วันที่จากบ้านเกิดมาด้วยน้ำตา
จากบ้านเกิดเมืองนอนมาเมื่อ Sep 18 2004 ไม่รู้เลยว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร จริงอยู่ค่ะ มาด้วยวีซ่าคู่หมั่น แต่บอกได้เลยว่า ตอนนั้นไม่แน่ใจนักหรอกว่า สามีในอนาคตจะเป็นคนอย่างไร เราเรียนรู้กันและกันน้อยมาก เราคุยกันทางเน็ตนานนับปีระหว่างรอให้เรื่องวีซ่าได้รับการอนุมัติ เราไม่เคยถามเค้าว่า เค้ามีอาชีพอะไร มีรายได้เท่าไหร่ บ้านช่อง ห้องหอเป็นอย่างไร ( เหมือนอย่างที่ผู้มีพระคุณคนไทยหลายท่านบอกให้เราถามสามีให้รู้เรื่อง ) วันที่เดินทาง นอกจากพ่อ และแม่แล้ว ไม่มีใครอีกเลยที่มาส่งเราที่สนามบิน พี่-น้องทุกคนประนามเรา มองว่า เราบ้า เราเห็นแก่ตัว ทิ้งภาระ ทิ้งแม่ ทิ้งลูกเพื่อเอาตัวรอดคนเดียว ทิ้งเงินไว้ให้พ่อแม่ แสนกว่าบาท หนี้สินเล้กน้อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ค่ะ ลูกโตขึ้นทุกวัน ลูกสาวกำลังเรียน ปริญญาตรี ลูกชายเรียนโรงเรียนประจำ ค่าใช้จ่ายเยอะ แต่เพื่อลูก เราต้องดิ้นรน เพื่อให้เค้ามีอนาคตที่ดีท่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ หากจะถามว่า พ่อของเด็กๆหล่ะ เค้าเสียไปแล้วค่ะ ตั้งแต่ลูกเพิ่งจะอยู่ชั้นประถม การตัดสินใจมาอเมริกาน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่คิดได้ในตอนนั้น หากเราอยู่ไม่ได้ ก็แค่กลับบ้านเรา หากอยู่ได้ อนาคต ลูกๆเราก็จะได้สุขสบาย ตอนนั้น คิดได้เท่านี้จริงๆค่ะ วันที่เดินทาง ร้องได้ ตั้งแต่ผ่านประตูเข้าไปด้านใน จนถึง แอล เอ บอกไม่ถูก เหมือนหัวใจมันจะขาดรอนๆ คิดตลอดเวลาว่า นี่เราทำถูกหรือผิดกันแน่ แต่ก็เลือกทำไปแล้วค่ะ มาถึงสนามบิน ว่าที่สามีในอนาคตก็ยืนรออยู่ พร้อมด้วยช่อดอกไม้ใหญ่ๆ 1 ช่อ แต่ทำไมนะ เราถึงรู้สึกอ้างว้างนักก้อไม่รู้ สามีพามาที่บ้านเค้าที่ฟีนิกซ์ เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า เค้าอยู่อย่างไร บ้านช่องสะอาดดีมากค่ะ ไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กเกินไปสำหรับเราสองคน จากนี้ไปชีวิตจะเปลี่ยนไปแล้วใช่มัย? นั่นคือคำถามที่ถามตัวเองมาตลอดเวลา แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะว่า ภาคต่อไปเป็นอย่างไร