Group Blog
นิยาย 'เสน่หาเล่ห์วารี' บทที่ 6




ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลเอื่อยยามเย็น เรือลำใหญ่สองชั้นทำจากไม้ขนาดเท่ากับบ้านหลังย่อม ที่เรียกกันว่า ‘เรือแพ’ ลอยลำอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำปิงอันเงียบสงบ ตัวอักษรที่ประทับอยู่ข้างเรือแพคือ ‘รินธารา’ ชื่อของเรือแพลำนี้นี่เอง ด้านในเรือแพลำนี้มีพื้นที่ใช้สอยเหมือนบ้านทั่วไป มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ส่วนพักผ่อนและรับแขก รวมทั้งดาดฟ้า ระเบียงด้านหน้าและหลัง ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือมีระบบไฟฟ้าจากพลังงานโซล่าร์เซลล์ ระบบจัดการสิ่งแวดล้อมที่ถูกออกแบบมาเพื่อเรือแพโดยเฉพาะ เพื่อการใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติในแม่น้ำที่สวยงามสายนี้อย่างเป็นมิตร
ร่างสูงสง่าของม.ร.ว.หนุ่มนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้บนดาดฟ้าของเรือแพรินธารา ตรงหน้ามีคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปกางอยู่ พร้อมอุปกรณ์สื่อสารที่สำคัญอีกสองสามอย่าง ชายหนุ่มกำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ เป็นอีเมลรายงานความคืบหน้าเรื่องธุรกิจที่ส่งมาจากเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุนที่เขากับเพื่อนกลุ่มหนึ่งได้ร่วมทุนกันจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน
จริงอยู่ว่าตระกูลเจ้าอย่างจิรัฐิติกาลของชายหนุ่ม อาจจะร่ำรวยและมีทรัพย์สมบัติมากมาย เรียกว่าใช้ในชาตินี้ไม่มีหมด แต่ทว่าการจะให้เขาใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ ใช้สมบัติเก่าของตัวเองโดยไม่ต้องทำอะไรนั้นอังกูรคงทำไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่นิสัยของเขา
ม.ร.ว.อังกูรถูกทางบ้านส่งตัวไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่นั่นความเป็น ‘หม่อมราชวงศ์’ ไม่ได้ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงมีชีวิตเหมือนนักเรียนไทยในต่างแดนทั่วไป ที่ต้องทำงานหาเงินและประสบการณ์ในขณะเรียนไปด้วย ตอนนั้นในใจเขาคิดเพียงแต่ว่าต้องการหาเงินเพื่อดูแลตัวเอง
อังกูรอยากลองดูว่าจะทำได้หรือไม่ ตอนเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง เขาอาจจะเรียนทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆ แต่พอมีเวลาว่างม.ร.ว.หนุ่มได้ชักชวนเพื่อนเปิดร้านขายโน่นนี่ ทำธุรกิจหลายอย่างเท่าที่นักศึกษาตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้มาโดยตลอด ได้กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง ลองผิดลองถูกเรียนรู้มาพร้อมกับเพื่อนสนิทชาวต่างประเทศกลุ่มหนึ่ง
จนกระทั่งเรียนจบอังกูรได้ทำงานในบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีชื่อดังแห่งหนึ่ง ด้วยค่าตอบแทนสูง แต่ทว่าเขากลับไม่ชอบการเป็นพนักงานหรือลูกจ้าง เขาชินกับการเป็นเจ้าของธุรกิจมากกว่า แม้จะเป็นธุรกิจเล็กๆ ก็ตาม ม.ร.ว.หนุ่มจึงลาออกหลังจากทำงานได้แค่ปีกว่า
จากนั้นจึงชักชวนเพื่อนทำธุรกิจทางด้านออกแบบเว็บไซด์ เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างเป็นจริงเป็นจัง พวกเขาต่างทุ่มเทสุดตัว จนสามารถสร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำและเติบโตขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นที่สนใจของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ จนมีการขอซื้อกิจการของพวกเขาทั้งหมดด้วยราคาสูงลิบลิ่ว ม.ร.ว.หนุ่มกับเพื่อนกลุ่มนี้จึงตัดสินใจขายบริษัทไปในที่สุด
อังกูรประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขาไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น หลังจากขายบริษัทไปแล้วเขากับเพื่อนคอเดียวกันจึงหันมาสนใจธุรกิจทางด้านการลงทุนต่อ พวกเขาจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนขึ้นมา ด้วยแผนการที่ว่าลงทุนก้อนเล็กๆ ให้กับบริษัทที่น่าสนใจแต่ละแห่ง แล้วจึงส่งต่อให้กับบริษัทด้านการลงทุนที่ใหญ่กว่า พร้อมกับกำไรพอสมน้ำสมเนื้อ
พวกเขาทำเช่นนี้มาหลายปี ปรับเปลี่ยนแผนการทำงานอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งตอนนี้บริษัทของพวกเขากลับกลายมาเป็นบริษัทด้านการลงทุนรายใหญ่แห่งหนึ่งไปโดยปริยาย ด้วยตัวงานที่รับผิดชอบ บวกกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้เขากับเพื่อนไม่จำเป็นต้องขลุกอยู่แต่ในห้องทำงาน
พวกเขาสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ ขอเพียงแต่มีเครื่องมือสื่อสารครบครัน ม.ร.ว.อังกูรจึงกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจนถึงตอนนี้ และเดินทางกลับไปพบเพื่อนรวมทั้งดูงานบ้างไม่ได้ขาด แต่ส่วนมากชายหนุ่มจะอาศัยการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนหุ้นส่วน และบริษัทต่างๆ ที่ต้องดูแล ด้วยวิธีนี้อยู่เกือบทุกวัน
หน้าจอแล็ปท็อปที่เป็นโปรแกรมสนทนาผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ปรากฏชายหนุ่มอีกคนซึ่งมีหน้าตาไปทางฝั่งยุโรป
“ไฮ... สตีฟฉันได้รับเมลของนายแล้วนะ เป็นข่าวดีอีกอย่างหนึ่งใช่ไหมเนี่ย” อังกูรเอ่ยทักทายเป็นภาษาอังกฤษพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่เลยเพื่อน นายเป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่ไหม” เพื่อนผมทองของเขาตอบ และถามในคราวเดียวกัน
“อือ... ว่าแต่พรุ่งนี้เราประชุมกันแต่เช้าเลยดีกว่านะ” ม.ร.ว.หนุ่มหมายถึงการประชุมผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คกับเพื่อนอีกห้า-หกคน
“ฉันขอเป็นตอนบ่ายได้ไหม ขอรอฟังความคืบหน้าของอีกบริษัทก่อน บางทีอาจจะมีข่าวดีกว่านี้ก็เป็นได้ แล้วฉันจะส่งข่าวบอกพวกนั้นมันเอง” เพื่อนสนิทของเขาเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการ
“โอเค. ฉันขอรายละเอียดการประชุมของเราพรุ่งนี้ แล้วก็เรื่องข่าวดีที่นายเกริ่นไว้หน่อย” อังกูรบอกเพื่อน
“ได้เลยเพื่อนยาก รับรองว่านายต้องแฮปปี้แน่” ว่าแล้วเพื่อนของเขาก็ร่ายถึงเรื่องงานต่ออีกสักพัก
ซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องบริษัทหนึ่งในจำนวนยี่สิบกว่าบริษัท ที่พวกเขาทุ่มเงินลงทุนไปเป็นหลักร้อยล้านเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งค่อยๆ กระเตื้องขึ้นมาอย่างช้าๆ ไม่หวือหวาเหมือนบริษัทอื่น แต่ทว่าผลของการรอคอยก็งดงามดังที่หวัง เพราะตอนนี้นอกจากจะกำลังไปได้ดีแล้ว ยังทำกำไรให้อย่างเป็นกอบเป็นกำอีกด้วย
จากนั้นชายหนุ่มจึงหันมาทำความเข้าใจกับงานตรงหน้าต่ออีกสักพัก จนกระทั่งเสียงเรือสปีดโบ๊ทดังใกล้เข้ามาอังกูรจึงปิดโปรแกรมและอุปกรณ์การสื่อสารทุกอย่างลง ก่อนจะก้าวไปยังริมดาดฟ้าเรือแพ เรือเร็วลำนั้นดับเครื่องจอดเทียบโป๊ะเล็กๆ สำหรับจอดเรือ ซึ่งมีเรือสปีดโบ๊ทอีกลำที่มีไว้ให้แขกอย่างเขาใช้จอดอยู่ก่อนแล้ว
“คุณชายครับ อาหารมาแล้วครับ” เสียงร้องเรียกนั้นดังขึ้น ชายร่างกำยำผู้ที่รับผิดชอบด้านอาหารการกินกระโดดลงจากเรือพร้อมปิ่นโตเถาหนึ่งในมือ อังกูรจึงเก็บอุปกรณ์การทำงานและเครื่องมือสื่อสารต่างๆ เดินลงมาจากดาดฟ้า
“จะให้ผมจัดเตรียมให้เลยไหมครับ คุณชาย” เชิดถามขึ้นเมื่อทั้งคู่มาเจอกันตรงส่วนรับแขกด้านล่าง
“ไม่เป็นไรครับคุณเชิด ผมทำเองได้ อีกอย่างตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ คุณไปส่งที่อื่นต่อเถอะครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางสุภาพ จนคนที่กำลังพูดคุยเสวนาด้วยอดชื่นชมแกมกริ่งเกรงเล็กๆ ไม่ได้
“แหม... ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าคุณชายไม่ต้องเรียกผมคุณ เคินอะไรหรอกครับ ผมเป็นแค่ลูกจ้าง คนดูแลที่นี่เท่านั้นเองครับ” เชิดท้วงขึ้น ม.ร.ว.หนุ่มยิ้มให้อย่างเป็นกันเองพลางว่า
“ผมชินเสียแล้วล่ะครับ คงเปลี่ยนยาก”
“ขี้กลากจะกินหัวผมน่ะสิครับ เออ... ว่าแต่พรุ่งนี้คุณชายจะไปไหนหรือเปล่าครับ แล้วจะให้ผมขับเรือให้ไหมครับ หรือจะขับไปเอง” ตอนท้ายเชิดถามขึ้น ด้วยหน้าที่ของเขาต้องคอยอำนวยความสะดวกให้กับแขกของเรือแพอย่างดีที่สุดนั่นเอง
“ผมยังไม่แน่ใจครับ บางทีอาจจะไปที่ท่าเรือหาซื้อของใช้จำเป็นซะหน่อย แต่คงไม่รบกวนคุณเชิดแล้วล่ะครับ ผมขับเรือไปเองได้แล้ว” อังกูรปฏิเสธในตอนท้าย
“ถ้างั้นมีอะไรก็โทร.หาผมได้เลยนะครับ วันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับคุณชาย” ว่าแล้วเชิดก็รีบก้าวจากไป สักครู่ชายหนุ่มจึงได้ยินเสียงเรือเร็วแล่นจากไป
อังกูรมองดูปิ่นโตที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดดู และก็เห็นว่าเป็นอาหารที่เขาสั่งซึ่งไม่พ้นเป็นเมนูเกี่ยวกับกุ้ง และปลาน้ำจืด ปิ่นโตเถานี้มาจากแพอาหารจันทร์หอมเจ้าเดิม แม้ในเรือแพจะมีครัวให้ปรุงอาหารรับประทานเองได้ แถมยังมีวัตถุดิบจัดเตรียมมาให้ไม่ได้ขาด แต่เพราะความที่อยู่ตัวคนเดียวเขาจึงฝากท้องไว้กับแพอาหารจันทร์หอมเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งไปทานที่แพและสั่งปิ่นโตมาทานที่นี่
อาหารที่แพอร่อยถูกปาก บรรยากาศก็ถูกใจ ยิ่งมาตอนนี้ที่แพอาหารยิ่งมีสิ่งดึงดูดใจเขามากกว่านั้น ภาพของร่างอรชรที่ชอบเดินเร็วๆ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มีชีวิตชีวา ชายหนุ่มปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานครั้งนี้ เรื่องนี้มีส่วนในการตัดสินใจไม่น้อย แม้ว่าอุบัติเหตุวันก่อนจะทำให้เขาต้องตั้งตัวอยู่หลายวันก็ตาม
หลังกลับมาจากแพอาหารวันนั้นอังกูรก็รีบอาบน้ำชำระร่างกายเสียยกใหญ่ กว่าจะหายแสบร้อนจากเครื่องแกงฤทธิ์ร้อนก็เล่นเสียเวลาขัดถูจนตัวแดงเถือก เขาลืมไปว่าแม่สาวคนนี้อันตรายนัก และเป็นอันตรายโดยสุจริตเสียด้วย แต่จะให้เขาถอดใจหรือก็ใช่ที่ บุกบั่นมาจนป่านนี้แล้ว
อย่างน้อยเขาจะต้องรู้จากปากให้ได้ว่าเธอแกล้งจีบเขาเพราะอะไร มันอาจจะดูไร้สาระไปหน่อย แต่ชายหนุ่มก็ปัดมันออกไปจากใจไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ต่อไปนี้เขาจะต้องระมัดระวังตัวในการเข้าใกล้เธอมากกว่านี้ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ม.ร.ว.หนุ่มหมายมาดอยู่ในใจ
*-*-*-*-*-*
หลายวันผ่านไปรินวารียังคงวุ่นวายอยู่กับงานไม่สร่าง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเห็นความวุ่นวายนั้นเป็นปัญหา เพราะหญิงสาวมีความสุขกับงานทุกอย่างที่รับผิดชอบ รินวารีไม่เคยรู้สึกว่าเป็นภาระหนักหน่วงที่เธอต้องแบกรับเอาไว้แต่อย่างใด ตั้งแต่เด็กผู้เป็นย่าค่อยๆ สอนให้เธอกับพี่ชายทำงาน เพราะธุรกิจเหล่านี้ทั้งย่าและบิดา มารดาผู้ล่วงลับของเธอได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างมันขึ้นมา
มันไม่ได้ให้ประโยชน์และคุณค่าเฉพาะกับครอบครัวกมลภิรมณ์เท่านั้น แต่มันยังเผื่อแผ่ แบ่งปันต่อสังคมรอบข้างด้วย อย่างน้อยที่สุดก็คือการสร้างงานให้กับผู้คนในท้องถิ่น หญิงสาวจึงรู้สึกว่างานของเพชรธารากรุ๊ปเป็นความรัก เป็นความสุข ความผูกพันและที่สุดคือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต วันนี้เธอจึงออกมายังแพอาหารแต่เช้าตามปกติ และวุ่นวายอยู่ในนั้นบ้าง ออกไปทำธุระข้างนอกบ้าง บางทีก็ไปคนเดียว บางทีก็ไปกับแสนดี
ช่วงบ่ายเธอออกไป ‘ตลาดแพ’ เพียงลำพัง ตลาดแพเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของบริษัทเพชรธารากรุ๊ป ซึ่งอยู่ตรงท่าเรือห่างจากแพอาหารจันทร์หอมไปประมาณ 500 เมตร เป็นพื้นที่ให้เช่าสำหรับขายของประเภทของฝากให้กับนักท่องเที่ยว ที่มาขึ้นเรือ ลงเรือที่นี่ พื้นที่ของตลาดแพจึงค่อนข้างกว้าง เต็มไปด้วยของฝาก ของที่ระลึก เหมือนศูนย์การค้าขนาดย่อมที่ลอยน้ำได้
ที่ตลาดแพเป็นร้านค้าของชาวบ้านที่มาเช่าเสียส่วนใหญ่ ซึ่งให้เช่าในราคาถูกเป็นพิเศษเพื่อส่งเสริมรายได้ของคนในท้องถิ่น และสร้างพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยว ที่ส่วนใหญ่เป็นแขกของเพชรธารากรุ๊ป ร้านของเพชรธารากรุ๊ปเองมีเพียงร้านขายของชำดั้งเดิมของย่าจันทร์หอมเท่านั้นที่ยังคงไว้ และขยับขยายเพิ่มเติมเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวบ้างเล็กน้อย แต่หลักๆ ร้านของชำนี้ยังทำมาค้าขายสินค้าให้กับชาวบ้าน ชาวประมงพื้นบ้านทั่วไปเหมือนสามสิบปีที่ผ่านมา และส่วนหนึ่งของตลาดแพก็เป็นอีกหนึ่งความรับผิดชอบของรินวารี
พอหญิงสาวไปถึงตลาดแพ ก็รีบตรงดิ่งเข้าไปในร้านขายของชำตามปกติ วันนี้เป็นวันธรรมดายามบ่ายมีคนประปราย บ้างก็มาเดินเที่ยว ทานอาหารกัน และหากเรือสำราญเพชรธาราเข้าเทียบท่าจะมีแขกจากเรือมาซื้อหาจับจ่ายของฝาก ของที่ระลึกกันก็จะคึกคักกว่านี้มาก
“สวัสดีค่ะคุณริน พี่นึกว่าคุณรินจะไม่เข้ามาเสียอีกสิคะวันนี้” พนักงานเก่าแก่ในร้านขายของชำเพชรธาราทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะพี่หวัง รินว่าจะให้แซนดี้มา แต่พอดีติดเรื่องแพทัวร์ซะก่อน พี่หวังเตรียมรายการสินค้าที่จะสั่งซื้อไว้ให้รินหรือยังคะ” หญิงสาวถาม เพราะการสั่งซื้อของต่างๆ เธอต้องเป็นคนทำ เมื่อก่อนรินวารียังต้องตามย่าจันทร์หอมไปซื้อของจากร้านในตัวเมืองมาขายอยู่เลย พึ่งเปลี่ยนระบบใหม่มาสั่งจากตัวแทนจำหน่ายโดยตรงเมื่อสาม-สี่ปีที่ผ่านมานี่เอง
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณริน” ว่าแล้วพนักงานเก่าแก่ของร้านก็หยิบกระดาษปึกหนึ่งมาส่งให้รินวารี หญิงสาวรับมากวาดสายตาไล่ดูแต่ละรายการอย่างใส่ใจทุกรายละเอียด
ก่อนจะเดินตรวจตราดูภายในร้าน ระหว่างนั้นหากมีอะไรข้องใจเธอก็ถาม และหากมีปัญหาก็จะปรึกษากับพนักงานไปในตัว จนกระทั่งเสร็จงานจากร้านของตัวเองหญิงสาวจึงเดินทักทายแม่ค้าที่ขายของในตลาดแพซึ่งเป็นส่วนให้เช่าต่อ
“ขายดีไหมคะป้า” รินวารีหยุดทักทายป้าคนหนึ่ง ซึ่งขายผ้าทอมือพื้นเมืองอยู่ในส่วนของที่ระลึก
“วันนี้ไม่ค่อยมีคนเลยจ้ะหนูริน แต่ก็พอขายได้จ้ะเพราะแขกเรือเพชรธารานั่นแหล่ะ” เรือเพชรธารามาจอดเทียบท่าที่นี่เมื่อตอนเช้า จึงมีบรรดานักท่องเที่ยวมาหาซื้อของที่ระลึก ของฝากก่อนกลับตามปกติ
“นั่นสิคะ รินกับพี่ดินทร์กำลังคุยกันอยู่ว่าจะจัดโปรโมชั่นทั้งของเรือเพชรธาราแล้วก็แพอาหาร แพทัวร์เพื่อเรียกนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเยอะกว่านี้ในวันธรรมดา แต่ต้องปรึกษาย่าก่อนนะคะ” หญิงสาวเกริ่นถึงเรื่องที่เธอกับพี่ชายคนรองเคยพูดกันไว้ไม่กี่วันก่อน
“ได้อย่างนั้นก็ดีน่ะสิหนูริน ป้าสนับสนุนเต็มที่เลย ถ้าทำจริงป้าเองก็จะลดราคาสินค้าด้วยอีกคน จะได้เรียกคนให้มาเที่ยวมาซื้อของเราเยอะๆ” ป้าเจ้าของร้านผ้าทอพูดขึ้นด้วยความยินดี “เออ... จริงสิ แม่นายสั่งผ้าเอาไว้ เขาพึ่งทอเสร็จ ป้าฝากไปให้แม่นายหน่อยนะหนูริน” รินวารีรับคำ ป้าคนขายผ้าหันไปหยิบถุงใส่ผ้าออกมาจากชั้นวาง ก่อนจะส่งให้เธอ
“เท่าไหร่คะ” หญิงสาวถามขณะรับถุงผ้ามาถือไว้ แต่ป้าคนขายผ้ากลับส่ายหน้า
“แม่นายจ่ายให้คนทอโดยตรงแล้วล่ะจ้ะ”
“อ๋อ... ค่ะ งั้นรินขอตัวก่อนนะคะป้า” เธอยกมือไหว้สวัสดี ก่อนจะหันหลังกลับด้วยความรวดเร็ว แต่...
“ว้าย!! ” รินวารีร้องเสียงหลงเมื่อเธอหันไปชนเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งอย่างจัง จนเป็นเหตุให้ร่างอรชรถลาเข้าไปชนกับกองผ้าบนแผง ของในมือหล่นกระจัดกระจาย
“ตายแล้ว!! หนูรินเป็นยังไงบ้าง” ป้าคนขายผ้าร้องขึ้นด้วยความตกใจไม่แพ้กัน พร้อมกับรีบถลันเข้าไปหา แต่ก็ช้าไปกว่าเจ้าของร่างสูงที่พอตั้งตัวได้ เขาก็เอื้อมมือไปดึงร่างของหญิงสาวออกมาจากกองผ้าในทันที
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะป้า” รินวารีรีบบอกหลังจากประคองตัวเองได้ แต่พอหันมาเห็นคนที่ช่วยก็ถึงกับตาโต “อ๊าย! คุณ...คุณชาย” หญิงสาวส่งเสียงแหลมปรี๊ด
“เบาๆ ซิคุ้ณ ซุ่มซ่ามแล้วยังส่งเสียงดังอีก ชาวบ้านมองกันใหญ่แล้ว” เขาทำเสียงดุ ปรายตามองไปรอบๆ ซึ่งคนที่กำลังเดินอยู่รอบตัวประปราย ต่างก็เมียงมองมาพร้อมรอยยิ้มขำ
“ใครซุ่มซ่ามกันยะ คุณชายต่างหากที่มาชนฉัน” แม้จะลดเสียงลงแต่คนซุ่มซ่ามยังมีท่าทีฮึดฮัด และคิดในใจว่าวันนี้คงเป็นวันซวยอีกวัน
“ใครกันแน่ ผมเดินมาตามทางของผมดีๆ นะ คุณเองต่างหากที่หันมาเร็วอย่างนั้น” อังกูรเองก็ต่อคำอย่างไม่ยอมรับความผิดเช่นกัน ทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด
“ไม่จริง คุณชายมาชนฉันต่างหาก ใช่ไหมคะป้า ป้าก็เห็นใช่ไหมคะ” รินวารีรีบหันไปหาพยานเพียงหนึ่งเดียวที่เห็นเหตุการณ์ด้วยความอยากเอาชนะ แต่ทว่าพยานกลับมีท่าทีอึกอักชอบกล
“เอ่อ... เห็นจ้ะ แต่ว่า... เอ่อ... ” ป้าคนขายผ้ามองหญิงสาวและชายหนุ่มสลับกันไปมาอย่างลำบากใจ
“พูดมาเลยค่ะป้า ไม่ต้องไปเกรงใจเขา แม้เขาจะเป็นนักท่องเที่ยวก็ตาม” หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงเข้าใจไปว่าป้าแกเกรงใจนักท่องเที่ยวเสียนี่
“ป้าไม่ได้เกรงใจคุณผู้ชายคนนี้หรอกจ้ะ แต่คนที่เป็นฝ่ายชนน่ะ หนูรินต่างหากล่ะจ๊ะ” และในที่สุดป้าก็เฉลยออกมา
“หา!! ป้า... ” คนซุ่มซ่ามตัวจริงร้องอย่างตกใจ นอกจากจะไม่สามารถเอาชนะเขาได้แล้ว ยังรู้สึกเสียหน้าอีกต่างหาก
“นั่นไงล่ะ พยานรู้เห็นเต็มสองตาอย่ามาโทษผมอีกล่ะ แล้วกองผ้าที่คุณเอาหัวไปซุกนั่นอีก ดูสิ... ระเนระนาดหมด” ชายหนุ่มได้ทีขี่แพะไล่ พยักพเยิดไปทางกองผ้าของป้าแกซึ่งมีสภาพดังที่เขาว่าไม่มีผิดเพี้ยน
“ว้าย! รินขอโทษนะคะป้า คือรินไม่ได้ตั้งใจ มารินช่วยจัดค่ะ” หญิงสาวรู้สึกผิดขึ้นมาทันที จึงทำท่าจะเข้าไปช่วย แต่ทว่า...
“ผมว่าคุณอย่าไปยุ่งดีกว่า ปล่อยให้คุณป้าเค้าจัดการเองจะปลอดภัยกว่านะ ผมว่าคุณยิ่งช่วยจะยิ่งยุ่ง” ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้อังกูรรีบบอกออกไปด้วยความหวังดี
“นี่... ไม่ยุ่งสักเรื่องคุณจะชักแหง่กๆ ไหมคุณชาย” รินวารีแยกเขี้ยวใส่
“อย่าทะเลาะกันเลยจ้ะหนูริน ไม่เป็นไรหรอก มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร เดี๋ยวป้าทำเองดีกว่า หนูรินเก็บของหนูเถอะจ้ะ” ป้าเจ้าของร้านรีบบอกด้วยกลัวว่าคนทั้งคู่จะ แง่ง ใส่กันอีกนาน หญิงสาวกล่าวขอโทษอีกครั้ง ก่อนจะรีบเก็บของ โดยมีคนตัวสูงช่วย
“คุณมาทำอะไรที่นี่ รินวารี” พร้อมกับถามขณะรวบรวมเอกสารที่กระจัดกระจายส่งให้เธอ
“ก็มาทำงานสิคะ ฉันไม่ได้ว่างมากและไม่ได้มีทรัพย์สมบัติเก่าเก็บ กินทั้งชาติไม่หมดเหมือนคุณชายนี่ จะได้เอ้อระเหยลอยไปลอยมางานการไม่ทำ นึกจะโผล่ที่ไหนก็โผล่” ตอบไปพร้อมกับกัดแบบซึ่งๆ หน้า แทนที่คนถูกกัดจะโมโห แต่กลับระบายรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าหล่อเหลาเสียอย่างนั้น
“โอ้โห! นี่ล่อเป็นชุด ผมแค่ถามนิดเดียวเอง ถามจริงไปเก็บกดที่ไหนมาไม่ทราบ” ก่อนจะเป็นฝ่ายกัดตอบบ้าง
“ไม่ได้เก็บกดอะไรทั้งนั้นแหล่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวตอบเสียงขุ่น ก่อนหันไปทางป้าคนขายผ้า “ป้าคะรินกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
“เดี๋ยวก่อนสิคุณจะรีบกลับไปไหนกัน หรือรีบไปหาแฟน” ท้ายประโยคฟังดูขบขันอยู่ในที เป็นเหตุให้รินวารีนึกขึ้นมาได้ว่าเคยโกหกอะไรเขาไว้
“แน่นอนค่ะ ฉันต้องรีบกลับไปหาแฟน” และก็โพล่งออกไปอย่างที่ใจคิด
“งั้นก็พอดีเลย ผมเองก็อยากเห็นแฟนตัวเป็นๆ ของคุณเหมือนกัน ไปสิ” เขาว่าพลางผายมือให้เธอออกก้าวเดิน แต่หญิงสาวกลับมองเขาอย่างอึ้งๆ
“นี่ อย่าบอกนะคะว่าคุณชายจะไปด้วย” รินวารีถามอย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าหลังจากถูกน้ำต้มยำหกรดหน้าอกแล้ว เขาจะไม่กล้ามาตอแยกับเธออีก แต่ที่ไหนได้ ‘ว่าแล้วเชียว อีตาคุณชายนี่เดาทางยาก เห็นทีต้องใช้แผนเดิม’ หญิงสาวคิด
“อ้าว... ก็คุณเคยรับปากผมไม่ใช่เหรอ หรือคุณลืมไปแล้ว” เขายังตอกย้ำด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนกำลังมีแต้มต่อ
“ไม่ได้ลืม แต่... ต้องเดินไปนะคะ ฉันไม่ได้เอารถมา เพราะมันไม่ไกลเท่าไหร่” รินวารีว่า กะจะพาเดินซะให้เข็ด ระยะทางอาจจะไม่ไกลอย่างที่เธอแกล้งพูด แต่ไฮโซฯ แบบเขาคงออกอาการเมื่อยเหมือนกัน ถ้าเธอพาเดินอ้อมโลกไปเลย แต่ทว่า...
“แต่รถผมจอดอยู่ข้างนอก เชิญ... ” แหง่ว! ม.ร.ว.หนุ่มผายมืออีกครั้ง
มาตอนนี้รินวารีเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น เรื่องแฟนที่ว่า กว่าจะขอร้องแกมขู่บังคับและหลอกล่อจนแสนดีตกลงยอมช่วยก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ แต่ทว่าตอนนี้แสนดีไม่ได้อยู่ในโหมดเตรียมพร้อม ม.ร.ว.อังกูรหายไปหลายวันหลังอุบัติเหตุต้มยำรสแซ่บหกรดวันนั้น เธอกับแสนดีต่างก็คิดว่าชายหนุ่มคงม้วนเสื่อกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วจึงไม่ได้อะไรอีก แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะกลับมาในวันนี้ หรือบางทีเขาอาจจะอยู่ในตัวอำเภอ ไม่ก็ตัวเมืองจึงง่ายต่อการผลุบๆ โผล่ๆ เช่นนี้
“เอ่อ... ฉันขอโทรศัพท์สั่งงานแป๊บนึงนะคะ” รินวารีรีบพูดขึ้นเมื่อมาถึงลานจอดรถ ซึ่งมีรถสปอร์ตคันหรูสีดำของเขาจอดอยู่ อังกูรมองเธอแปลกๆ แต่ก็ยิ้มให้ก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งรอบนรถ หญิงสาวรีบกดหมายเลขปลายทางด้วยความร้อนรน
“อะไรยะเป๋อ นี่แกกลับมาหรือยัง ฉันว่าจะโทร.ให้แกซื้อข้าวเกรียบปลาป้านวลมาให้สักถุงพอดี เปรี้ยวปากอยากกินกับส้มตำว่ะแก” เสียงแสนดีดังมา
“นี่พักเรื่องของกินก่อนได้ไหมแซนดี้ งานเข้าอย่างจัง” รินวารีกระซิบ ตาก็มองไปยังรถสปอร์ตคันหรูด้วยกลัวคนที่อยู่ข้างในจะได้ยินถ้อยสนทนาของตัวเอง
“งานบ้าอะไร หรือผู้ชายกำลังจะฉุดกระชากแก” แสนดีถามมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“ยิ่งกว่านั้นอีก แซนดี้แกกลับไปแปลงร่างเป็นแมนเต็มขั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ อีตาคุณชายนั่นมาที่นี่”
“อะไรนะ!! ” สิ้นคำของรินวารี แสนดีก็ร้องออกมาเสียงปรี๊ดด้วยความตกใจ จนคนฟังรีบเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กออกห่างจากหูแทบไม่ทัน
“ตามนั้นเลย อย่าโอ้เอ้ เอาให้หล่อ ให้แมนสุดๆ เลยนะแก เร็วเข้าเพราะอีตานั่นนั่งรอฉันอยู่ในรถแล้ว” หญิงสาวรีบสั่งการไปด้วยเสียงรัวเร็ว แล้วจึงรีบกดตัดสายในทันที ไม่ยอมฟังเสียงที่กำลังจะทักท้วงของอีกฝ่ายสักนิด ก่อนจะรีบเดินกลับมายังรถสปอร์ตคันสีดำที่เจ้าของร่างงามสง่านั่งรออยู่ พอเธอขึ้นไปนั่งเคียงคู่เขาก็ออกรถทันที
*-*-*-*-*-*
“เชิญคุณชายนั่งรอก่อนค่ะ ต้องการทานอะไรก็สั่งได้เลยนะคะ ฉันขอตัวเอาของไปเก็บก่อนค่ะ” หญิงสาวว่าพลางเป็นฝ่ายผายมือไปทางโต๊ะที่เขาชอบนั่ง ซึ่งตอนนี้ยังว่างอยู่ อังกูรส่งแฟ้มเอกสารที่ช่วยถือคืนให้เธอ ก่อนจะก้าวไปนั่งยังโต๊ะประจำ
“แซนดี้กลับมาหรือยัง” พอห่างจากม.ร.ว.หนุ่มไม่กี่ก้าว รินวารีก็แอบกระซิบถามกับเด็กในร้าน
“ยังเลยค่ะคุณริน ไม่รู้คุณแซนดี้ไปไหนจู่ๆ ก็พรวดพราดออกไปข้างนอกก่อนหน้าคุณรินจะมานิดเดียวเองค่ะ” คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะรีบเอาของไปเก็บ พร้อมกับโทร.ตามแสนดีซึ่งก็รีบกลับไปแต่งตัวที่บ้าน และกำลังออกมาแล้ว
“คุณชายจะทานอะไรเพิ่มอีกไหมคะ ฉันสั่งให้ หรือจะทานเบียร์ เหล้า” รินวารีเอ่ยขึ้นหลังจากกลับมานั่งลงตรงข้ามม.ร.ว.อังกูรที่โต๊ะขณะรอแสนดี และเห็นอาหารบนโต๊ะเพียงสองสามอย่าง
“ผมไม่อยากดื่มตอนนี้ อีกอย่างที่ผ่านมาผมดื่มมามากเกินไปแล้ว ต้องหันมาดูแลสุขภาพตัวเองหน่อย” ‘เอาเข้าไปนั่น นึกว่าจะดื่มเหล้าเป็นน้ำเหมือนเมื่อก่อนซะอีก’ หญิงสาวแอบคิดอย่างผิดหวัง
รินวารีกะมอมเหล้าเขาเต็มที่ อย่างน้อยก็จะได้ไม่มีสติมาจับผิดเธอกับแสนดี หญิงสาวรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าเขาไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูด และรินวารีเองก็ไม่ค่อยเชื่อในฝีมือการแสดงของแสนดีนัก เห็นผู้ชายหล่อเหลาเข้าสเปคจะหลุดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือกเธอจึงจำใจต้องพึ่งพาเพื่อนต่อไป
ซึ่งปกติเวลาทำงานแม้แสนดีจะไม่ได้แต่งหญิงเต็มอัตราศึก แต่ก็มีส่วนบ่งบอกความเป็นชายใจหญิงอยู่แบบเต็มๆ เช่นใส่กางเกงก็จริง แต่เสื้ออาจมีพลิ้วไหว ระบายด้วยลูกไม้ หน้าผมก็ได้รับการตกแต่งดูดีเกินกว่าผู้ชายธรรมดาจะทำกัน ท่าทางก็ออกจะตุ้งติ้งปานนั้น ทำให้คนที่พบเจอคาดเดาได้ไม่ยาก
แต่การแต่งตัวแมนเต็มร้อยเป็นอะไรที่เพื่อนสาวของเธอออกอาการ ‘ยี้’ อยู่มากเหมือนกัน ถ้าเธอไม่ขอร้องแกมบังคับเรื่องเงินดงเงินเดือนนิดๆ หน่อยๆ แสนดีก็คงไม่รับคำเหมือนกัน ถึงกระนั้นเธอก็ต้องคอยจับตาดูแสนดีทุกฝีก้าวถ้าไม่อยากให้พลาด
“ริน มานั่งอยู่นี่เอง”
เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มหน้าเข้มในชุดกางเกงยีนส์เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมทับด้วยแจ็คเก็ตยีนส์ดูเท่ห์จนหาที่เปรียบไม่ได้ดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่หันไปมอง ไม่ใช่แค่นั้น พนักงานในร้านต่างก็หันมามองแสนดีเป็นตาเดียวกัน แต่ก็ด้วยสายตาที่แสดงถึงความประหลาดใจล้นพ้น รินวารีจึงรีบลุกขึ้นก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มที่มาใหม่ พร้อมกับเกาะแขนเขาหมับ
“รินมาคุยกับคุณชายค่ะแสน นี่คุณชายอังกูรเป็นเพื่อนพี่มุกกับพี่ดลพึ่งมาจากกรุงเทพฯ คุณชายคะนี่แสนดีแฟนของฉันเองค่ะ” หญิงสาวแนะนำ และม.ร.ว.อังกูรก็ลุกขึ้นยืน
“เอ่อ... ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณแสนดี” เขาเอ่ย แต่แสนดีที่ยิ้มรับรีบคว้ามือม.ร.ว.หนุ่มมาจับไว้
“ยินดีเช่นกันฮ่ะ เอ่อ... ครับ คุณชายอังกูร เคยเห็นแต่ในหนังสือที่มีคอลัมน์ซุบซิบเซเลบฯ ไม่นึกว่าตัวจริงจะดูหล่อ น่ากิน เอ๊ย! น่าเกรงขามขนาดนี้”
รินวารีใช้มือเหน็บข้างหลังแสนดีเข้าให้ทีหนึ่ง เขาจึงได้ปล่อยมือจากม.ร.ว.หนุ่มทั้งที่เสียดายสุดแสน แต่ยังไม่วายเอามือข้างที่จับกับชายหนุ่มมาแตะจมูกแอบสูดกลิ่นเสียอย่างนั้น ซึ่งก็ทำให้หญิงสาวถลึงตาเข้าใส่แว่บหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสามจะนั่งลง
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ว่าแต่ผู้ชายแมนๆ อย่างคุณแสนดีชอบอ่านคอลัมน์แนวผู้หญิงอย่างนั้นด้วยเหรอครับ” ม.ร.ว.อังกูรถามด้วยความประหลาดใจ เพราะขนาดตัวเขาเองที่บางครั้งก็ตกเป็นหนึ่งในข่าวนั้น ยังไม่สนใจจะหยิบขึ้นมาอ่านเลย
“แสนรู้จากฉันหรอกค่ะ ฉันชอบอ่านมันน่าสนใจดี ก็เลยเอามาเล่าให้แสนฟัง ใช่ไหมที่รัก” รินวารีเห็นท่าไม่ดีเลยรีบแทรกขึ้น
และแสนดีก็รับคำพลางจ้องสบตากับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม คนที่มองอยู่อาจจะคิดว่าทั้งคู่กำลังจ้องตากันด้วยความรักสุดหัวใจ แต่ที่ไหนได้ความหมายในดวงตาของรินวารีคือ ‘อย่าให้หลุดนะแซนดี้ไม่งั้นแกตายแน่! ’ และทางแสนดี ‘เออน่า... รู้แล้วย่ะนังเป๋อ! ’
“เอ่อ แล้วนี่คุณชายมาเที่ยวเหรอครับ พักอยู่ที่ไหนครับ” ก่อนที่หนุ่มสุดเข้มจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“อ๋อ... ผมคนว่างงานน่ะครับ ก็เลยเที่ยวไปเรื่อยๆ พอดีติดใจที่นี่ก็เลยแวะพักอยู่ที่อำเภอนี้เสียเลยน่ะครับ” แต่ก่อนที่ใครจะทันพูดอะไรต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เจ๊ริน” เสียงของแป๋งนั่นเอง ทำให้รินวารีกับแสนดีสะดุ้งโหยง
“ว่าไงแป๋ง” หญิงสาวรีบลุกขึ้นทันที ส่วนแป๋งมองมาทางอังกูร ก่อนจะยกมือไหว้พร้อมพูดอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณชาย คุณชายต้องการให้รับใช้อะไรบอกผมได้เลยนะครับ”
ซึ่งอังกูรก็รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม เพราะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อนเป็นอย่างดี ก่อนที่แป๋งจะหันมามองคนที่นั่งเคียงข้างรินวารี ดวงตาของมันเบิกโตเท่าไข่ห่าน ท่าทางขนลุกขนพองราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
“อ๊ะ... โว้วๆๆ... เจ๊แซนดี้ ทำไม?... ” แป๋งร้องออกมาได้เพียงแค่นั้นก็มีอันต้องหุบปากโดยอัตโนมัติ เมื่อถูกมือของรินวารีปิดเอาไว้ในฉับพลัน
“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือเจ๊แซนดี้เป็นลูกค้าประจำของเรากำลังต้องการพบฉันอยู่น่ะค่ะ ขอตัวสักครู่นะคะ แสนคุยเป็นเพื่อนคุณชายไปก่อนนะจ๊ะ รินไปแป๊บเดียว” ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มแย้ม
“จ้า ที่รัก” แสนดีตอบกลับ แล้วรินวารีก็ลากตัวแป๋งออกมาจากตรงนั้น
ท่ามกลางสายตาของม.ร.ว.หนุ่มที่ได้แต่มองตามอย่างแปลกใจ แสนดีหันมาจ้องเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้า ยกมือปาดน้ำลายตรงมุมปากด้วยความหิวโหย ก่อนที่คนถูกแทะโลมด้วยสายตาจะหันกลับมา พอสบเข้ากับดวงตาของแสนดีที่เต็มไปด้วยแววบางอย่าง ส่งผลให้อังกูรรู้สึกครั่นคร้ามอยู่ในใจ

** ‘เสน่หาเล่ห์วารี’ มีรูปแบบ E-Book แล้วนะคะ สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้ค่ะที่
Ookbee
//www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=47a1875c-7d8e-4d87-85a7-28802e3b9ff3&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
Meb
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEyOTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjUxNDAiO30

//www.ebooks.in.th/ebook/33847/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%88
%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5
%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0
%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5/
//banbanbook.com/banbanbook/cart/get_detail_book/1109
//www.hytexts.com/ebook/book/B004573







Create Date : 05 กรกฎาคม 2558
Last Update : 5 กรกฎาคม 2558 8:46:15 น.
Counter : 639 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

cream soda-kanplu
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




พิริตา/อเมทริน

ยินดีต้อนรับทุกท่าน ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยือนค่ะ




*ลิขสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคนี้ เป็นของผู้เขียนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ห้ามดัดแปลง คัดลอก หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน ผู้ใดพบเห็นการละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งเจ้าของบล็อคจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง*


พิริตา อเมทริน นักเขียน

Create Your Badge
New Comments