[Travel]รีวิวทริปดอกไม้บาน ทริปทุ่งทานตะวัน ภูทับเบิก(1/2)
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ไม่ได้มารีวิวสักพักหนึ่งเลย เนื่องจากไปเที่ยวช่วงปีใหม่(ที่จะนำมารีวิวตอนนี้) ประกอบกับช่วงนี้กรุงเทพอากาศดีเหลือเกิน อากาศเย็น หนาวจนป่วยเป็นหวัดไปเลยค่ะ นอนซมไปสองวันวันนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วเลยมีเรี่ยวแรงนำทริปที่น่าประทับใจมารีวิวให้เพื่อนๆดูกันค่ะ
ทริปที่ไปช่วงปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้วเที่ยวทิ้งท้ายปี 2013 กันด้วยทริปชมดอกไม้ 2 วัน 1 คืน วันแรก > เดินทางจากกทม ตอนตีสี่ > อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก > ทุ่งทานตะวัน > แช่น้ำพุร้อน > ขึ้นภูทับเบิก วันที่สอง > ภูทับเบิก > ภูลมโล > วัดผาซ่อนแก้ว > กลับถึงกทม ห้าทุ่มค่ะ
เป็นทริปที่ประทับใจทริปหนึ่งแล้ว ก็หนาวสะใจทริปหนึ่งเลยที่เดียวนะคะ ลองติดตามกันดูได้เลยค่ะ
เราไปเที่ยวกับคนจัดทริปค่ะ ไปกะพี่สาวสองคนเช่นเคย คราวนี้มีผู้ร่วมทริปคนอื่นๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้รู้จักกันมากขึ้นตอนร่วมเดินทางด้วยกันครั้งนี้แหละค่ะ จำนวนคนประมาณ 8 คน รวมคนจัดทริป 2 คน ก็เป็น 10 คนพอดี ในทริปเป็นหญิงล้วนโดยไม่ได้นัดหมาย มีผู้ชายคนเดียวคือหนึ่งในผู้จัดทริปค่ะ
เราออกเดินทางจากกรุงเทพด้วยรถตู้ ตั้งแต่เวลาตีสี่ นั่งรถปุ๊บ หลับปั๊บ สักสองชั่วโมงกว่าๆ ก็ไปถึงอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก จังหวัด ลพบุรีกัน เรามาชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่นี่แหละค่ะ
พวกเรายืดเส้นยืดสาย นั่งพักที่กระท่อมเล็กๆริมน้ำ รอดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ขณะนั้นอากาศเย็นสบาย หนาวเลยก็ว่าได้ นั่งมองดูพระอาทิตย์ขึ้น นกน้อยๆบินผ่านไปมา พร้อมส่งเสียงจิ๊บๆให้ได้ยินเป็นพักๆ มีนกตัวสีขาวตัวใหญ่อยู่บนปลายยอดไม้ด้วย ใครสังเกตเห็นบ้างเอ่ย
ระหว่างรอชมพระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นทีละนิด ทีละนิด พวกเราก็รับประทานอาหารเช้าไปด้วย เป็นอาหารง่ายๆ โจ๊กและขนมปังกรอบๆเล็ก หมูฝอย และโอวัลติน(หรือกาแฟ สำหรับคนชอบทานกาแฟ) อิ่มสบายๆท้อง ชิวๆ รับแสงอาทิตย์วันใหม่ ในสมองปลอดโปร่ง ทิ้งเรื่องงาน ทิ้งรถติด มลพิษ ความวุ่นวายที่กทมไว้ข้างหลัง ^^
หลังจากทานอาหาร และเข้าห้องน้ำกันเรียบร้อยแล้ว เราเตรียมไปถ่ายรูปดอกทานตะวันที่อยู่ใกล้ๆกันค่ะ เดินทางแค่ประมาณ ห้านาทีเท่านั้น ช่วงนั้นเวลาประมาณ 8 โมงกว่าเป็นเวลาดีทีเดียว สำหรับการถ่ายรูปดอกทานตะวัน เพราะดอกทานตะวันกำลังสวย หันหาพระอาทิตย์ ถ้ามาสายๆ เที่ยง หรือ บ่าย ดอกทานตะวันจะคอตกกันไปแถบๆ ถ่ายรูปออกมาไม่สวยค่ะ(คนจัดทริปบอกมาว่า ดอกทานตะวันกลายเป็นปลาทูแม่กลอง คือ หน้างอคอหักนั่นเอง)
ถึงแล้วค่ะ
นึกถึงเพลงไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวันขึ้นมา
"เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย แอบรักดอกทานตะวัน แรกแย้มยามบาน อวดแสงตะวัน ช่างงดงามเกินจะเอ่ย....."
"ดอกเหลืองอำพัน ไม่หันมามอง แม้เหลียวมา ยังไม่เคย ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย เลยได้แต่ฝัน ข้างเดียว ดอกไม้จะบาน และหันไปตาม แต่แสงจากดวงอาทิตย์....."
หนอนน้อยกำลังกินดอกทานตะวันอย่างมีความสุข
เหมือนเป็นทะเลที่มีน้ำเป็นสีเหลืองสดใส
ทุ่งดอกทานตะวันที่เขาจีนแล ลพบุรี สวยสดใสดีไหมคะ
เราถ่ายรูปที่ทุ่งทานตะวันเยอะมาก ถ้าใครไปเที่ยวแนะนำ เตรียมแว่นกันแดดไปด้วยนะคะ เพราะบางทีต้องหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ เพื่อจะได้มุมดอกไม้สวยๆ ตาจะได้ไม่หยีๆ ค่ะ หนังมัดผม หรือว่าหมวกสวยๆ ไว้กันแดด เพราะบางทีมีลมพัดมา ผมสยายสวยเลยค่ะ แต่ไปบังหน้าเพื่อนที่ถ่ายรูปด้วยกันข้างๆ 555555 เสื้อสีสดๆ กะเอาสีมาตัดกะสีเหลืองสดของทุ่งทานตะวันเลย เหมือนเสื้อจขกท มีแต่คนชมว่าใส่เสื้อสีนี้แล้วดูเด่นขึ้นมาในทะเลดอกไม้สีเหลือง อิอิ
หลังจากถ่ายรูปกันจุใจ จากทุ่งทานตะวันหลายๆทุ่งแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปแช่น้ำพุร้อนกันค่ะ เตรียมตัวอาบน้ำกันไว้ก่อนเลย เพราะคิดว่าคืนนี้ขึ้นไปบนภูทับเบิกจะไม่อาบน้ำแล้ว 55555555 ก็มันหนาวนิ
พวกเรามุ่งตรงไปที่น้ำพุร้อนน้ำแร่บ้านครู อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์กันค่ะ
อัตราค่าบริการก็ตามนี้เลยค่ะ อาบน้ำแร่ 30 บาท/ 20-30 นาที อาบน้ำแร่พร้อมสมุนไพร 50 บาท/ 20-30 นาที อาบน้ำแร่พร้อมสมุนไพร VIP 200 บาท/ ชม
ภายในห้องอาบน้ำเป็นแบบนี้ค่ะ เข้าไปห้องละคน เค้าให้เวลา 30 นาที เราก็คิดในใจ โห ให้แช่น้ำร้อนตั้ง 30 นาทีเลยเหรอ นานไปไหม แต่พอเอาเข้าจริงๆ ลั้นล้า ลั้นล้า แช่น้ำสบายๆ กำ 30 นาทีผ่านไปเร็วมากเลยอ่ะ
อันนี้เป็นข้อปฎิบัติตอนแช่น้ำร้อนนะคะ คร่าวๆก็คือ อาจจะอาบน้ำธรรมดาก่อนลงอ่างน้ำร้อน ก่อนลงแช่ทั้งตัวก็ตักน้ำมาลูบแขนก่อนให้ร่างกายปรับสภาพ ถ้าน้ำร้อนเกินไป ก็เปิดก๊อกให้อุณหภูมิน้ำพอดีก่อนลง แช่น้ำร้อนสัก 5-8 นาที ไม่ควรนานกว่านี้ ไม่งั้นอาจจะเป็นลมได้ จากนั้นขึ้นมาอาบน้ำเย็น 1-2 นาที แล้วก็ลงไปแช่ใหม่ ประมาณนี้ค่ะ ^^
แช่น้ำร้อนเสร็จ รู้สึกสบายๆ ประปรี้กระเปร่าดีมากเลยค่ะ จากนั้นก็เริ่มหิว เราเลยไปทานข้าวกลางวันกันที่ ไก่ย่างวิเชียรบุรี กัน
ร้านคนเยอะมากๆ คงเป็นเพราะเป็นช่วงเทศกาล ช่วงปลายปี วันหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วย คนเลยมาเที่ยวเยอะ
ร้านชื่อ บัวตอง จริงๆแล้วก็มีร้านไก่ย่างแถวนั้นหลายๆร้าน แต่เหมือนเจ้านี้คนเยอะสุดนะคะ (อันนี้สังเกตเอง) เข้าร้านไปเห็นที่นั่งว่าง นั่งเลยไม่ได้นะคะ เค้ามีคิว ต้องไปโต๊ะคิวก่อนค่ะ
ระหว่างรอคิวเดินมาดูเค้าปิ้งไก่ให้น้ำลายเริ่มทำงานก่อน อิอิ รอสักพักก็ได้โต๊ะแล้ว ไม่นานเลยค่ะ
ถึงโต๊ะไม่รอช้าสั่งอาหาร ไม่นานอาหารก็มา นี่ไง ไก่ย่างวิเชียรบุรี อุตส่าห์มาถึงที่ต้องลอง
ข้าวเหนียวอุ่นๆห่อด้วยใบตองดูน่ากิน
ข้างในเป็นข้าวเหนียวขาวและข้าวก่ำ(ข้าวเหนียวดำ)
ตับหวาน
ป้ายบอกให้ชิมไก่ก่อนตักน้ำจิ้ม (ไม่งั้นเปลืองน้ำจิ้มแย่ เพราะไก่อร่อยจนไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มเลย อันนี้คิดเอาเอง อิอิ)
แล้วก็ส้มตำปู

หลังจากอิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้ว เราก็พร้อมมุ่งหน้าขึ้นภูทับเบิกกันเลยค่ะ
ก่อนขึ้นภู คนที่เมารถ อาจจะต้องกินยาแก้เมาก่อนนะคะ ทางขึ้นภูทับเบิกชันและน่าหวาดเสียวมากสำหรับเรา ถ้าเทียบกับดอยอินทนนท์และดอยสุเทพที่เราเคยขึ้นมา เพราะทางชันและโค้งหักศอกเยอะมาก ยิ่งไปช่วงเทศกาล คนเยอะ รถเยอะ รถแทบจะติดกันบนเขา มันก็หวาดเสียวหน่อยๆ มาหยุดกึกเอาระหว่างที่เป็นทางลาดชัน
รถที่พวกเรานั่งเป็นรถตู้ ตอนหนึ่งขณะที่ตามรถเก๋งข้างหน้าไป ช่วงเลี้ยวขึ้นทางชันและเป็นโค้งหักศอก รถเก๋งทำท่าขึ้นไม่ไหวเลยแตะเบรกขณะนั้น หยุดกึก ทำให้รถเราที่ตามมาด้วยเกียร์ที่พร้อมขึ้นทางชันต้องหยุดกึกไปด้วย ไม่งั้นชนท้าย
คราวนี้ก็เป็นอาการที่หยุดกึก กันไปตามๆกันกับรถคันหลังๆเป็นทอดๆ หลายๆคัน อยู่บนทางลาดชันพอดี พวกเราหวาดเสียวมาก พอรถเก๋งคนน้อยค่อยๆกระดึบขึ้นเนินไป รถพวกเราเร่งให้มันขึ้นเนินไปให้ได้ สงสารรถที่นั่ง แล้วก็สงสารรถเก๋งคงตกใจเลยเบรก แล้วก็สงสารรถที่ตามๆกันมาทั้งหลายด้วย
ผ่านจุดนั้นไป รถทั้งหลายต่างพากันแซงไปกันหมด ด้วยท่าทางที่หัวเสียกันมิใช่น้อย จบ เรื่องตื่นเต้นตอนขึ้นภู เพียงเท่านี้ ไปดูวิวสวยๆให้หนำใจกันต่อดีกว่าค่ะ มาถึงแล้วววว....

พวกเรามากางเต้นส์ตรงภูฟ้าเพียงดิน เค้าเก็บคนละ 50 บาท ช่วยๆกันแบกอุปกรณ์กางเต้นส์กันมากองไว้ตรงนี้ล่ะค่ะ
วิวจากตรงภูฟ้าเพียงดิน สวยจริงๆ รู้สึกสดชื่น อากาศดีจัง แอบเดินไปใกล้ๆตรงขอบพร้อมคิดอยู่ในใจว่า ถ้าตกลงไปใครจะไปตามหาเราได้นะเนี่ย อิอิ

ขนของเสร็จพวกเราก็จะไปเที่ยวตรงยอดภูทับเบิกที่อยู่ใกล้ๆกัน จากรูปจะเห็นรถตู้ที่พวกเรานั่งมา แล้วเห็นบริเวณถนนที่จอดของภูฟ้าเพียงดิน
ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าความกว้างของถนนที่กลับรถมันแคบนิดเดียว ตอนขามา ก็กลับรถปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะมีรถตู้ของทริปเราคันเดียว แต่พอตอนขากลับ(วันรุ่งขึ้น) บังเอิญมีรถมาจอดไว้ข้างทางอีกคัน ทำให้ตอนรถตู้กลับรถจะทำลำบากขึ้น
คราวนี้คุณลุงโชเฟอร์กลับรถไม่ได้ เข้าสู่โหมดกระอักกระอ่วนใจของลูกทริปอีกแล้ว อิอิ แต่ก็ตื่นเต้นดี รถของพวกเราอยู่ในอาการไปข้างหน้าไม่ได้ ไปข้างหลังก็ไม่ได้ เพราะข้างหน้าก็เป็นเหว ข้างหลังก็เป็นทางชันลงไป เหอเหอ คุณลุงบอกให้เอาก้อนหินไปหนุนที่ล้อหลังไว้เยอะๆ แล้วเร่งรถออก รถก็เร่งไม่ขึ้น ณ จุดนั้น พวกเราก็หวาดเสียวอีกครั้ง นั่งอยู่ในรถ คิดในใจถ้าลุงเหยียบคันเร่งแรง รถพุ่งไปข้างหน้าเยอะเกินก็อันตราย ครั้นถ้าเบรกไม่อยู่ก็จะไหลตกไปทางชันข้างหลัง เริ่มเครียด กลัว หายใจฟืดฟาด คงจะกดดันคุณลุงเกินไป คุณลุงโชเฟอร์เลยปล่อยพวกเราลงจากรถไปก่อน เดี๋ยวลุงจัดการเองเรื่องแค่นี้ จิบๆ
พวกเราลงจากรถพร้อมส่งกำลังใจให้ลุง ปิ๊ง ปิ๊ง คนที่มาตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ ก็มีน้ำใจเห็นหยิบก้อนหินมาคนละก้อนสองก้อนจะมาช่วยหนุนล้อหลังให้ รู้สึกดีมากๆ คนไทยมีน้ำใจช่วยเหลือกันจริงๆ
สุดท้ายด้วยความสามารถของคุณลุงโชเฟอร์ ก็สามารถกลับรถได้โดยปลอดภัย พวกเราดีใจ แฮปปิ้ง วิ่งขึ้นรถกันใหญ่ อิอิ จบ เรื่องหวาดเสียวเรื่องที่สอง อิอิ

มาถึงยอดภูทับเบิก คนเยอะมาก รู้สึกถึงบรรยากาศความสนุกสนาน มีคนมากางเต้นส์ ครอบครัว เพื่อนฝูง ทุกคนนั่งล้อมวง ทำอาหารบ้าง นั่งคุยกันบ้าง กินหมุกระทะกันบ้างอย่างมีความสุข
เราขึ้นไปดูวิวตรงจุดชมวิว เห็นหลายคนถ่ายรูปกันสนุก ท่านั้นท่านี้ คนเยอะมากก็จริง แต่มีความสุขอยู่รอบๆตัวค่ะ
วิวสวยดี ตอนนั้นเป็นตอนเย็นแล้ว แสงแดดอ่อนส่องทั้งภูเขา ลมหนาวพัดอยู่ตลอดเวลา เรางัดเอาถุงมือขึ้นมาสวมแล้ว ไม่ไหวแล้ว เริ่มหนาวจริงๆ
คนเยอะดีไหมคะ อิอิ
ทับเบิก ยอดเขาสูงสุดของจังหวัดเพชรบูรณ์ 1768 เมตร
คนที่มากางเต้นส์รับลมหนาวกัน คงได้หนาวสะใจไปกันถ้วนหน้า อิอิ
ตรงรอบๆภุมีร้านขายของเต็มไปหมดเลยค่ะ
ถ้าเวลาช๊อปปิ้งแล้ว(คนข้างๆคิด ใครบอกเธอยะ?) อิอิ ของขายเต็มไปหม้ดดดดดด บัวหิมะ
ผักน่ากิน
มีหมวกอุ่นขายด้วย เราอยากได้ ราคา 140-150 บาทเอง แอบเสียดายเพราะซื้อหมวกมาแล้วจากกทมตั้ง 280 บาทแหน่ะ (ไหนใครบอกว่า หมวกข้างบนนี้มันแพงไง)
ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็น กระหล่ำ กริ๊ดด.. ใช่สิ มาภูทับเบิกก็ต้องมีกระหล่ำสิ แต่ตั้งแต่ผ่านมายังไม่เห็นไร่กระหล่ำเลย อะไรกันเนี่ยยย ไม่เป็นไรถ่ายรูปกับกระหล่ำที่เค้ามาขายก่อนก็ได้ เรา: กระหล่ำเท่าไหร่คะ แม่ค้า: หัวละ 20 บาทจ้า ซื้อไปถ่ายรูปคู่ก็ได้นะ ไปตรงไหนก็แบกเอากระหล่ำไปถ่ายรูปได้ เรา: .... (งง แล้วก็แอบขำ กลวิธีขายของของแม่ค้า อิอิ)
หัวหน้าทริปสงสาร นี่คงอยากถ่ายรูปกับกระหล่ำมาก ขนาดจะไปซื้อกระหล่ำมาเป็นพล๊อฟถ่ายรูป เลยพาไปหาไร่กระหล่ำ ให้สมใจอยากนางละกัน
ต้องเข้าใจว่า ช่วงเทศกาลสิ้นปี ขึ้นปีใหม่แบบนี้ คนหันมาทำเรื่องท่องเที่ยวกันมากกว่า เลยไม่ได้ใส่แปลงกระหล่ำสักเท่าไหร่ แปลงกระหล่ำจะถูกปล่อยปละละเลย ส่วนช่วงฤดูฝนที่เป็น Low season คนถึงจะมาใส่ใจดูแลแปลงกระหล่ำกันค่ะ
แปลงกระหล่ำทับเบิก ^^
ดูกันใกล้ๆ
ได้รูปคู่แปลงกระหล่ำสมใจ สดใส ร่าเริง
ตอนนั้นแสงแดดเริ่มอ่อนๆ พระอาทิตย์กำลังจะค่อยๆลาลับขอบฟ้า พวกเรารีบถ่ายรูปกันอย่างรวดเร็วเพราะยังมีจุดหมายที่อื่นต่ออีกในวันนี้
อีกรูปสำหรับภูทับเบิก
ที่ต่อไปคือ สวนดอกไม้เมืองหนาวภูทับเบิกค่ะ
เนื่องจากอากาศหนาวมาก พวกเราเลยตัดสินใจ ไปเช่าผ้าห่มกัน เป็นผ้านวม ราคาเช่า ผืนละ 60 บาทค่ะ เพราะว่ากลัวตกดึกแล้วอากาศจะหนาวมาก เช่าได้ที่นี่ค่ะ
ใครจะมาชาร์ตแบตมือถือก็ได้นะคะ คิดค่าบริการ 20 บาทค่ะ
ที่นี่มีแจ้งกฎระเบียบของนักท่องเที่ยวด้วยนะคะ ก่อนนอนคืนนี้เราแวะร้านกาแฟอุ่นๆ นั่งชิวๆก่อนกลับเต้นส์ไปนอนค่ะ ที่ร้านมีขายโปสการ์ดด้วยนะคะ
ที่ภูทับเบิกมีดาวบนดินให้เห็นด้วยนะคะ ตรงที่เราเน้นไว้เป็นสามเหลี่ยมสีเหลือง นั่นแหละค่ะ ดาวบนดิน (แสงไฟที่ส่องสว่างเวลามองไปที่ภูเขาค่ะ เหมือนดาวดวงเล็กส่องแสงอยู่บนพื้นดิน) สวยและมีเสน่ห์ดีนะคะ
Create Date : 25 มกราคม 2557 |
|
2 comments |
Last Update : 25 มกราคม 2557 22:51:43 น. |
Counter : 4902 Pageviews. |
|
 |
|