ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ด Thailand Aquatic Pets เว็บบล็อคสำหรับ คนรักสัตว์น้ำ ( และ สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ) ประเทศไทยจ้า

Hoverboard โดยนักประดิษฐ์ชาวแคนาดา กับก้าวเล็ก ๆ ที่ใกล้ความฝันการลอยตัวของมนุษย์เข้าไปอีกขั้น


 

ถ้าใครเคยดูหนังไซไฟหรือ Back to the Future ก็คงเคยฝันอยากยืนบนโฮเวอร์บอร์ดที่ลอยอยู่กลางอากาศ และดูเหมือนว่าความฝันนั้นจะไม่ได้ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป เมื่อ Catalin Alexandru Duru นักประดิษฐ์ชาวแคนาดา ได้นำ Hoverboard ฝีมือของตัวเองออกมาทดสอบการใช้งานจริง

การทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเหนือ ทะเลสาบในรัฐควิเบก ประเทศแคนาดา โดยโฮเวอร์บอร์ดของเขาสามารถพาผู้ขับขี่ลอยตัวและเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึง 275.9 เมตร ภายในเวลาเพียง 1.5 นาที ที่ระดับความสูงประมาณ 4.8 เมตร เหนือผิวน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งมากสำหรับอุปกรณ์ลอยตัวแบบยืนทรงตัว

ภาพที่เห็นไม่ใช่แค่การลอยนิ่ง ๆ แต่เป็นการเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง ควบคุมทิศทางได้จริง แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่แค่ของเล่นทดลอง แต่เป็นต้นแบบเทคโนโลยีที่มีศักยภาพจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านั้น

แม้จะยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่ Hoverboard ชิ้นนี้กำลังอยู่ใน ขั้นตอนการจดสิทธิบัตร ซึ่งหมายความว่าแนวคิดและเทคโนโลยีเบื้องหลังมันได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การสาธิตโชว์เท่านั้น

การทดลองของ Duru อาจยังเป็นเพียงก้าวแรกของการเดินทางไกล แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกได้เห็นว่า มนุษย์เริ่มเข้าใกล้ยุคของการเดินทางแบบลอยตัวเข้าไปอีกขั้น และบางที ในอนาคตอันไม่ไกล การ “ยืนลอยอยู่กลางอากาศ” อาจไม่ใช่เรื่องของหนังไซไฟอีกต่อไป 🚀




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2568   
Last Update : 29 ธันวาคม 2568 11:12:44 น.   
Counter : 57 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

แอร์บัสเบลูก้า เครื่องบินที่มีรูปร่างแปลกประหลาดของโลก

Airbus A300-600ST หรือที่คนในวงการการบินเรียกกันติดปากว่า “แอร์บัสเบลูกา” (Airbus Beluga) เป็นเครื่องบินที่เห็นครั้งแรกแล้วแทบไม่มีใครลืมได้ลง รูปร่างอ้วนกลม ป่องช่วงลำตัวด้านบน คล้ายวาฬเบลูกาในทะเลอาร์กติกอย่างชัดเจน ซึ่งชื่อเล่นของมันก็เกิดจากจุดนี้เอง

แต่ความแปลกตานั้นไม่ได้มีไว้แค่ให้ดูเท่ เพราะภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูเหมือนหลุดมาจากการ์ตูน แอร์บัสเบลูกาคือหนึ่งใน “ฟันเฟืองลับ” ที่สำคัญอย่างยิ่งของอุตสาหกรรมการบินยุโรป เครื่องบินรุ่นนี้ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อภารกิจเดียวที่ชัดเจน นั่นคือ การขนส่งสินค้าขนาดใหญ่พิเศษ ที่เครื่องบินทั่วไปไม่สามารถทำได้

ภารกิจหลักของแอร์บัสเบลูกาคือการลำเลียงชิ้นส่วนเครื่องบินของแอร์บัส ไม่ว่าจะเป็นลำตัว ปีก หรือส่วนประกอบขนาดมหึมา ระหว่างโรงงานผลิตในเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะเส้นทางสำคัญระหว่าง ตูลูส (Toulouse) ประเทศฝรั่งเศส และ ฮัมบูร์ก (Hamburg) ประเทศเยอรมนี หากไม่มีเครื่องบินลำนี้ การผลิตเครื่องบินพาณิชย์ของแอร์บัสแทบจะเดินหน้าต่อไม่ได้อย่างราบรื่น

นอกจากงานภายในบริษัทแล้ว แอร์บัสเบลูกายังรับภารกิจพิเศษในระดับโลกอีกด้วย ตั้งแต่การขนส่งชิ้นส่วนของสถานีอวกาศ เครื่องจักรอุตสาหกรรมขนาดยักษ์ ภาพวาดหรือประติมากรรมขนาดใหญ่ ไปจนถึงการลำเลียง เฮลิคอปเตอร์ทั้งลำ โดยไม่ต้องถอดชิ้นส่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องบินขนส่งทั่วไปทำได้ยากมาก

ในแง่ความสามารถด้านน้ำหนักบรรทุก แอร์บัสเบลูกาสามารถรองรับได้ประมาณ 47 ตัน แม้จะดูมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อยุคของเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์อย่าง Airbus A380 มาถึง ชิ้นส่วนบางอย่างของ A380 มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่เบลูการุ่นเดิมจะขนส่งได้

ด้วยเหตุนี้เอง แอร์บัสจึงเริ่มวางแผนพัฒนาเครื่องบินรุ่นถัดไปที่มีขนาดใหญ่กว่า บรรทุกได้มากกว่า และทันสมัยกว่าเดิม นั่นคือ Beluga XL ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิ้นส่วนของ A350 และเครื่องบินรุ่นใหม่ในอนาคตโดยเฉพาะ

จากเครื่องบินหน้าตาประหลาด แอร์บัสเบลูกาจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความคิดสร้างสรรค์ด้านวิศวกรรม และเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของอุตสาหกรรมการบินยุโรปอย่างแท้จริง ✈️🐋




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2568   
Last Update : 29 ธันวาคม 2568 10:38:16 น.   
Counter : 9 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

"สะพานโมเสส" (Moses Bridge) หนึ่งในผลงานทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งและสร้างสรรค์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ท่ามกลางภูมิทัศน์อันเงียบสงบของเมืองฮัลสเตเรน ประเทศเนเธอร์แลนด์ 🇳🇱 มีผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นด้วยความสูงตระหง่านหรือความโอ่อ่า หากแต่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นด้วย “แนวคิด” ที่แยบยลและลึกซึ้ง นั่นคือ “สะพานโมเสส” (Moses Bridge) 🌁 สะพานไม้ที่ดูราวกับกำลังแหวกผืนน้ำออกเป็นสองฝั่ง เปิดทางให้ผู้คนเดินผ่านใจกลางสายน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์

สะพานแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับ โมเสสที่แยกน้ำทะเลแดง เพื่อเปิดทางให้ชนชาติอิสราเอลเดินข้ามไปสู่ความรอด สถาปนิกจึงถ่ายทอดแนวคิดเชิงสัญลักษณ์นั้นออกมาในรูปแบบของสะพานที่ไม่ได้ “ข้ามน้ำ” ตามความหมายดั้งเดิม แต่กลับเลือกวิธี แหวกน้ำ แทน ทำให้ผู้ที่เดินอยู่บนสะพานรู้สึกราวกับกำลังเดินผ่านช่องว่างที่สายน้ำถูกแยกออกจากกันจริงๆ

ความพิเศษของสะพานโมเสสอยู่ที่การออกแบบให้ ตัวสะพานจมอยู่ใต้ระดับน้ำ จนแทบมองไม่เห็นจากระยะไกล หากมองจากมุมสูง จะเห็นเพียงผืนน้ำที่ถูกผ่าออกเป็นแนวยาวตรงกลาง ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นแหวกน้ำออกจากกัน ส่วนผู้ที่เดินอยู่บนสะพานจะอยู่ต่ำกว่าระดับผิวน้ำเล็กน้อย มองเห็นผนังน้ำทั้งสองข้างอยู่ใกล้ระดับสายตา ประสบการณ์นี้สร้างความรู้สึกแปลกใหม่และน่าจดจำอย่างยิ่ง

สะพานโมเสสสร้างขึ้นจาก ไม้คุณภาพสูงที่ผ่านการเคลือบป้องกันน้ำและความชื้น อย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ในระยะยาว โครงสร้างทั้งหมดถูกออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติรอบข้าง ไม่รบกวนทัศนียภาพของพื้นที่ประวัติศาสตร์เดิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวป้องกันเมืองเก่าในอดีต การออกแบบเช่นนี้สะท้อนแนวคิดสถาปัตยกรรมร่วมสมัยของเนเธอร์แลนด์ ที่ให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย ความยั่งยืน และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพ

แม้สะพานจะดูเรียบง่าย ไม่มีซุ้มประตูหรือโครงเหล็กอลังการ แต่กลับทรงพลังในเชิงสัญลักษณ์ มันไม่ได้พยายามประกาศตัวว่าเป็นแลนด์มาร์ค หากแต่ปล่อยให้ผู้มาเยือนค้นพบความพิเศษด้วยตนเอง หลายคนที่เดินผ่านสะพานโมเสสมักจะหยุดชะงักด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเดินอยู่ “กลางน้ำ” โดยที่เท้าไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย

สะพานโมเสสจึงไม่ใช่เพียงทางเดินข้ามคูน้ำธรรมดา แต่เป็นตัวอย่างอันงดงามของการนำ เรื่องเล่าทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ มาผสานเข้ากับงานออกแบบสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว มันพิสูจน์ให้เห็นว่าสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องสูงใหญ่หรือหวือหวาเสมอไป บางครั้ง เพียงแค่ความคิดสร้างสรรค์เล็กๆ ที่กล้า “คิดต่าง” ก็สามารถสร้างความประทับใจให้ผู้คนทั่วโลกได้อย่างลึกซึ้ง 🌊✨





 

Create Date : 28 ธันวาคม 2568   
Last Update : 28 ธันวาคม 2568 13:31:13 น.   
Counter : 16 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

ทำไมตอนเย็นท้องฟ้าจึงเป็นสีเหลือง หรือ สีส้ม กันนะ ?


ถ้าเคยยืนมองท้องฟ้าในช่วงเย็นหรือเช้าตรู่ แล้วแอบสงสัยในใจว่าทำไมฟ้าถึงเปลี่ยนสีจากฟ้าใสๆ กลายเป็นสีส้ม สีชมพู หรือแดงจัดได้ขนาดนั้น บอกเลยว่าคุณไม่ได้คิดไปเอง เพราะเบื้องหลังความสวยงามนั้นมีวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่แบบเนียนๆ ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเท่ๆ ว่า “การกระเจิงของเรย์ลี” (Rayleigh Scattering)

ลองนึกภาพง่ายๆ แบบเพื่อนเล่าให้ฟังนะ กลางวันดวงอาทิตย์จะอยู่เกือบตรงหัวเรา แสงแดดเลยวิ่งทะลุชั้นบรรยากาศลงมาหาเราแบบสั้นๆ ตรงๆ ไม่อ้อมมาก แต่พอเป็นช่วงเย็นหรือเช้าตรู่ ดวงอาทิตย์จะไปอยู่ใกล้ขอบฟ้า แสงแดดจึงต้องเดินทางไกลขึ้นหลายเท่ากว่าจะมาถึงตาเรา ระยะทางที่ยาวขึ้นนี่แหละ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสีของท้องฟ้า

แสงจากดวงอาทิตย์จริงๆ แล้วไม่ได้มีแค่สีเดียว แต่มันคือการรวมตัวของสีต่างๆ เหมือนรุ้งเจ็ดสี เพียงแต่แต่ละสีมี “ความยาวคลื่น” ไม่เท่ากัน สีฟ้าและสีม่วงมีคลื่นสั้น ส่วนสีส้มและสีแดงมีคลื่นยาวกว่า พอแสงต้องเดินทางไกลผ่านอากาศ ผ่านฝุ่น ผ่านโมเลกุลต่างๆ สีที่มีคลื่นสั้นอย่างฟ้าและม่วงจะโดนกระเจิงออกไปด้านข้างง่ายมาก เรียกง่ายๆ คือโดนสะบัดทิ้งระหว่างทาง เหลือแต่สีที่อึดกว่าอย่างส้ม แดง และเหลือง ที่ยังพอฝ่าด่านมาถึงตาเราได้

ยิ่งช่วงเย็น อากาศก็ผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งฝุ่น ควัน และความชื้นที่สะสมตลอดทั้งวัน อนุภาคพวกนี้ยิ่งช่วย “เสริมพลัง” ให้การกระเจิงของแสงทำงานได้ชัดขึ้น วันไหนฝุ่นเยอะเป็นพิเศษ เราจะยิ่งเห็นพระอาทิตย์ตกเป็นสีแดงเข้มจัด ดูเหมือนภาพวาดเลยทีเดียว

ทีนี้พอเข้าใจตรงนี้แล้ว ลองย้อนกลับไปดูตอนกลางวันบ้าง ทำไมฟ้าถึงเป็นสีฟ้า? เหตุผลก็กลับกันเลย เพราะแสงสีฟ้าถูกกระเจิงฟุ้งกระจายไปทั่วท้องฟ้าในระยะทางที่สั้นกว่า ทำให้ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน ก็เห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าแทบทั้งผืน

สรุปง่ายๆ คือ สีของท้องฟ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากการเดินทางอันยาวไกลของแสงแดด ผ่านอากาศ ฝุ่น และโลกใบนี้ พอรู้แบบนี้แล้ว ครั้งหน้าที่เห็นฟ้าเย็นเป็นสีส้มแดง ลองหยุดดูสักนิด แล้วบอกตัวเองว่า… นี่แหละ วิทยาศาสตร์ที่สวยงามที่สุดแบบไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์เลย 🌅✨





 

Create Date : 26 ธันวาคม 2568   
Last Update : 28 ธันวาคม 2568 13:20:05 น.   
Counter : 25 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

"น้ำตกอธาบาสกา" มหัศจรรย์แห่งธรรมชาติในเทือกเขาแคนาดา

ถ้าคุณมีโอกาสขับรถบนเส้นทางในฝันอย่าง Icefields Parkway แล้วล่ะก็ มีอยู่ที่หนึ่งซึ่งแทบไม่มีใครยอมพลาด นั่นก็คือ น้ำตกอธาบาสกา (Athabasca Falls) น้ำตกชื่อดังของอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ ที่แม้จะไม่ได้สูงตระหง่านแบบน้ำตกยักษ์ในหนัง แต่รับรองเลยว่า พอได้ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วจะรู้สึกถึง “พลังธรรมชาติ” แบบเต็มๆ จนขนลุกโดยไม่รู้ตัว

น้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองแจสเปอร์ลงมาทางใต้ราว 30 กิโลเมตร เดินทางสะดวกมาก เพราะอยู่ติดถนน Icefields Parkway พอจอดรถแล้วเดินเท้าแค่ไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงน้ำคำรามดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับธรรมชาติกำลังส่งสัญญาณบอกว่า คุณมาถูกที่แล้ว

แม้น้ำตกอธาบาสกาจะสูงเพียงประมาณ 24 เมตร และกว้างราว 18 เมตร ซึ่งดูเหมือนไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่จุดเด่นที่แท้จริงอยู่ที่ แรงของกระแสน้ำ ปริมาณน้ำมหาศาลจากแม่น้ำอธาบาสกาถูกบีบให้ไหลผ่านช่องเขาแคบๆ ทำให้เกิดเสียงกระหึ่มกึกก้องไปทั่วบริเวณ ละอองน้ำลอยฟุ้งในอากาศจนสัมผัสได้ถึงความสดชื่นแบบไม่ต้องพยายาม มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งตื่นเต้นและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

ถ้ามองดีๆ คุณจะเห็นร่องรอยของกาลเวลาอยู่รอบตัว สายน้ำได้กัดเซาะชั้นหินควอตซ์ไซต์ที่แข็งแกร่ง และหินปูนที่อ่อนกว่า จนเกิดเป็นโกรกธารลึกและหลุมบ่อรูปร่างแปลกตาที่เรียกว่า Potholes เหมือนธรรมชาติค่อยๆ แกะสลักงานศิลป์ชิ้นนี้ขึ้นมาทีละนิดตลอดหลายพันปี

น้ำที่ไหลผ่านน้ำตกแห่งนี้มีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็งในเขต Columbia Icefield โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน น้ำจะมีสีฟ้าอมเขียวสวยงามมาก สีนี้ไม่ได้เกิดจากการแต่งเติมใดๆ แต่เป็นผลจาก “แป้งหิน” หรือ Rock Flour ที่ปนมากับน้ำละลายจากธารน้ำแข็ง เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบ น้ำก็จะเรืองสีราวกับหยกใส ดูแล้วแทบไม่อยากละสายตา

ในแง่ของการท่องเที่ยว บอกเลยว่าสะดวกและเป็นมิตรกับทุกวัย ที่นี่มีสะพานและทางเดินไม้จัดไว้อย่างดี นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิวได้จากหลายมุม ไม่ว่าจะเป็นมุมที่มองเห็นสายน้ำพุ่งดิ่งลงสู่ช่องเขา หรือมุมที่มีภูเขา Mount Kerkeslin ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง ถ่ายรูปออกมาเมื่อไรก็สวยแบบไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์

ถ้ามาในช่วงฤดูร้อน คุณจะได้เห็นน้ำตกในช่วงที่ทรงพลังที่สุด กระแสน้ำเชี่ยวกราก เสียงดังสะใจ แต่ถ้าเป็นฤดูหนาว บรรยากาศจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง น้ำตกบางส่วนจะแข็งตัวกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง ดูนิ่ง สงบ และงดงามไปอีกแบบ เหมือนได้มาเยือนสถานที่เดิม แต่ให้ความรู้สึกต่างกันราวกับคนละโลก

อย่างไรก็ตาม ความสวยงามก็มาพร้อมกับความอันตรายเล็กๆ บริเวณรอบน้ำตกจะมีละอองน้ำตลอดเวลา ทำให้พื้นหินลื่นมาก ทางอุทยานจึงกั้นรั้วและกำหนดเส้นทางเดินไว้อย่างชัดเจน สิ่งที่ดีที่สุดคือ เดินชมอยู่ในจุดที่จัดไว้ให้และไม่ฝ่าฝืนกฎ เพราะธรรมชาติที่นี่ทรงพลังเกินกว่าจะประมาท

น้ำตกอธาบาสกาอาจไม่ใช่น้ำตกที่สูงที่สุด แต่เป็นหนึ่งในน้ำตกที่ทำให้คุณ “รู้สึก” ได้มากที่สุด ทั้งเสียง กลิ่น ละอองน้ำ และพลังของธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า ถ้ามีโอกาสมาเยือนแจสเปอร์ ที่นี่คือจุดแวะที่คุณจะจดจำไปอีกนาน เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ได้พูดอะไร แต่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้เรารู้สึกเล็กลงและเคารพธรรมชาติมากขึ้นอย่างประหลาดเลยล่ะ





 

Create Date : 26 ธันวาคม 2568   
Last Update : 26 ธันวาคม 2568 10:41:12 น.   
Counter : 29 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  

BlogGang Popular Award#21


 
เหมียวกุ่ย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




ยินดีต้อนรับพี่ๆน้องๆทุกท่านเข้าเยี่ยมชม เว็บบล็อคแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในการชมบล็อคของกระผมนะครับ










View My Stats
New Comments
[Add เหมียวกุ่ย's blog to your web]