มะเร็งโพรงจมูกเป็นมะเร็งที่มีคนเป็นน้อย โดยทั่วไปจะเข้าใจว่าเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก จริงๆแล้วมะเร็งโพรงจมูกเป็นก้อนเนื้อร้ายในโพรงจมูก ไม่ได้อยู่หลังโพรงจมูกซึ่งคนจะเป็นกันมาก มะเร็งในโพรงจมูกสามารถผ่าตัดได้โดยอาจทำร่วมกับฉายรังสีหรือคีโม แต่มะเร็งหลังโพรงจมูกไม่สามารถผ่าตัดได้ ต้องฉายแสงหรือคีโมเท่านั้น เนื่องจากมีคนเป็นน้อย จึงคิดว่าน่าจะเขียนประสบการณ์ให้คนอื่นไว้เป็นข้อมูล อาการเริ่มแรก ไม่มีอะไรน่าตกใจ เป็นภูมิแพ้ธรรมดา ซึ่งเราก็ไม่ได้เอะใจอะไร จากที่มีน้ำมูก จาม ช่วงเช้าทุกวันเป็นปีๆ จนกระทั่งเริ่มมีลิ่มเลือดปนมาในน้ำมูก ก็มีตกใจนิดหน่อย ลองหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดู ส่วนใหญ่ก็บอกเป็นจมูกอักเสบ หาข้อมูลมะเร็งในจมูก ก็จะเจอแต่ข้อมูลมะเร็งหลังโพรงจมูก ซึ่งอาการเราก็ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ จริงๆแทบไม่มีอาการอะไรเลย นอกจากเลือดออกตอนสั่งน้ำมูก และมีเจ็บจมูกบ้าง จนผ่านมาเป็นเดือน เลยตัดสินใจไปหาหมอ พอหมอดูจมูกแล้วก็ชักเอะใจ ให้ส่องกล้องด้วย แจ๊คพ้อต เจอเนื้อองอกในจมูก ต้องตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ พอดีที่ไปหาเป็น รพ เอกชน คุณหมอบอกควรทำ CT ด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายจะแพง เราเลยตัดสินใจไป รพ รัฐบาล คุณหมอพูดเป็นนัยว่าให้รีบๆไปรักษา เอ๊ะยังไง จริงๆตอนนั้นพอรู้ว่าเป็นเนื่องอก เราก็ซึมไปเหมือนกัน ไม่กล้าบอกใคร ไป รพ รัฐบาล ตรวจครั้งแรก คุณหมอบอกในจมูกเหมือนมีก้อนเนื้อ แต่อาจจะเป็นจมูกอักเสบได้เลยบวมใ ให้ยาแก้อักเสบมากิน ก็เบาใจไปหน่อย อาจจะไม่ได้เป็นอะไร ช่วงนั้นไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่ที่บ้าน ไปหาหมอเอง อาทิตย์ถัดมาพบคุณหมออีก บอกไม่ยุบ คุณหมอบอกลองกินยาต่อ แล้วลองตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ตอนตัดคุณหมอดูชิลๆมาก แต่เราเจ็บมากนะคะ เอาหล่ะ ตัดไปแล้วชิ้นเล็กๆ 0.4 ซม. รอฟังผลอาทิตย์หน้า วันฟังผล ตอนรอหน้าห้องคุณหมอ หัวใจเต้นแรงมาก พยายามเตรียมใจ พอคุณหมอบอกเป็นมะเร็ง ชนิด squamous cell carcinoma ที่เตรียมใจไว้ก็ช๊อคไปเหมือนกัน แต่ไม่ร้องให้นะ มีแต่ซึมกับงง คุณหมอบอกต้องผ่าตัด และอาจต้องฉายแสงร่วม คุณหมอบอกควรจะรีบผ่า เรามีก้อนเนื้อที่ inferior turbinate ซึ่งมีหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นกับจมูก คุณหมอไม่เฉพาะตัดก้อนเนื้อแต่ต้องตัดชิ้นส่วนจมูก คือ turbinate ออกไปด้วย และระหว่างผ่าคุณหมอเจอเนื้อบวมๆที่ผนังกั้นโพรงไซนัส maxillary กลัวว่าจะเป็น inverted papilloma ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อร้ายได้ เลยต้องตัดทิ้งไปด้วย วันนั้นหลับไปตั้งแต่บ่าย 2 ถึง 4 ทุ่ม สรุปผลตรวจชิ้นเนื้อ มีก้อนเนื้อร้ายแค่ที่เดียวคือที่ inferior turbinate เป้นเซลล์ชนิด invaded squamous cell carcinoma ส่วนที่ผนังโพรงไซนัส ไม่ใช่เนื้อร้าย โชคดีไป หลังผ่าก็ไม่ได้เจ็บแผลอะไร แต่จะมีเลือดซึมตลอดเวลา เพราะผ่าในจมูกไม่สามารถเย็บแผลได้ ต้องรอให้เลือดแข็งตัวเอง มีผ้าก้อตอุดในจมูกโดยคุณหมอใส่สายยางท่อเล็กเผื่อไว้ให้หายใจ ต้องนอน รพ. 3 วัน โดยวันกลับ คุณหมอก็เอาผ้าก็อตออกให้ เนื่องจากเป็นการผ่าในจมูก ไม่สามารถเย็บแผลได้ ต้องให้แผลประสานตัวเอง ทำให้มีเลือดซึมออกมาตลอดเวลา พอกลับมาบ้านได้ 3 วัน เลือดทะลักออกจากจมูกเต็มไปหมด สรุปต้องกลับไป รพ. Admit อีกวัน จากคนที่ไม่เคยป่วย เป็นหวัด 2 ปีครั้ง ไม่เคยนอน รพ. กลับต้องมาเป็นโรคร้าย นอน รพ แค่ 3 วัน เหมือนเป็นเดือน จากที่ไม่เคยนอนโรงพยาบาล เคยอิจฉาคนนอนโรงพยาบาลว่าสบาย ตอนนี้เข้าใจเลยว่าการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ กลับมาบ้านก็ยังมีเลือดออกเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่จะไหลลงคอต้องคายทิ้งตลอดเวลา หลังจากนั้นก็ต้องไปทำแผลทุกอาทิตย์ ทุกครั้งที่ทำแผลจะเจ็บมาก เพราะต้องคอยดึงสะเก็ดเลือดออก แผลในจมูกหายช้ามาก เนื่องจากเป็นการผ่าใหญ่ และแล้วก็ถึงเวลาต้องไป consult คุณหมอรังสี การฉายรังสี ควรทำหลังผ่าตัดไม่เกิน 2 เดือน มากสุด 3 เดือน หากเกิน 3 เดือนแล้ว การฉายรังสีจะไม่ได้ผล วันที่มาปรึกษาหมอรังสี เราก็ภาวนาตลอดว่าไม่จำเป็นต้องฉาย ก็ก้อนเนื้อร้ายเอาออกไปหมดแล้วนี่ แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นตามหวัง หมอบอกควรฉายรังสีเพื่อป้องกัน เพราะอาจจะมีเนื้อร้ายที่ยังเอาออกไม่หมดและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เนื่องจากเป็นก้อนเนื้อในจมูก การผ่าตัดต้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆออกมา อาจจะมีตกค้าง หรือเหลือร่องรอยข้างในที่เอาออกไม่หมด สรุปต้องฉายแสง 30 ครั้ง โดยคุณหมอจะใช้การฉายแบบปรับความเข้ม IMRT และใช้ปริมาณรังสีน้อยลงจากปกติ 70 Gy เหลือ 60 Gy โดยการฉายรังสีแบบปรับความเข้ม ดังนั้นจะเกิดอาการข้างเคียงน้อยกว่าการฉายแสงปกติ อาการข้างเคียง น้ำลายแห้ง เจ็บคอ อาการในระยะยาวอาจะมีการอักเสบของตาเกิดอาการ floating คือเห็นเป็นเส้นๆเหมือนใยแมงมุมลอยไปลอยมา ดูแล้วผลข้างเคียงก็ไม่มากเท่าไหร่ เอา ฉายก็ฉาย อีกอย่างหมอหูคอจมูกบอกถ้าเป็นอีกต้องเลาะหน้าผ่าตัด บรื้อส น่ากลัว ก่อนจะเริ่มฉายแสง ต้องไปทำ MRI เพื่อดูให้แน่ว่ายังมีก้อนเนื้ออยูหรือไม่ หลังการผ่าตัด ผลออกมาไม่มีแล้ว จากนั้นคุณหมอก็นัดทำ CT Sim โดยเหมือนกับทำ CT scan โดยคุณหมอจะใช้ผลจาก CT เพื่อมาวางแผนการฉายแสง และวันเดียวกันนั้นก็ทำหน้ากากเลย โดยเป็นแผ่น fiber แช่ในน้ำอุ่นแผ่นจะอ่อนตัว เอามาแนบหน้าตามโครงรูปหน้า โดยหน้ากากนี้จะเป็นของเราคนเดียว หน้ากากเราเป็นแบบสั้นเพราะไม่ได้ฉายที่คอ แต่บางคนเป็นแบบยาว โดยจะคลุมถึงคอเลยคุณหมอใช้เวลาวางแผน 3 อาทิตย์ นัดตีเส้นวันศุกร์ และเริ่มฉายแสงวันจันทร์ สรุปเริ่มฉายแสงหลังผ่าตัด 2 เดือนครึ่ง และแล้ววันขึ้นเขียงก็มาถึง กลัวมาก พอไปนอนที่เตียงฉายแสง เจ้าหน้าที่เอาหน้ากากกับที่กัดฟันมาให้ใส่ ลืมบอกไปตอนทำหน้ากากมีทำที่กัดฟันด้วย เป็นเหมือนดินน้ำมันให้มากัดเป็นรอยฟัน วันที่ใช้ก็จะแข็งตัวเป็นรอยฟันเราพอดี หมอบอกไว้ปิดลิ้นไม่ให้ลิ้นโดนรังสี แต่พยาบาลมาบอกว่าไม่ได้ใช้กันรังสี เอาไว้ล๊อกให้ตรงเวลาใส่หน้ากาก ต่อค่ะ พอเจ้าหน้าที่ใส่หน้ากากโดยล๊อกกับเตียง หน้ากากแน่นมากจนหายใจไม่ออก เราก็ยกมือ เจ้าหน้าที่ถอดเข้าถอดออก 3 รอบ ก็ฉายไม่ได้ หายใจไม่ออก ต้องกลับไปหาหมอใหม่ วันรุ่งขึ้นมาลองฉายใหม่ โดยหมอบอกให้หายใจทางปากก็ได้ ก็กลั้นใจทำไปจนเสร็จ ไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้น ไม่เจ็บ ก็ไม่น่ากลัวอะไร เหมือนไป x-ray ปอด ใช้วลาในการฉายประมาณ 15-20 นาที คนมารอฉายแสงเยอะมาก บางคนมาอาการหนักแล้ว เห็นแล้วก็ปลงเหมือนกัน อาทิตย์แรกของการฉายแสงผ่านไป เริ่มมีอาการน้ำลายแห้ง เบื่ออาหาร อาการอาทิตย์ที่ 2 คล้ายๆอาทิตย์แรก พยาบาลให้สูตรทำน้ำลายเทียมและน้ำเกลือบ้วนปากมา หลังฉายแสงอาทิตย์ที่ 3 เริ่มมีอาการเจ็บคอ ลิ้นรับรสได้น้อยลง เบื่ออาหาร หมอให้ยา Hormone Progesterone เพื่อให้เจริญอาหาร และยาเคลือบกระเพาะแบบน้ำเพื่อลดการระคายเคืองในคอ แต่ยาเคลือบกระเพาะนี่ทำเราซะสะบักสะบอม มีอาการผะอืดผะอม อาเจียน เลยหยุดกินยา พอเข้าฉายแสงอาทิตย์ที่ 4 ผมเริ่มร่วง ลิ้นไม่รับรสโดยสิ้นเชิง กินอะไรก็จืดไปหมด แต่รับรสเผ็ดได้แฮะ เผ็ดนิดนึงก็กินไม่ได้แล้ว การฉายแสงนี่โหดกว่าผ่าตัดอีกนะเนี่ย เป็นความทรมานสะสม ผ่าตัดเจ็บอยู่ 2-3 วัน ก็ฟื้น แต่ฉายแสงนี่มีอาการทุกวันเป็นเดือนๆ เข้าอาทิตย์ที่ 5 ผิวที่โดนรังสีเริ่มเข้มขึ้น ที่หน้าและคอ ชักสงสัยไม่ได้ฉายที่คอ ทำไมสีเข้มได้ พึ่งมารู้ คุณหมอฉายที่คอด้วย เพื่อคลุมต่อมน้ำเหลือง จมูกแห้งมาก มีสะเก็ดเลือดต้องคอยเอาออกตลอด ไม่งั้นแน่นจมูก ต้องคอยล้างน้ำเกลือ พ่น mar plus (น้ำทะเล) ทำให้จมูกชุ่มชื้น เบื่ออาหารมากขึ้น ขนาดกินยาช่วยเจริญอาหารแล้วนะ เวลากินข้าวเป็นเวลาที่ทรมานที่สุด บางคนกินอะไรไม่ได้ต้องเจาะคอ หมอบอกช่วงสุดท้ายจะเป็นช่วงที่ทรมานที่สุด ต้องอดทน เข้าอาทิตย์สุดท้าย หน้าและคอผิวเข้มขึ้น โชคดีไม่โดนเผาจนแผลแตก เห็นบางคนโดนรังสีจนผิวเข้มมาก แผลแตกเป็นหนองเต็มไปหมด เห็นแล้วเจ็บแทน มีคนทักว่าหน้าบวม จมูกมีเลือดแห้งๆเกาะแน่นไปหมด พยายามล้างน้ำเกลือก็ไม่ดีขึ้น อยากจะแกะออกแต่หมอห้าม เบื่ออาหารเหมือนเดิม แต่ต้องพยายามกิน ไม่งั้นจะอ่อนเพลีย รู้สึกหนาวง่ายขึ้น จากที่ปากขม กลายมาเป็นมีรสชาดแปลกๆ จนกลายเป็นรสเค็ม เค็มมากๆ ผมยังร่วงอยู่ แต่ไม่มากเท่า 2 อาทิตย์ที่แล้ว คงร่วงไปหมดแล้วหน่ะซิ หลังการฉายแสง หน้ายังบวมอยู่ คุณหมอบอกเป็นเพราะท่อน้ำเหลืองอุดตัน ให้นวดๆและบริหารคอเพื่อไม่ให้เกิดพังผืด จมูกยังเป็นแผลและมีน้ำมูกตลอดเวลา มีอาการหูอื้อบ้าง ถ้าไปเจออากาศหนาวจมูกจะตันและหายใจไม่ออก การฉายแสงทำลายเนื่อเยื่อในจมูกและทำให้อวัยวะในจมูกทำงานไม่ปกติ เช่น ขนกวัดซึ่งมีหน้าที่ในการขจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากจมูกก็ไม่สามารถทำงานได้ เป็นผลให้มีน้ำมูกออกตลอดเวลา หลังฉายแสง 2-3 เดือน จะมีน้ำมูกปนเลือดออกมาเยอะมากจนหายใจไม่ออก ต้องล้างจมูกช่วย ต้องตื่นกลางคืนบ่อยๆเพราะหายใจไม่ออก แต่พอผ่านมา 4-5 เดือน น้ำมูกก็จะค่อยๆลดลง หลังจากนี้ก็ต้องคอยไปพบคุณหมอตามนัด ถ้าไม่มีก้อนเนื้อเกิดขึ้นใหม่ในระยะ 5 ปี ก็แปลว่าหายขาด มะเร็งเป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่มีในทุกคน หากเราทำร่างกายที่แข็งแรงอยู่เสมอ มีภูมิต้านทานดีเจ้าเนื้อร้ายนี้ก็จะไม่สามารถทำอะไรเราได้ การตรวจเจอมะเร็งถึงแม้ว่าจะเป็นระยะแรกตามที่เรียกๆกัน แต่จริงๆแล้วมันเกิดขึ้นมานานแล้ว ว่ากันว่าเซลล์มะเร็งแบ่งตัวจาก 1 เซลล์ เป็น 2 เซลล์จะใช้เวลา 100 วัน ดังนั้นการตรวจพบเซลล์มะเร็งขนาด 1 ซม. คือประมาณ 1 พันล้านเซลล์นั้นจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดไม่ให้เป็นมะเร็งคือการป้องกัน ปรับสมดุลในชีวิต โดยอาหารกินให้ครบ 5 หมู่ รับอากาศบริสุทธิ์ และจิตใจให้ผ่องใส ไม่เครียด เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านที่อ่านบทความนี้มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ
| Create Date : 19 พฤศจิกายน 2558 |
| Last Update : 11 เมษายน 2560 17:13:45 น. |
|
3 comments
|
| Counter : 4257 Pageviews. |
 |
|
สวัสดีนะจ้ะ เราแวะมาทักทาย 
