พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
ห่างหายไปจาก Blog ซะนาน กลับมาอีกครั้งก็ยังคงพาไปเที่ยวไทยแบบขอบกรุงเทพฯใกล้ๆนี้เหมือนเดิม เพื่อนๆที่อยู่แถวๆฝั่งสมุทรปราการคงเคยเห็นรูปปั้นช้างสามเศียรแบบไซด์ขนาดยักษ์กันมาบ้าง หลังจากที่เห็นรูปปั้นนี้แต่ไกลๆมาก็หลายปี แต่ไม่เคยได้เข้าไปซักที เพราะคิดจะไปทีไรก็นึกถึงถนนที่รถติดแหงกในบริเวณนั้นขึ้นมาเป็นภาพซ้อนทันที แต่คราวนี้ไม่ใช่ เพราะมีถนนวงแหวนเส้นใหม่ที่ชื่อว่าถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกตัดผ่านเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญช่วงนี้ยังไม่มีการเก็บค่าผ่านทางซะด้วย นัยว่าคงจะเริ่มเก็บเร็วๆนี้แหละ หลังจากที่ปล่อยให้ได้ใช้ฟรีกันเป็นปีแล้ว ถ้ามาจากถนนบางนา-ตราด เข้าวงแหวนเพื่อมุ่งหน้าพระราม 2 คราวนี้ง่ายเลย ถ้าขี้เกียจดูป้ายก็ขับไปเรื่อยๆ เห็นรูปป้อนเศียรช้างเมื่อไหร่ ก็เตรียมลง จะขอบอกว่าพอลงปั้ปพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณที่ว่านี่ก็อยู่ฝั่งซ้ายทันที ง่ายอะไรเช่นนี้ ถึงแล้วจ้าป้ายบอกทางต่อจากนั้นก็ไปทำการซื้อบัตรเข้าชม สนนราคาท่านละ 150 บาท แต่มีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคู่รัก เป็นรายการซื้อ 1 แถม 1 พอดีพาครอบครัวไป เลยมีคู่รักอายุหกเจ็ดสิบอยู่ 1 คู่ ไปลงทะเบียนคู่รักกะเค้าด้วย ลงทะเบียนเสร็จเค้าจะให้ดอกกุหลาบเล็กๆมาดอกหนึ่ง แล้วเอาดอกกุหลาบนี้แหละไปยื่นซื้อตั๋ว ก็จะเหลือคู่ละ 150 บาท เออ ดีเหมือนกัน แปลว่าถ้ามาเดี่ยวนี่ขาดทุนแฮะ เริ่มชมกันดีกว่า สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าชมในตัวช้าง ส่วนผู้ที่ไม่ซื้อตั๋ว ก็สามารถเดินเล่น ชมดูบริเวณภายนอกได้ แต่ก็จะรู้สึกแปลกๆว่ามั้ย...มาถึงแล้วไม่เข้าเนี่ย ส่วนแรกที่ชมเป็นบริเวณฐานของช้าง บริิเวณนี้ห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีอะไรมาให้ดู ไกด์ที่พาชมบอกว่า ชั้นนี้เปรียบเสมือนชั้นบาดาล หรือชั้นใต้ดินนั่นแหละ ที่นี่ส่วนใหญ่ก็มีการจัดแสดงพวกโบราณวัตถุ เครื่องเรือนไทย ของเก่า รวมถึงประวัติและแสดงขั้นตอนการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ แห่งนี้ ส่วนที่สองคือ ชั้นของโลกมนุษย์ เค้าว่างั้น บริเวณนี้ก็จะอยู่ประมาณตรงโดมใต้ท้องช้าง ห้องนี้ก็จะโชว์งานปูนปั้นฝีมือช่างเมืองเพชรบุรีที่เลื่องลือ ความละเอียดงานปั้นบริเวณบันไดลายหุ้มเสา เป็นงานดีบุก เสาที่ว่านี้ก็จะมีสี่ต้น แหงนดูเพดาน เป็นกระจกสีรูปแผนที่โลกส่วนชั้นสุดท้ายคือสวรรค์ชั้นดาวดิงส์ ชั้นนี้สำหรับ สว ทั้งหลายก็มีบริการลิฟต์ขึ้นไปได้ แต่ถ้าจะพิสูจน์แรง ก็เดินขึ้นบันไดไปซะหน่อย บันไดนี้จะเป็นบันไดวน อยู่ตรงบริเวณขาของช้างนั่นแหละ ก็เดินวนจนงงอยู่พักนึง ก็จะมาเจอกับ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แห่งนี้ส่วนบริเวณด้านนอกนั้นก็ทัศนียภาพที่สวยงามร้านขายของที่ระลึกมาจบด้วยลานของกิน เพราะเดินเยอะแล้วหิวพาครอบครัวกลับบ้าน..........มีนาคม 2552
Thailand International Balloon 2008
ช่วงวันหยุดสามวันที่ผ่านมานี้ มีโอกาสไปดูชมงาน Thailand International Balloon 2008 ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่สอง ที่โคราชแห่งนี้ ปีนี้มีจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ธันวาคม 2551 ตอนนี้ถ้าใครจาไปก็หมดสิทธิแล้วจ้า ต้องอีกทีก็ปีหน้านะ.....แผนที่ที่ตั้งอย่างคร่าวๆ ทำให้เราตั้งเข็มการเดินทางได้ถูกต้องประชาชนที่มาชมงานบอลลูนนานาชาติมีการเล่นพารามอเตอร์โชว์ด้วย สงสัยเอาไว้วัดดูว่าลมแรงเกินไปหรือเปล่า ได้ข่าวว่าวันก่อนหน้านี้ลมแรงเกินไปจนปล่อยบอลลูนไม่ได้ ท่านผู้ชมที่อุตส่าห์มาจับจองพื้นที่รอคอยกันยาวนาน ต่างผิดหวังไปตามๆกัน แต่เรื่องของความปลอดภัย เราก็ต้องเข้าใจเค้าด้วยเหมือนกันหลังจากไปนั่งรอได้ซักพักใหญ่ๆ เพราะทางผู้จัดต้องรอตรวจสภาพแรงลม เย็นนี้เราก็ไม่ผิดหวัง เริ่มต้นเตรียมเป่าลมกันแล้ว บอลลูนส่วนใหญ่จะเป็นของต่างชาติมาแสดง โชคดีที่ชาวต่างชาติทั้งหลายเดินทางเข้ามาบ้านเราก่อนเกิดเหตุการณ์ยึดสนามบิน มิฉะนั้น เราเห็นจะต้องอดดูกันเป็นแน่แท้...... เห็นบอลลูนลูกหนึ่งติดป้าย KTC น่าจะเป็นของคนไทยแฮะ...อันนี้ของ FORD ตอนก่อนเป่าลม กางอยู่ตรงพื้นท่าทางบอลลูนลูกนี้จะใหญ่ส่วนอันนี้เป็นกระเช้า หรือตระกร้าสำหรับโดยสาร ตระกร้านี้จุคนได้ประมาณสี่คนในลักษณะที่ยืนกันแบบใกล้ชิด การจะให้คนขึ้นได้นั้นเค้าต้องคำนวณน้ำหนักก่อนการขึ้นเพื่อความปลอดภัยด้วยเตรียมการประกอบร่างลูกแรกเตรียมขึ้นแล้วววววแล้วลูกอื่นๆก็ตามกันมาเป็นซีรี่ย์ เล่นเอาเราวิ่งไปวิ่งมาเพื่อถ่ายรูปกันเหนื่อย แต่โชคดีที่อากาศเย็นสบาย เลยรู้สึกสนุกที่ได้วิ่งไปวิ่งมากลางลานอันกว้างขวางนั้นถ่ายรูปได้สวยงาม.... ชมตัวเองก็ได้วุ้ยท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย เราก็ยืนมองลูกบอลลูนค่อยๆเคลื่อนหายไป พร้อมๆกับความมืดที่เริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที ........นายท่องเที่ยวCopyright 2008
พาครอบครัว...ทัวร์สามชุก
ยามนี้เป็นยามที่ต้องช่วยกันเที่ยวไทย อย่างน้อยก็ให้เงินไหลไปไหลมาอยู่แถวๆละแวกในบ้านเรา ฤกษ์งามยามสะดวกก็ชักชวนที่บ้านตื่นแต่เช้าวันอาทิตย์เพื่อไปเป็นพญาน้อยชมตลาดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี การเดินทางชั่วโมงนี้จะไปสามชุกก็สะดวกสบาย เราใช้เส้นทางสายบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ขับไปเรื่อยๆชิวๆ จนถึงสุพรรณบุรีก่อนแยกเข้าตลาดสามชุก ซึ่งเป็นชุมชนตลาดเก่าที่อยู่ริมแม่น้ำท่าจีน สิริรวมระยะเวลาขับรถก็ประมาณชั่วโมงกว่าๆเอง...มีแผนภาพแสดงสถานที่เด่นๆของย่านนี้ตลาดน้ำที่ไหนๆที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว เดี๋ยวนี้ต้องมีตู้ไปรษณีย์ประจำแหล่งด้วยสมัยก่อนการค้าขายทางน้ำค่อนข้างคึกคัก คนไทยกับวิถีทางน้ำมีมานาน แต่พอมีถนนตัดใหม่เท่านั้นแหละ การต้าขายทางน้ำหงอยไปถนัดใจ แต่ก็ดีที่ตอนนี้ชาวสามชุกก็พยายามฟื้นฟูและ รักษาวิถีแบบเดิมไว้ แม้ว่าตอนนี้จะเพื่อการท่องเที่ยวเป็นสำมะคัญ ไม่ใช่เพื่อการค้าอย่างสมัยก่อนก็ตามที อย่างน้อยก็ทำให้เราได้รู้ได้เห็นและมีแหล่งซื้อหาของกินอร่อยๆอีกแห่งหนึ่งเอาล่ะ เริ่มพาชมกันดีกว่าหน้าตาทั่วๆไปของตลาดสามชุก โชคดีเราไปกันแต่เช้าคนเลยยังไม่เยอะ เดินกันโล่งๆสบายๆ แต่ถ้าเป็นรอบเย็นน่าจะคนแน่นตลาดร้านนี้ ทั้งคนและร้านได้บรรยากาศตลาดร้อยปีดีเหลือ....น้องหนูขายข้าวหลามทอดมันเม็ดกระจิ๋วหลิว ต้องกินทีละสองสามเม็ด เพราะเราปากใหญ่ แม้เม็ดจะเล็กแต่รสชาดก็ได้ใจทอดมันจิ๋ว แต่ลูกชิ้นกลับหญ่ายยยักษ์ ...มันใหญ่จัดจนไม่ค่อยหน้ากินซักเท่าไหร่หมูหน้าตาหน้าทาน กะว่าจะซื้อกลับบ้าน แต่ตอนกลับลืมไปซะเฉยเลยกุ้่ยช่าย ... อร่อยนะเจ้าเนี่ย แวะซื้อน้ำแก้กระหาย สมัยเด็ก เราเรียกว่าน้ำจรวด เพราะตัวโซดาจะกดออกมาไอ้เจ้าตัวที่มีหน้าตาเหมือนจรวดนี่แหละร้านข้างๆกันขายน้ำอะไรไม่รู้หน้าตาเหมือนน้ำไข่มุกที่ฮิตๆกันอยู่พักนึง แต่อันนี้หน้าตาออกแนวแฟนตาซีมากไปจนเราไม่กล้ากินสาโท โอท๊อปรองเท้าแต๊ะคร๊าบ รองเท้าแต๊ะแวะซื้อปลาทอดบ๊ะจ่างหน้าตาหน้าอร่อยร้านนี้ออกแนวเอาใจวัยรุ่น และเป็นมุมถ่ายรูปที่เก๋ดีเหมือนกันใครจะซื้อฝากคุณยายก็ได้เลย ตามสะดวกจากนั่นพาชมพิพิธภัณฑ์ของขุนจำนง จีนารักษ์ เดิมเป็นบ้านของขุนจำนงที่ใช้อยู่อาศัย ตอนนี้ก็มาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ไม่เก็บค่าชมด้วย แต่เพื่อช่วยเหลือเราก็สามารถบริจาคให้ได้ตามความพอใจของแต่ละคนบ้านซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์หลังนี้เป็นบ้านของขุนจำนง จีนารักษ์ ซึ่งเป็นนายภาษีอากรคนแรกและเป็นเจ้าของตลาดสามชุก ได้สร้างบ้านหลังนี้เมื่อ พ.ศ. 2459 ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนในครอบครัว รวมทั้งเป็นที่ต้อนรับและพักอาศัยของผู้หลักผู้ใหญ่และแขกบ้านภายในบ้านยังคงสภาพเดิมๆไว้อย่างสมบูรณ์บ้านนี้ไม่ร้อนเลย เพราะมีหน้าต่างรอบบ้านแบบนี้ เข้าใจสร้างจริงๆลายเสื่อน้ำมันเพดานไม้สูง ตรงแถวๆบันไดทางขึ้นขั้นสามซึ่งเป็นขั้นดาษฟ้าจากนั้นก็หอบข้าวของกันพะรุงพะรัง กลับบ้านด้วยความสุขใจ
จากสถานีสยาม...นำพาไปล่องแม่น้ำ (แกลลอรี่ภาพ)
พาเที่ยวสายสั้นๆ ในวันว่างและเที่ยวขากลับปรากฏว่ามืดซะก่อน แล้วกล้องก็ช่างไม่อำนวย เลยไม่มีเวอร์ชั่น night shot มาให้ดู
ยังจำงาน Coke carnival Bangkok กันได้หรือเปล่า
เมื่อวานนี้นั่งดูรูปเก่าๆในเครื่อง ปรากฏว่าไปเจอรูปงาน Coke Carnival ที่มาจัดที่บ้านเรา ไม่ได้จะโฆษณาให้โค๊กหรอกนะเพราะไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด 555 แค่อยากระลึกถึงอดีตที่ล่วงเลยมา กับความทรงจำสนุกๆ ณ สวนสนุกแห่งนี้เมื่อเกือบสี่ปีก่อนใครที่ได้ไปมาก็คงจะพอจำกันได้ แม้ว่าค่าเครื่องเล่นจะแพงไปนิด แต่ก็ยังถูกกว่าไปเที่ยวสวนสนุกเมืองนอกแน่ๆล่ะตั้งแต่ประตูทางเข้ากันเลยล่ะรูปนี้อยู่ตรงหน้าประตู รูปใบเบ้อเร่อ เลยต้องขอแรงเพื่อนไปเป็นตัวเทียบ scale แต่ไม่กล้าบอกเพื่อนน่ะ... เดี๋ยวมันจาด่าเอาผู้คนให้ความสนใจล้นหลามตุ๊กตาไซด์ยักษ์ๆเหล่านี้แหละ ล่อตาล่อใจเหลือ เสียตังค์ไปก็เยอะกับเกมส์ปาเป้า ค่าปาเป้าก็มิใช่ราคางานวัดบ้านเรานะ เป้าที่นี่ปาทีละ 200 บาท....เครื่องเล่นน่าเร้าใจ ตื่นเต้นสุดๆ โดยเฉพาะตัวเหวี่ยง จำชื่อไม่ได้แล้ว ต้องทำใจกันเป็นนานลูกดีดอันนี้คิวยาวสุดๆ จนรอไม่ไหวเลยได้แต่ยืนมองชาวบ้านเค้าเล่นขนาดไปกันแต่บ่ายยังเล่นไม่ครบเพราะคนเยอะมาก แต่แค่นี้ก็ทำให้สบายตัวและกระเป๋าเบา จนเดินแทบจะตัวปลิว หมดตัวกลับบ้านน่ะสิคงมีหลายคนกลับบ้านด้วยอาการเดียวกัน 555Copyright 2008