู่เหมือนกัน หลายอย่างก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ครับ แต่ก็อาศัยโอกาสนี้ในการทบทวนตัวเองไปด้วย

เริ่มเขียนเพราะชอบอ่าน เหมือนกันเลยครับ เวลามีคนมาฝากข้อความคอมเมนต์ไว้ ดีใจมากๆ นี่ผมลงนิยายที่ถนนนักเขียนมาหกปีกว่าแล้ว แต่ก็ยังดีใจเวลาเห็นคอมเมนต์อยู่เลย สงสัยจะเสพติด อิๆ

และเสียงคนอ่านนี่ เป็นกระจกได้ดีเชียวครับ ทำให้เราเห็นจุดบอดหลายๆ อย่าง เอามาเป็นข้อมูลทบทวนตัวเองได้อีก

ยินดีที่มาเรียนเป็นเพื่อนกันครับ


โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 26 มกราคม 2552 เวลา:8:15:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พิธันดร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




คุณพีทคุง พิธันดร
Friends' blogs
[Add พิธันดร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.