Group Blog |
กลับมาอีกครั้งหลังจากหายหัวไปเกือบสิบปี แหะๆ
ห่างหายไปจากหน้าบล็อคนี้นานมากก จนคนเขียนลืมรหัส แหะๆ
และจริงๆ ควรจะกลับมาตั้งแต่สามเดือนที่แล้วหลังจากกลับจากพม่า อันเนื่องมาจากติดค้างรีวิวพม่าเดอะแกงค์ไว้ แต่,... ด้วยอารมณ์ติสอะคะ ขอสารภาพเลย เขียนไม่ออก เอาเป็นว่าหลังจากนี้จะเริ่มสร้างอารมณ์ติสใหม่ให้รีวิวพม่า มาได้ซะที แต่ขอเวลาเรียบเรียงสักวันนะจ๊ะ เรื่องของเรื่องคือ ผลัดอีกนิดด(ก็ก็เพื่อความสมบูรณ์???) เกริ่นไว้ด้วยภาพที่ถ่ายเองกะมือก่อนละกันนะคะ สำหรับ ย่างกุ้ง->หงสาวดี->พระธาติอินทร์แขวน ในทริปอาม่าพาทัวร์คะ 555 ![]() และอีกภาพ ![]() สงบ...สยบ...ความเคลื่อนไหว ตอนที่5 (จบจ้า)
(จบจ้า)
หลังจากทำวัตรเช้า พร้อมทั้งทำพิธีลาศีลแปดเสร็จ เราจึงไปเตรียมตัวเก็บข้าวของพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นจึงไปทำบุญด้วยการหยอดปัจจัย ใช้หนี้สงฆ์* (การใช้หนี้สงฆ์ คือ การถวายปัจจัยแล้วแต่กำลังศรัทธา เพราะเรามาปฏิบัติธรรมถึง 7 วันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหารวันละ 2 มื้อ ตลอดจนน้ำ/ไฟที่ใช้ทำกิจธุระต่างๆ สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติควรพึงระลึกเสมอก่อนกลับจ้า) 08.00 น. ได้เวลาปฏิบัติธรรมช่วงที่สอง หลายคนที่ยังไม่ถึงกำหนดกลับเริ่มทยอยไปเข้าห้องปฏิบัติ เราซึ่งเตรียมกลับสู่โลกแห่งความจริง เดินตรงไปที่ปลั๊กไฟที่ขอกระซิบบอก ณ ที่นี้เลยว่าได้รับความนิยมอย่างมากในเวลาปกติ เนื่องจากมีปลั๊กเดียว (ถูกต้อง!!! ชาร์ตแบตมือถือง่า ก็มาอยู่ 7 วันเราไม่ได้ใช้เลยหลังจากที่กำลังแบตซึ่งชาร์ตมาอย่างดีจากบ้านได้หมดและดับสนิทไปตั้งแต่วันที่ 3 ถึงแม้จะพยายามเซพแบตสุดชีวิตแล้วก็เถอะ) เปิดเครื่องปั๊บ Miss call พระเจ้าช่วย....โลกภายนอกนี่แผ่นดินไหว หรือเกิดสึนามิขึ้นที่กรุงเทพหร๋อฟร่ะ ลูกค้า 30 กว่ามิส ซัพไพเออร์ 10 กว่า เจ้านาย 10 เพื่อนๆ และคนอื่น รวมกว่าร้อย เฮ้อ! เอาวะ พร้อมๆๆๆๆๆ แล้วจ้า...... หลังจากเสียเวลาในการปิดเครื่องชาร์ตแบตไป 20 นาที เราจึงขนสัมภาระประกอบด้วยเป้ 1 ใบ และชุดที่ต้องคืน ณ จุดลงทะเบียน ไปนั่งรอแม่ชีใต้ร่มโพธิ์ซึ่งคาดว่าคงติดธุระอยู่อะนะ มองนาฬิกา 08.45 น. หลังจากคืนของเรียบร้อย รวมถึงกราบลาหลวงพ่อเรียบร้อย จึงเดินออกมาที่หน้าวัด (คำถามๆ นึงเกิดขึ้นในบัดดล) กลับกทม.ยังไงฟร่ะ 555+ ก็ขามาๆ รถตู้ที่คิวรถที่อนุสาวรีย์อ่ะ แต่ขากลับเนี่ย... ที่วัดไม่มีคิวรถเนื่องจากมีปัญหาเรื่องการทับเส้นทางสายหลักสิงห์บุรีจนถูกยกเลิกไปในที่สุด) ด้วยความฉลาด อิอิ (อีกแร้น) ถามวินมอไซต์สิยะ... ได้ความว่าให้นั่งรถไปลงปากทางหน้าวัด ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และนั้งรอรถโดยสารที่ศาลา จะมีรถเข้ากรุงเทพฯ ตลอดทั้งวัน ก็โบกรถเอา(โบกรถโดยสารนะเฟ้ย .... จะได้กลับถึงกทม. 555+) รอประมาณ 15 นาทีรถก็มา เอาฟร่ะ โบกๆๆๆๆ ขึ้นรถเรียบร้อยจ่ายค่ารถประมาณ 80 บาท (ถูกมะ) ลงรถที่หมอชิตได้เลย งืมๆๆๆ พอมีเวลานิ่งๆ ก็ทำให้เราได้คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตั้งแต่การวิ่งทำงานออแกไนส์ให้ชาวบ้านชาวช่องอย่างวุ่นวาย ทำงานจากเช้าจนถึงเช้าของอีกวัน และอีกวัน.... จนถึงวันนึงที่นึกได้ว่ามีสิ่งที่อยากทำแต่ไม่ได้ทำ ซึ่งเราก็ผัดวันประกันพรุ่งมาโดยตลอดว่าไม่มีเวลา รอเวลาว่างก่อน แต่ก็นั่นแหล่ะ 3 ปีผ่านไป ก็ยังคงไม่มีเวลา ทั้งๆ ที่เราก็มีเวลาทุกวันๆ ละ 24 ชั่วโมง แต่เราไม่ได้ใช้มันเพื่อทำในสิ่งที่เราตั้งใจว่าจะทำ ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทำให้เรา....ได้คิด และ....คิดได้ การมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการไขก๊อกความตึงเครียด ความรีบร้อน ความที่เป็นคนปกติ(หรือเปล่าวะ)ที่ชอบทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน มาเป็นการดึงโลกของตัวเองให้ช้าลง พินิจพิเคราะห์สิ่งต่างๆ มากขึ้นจนทำให้เราได้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเหมือนๆ กันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลา... นาฬิกายังเดินไปข้างหน้า เข็มวินาทีกระดิกทุกๆ 1 วินาที เวลาในชีวิตเราก็ผ่านไปเรื่อยๆ จากเด็ก-วัยรุ่น-ผู้ใหญ่-วัยกลางคน-แก่ชรา จนดับสูญไปตามสภาวะกาย ในที่สุด แล้ว.........ทุกวันนี้ เราได้ใช้เวลาทุกนาทีที่ผ่านอย่างคุ้มค่า และทำประโยชน์อะไรให้กับโลกใบนี้หรือยัง? พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่ วันนี้เราทำอะไรให้ท่านหรือยัง? ดูแลท่านดีเท่าสักเสี้ยวหนึ่งที่ท่านดูแลเราหรือไม่? ที่ผ่านมาเราประมาทกับชีวิตเกินไปหรือป่าว.... ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้ผ่านไปวันๆ หรือป่าว...? ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ดลบันดาลให้ลูกได้คิด ก่อนทุกสิ่งอย่าง... จะสายจนเกินไป.... สงบ...สยบ...ความเคลื่อนไหว ตอนที่ 4
(ต่อจ้า)
03.30 น. ลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมด้วยเสียงพูดคุยกันเบาๆ จากเพื่อนร่วมห้อง ที่บ้างก็ลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปทำวัตรแล้ว บ้างก็ยังคงนอนหลับอยู่... เราค่อยๆ หยิบแปรงสีฟัน ยาสีฟัน อุปกรณ์อาบน้ำ อย่างพยายามจะเงียบเสียงที่สุด (แหะๆ ก็เกรงใจเขาง่ะ ถึงจะได้เวลาแล้วก็เหอะ งิงิ) วันนี้เป็นวันที่เราต้องรับกรรมฐานแบบจริงๆ จังๆ เป็นวันแรก โดยช่วงเวลาในการปฏิบัตินั้นจะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ช่วงแรก เวลา 04.00-06.30 น. เป็นการทำวัตรเช้า ต่อด้วยการเดินจงกลม และนั่งสมาธิ จากนั้นจึงเป็นการรับประทานอาหาร (ซึ่งเป็นอาหารมังสวิรัติทั้งหมด...อย่าลืมว่าเรารับศีลแปดแล้ว เขางดบริโภคเนื้อสัตว์จ้า) โดยเราสามารถเดินไปที่โรงอาหารหยิบถาด รับอาหาร เดินตามคนข้างหน้าไปนั่งที่ให้เรียบร้อย รอกล่าวคำถวายข้าวพร้อมๆ กัน จากนั้นจึงลงมือรับประทานซึ่งเราต้องกำหนด ทุกสิ่งอย่างที่เราสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง เมื่อรับประทานเสร็จเรียบร้อย นำถาดไปล้าง และหากยังไม่มีกิจธุระอะไร ก็ควรอยู่ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการล้างจาน ชาม ช้อน ตลอดจนแก้วน้ำที่เราใช้ด้วยตัวเอง (เรามาทำบุญ มาปฏิบัติธรรม สมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องพยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่นไม่เว้นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องใหญ่) จากนั้นจึงไปพักผ่อนตามอัธยาศัย รอเวลาเข้าปฏิบัติธรรมช่วงต่อไป ช่วงที่สอง เวลา 08.00-11.00 น. การปฏิบัติธรรมช่วงนี้จะเริ่มต้นด้วยการกราบพระประธานและเริ่มเดินจงกลมสลับกับการนั่งสมาธิซึ่งอาจแบ่งเป็น การเดิน 30 นาที นั่งสมาธิ 30 นาที แล้วจึงขยับเวลาเป็นการเดิน 45 นาที และนั่งสมาธิ 45 นาที หรือหากใครจะเดิน 1 ชั่วโมง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมงก็ได้ ไม่มีใครว่า และไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกคน มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าเราจะทราบเวลาได้อย่างไร ขอบอกว่า ณ ห้องปฏิบัติจะมีนาฬิกาที่จะมีเสียง ตึง ตึง ตึง... ทุก1ชั่วโมงละ นอกจากนั้น แม่ชีพี่เลี้ยงก็จะจับเวลา และแจ้งเราโดยการเปิดเสียงนาฬิกาจับเวลานั้นออกทางไมโครโฟน ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง (ตี๊ดๆๆๆๆ) เมื่อปฏิบัติธรรมช่วงนี้เสร็จเรียบร้อย จึงไปรับประทานอาหารและพักผ่อนตามอัธยาศัยอีกครั้ง (ซึ่งอาหารมื้อนี้ถือเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยหลังเที่ยงไปจนถึงพรุ่งนี้เช้า เราจะรับไปแค่น้ำปานะเท่านั้น) ช่วงที่สาม เวลา 13.00-17.00 น. การปฏิบัติธรรมช่วงนี้ จะปฏิบัติเหมือนกับช่วงที่สอง ซึ่งเมื่อปฏิบัติธรรมช่วงนี้เสร็จเรียบร้อย ก็จะเป็นการพักผ่อนตามอัธยาศัยอีกครั้ง ก่อนจะถึงการปฏิบัติช่วงสุดท้าย ช่วงที่สี่ เวลา 18.30-21.00 น. การปฏิบัติธรรมช่วงนี้ จะเป็นการปฏิบัติช่วงสุดท้ายของวันโดยจะเริ่มที่การสวดมนต์ ทำวัตรเย็น จากนั้นจึงเดินจงกลม และนั่งสมาธิจนครบกำหนดเวลา เมื่อปฏิบัติธรรมช่วงนี้เสร็จเรียบร้อย ก็จะเป็นการพักผ่อนอีกครั้ง ...จบ... วันที่ 2 โดยกิจวัตรประจำวันก็จะเหมือนกับวันที่สองนี้เรื่อยไป จนครบกำหนดวันกลับ ซึ่งเรามา 7 วัน เช้าวันที่ 7 หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จ จึงลากลับบ้านได้ ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสบายใจ รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ... สงบ...สยบ...ความเคลื่อนไหว ตอนที่ 3
(ต่อจ้า)
หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อย เราก็หยิบหนังสือสวดมนต์ขึ้นมาดูก่อนว่า การปฏิบัติธรรมเนี่ย! เขามีกฎหรือหลักปฏิบัติอย่างไรบ้าง เอาเป็นว่า...สรุปสั้นๆ เลยละกันนะ สำหรับเราที่มาลงทะเบียน ตอน 15.00 น.(หรือเอาเป็นว่าใครที่มาก่อน 16.00 น.อะนะ) หลังจากเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนหรือทำกิจต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลา 17.00 น.จะต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดปฏิบัติธรรมสีขาวแบบสุภาพเรียบร้อย ไม่มีลวดลายหรือเครื่องประดับและไม่สวมลูกประคำ (อ้อ...แล้วก็ห้ามออกไปนอกเขตภาวนา รวมถึงห้ามไปรับประทานอาหารด้วยนะ) จากนั้นให้ไป ณ ศาลาคามวาสี (ศาลาหลวงพ่อเทพนิมิต) อยู่ตรงข้ามศาลาลงทะเบียน เวลา 18.00 น. เพื่อทำพิธีขอศีลแปด จากพระภิกษุที่ได้รับนิมนต์ไว้ โดยเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียม ดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้ผู้ปฏิบัติใช้ในพิธี 17.50 น. เดินออกจากห้องพักด้วยความงุนงง ปนอาการหวาดผวา กลัวผ้านุ่งไม่เรียบร้อย 555+ ก็บอกแล้วว่าเป็นคนเรียบร้อยอ่ะนะ(ตรงไหนเนี่ย!!!...เอ่อ...ตรูรู้นะเฟ้ยว่าแอบเถียงอยู่อ่ะ) ไม่รู้หรอกว่าศาลาที่ว่านี่อยู่ไหน แต่....เป็นคนฉลาดไง เหอๆๆ ก็เดินตามๆ เขาไป.....ไป...ไป...ไป เห็นมะ 17.55 น. ถึงแระ... (โอ้แม่เจ้า....คนมากมายนั่งเรียงหน้ากระดานไม่ต่ำกว่า 20 คน ยาวไปจนสุดศาลาด้านหลังคะเนด้วยสายตาจากข้างหน้าสุดมุมด้านหลัง 100 เมตร พอดี) (เอาฟร่ะ....นิสัยเหมือนเวลาเข้าเรียน....อะถูกต้อง!!!) เด็กหลังห้อง....(แป่ว..คิดว่าจะแน่ชะมะ555) ขอบอก....เพราะข้างหน้ามันเต็มหรอกยะ!!! อ้อ...ภายในห้อง นอกจากจะมีบรรดาผู้ปฏิบัติธรรมแล้วยังมีแม่ชีพี่เลี้ยง ที่จะทำหน้าที่เสมือนครูผู้ฝึกสอนกรรมฐานให้กับเราๆ สงสัยอะไรตรงไหน ถามได้(แต่เป็นเวลานะจ๊ะ) มาถึงตอนนี้...ขอให้ทุกคนนึกไปถึงตอนเข้าเรียนมัธยม/มหาลัยวันแรก คือ...รอบข้างคุณๆๆๆ คือคนแปลกหน้า ที่ได้เพียงสบตา...ยิ้ม...เท่านั้น อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อย่าลืมกฎนะจ๊ะทุกคน....ที่นี่เขาห้ามพูดคุยด้วยจ๊ะ เวลาในการปฏิบัติธรรมช่วงนี้คือ 18.30-21.00 น. โดยขั้นตอนการปฏิบัติ เมื่อผู้ปฏิบัติมาพร้อมกันตามเวลาแล้ว หัวหน้าจะจุดเทียนธูปบูชา พระรัตนตรัย นำสวดมนต์ กราบพระประธาน จากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติธรรม โดยการเดินจงกรมก่อน 30 นาทีแล้วเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นนั่งกรรมฐาน 30 นาที สลับกันไปจนครบเวลาปฏิบัติที่กำหนด (ซึ่งเวลาในการปฏิบัติ 30 นาทีนี้ เราอาจจะปรับให้มากหรือน้อยกว่า ๓๐ นาที ตามความเหมาะสมของสภาวะอารมณ์เราก็ได้นะ) และก่อนถึงเวลาพักทุกช่วง ผู้ปฏิบัติธรรมควรอยู่ในอิริยาบถของการนั่งกรรมฐาน ทั้งนี้เพราะเมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติในแต่ละช่วง จะได้แผ่เมตตาต่อไปได้ โดยไม่เสียสมาธิจิต เมื่อแผ่เมตตา (สัพเพ สัตตา...) เสร็จแล้ว นั่งพับเพียบประนมมือ เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญในการปฏิบัติธรรมแก่มารดา บิดา ญาติพี่น้อง เทวดา เปรต และสรรพสัตว์ทั้งหลาย (อิทัง เม มาติปิตูนัง โหตุ....) จากนั้นลุกขึ้นนั่งคุกเข่า สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย (อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา....) กราบพระประธาน ถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจของวันนี้จ้า แต่เด๋วก่อนที่เล่ามา อาจฟังดูเรียบๆ ชะมะ .... ซึ่งกับเรา ... มันต้องสุดโต่ง...อย่างต่อเนื่อง 18.10 น. ระหว่างที่นั่งรอทำพิธีขอศีลแปด แม่ชีพี่เลี้ยงประกาศ ในที่แห่งนี้ไม่ทราบว่าใครมีเลือดกรุ๊ปเอบ้างคะ ถ้ามีขอเชิญด้านหน้าหน่อย เนื่องจากทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีมีผู้ป่วยที่ต้องการใช้เลือดด่วนแจ้งขอรับบริจาคเลือดมา ด้วยความเป็นคนซื่อ...แหะๆๆ ก็เดินไป เอาน่าไหนๆ ก็จะมาทำบุญแล้ว ยาวไปๆๆๆ....ไปขึ้นรถกระบะเพื่อไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาลสิงห์บุรีล่ะ มีเพื่อนร่วมทริปนี้ 2 รถกระบะ รวมแล้วก็ประมาณ 25 คนได้.... เป็นอันว่าเราพลาดพิธีขอศีล 8 ซึ่งก็ไม่มีปัญหา เพราะแม่ชีบอกว่าเดี๋ยวจะมีทำพิธีรอบเช้าพรุ่งนี้อีกที... กลับมาจากบริจาคเลือดเวลา 19.50 น. เข้าไปปฎิบัติต่อในศาลา....จนถึงเวลา 21.00 น. แผ่เมตตา สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย กราบพระประธาน ออกจากศาลา 21.20 อ้อ...หลังจาก 17.00 น. เราทานอะไรไม่ได้แล้วเนื่องจากรับศีล8 สิ่งที่ทานได้อย่างเดียวคือน้ำปานะ ซึ่งที่นี่ก็จะมีบรรดาแม่ค้าน้ำนมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง ธัญพืชต่างๆ ตลอดจน น้ำนมข้าวโพดมาขาย มีทั้งแบบเย็น และร้อน แล้วแต่ว่าใครใคร่จาทานอะไร สำหรับเราช่วงที่ไปอากาศกำลังเย็นๆ สบาย ได้น้ำนมข้าวโพดอุ่นๆ มาขวด สบายท้องชะมัด....... เฮ้อ.....จบไป 1 วัน (แบบทุลักทุเล).... สงบ สยบ ความเคลื่อนไหว ตอนที่ 2
(ต่อจ้า)
เมื่อเราเดินเข้าไปในวัด แน่นอน...ต้องพุ่งตรงไปที่จุดลงทะเบียนก่อน (เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมา ได้โทรสอบถามทางวัด ทำให้ทราบว่าควรมาถึงไม่เกิน 15.00 น.) ก้มลงมองดูนาฬิกา...อืมม ตรงเวลาดีมาก...เป๊ะเลยคระพี่น้อง 15.00 น. เสียงระฆังดังขึ้น เหมือนจะเตือนสติ 555 จ้ำต่อไป...อะเพ่น้องงงง ถึงแล้ววว ป้ายจุดลงทะเบียน แม่ชี ท่าทางใจดี คนนึงกำลังยืนให้คำแนะนำ แก่ผู้ที่สนใจมาปฏิบัติธรรมที่ยืนต่อแถวแยกชาย/หญิง และรอรับใบลงทะเบียนมากรอกข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เห็นอย่างนั้น เราก็ต่อคิวเลยดิ เมื่อเดินไปถึงแม่ชียื่นใบลงทะเบียนให้ และเราก็หยิบหนังสือสวดมนต์เล่มสีชมพู มีหน้าปกหลวงพ่อจรัญฯ มา 1 เล่ม แม่ชีแจ้งว่า ให้กรอกข้อมูลในใบลงทะเบียนให้ครบถ้วน ส่วนหนังสือสวดมนต์ จะต้องเก็บไว้ศึกษาตลอดระยะเวลาที่มาปฏิบัติธรรม ซึ่งหากครบกำหนดแล้ว ตัดสินใจว่าจะไม่นำการปฏิติบัติกลับไปด้วย ก็สามารถคืนหนังสือไว้ที่วัดได้ แต่หากคิดว่าจะนำหลักการปฏิบัติเหล่านี้กลับไป ก็ให้พกติดตัวไว้ตลอด ซึ่งหากมาที่นี่อีก ครั้งต่อไปก็นำหนังสือเล่มนี้ติดตัวกลับมาด้วย ในใบลงทะเบียนก็เป็นการกรอกข้อมูลทั่วไป คือ ชื่อ-นามสกุล / วัน เดือน ปีเกิด / บิดา มารดา ตลอดจนข้อมูลการทำงาน และสถานที่ติดต่อในกรณีฉุกเฉิน และที่สำคัญคือ จำนวนวันที่เราต้องการที่จะมาปฏิบัติธรรม ซึ่งต้องท้าวความว่า ก่อนหน้าที่จะมา เราได้คิดไว้ว่าจะลองมาเข้าก่อนสัก 3 วัน เนื่องจากครั้งแรกอะนะ พี่น้อง ที่มาทำอะไรดีๆ แบบนี้ สารภาพตามตรง.... ข้าพเจ้าสวดมนต์ไม่ได้สักบท 55+ แต่เมื่อนั่งมองต้นโพธิ์ และสูดบรรยากาศความเงียบสงบไปสักระยะ ก็ไม่ลังเลเลยที่จะกรอกข้อมูลลงไป . . . ...7 วัน... . . . เหอๆ เมื่อกรอกใบลงทะเบียนเรียบร้อย เราก็เอาเอกสารทั้งหมดไปยื่นให้กับแม่ชี รับบัตรประจำตัวที่แจ้งสถานที่นอน และกำหนดการปฏิบัติ ตลอดจนชุดขาว 2 ชุด อันประกอบไปด้วย 1.ผ้านุ่ง(ผ้าถุงสีขาว) 2 ชุด 2.เสื้อขาวแขนกระบอก 2 ตัว 3.ผ้าสไบสีขาว 1 ชิ้น 4.เข็มขัดเงิน 1 อัน (อันนี้สำคัญมาก ถ้าไม่มีรับรองว่า มีฮาแน่ๆ แหะๆ) เมื่อได้ของครบแม่ชีแจ้งว่าให้เอาของไปเก็บและเปลี่ยนนุ่งชุดขาวมาที่อาคารภาวนาในเวลา 16.00 น. เพื่อรอรับการเข้ากรรมฐาน ได้ยินดังนั้น เราก็หยิบข้าวของทั้งหมดและเป้คู่ชีพ 1 ใบ เดินตามคนอื่นๆ ที่หิ้วข้าวของเยอะๆ แบบเรา แหะๆๆ ก็เราไม่รู้ว่าอาคารไหนเป็นอาคารไหนนี่ เอ๊ะ...นึกได้ดังนั้นก็ก้มลงดูซะหน่อยดีก่า ...ว่าอาคารนอนเราคืออาคารไหนน๊า... อืมมม+++ ...อาคารหลังเมรุ... ....ว่าแต่อยู่ตรงไหนกันน๊า.... เอ๊ะเด๋วก่อน... ...อาคารหลังเมรุ... (คุ้นๆ เนอะคำนี้ คงไม่ใช่หรอกม้างง จาถูก 3 ตัวตรงเลยหรอวะ หุหุ) และเมื่อเดินไปเรื่อยๆ ตามป้ายบอกทางเราก็ไปหยุดอยู่สถานที่แห่งหนึ่ง สงบมาก บรรยากาศเงียบงัน ลมพัดมาเอื่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตั้งแต่บันไดขั้นแรก จนถึงยอดของปล่องไฟ และมองไปที่อาคารสองชั้นด้านหลัง ชั้นบนคาดว่าเป็นห้องพัก ส่วนข้างล่างประกอบไปด้วยห้องน้ำนับสิบห้อง ...โอเค...(ตื้นตันเกินจะเอ่ย) เฮ้ยไม่ใช่.... .....เดินต่อไป..... อืมม..ห้อง 27 ... เดินผ่านห้องแรก...ไม่ใช่ ห้องสอง...ไม่ใช่... ห้องสาม...ไมใช่... ห้องสุดทางเดินแล้วละ ...โอเค... ....ใช่แล้ว.... ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องสำหรับการเดินทางแบบสุดโต่ง.......จริงๆ........
|
หงส์หยกสีแดง
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() You'll never walk alone... Friends Blog |