บันทึกคนเพี้ยน
Group Blog
 
All Blogs
 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 10



         วันรุ่งขึ้นเมลิอานาร์ถูกเคาะประตูปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง นางมีเวลาเก็บข้าวของเพียงไม่ถึงอึดใจก่อนจะถูกลากไปยังรถม้าซึ่งจอดซ่อนอยู่แล้วในดงไม้ข้างวิหารเจ้าชายกันนาร์ทรงยัดแส้หนังใส่มือนาง พร้อมกับตรัสกำชับฝากฝังเอลลี่เสียมากมายราวกับว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังจะเดินทางไปสู่สนามรบมากกว่าจะเดินทางไปตามหาตัวช่างทำอัญมณีเมลิอานาร์จ้องมองแส้หนังในมือสลับกับพระพักตร์เจ้าชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจแกมฉุนนี่นางต้องทำหน้าที่เป็นทั้งสารถีและองครักษ์ไปพร้อมกันทีเดียวหรือ


         หญิงสาวเดินหน้ามุ่ยไปนั่งประจำที่คนขับในขณะที่แม่สาวใช้ประจำวิหารค่อยๆ ก้าวขึ้นนั่งบนเบาะนุ่มในประทุนรถด้านหลังด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจเป็นพิเศษเมื่อทั้งคู่เข้าประจำที่เรียบร้อย เจ้าชายกันนาร์ก็โบกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ออกเดินทางได้รถสีน้ำตาลคันเล็กเทียมด้วยม้าเพียงตัวเดียวจึงถูกกระตุ้นให้แล่นเรียบไปตามถนนปูอิฐทว่ายังไม่ทันจะพ้นกำแพงปราสาท ปัญหาแรกก็มาเยือนเสียแล้ว


ทหารยามหน้าตาขึงขังในเครื่องแบบสีเทาไม่ยอมให้รถม้าที่มีนักบวชแปลกหน้าเป็นสารถีแล่นผ่านซุ้มประตูโค้งไปง่ายๆพวกเขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดรถ


“จะไปไหนแต่เช้าขอรับท่านนักบวช” นายทหารซัก “แล้วในรถนั่นมีใครอยู่หรือเปล่า”


เมลิอานาร์ตอบคำถามไปตามจริง หากดูเหมือนทหารยามจะยังไม่พอใจเขาใช้ด้ามหอกกระทุ้งประตูรถเสียงดังพลางออกคำสั่ง


“เฮ้ แม่หญิงที่นั่งอยู่ในรถน่ะ เยี่ยมหน้าออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ”


สิ้นเสียงของทหารผู้นั้นม่านข้างหน้าต่างรถก็ถูกแหวกออกเป็นช่องด้วยปลายหอก คนในรถตวัดฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งๆพร้อมกับเบียดตัวเองให้แนบผนังข้างตัวรถมากยิ่งขึ้น


“ไม่ได้ยินหรือไง ข้าบอกให้เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหน่อย”


         ทหารยามส่งเสียงเรียก หากไม่ได้รับคำตอบทุกอย่างในรถยังคงเงียบกริบ


“แม่หญิง ได้ยินข้าหรือเปล่า กรุณาเยี่ยมหน้าออกมาหน่อย”


คราวนี้คนถามใช้ด้ามหอกเคาะประตูรถเสียงดังนักบวชหนุ่มจึงต้องเป็นฝ่ายตอบเสียเอง


“แม่หญิงในรถนางไม่ค่อยสบายน่ะท่าน ข้าคิดว่านางคงนอนหลับอยู่เลยไม่ได้ยินที่ท่านสั่งถ้าท่านอยากดูหน้านางจริงๆ ข้าจะลงไปเปิดประตูให้”


         นายทหารหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่งอย่างลังเลในที่สุดเขาก็ยอมถอยออกห่างจากตัวรถ โบกมือเป็นสัญญาณให้คนขับพารถม้าผ่านประตูไปได้


คนในประทุนรถลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนที่ได้อีกครั้งเสียงล้อรถบดถนนและเสียงฝีเท้าม้าที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนสามารถเอนกายพิงพนักที่นั่งได้ดังเดิม


“เป็นอะไรของเจ้าน่ะเอลลี่ ทำไมไม่ทำตามที่ทหารคนนั้นสั่ง”เมลิอานาร์ร้องถามมาจากที่นั่งคนขับหลังจากพารถม้าแล่นห่างจากปราสาทลินเด็นเป็นระยะทางพอสมควรแล้ว


         “ไม่เห็นจำเป็นนี่ ถึงไม่ทำตาม พวกนั้นก็ปล่อยให้เราผ่านประตูออกมาอยู่ดีไม่ใช่หรือ”


“แล้วมันเหตุผลอะไรกันที่เจ้าต้องขัดคำสั่งของพวกเขาหรือว่าที่ลินเด็นมีกฎห้ามหญิงรับใช้เดินทางออกนอกปราสาทเจ้าถึงให้ทหารเห็นตัวไม่ได้”น้ำเสียงของคนถามฟังดูก็รู้ว่าประชด


เอลเบอเรธอมยิ้มรู้สึกสนุกที่จะได้ยั่วเจ้าหนุ่มคนขับให้หัวเสีย เขารู้ตั้งแต่เห็นหน้าหงิกๆของหมอนั่นแล้วว่าเมลไม่เต็มใจที่จะให้เขาร่วมทางมาด้วย โดยเฉพาะเมื่อรู้ตัวว่าจะต้องทำหน้าที่เป็นสารถีในขณะที่เขาได้นั่งสบายอยู่ในรถชายหนุ่มนึกอยากจะเห็นหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้ยิ่งนักดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยคงจะเป็นประกายกล้าราวกับมีไฟลุกอยู่ข้างในเลยทีเดียว


“ข้าอาจจะตกใจละมั้งท่านนักบวชเหตุผลข้อนี้พอจะทำให้ท่านอภัยให้ข้าได้หรือไม่”


นักบวชหนุ่มไม่ตอบมีเพียงเสียงแส้หวดกระทบหลังม้าเบาๆ ดังแทรกอยู่ในความเงียบสงบของยามเช้าเอลเบอเรธฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีกแม้จะไม่มีใครเห็น แค่นึกถึงใบหน้าหงุดหงิดของหมอนั่นก็ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ


เป็นเวลากี่ปีแล้วหนอที่เขาไม่ได้ย่างเท้าออกนอกเขตกำแพงหนาที่ล้อมรอบปราสาทลินเด็นเอาไว้ครั้งสุดท้ายที่เขาขี่ม้าออกจากปราสาทดูเหมือนจะเป็นเมื่อสี่ปีก่อนวันนั้นเป็นวันแรกของฤดูร้อนที่เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังป่าแทรี่ เพื่อเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ซึ่งจะดำเนินไปตลอดสัปดาห์แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมันกะทันหันเสียจนไม่มีใครทันคิดเฉลียวใจว่าจะเป็นแผนการอันแยบยลที่มีผู้ใดผู้หนึ่งวางเอาไว้ล่วงหน้าทันทีที่เขาไปถึงก็ได้รับแจ้งข่าวว่าราชาอีริคผู้เป็นบิดาถูกลูกธนูล่าสัตว์ของสหายคนหนึ่งเข้าจนได้รับบาดเจ็บบาดแผลนั้นไม่หนักหนาอะไรนักในทีแรก แพทย์หลวงเองก็รับรองแข็งขันว่าพระองค์จะหายดีและกลับมาแข็งแรงดังเดิมในเร็ววันทว่าในฤดูหนาวปีนั้นเองราชาอีริคก็สิ้นพระชนม์ แพทย์หลวงลงความเห็นว่าพระองค์ทรงถูกวางยาพิษและพิษนั้นเป็นพิษที่ร้ายแรงมากกว่าจะแสดงอาการให้ปรากฏก็สายเกินที่จะเยียวยารักษาเสียแล้ว


         ชายหนุ่มถอนใจยาวพลางสะบัดศีรษะไล่ความคิดชวนหดหู่ออกไปจากสมองเอื้อมมือไปแหวกม่านหน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก ทิวทัศน์ของกรีนแลนด์ยังคงงดงามเหมือนเช่นเดิมแนวสีครามสลับซับซ้อนของเทือกเขาอัลมาร์ยังคงดูน่าเกรงขามไม่เปลี่ยนแปลงแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือตัวเขาเอง


นับตั้งแต่ราชาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ภาระหน้าที่ต่างๆ ที่พระองค์เคยปฏิบัติก็โถมทับลงบนบ่าทั้งสองข้างจนเขาแทบจะแบกรับไม่ไหวเอลเบอเรธจำต้องละทิ้งอารมณ์สนุกคะนองแบบเด็กวัยรุ่นไปเสียสิ้นแล้วหันมาทุ่มเทสมองและพลังกายทั้งหมดเท่าที่มีให้กับการปกครองบ้านเมืองจนแทบจะไม่เหลือเวลานึกถึงตัวเอง ความอยู่รอดของประเทศและประชาชนชาวกรีนแลนด์นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขาจะต้องคำนึงถึง


ชายหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์เจือกลิ่นหอมของดอกไม้ข้างทางเข้าปอดด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งอย่างไม่เคยรู้สึกมานานแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่าภาระที่ต้องแบกรับไว้ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาจะทำให้เขาลืมความรู้สึกรื่นรมย์ในชีวิตไปเสียสนิทเขาเกือบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าทุ่งหญ้าในกรีนแลนด์ที่เคยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในวัยเด็กนั้นกว้างใหญ่ขนาดไหนหรือดอกไวโอเลตที่เขาเคยโปรดปรานมีสีสันเช่นไร ต้องขอบคุณน้องสาวตัวยุ่งของกันนาร์ที่ช่วยให้เขาได้มีโอกาสกลับมามองดูสิ่งสวยงามเหล่านี้อีกครั้งถ้านางไม่คิดจะหาเรื่องตามเจ้าหนุ่มเมลไปถึงเมืองลัสเตอร์สโตน ป่านนี้เขาคงต้องทนแต่งตัวเป็นผู้หญิงแอบซ่อนอยู่ในวิหารเพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องแสร้งทำเป็นนอนป่วยอยู่บนเตียงทั้งวัน


...บางทีเขาน่าจะหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆกลับไปฝากนางสักชิ้น...



         จวนค่ำแล้ว แสงแดดจ้าย่ามบ่ายเริ่มเลือนลับลงหลังภูผาทิวทัศน์สองข้างทางซึ่งเป็นหมู่บ้านและทุ่งนาแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้และป่าโปร่งจนดูราวกับว่าถนนทั้งสายถูกโอบล้อมด้วยอ้อมกอดเขียวครึ้มของธรรมชาติเสียงสายลมไกวใบไม้ก่อให้เกิดท่วงทำนองเพลงแห่งพฤกษาดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะท้องฟ้ากว้างเบื้องบนถูกอาบย้อมด้วยแสงสุดท้ายของวันจนกลายเป็นสีชมพูอมส้มไปทั้งผืนบรรยากาศโดยรอบงามสงบชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด


“ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกแล้ว ข้าว่าเราควรหยุดพักสักทีเจ้าว่ายังไงเอลลี่” เสียงคนขับตะโกนแหวกความเงียบถามมาจากด้านหน้ารถ


“ตรงไปข้างหน้าอีกหน่อยมีกระท่อมล่าสัตว์ตั้งอยู่เราจะพักกันที่นั่นคืนนี้” ชายหนุ่มตอบกลับไป


อีกไม่นานท้องฟ้าก็จะมืดจนมองอะไรไม่เห็นเมลิอานาร์จึงหวดแส้ลงบนหลังม้าเต็มแรงเร่งให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้นเพื่อให้ถึงกระท่อมที่ว่าในขณะที่ยังพอมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์หลงเหลืออยู่


ไม่นานนักรถม้าก็แล่นมาหยุดสนิทอยู่บริเวณลานเรียบริมแม่น้ำควินส์ติดกับชายป่าแทรี่อันเป็นเสมือนเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นดาโกที่ตั้งของเมืองหลวงกับแคว้นอังมาร์ที่นี่มีกระท่อมล่าสัตว์สร้างด้วยปีกไม้ตั้งกระจายอยู่หลายหลังแต่ละหลังมีสภาพเหมือนถูกทิ้งร้างมานานด้วยฤดูล่าสัตว์ประจำปีของกรีนแลนด์ผ่านพ้นไปแล้ว


         เอลเบอเรธเปิดประตูก้าวลงจากรถ โดยไม่ลืมที่จะหยิบห่อเสบียงอาหารสำหรับสองคนซึ่งผู้เป็นสหายจัดเตรียมเอาไว้ให้ติดมือมาด้วยส่วนเจ้าหนุ่มคนขับก็จัดการจุดไฟในตะเกียงหน้ารถ ก่อนจะปลดมันลงมาถือไว้ในมือพลางเหลียวมองรอบกาย


“กระท่อมพวกนี้เป็นของใครกัน”


“กระท่อมล่าสัตว์ของพ่อข้าเอง”


ชายหนุ่มตอบแล้วเดินนำไปยังกระท่อมหลังใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเขาผลักประตูด้านหน้าให้เปิดออกโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ก่อนจะเบือนหน้ามาอธิบาย


“กระท่อมพวกนี้ไม่เคยปิดล็อก”


คนเดินตามหลังทำหน้าพิศวง “พวกเจ้าไม่กลัวของหายเลยหรือ”


“ของของพ่อข้า ไม่มีใครกล้ายุ่งหรอก”


สภาพภายในกระท่อมหลังนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสี่ปีก่อนเลยสักนิดโต๊ะตัวยาวและเก้าอี้ในห้องโถงกว้างยังคงจัดวางอยู่ในตำแหน่งเดิมโคมไฟทองเหลืองเหนือโต๊ะก็มีเทียนไขแท่งใหม่ปักเรียงเป็นระเบียบกองฟืนข้างเตาผิงที่ไม่เคยจุดยังคงกองอยู่สูงเท่าเดิมแม้ว่าจะถูกปิดทิ้งร้างเอาไว้นานแล้วแต่สภาพที่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบแสดงให้เห็นว่าชายชราผู้มีหน้าที่ดูแลกระท่อมล่าสัตว์ขององค์ราชายังปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง


เอลเบอเรธเดินไปยังตู้ไม้เล็กๆมุมห้องค้นอะไรกุกกักอยู่ครู่หนึ่งก็ย้อนกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับจานและแก้วดีบุกเขาวางห่อเสบียงและของทั้งหมดลงบนโต๊ะ พลางเอ่ยชวน


         “หิวหรือยังท่านนักบวช ข้าว่าเราลงมือกันเลยดีกว่า”


“เลิกเรียกข้าว่านักบวชได้แล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่”


 คนในชุดนักบวชตอบเสียงห้วนขณะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามอีกฝ่าย เอื้อมมือไปรับส่วนแบ่งอาหารมื้อค่ำโดยไม่เกี่ยงงอน


เอลเบอเรธชักจะรู้สึกเห็นใจเจ้าหนุ่มร่างผอมบางตรงหน้าขึ้นมานิดๆเขาอาจจะแกล้งเจ้าหมอนี่หนักข้อไปหน่อยรูปร่างของเมลดูเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขาแต่กลับต้องออกแรงบังคับรถม้าให้เขานั่งสบายมาทั้งวันดูแล้วก็ออกจะเป็นการเอาเปรียบกันเกินไปจริงๆ


         ความรู้สึกสำนึกผิดชั่ววูบบงการให้ชายหนุ่มใช้มีดเฉือนเนื้อหมูอบก้อนโตส่งให้คนตรงข้ามเพิ่มอีก


“กินเยอะๆ ท่านนักบวช พรุ่งนี้จะได้มีแรง”


         ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยตวัดผ่านหน้าเขาไปราวกับจะค้อนเห็นแล้วทำให้เอลเบอเรธรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจชอบกลหมอนั่นกำลังไม่พอใจกับคำพูดของเขา


“ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งว่าข้าไม่ใช่นักบวช”


ริมฝีปากสีสดของคนฟังคลี่ออกเป็นรอยยิ้มขบขัน


“ถ้าจะให้ข้าเลิกเรียกท่านว่านักบวชท่านก็ต้องเลิกเรียกข้าว่าเอลลี่ด้วย”


“ทำไม”


“อ้าว ก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนไงล่ะ ตกลงมั้ยท่านนักบวช”


         “ไม่ให้เรียกชื่อ แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร” คนในชุดนักบวชมองหน้าอีกฝ่ายอย่างฉงน


“เอล เรียกข้าว่าเอลเฉยๆ ก็พอแล้วส่วนข้าก็จะเรียกท่านว่าเมล ดีไหม”


“ก็ได้”


ทั้งสองลงมือรับประทานอาหารค่ำอันได้แก่ขนมปังขาวกับหมูอบและเนยแข็งกันเงียบๆมีเหล้าผลไม้หมักขวดเล็กที่เจ้าชายกันนาร์ไม่ลืมติดมาให้ด้วยช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารหลังจากอาหารค่ำมื้อนั้นผ่านพ้นไปเอลก็ลุกขึ้นเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่อีกฟากหนึ่งของห้องปล่อยให้เมลทำหน้าที่เก็บโต๊ะตามลำพัง


         ชายหนุ่มผลักบานประตูให้เปิดออก ก้าวเข้าไปในห้องกว้างซึ่งมีเตียงนอนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านหนึ่งอีกด้านเป็นห้องแต่งตัวที่กั้นแบ่งเอาไว้ด้วยฉากไม้แกะสลักเป็นลวดลายละเอียดงดงาม ติดกันนั้นคือห้องอาบน้ำแยกออกมาเป็นสัดส่วนแม้เครื่องเรือนในห้องจะมีอยู่น้อยชิ้นและประกอบขึ้นอย่างง่ายๆแต่สีของไม้ที่เสมอกันทุกแผ่นและฝีมืออันประณีตของช่างที่นำแผ่นไม้เหล่านั้นมาประกอบทีละชิ้นจนกลายเป็นโต๊ะตู้ เตียงเข้าชุดกันอย่างที่เห็น ทำให้ห้องนอนในกระท่อมล่าสัตว์หลังนี้ดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว


         “สวยจริง พ่อของเจ้าคงเป็นคหบดีที่รวยมากสินะขนาดกระท่อมกลางป่ายังจัดเสียหรูขนาดนี้” คนในชุดนักบวชที่เพิ่งเดินตามเข้ามาสมทบเอ่ยปากชม


         “ท่านพ่อแค่ชอบความสวยงามมีระเบียบเท่านั้นแหละ” เอลตอบเสียงเรียบ


         เขาถอดเสื้อคลุมเดินทางออกสะบัดไล่ฝุ่นแล้วนำไปแขวนไว้ที่หมุดทองเหลืองบนฝาห้องก่อนจะเดินย้อนกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนนุ่ม ตั้งท่าจะถอดรองเท้าเพื่อเตรียมตัวเข้านอนแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเจ้าคนปัญหามากส่งเสียงถามขึ้นมาอีก


“ห้องนี้มีแค่เตียงเดียว แล้วเจ้าจะให้ข้านอนที่ไหน”


“ไม่เห็นยากนี่...เตียงออกจะกว้างข้าแบ่งให้ท่านนอนครึ่งหนึ่งก็ได้”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไปชายหนุ่มจึงสำทับต่อ


“คิดมากอะไรอีกล่ะท่านเมลหรือว่าท่านอยากจะนอนพื้นในฐานะที่เป็นสุภาพบุรุษก็เอา”


“เรื่องอะไร ข้าบังคับรถม้ามาทั้งวันเหนื่อยจะตายธุระอะไรจะยอมนอนพื้น”


เอลอดหัวเราะกับประโยคที่สวนขึ้นมาแทบจะทันทีของคนตัวเล็กกว่าไม่ได้


         “ถ้าอย่างนั้นท่านจะมัวลังเลอะไรอีก ข้ารับรองว่าไม่ทำอะไรท่านแน่ๆ...ถ้าท่านกลัวข้อนั้นละก็นะ”


“ขอบใจที่บอก” เมลิอานาร์กัดฟันตอบแล้วหมุนตัวกลับตั้งท่าจะเดินย้อนออกประตูไป


“อ้าว จะไปไหนล่ะข้าล้อเล่นแค่นี้ไม่เห็นจะต้องถึงกับหนีไปนอนข้างนอกนี่นา”


         “มันเรื่องของข้า”


เมลิอานาร์กระแทกประตูปิดตามหลังโครมใหญ่


ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลงทั้งๆที่เพิ่งย่างเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงสายลมที่พัดผ่านรอยแตกของไม้เข้ามาในกระท่อมทำให้เจ้าของร่างบางที่ขดตัวอยู่บนเก้าอี้สั่นสะท้านจำต้องล้มเลิกความคิดบ้าๆ ที่จะนอนอยู่ในห้องโถงด้านนอกทั้งคืนไปเสียจากสมองหญิงสาวขยับลุกจากเก้าอี้ ย่องเงียบกริบไปที่ประตูห้องนอนแล้วค่อยแง้มมันให้เปิดออกโดยไร้เสียง


         ในห้องค่อนข้างมืดเคราะห์ดีที่คืนนี้ดวงจันทร์ไม่ถูกเมฆบังแสงนวลที่ทอลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างจึงช่วยให้หญิงสาวพอจะคลำทางไปยังเตียงนอนซึ่งตั้งอยู่ชิดฝาห้องด้านในสุดได้ไม่ยากนางหยุดยืนเพ่งสายตาฝ่าความมืดไปยังแม่สาวตัวใหญ่ที่ทอดร่างอยู่บนเตียง เอลลี่ไม่ใช่สิ เอลเองก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับนางแม้จะมีร่างกายที่สูงใหญ่จนดูคล้ายผู้ชายไปหน่อยแต่นั่นก็ยังเป็นร่างกายของผู้หญิง แล้วนางยังจะต้องคิดมากอะไรอีกในเมื่อเตียงนอนก็กว้างพอสำหรับสองคนแถมยังมีผ้าห่มอุ่นอีกทั้งผืนเรื่องอะไรจะต้องทนนอนหนาวอยู่ข้างนอกทั้งคืนเพื่อรักษาเกียรติของสุภาพบุรุษในเมื่อนางเองก็ไม่ใช่บุรุษสักหน่อย


         เมลิอานาร์ชะโงกหน้าไปจนเกือบจะชนกับใบหน้าคมเข้มของคนบนเตียงจริงดังคาด แม่สาวรางยักษ์หลับสนิทไปแล้ว เสียงลมหายใจของนางดังเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ในความมืดหญิงสาวตัดสินใจสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มบนเตียงนอนฝั่งที่ยังว่างอยู่สัมผัสของที่นอนนุ่มช่วยให้ร่างกายอันเหนื่อยล้ารู้สึกผ่อนคลายลง นางผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเป็นสุขตั้งท่าจะหลับให้สบาย ทว่าจู่ๆ เสียงทุ้มต่ำของคนที่หลับไปแล้วก็ดังขึ้นข้างหู


“ข้านึกว่าท่านจะนอนอยู่ข้างนอกทั้งคืนเสียอีก”


เมลิอานาร์แทบจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นทันที หากคนข้างๆ เอื้อมมือมากดไหล่เอาไว้เสียก่อน


“เอาเถอะ นอนด้วยกันบนนี้นั่นแหละ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรข้าเองก็ง่วงเต็มทีแล้ว ราตรีสวัสดิ์”


 พูดจบแม่สาวร่างยักษ์ก็พลิกกายไปอีกทางแล้วหลับตาเงียบทิ้งให้อีกฝ่ายนอนตัวแข็ง ตาค้าง ไม่กล้ากระดุกกระดิกร่างกายอยู่อย่างนั้นอีกนานจนกระทั่งเกือบค่อนรุ่งจึงได้ผล็อยหลับไป




แสงแดดอุ่นยามเช้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างกระจกที่ปราศจากผ้าม่านทั้งสองบานปลุกชายหนุ่มร่างสูงบนเตียงนอนให้ตื่นขึ้นก่อนเขาลุกลงจากเตียงหายเข้าไปหลังฉากกั้นครู่ใหญ่ ก่อนจะกลับออกมาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเมื่อวันวานโดยสิ้นเชิงเอลเบอเรธค้นพบชุดเก่าของผู้เป็นบิดาในหีบหนังหุ้มทองเข้าหลายชุดจึงจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากกระโปรงยาวกรอมเท้าที่สวมตอนลอบออกจากปราสาท เป็นเสื้อเชิ้ตไหมเนื้อนิ่มและกางเกงขายาวทะมัดทะแมงถึงแม้ตัวเสื้อจะคับไปสักนิดและขากางเกงจะสั้นไปสักหน่อยก็ยังดีกว่าจะให้เขาแต่งชุดผู้หญิงไปอวดคนทั้งเมืองล่ะน่า


ชายหนุ่มเดินย้อนกลับมาหยุดอยู่ข้างเตียงอีกครั้งตั้งใจจะปลุกคนที่ยังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้น เตรียมตัวออกเดินทางต่อ ทว่าพอรู้สึกตัวเขากลับพบว่าตนเองมัวแต่จ้องมองใบหน้าหล่อจัดจนเรียกได้ว่าสวยของฝ่ายนั้นเพลินอยู่ใบหน้าในห้วงนิทรารมณ์ของเมลช่างดูเหมือนผู้หญิงจนน่าพิศวงเส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลทองซึ่งปกติจะถูกมัดรวบไว้เบื้องหลังแผ่กระจายอยู่เต็มหมอนขับเน้นวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาของหมอนั่นให้ดูงามเด่นขึ้นมาอย่างประหลาดคิ้วโค้งได้รูปวางอยู่อย่างเหมาะเจาะเหนือดวงตาที่พริ้มปิด แลเห็นแพขนตางอนหยับทอดทาบไปบนนวลแก้มใสรับกับจมูกโด่งคมได้สัดส่วนและริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อที่เผยอขึ้นน้อยๆราวกับจะเชิญชวนมันทำให้เขาอดนึกไปถึงนิทานปรัมปราเรื่องที่เจ้าชายพระองค์หนึ่งปลุกเจ้าหญิงให้ตื่นขึ้นจากคำสาปชั่วร้ายของแม่มดด้วยจุมพิตไม่ได้


เอลคงจะเผลอโน้มกายลงเพื่อกระทำสิ่งเดียวกับเจ้าชายพระองค์นั้นไปแล้วถ้าสำนึกในใจของเขาจะไม่ร้องเตือนขึ้นเสียก่อนมันน่าโมโหตัวเองพิลึกที่ดันไปคิดเปรียบเทียบผู้ชายคนหนึ่งกับเจ้าหญิงในนิทานได้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกเก้อกระดาก ก่อนส่งเสียงกระแอมหนักๆเพื่อปลุกเจ้าคนนอนขี้เซาให้ตื่นขึ้นเตรียมตัวออกเดินทางต่อสักที

เมลิอานาร์ใช้เวลาไม่นานนักจัดการกับธุระส่วนตัวพอเสร็จเรียบร้อยนางก็เดินตรงไปยังรถม้าซึ่งจอดทิ้งไว้หน้ากระท่อม พบเอลยืนยิ้มแป้นรออยู่ก่อนแล้วเสื้อเชิ้ตไหมและกางเกงขายาวที่แม่สาวร่างยักษ์สวมอยู่ทำให้ดูแตกต่างจากวันวานราวกับเป็นคนละคนพอแต่งกายแบบนี้เอลก็ยิ่งดูเหมือนผู้ชายเข้าไปใหญ่บางทีอาจจะเหมือนยิ่งกว่าคนที่โดนเข้าใจผิดมาตลอดทางว่าเป็นผู้ชายอย่างนางเสียด้วยซ้ำแต่ถึงเอลจะสลัดกระโปรงยาวรุ่มร่ามทิ้งไปแล้วเจ้าตัวก็ยังคงรักษาสิทธิของการเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหารเอาไว้อย่างเหนียวแน่นดังนั้นคนที่ต้องทำหน้าที่สารถีจึงยังคงเป็นหญิงสาวตามเดิม


         การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างลำบากและหนักแรงกว่าวันวานเมลิอานาร์ต้องบังคับรถม้าให้แล่นตัดเข้าไปในป่าแทรี่ซึ่งมีเพียงทางดินแคบๆขรุขระขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่ทั้งสองข้างรถม้าจึงเคลื่อนที่ไปได้ไม่เร็วนักและต้องหยุดพักอยู่บ่อยครั้งเพื่อกำจัดกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่ร่วงหล่นลงมากีดขวางเส้นทางกว่าคนทั้งคู่จะล่วงพ้นเขตป่าเข้าสู่พื้นที่ราบโล่งอันเป็นที่ตั้งของแคว้นอังมาร์ก็ปาเข้าไปค่อนวัน


         แคว้นอังมาร์เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยแร่รัตนชาติและเหมืองทองคำหลายสิบแห่งครอบคลุมอาณาเขตด้านทิศเหนือของกรีนแลนด์ไปจนถึงทิศตะวันออกบางส่วนมีเทือกทิวสูงเสียดฟ้าของภูเขาทวิสต์และภูเขาอัลเป็นปราการมั่นคงตามธรรมชาติเลยพ้นทิวเขาทั้งสองออกไปคือผืนดินกว้างไพศาลของประเทศทาเนียร์


ลัสเตอร์สโตนเป็นหนึ่งในเมืองทั้งห้าของแคว้นอังมาร์ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสำคัญสองสายคือแม่น้ำลัสต์และแม่น้ำควินส์น้อยซึ่งไหลผ่านป่าวิเวกบริเวณชายแดนเลยเรื่อยเข้าไปในเขตประเทศทาเนียร์ แม้จะเป็นเมืองที่มีขนาดเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ลัสเตอร์สโตนก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมืองใหญ่แห่งอื่นๆด้วยเป็นแหล่งการค้าอัญมณีที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับประเทศกรีนแลนด์มาช้านาน


เมื่อรถม้าสีน้ำตาลคันเล็กแล่นเข้าสู่เขตเมืองลัสเตอร์สโตนดวงอาทิตย์ก็ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้วโชคดีที่ในตัวเมืองมีที่พักสำหรับคนเดินทางให้เช่าอยู่หลายแห่งเอลจึงตกลงใจเลือกที่พักขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอาคารสองชั้นก่อด้วยอิฐฉาบปูนขาวดูหรูหราตั้งอยู่ใกล้กับลานน้ำพุบริเวณจัตุรัสใจกลางเมือง สนนราคาที่พักตกคืนละพันเกรนซึ่งเมลิอานาร์รู้สึกว่าแพงเหลือเกินแต่ในเมื่อนางไม่ต้องเป็นคนจ่ายเงินหญิงสาวก็เลยไม่ได้ว่าอะไร พอได้เวลาแยกย้ายเข้าสู่ห้องพักเมลิอานาร์ก็ตรงรี่ไปที่เตียงนอนแล้วหลับเป็นตายไปทันทีที่ร่างกายอันเหนื่อยล้าสัมผัสกับที่นอนนุ่มหอมสะอาด


รุ่งเช้า..หลังจากจัดการกับธุระส่วนตัวและอาหารเช้าที่มีหญิงรับใช้นำมาเสิร์ฟให้จนถึงห้องนอนเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวในคราบของนักบวชหนุ่มจึงค่อยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้างนางก้าวออกมานอกอาคารที่พัก จ้องเป๋งไปยังถนนด้านหน้าด้วยความประหลาดใจ


         เมื่อคืนตอนที่เพิ่งเดินทางมาถึง ถนนทุกสายในเมืองลัสเตอร์สโตนล้วนมืดมิดเงียบเชียบแม้แต่บริเวณจัตุรัสกลางเมืองที่ตามปกติมักจะมีผู้คนพลุกพล่านตั้งแต่ก่อนเที่ยงไปจนดึกดื่นก็ยังเงียบสงัดราวกับเป็นเมืองร้างทว่าในเช้าวันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด


         ถนนทั้งสี่สายตลอดจนบริเวณลานกลางซึ่งมีน้ำพุรูปเทพแห่งท้องสมุทรตั้งตระหง่านอยู่ถูกประดับประดาด้วยธงผืนยาวและช่อดอกไม้สดหลากสีสันส่งกลิ่นหอมรวยริน สองฟากถนนเต็มแน่นไปด้วยแผงขายสินค้าใหญ่น้อยละลานตาผู้คนที่ไม่รู้ว่าหลั่งไหลมาจากไหนเดินเลือกชมสินค้าอยู่ขวักไขว่จนดูราวกับว่าสิ่งที่นางเห็นเมื่อคืนก่อนเป็นเพียงภาพลวงตาหรือไม่ก็ความฝันเท่านั้น


“ยืนเหม่ออะไรอยู่ท่านเมล ทำไมไม่ออกเดินสักที”


เสียงห้าวทุ้มที่จู่ๆก็ดังขึ้นข้างหูทำเอาหญิงสาวเกือบสะดุ้ง นางหันไปตำหนิเจ้าของเสียงด้วยสายตาก่อนจะก้าวลงไปบนถนนปูหินหน้าที่พัก ออกเดินปะปนไปกับชาวเมืองคนอื่น


“คนเยอะชะมัด ข้านึกว่าลัสเตอร์สโตนจะเป็นเมืองที่สงบกว่านี้เสียอีก”


         เสียงบ่นเบาๆของนางทำให้คนที่เดินตามหลังมาติดๆ อดหัวเราะไม่ได้


         “ปกติลัสเตอร์สโตนก็เป็นอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลขายสินค้าคนก็เลยมากหน่อย” เขาอธิบาย


“เทศกาลขายสินค้า”


         “ใช่ ในช่วงเวลานี้ของทุกปีชาวบ้านที่ทำงานในเหมืองจะนำสินค้าที่พวกเขาหาได้มาวางขายรวมทั้งพวกช่างทำเครื่องประดับมือสมัครเล่นด้วย ท่านสนใจจะเข้าไปดูสักหน่อยมั้ยล่ะ”


“ไม่ละ เรามีงานต้องทำ ข้าไม่อยากเสียเวลา”


         “เถอะน่าท่านเมล ไหนๆก็มาถึงเมืองแห่งอัญมณีในช่วงเทศกาลทั้งที แวะดูหน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายนี่”


         เอลไม่พูดเปล่าเขาก้าวพรวดสองทีก็แซงหน้าคนที่เดินนำอยู่ก่อนได้อย่างสบายแถมยังหันกลับมาคว้าข้อมือเล็กบางของนักบวชหนุ่ม ฉุดให้ตามไปหยุดอยู่หน้าแผงขายเครื่องประดับกระจุกกระจิกที่ตั้งอยู่ใกล้ที่สุดเสียอีกด้วย


         หญิงชราเจ้าของแผงเห็นลูกค้าพุ่งพรวดเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าก็ยิ้มแก้มปริกุลีกุจอเลื่อนถาดใส่เครื่องประดับที่มีทั้งแหวน ต่างหู สร้อยคอตลอดจนเข็มกลัดเสื้อคลุมหลากหลายแบบไปตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสองด้วยท่าทางเต็มอกเต็มใจยิ่ง


“เชิญเลือกชมดูได้ตามสบายเลยค่ะ นี่เป็นเครื่องประดับฝีมือลูกชายข้าเองราคาไม่แพงหรอกค่ะรับรอง นายท่านไม่คิดจะซื้อไปฝากคนรักสักชิ้นหรือคะ”


“นั่นสินะ...”


         ชายหนุ่มคนที่ตัวใหญ่กว่าก้มลงหยิบเครื่องประดับกระจุ๋มกระจิ๋มจากในถาดขึ้นมาพลิกดูแล้วหันไปถามนักบวชร่างบางที่ยืนหน้าหงิกอยู่ข้างๆ


         “ท่านล่ะ ไม่ซื้อเครื่องประดับไปฝากสาวคนรักสักชิ้นหรือ”


         “ข้าไม่มีคนรัก แล้วก็ไม่สนใจจะซื้อของพวกนี้ด้วยถ้าเจ้าอยากจะซื้อเครื่องประดับไปฝากเจ้าชายกันนาร์ก็ซื้อไปเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”


“อ๊ะ แปลก... หนุ่มรูปหล่ออย่างท่านยังไม่มีคนรักเป็นไปได้ยังไง...” เอลพูดกลั้วหัวเราะหากแล้วเสียงหัวเราะก็กลืนหายไป ตามมาด้วยอาการย่นหัวคิ้วดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวมองหน้าคนที่กล่าวประโยคเมื่อสักครู่อย่างฉงนแกมหาเรื่อง


          “เดี๋ยวนะ แล้วทำไมข้าจะต้องซื้อเครื่องประดับให้กันน์ด้วย”


         “อ้าว เจ้าไม่อยากจะซื้อของไปฝากคนรักบ้างหรอกหรือ”


         “คนรัก?” ชายหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่ายพอรู้ความนัยที่แฝงเร้นอยู่ในประโยคนั้นผิวละเอียดค่อนข้างขาวก็แดงซ่านจากใบหน้าตลอดถึงลำคอ


“ข้ากับกันน์ไม่ได้...อะไรทำให้ท่านคิดบ้าๆแบบนั้นท่านเมล...”


“ก็ข้าเคยเห็นเจ้าชายลอบเข้าไปในวิหารตอนค่ำเพื่อพบกับเจ้าอย่างนี้ไม่ใช่คนรักแล้วจะเรียกว่าอะไร”


         คำตอบที่ได้ยินชัดเจนทำเอาคนเป็นราชาแทบสำลักหมอนี่เห็นเขาตอนแต่งเป็นผู้หญิงยังไม่พอ ดันแอบไปเห็นตอนอยู่กับกันนาร์ที่วิหารเสียอีก...เจ้าบ้ากันนาร์ ไหนรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีใครเห็นแน่นอนไงล่ะกลับไปถึงลินเด็นเมื่อไหร่เขาจะต้องไล่เตะเจ้าเพื่อนสนิทคนนี้ให้สมแค้นสักที


“กันนาร์เป็นสหายของข้า” ราชาหนุ่มกัดฟันตอบ“ได้ยินมั้ยท่านเมล เราเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นเลิกคิดอกุศลได้แล้ว”


         คนในชุดนักบวชยิ้มกริ่มพยักหน้าเสมือนรับรู้หากสิ่งที่ปรากฏออกมาทางดวงตาสีน้ำเงินสดใสบ่งบอกว่านางไม่เชื่อคำแก้ตัวที่ได้ยินแม้แต่คำเดียว


         “เพื่อนก็เพื่อนสิ ข้าไปว่าอะไรเจ้าล่ะไม่เห็นต้องทำท่าโกรธขนาดนั้นนี่นา เอ๊ะ หรือว่าเจ้าจะเขินกันแน่”


         “หยุดพูดได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะโมโหท่านขึ้นมาจริงๆ”


         เมลิอานาร์ยักไหล่นางรู้แล้วว่าจุดอ่อนของแม่สาวร่างยักษ์ผู้นี้คืออะไร


         “ตกลง ข้าไม่พูดก็ได้ เจ้าจะซื้ออะไรฝากใครก็ตามใจเถอะแต่อย่านานนักล่ะ เรายังมีเรื่องต้องทำต่อ”


         “ข้าไม่ซื้อแล้ว”


         ชายหนุ่มกระแทกต่างหูทับทิมสีแดงจัดรูปหยดน้ำที่ตั้งใจจะซื้อไปฝากเจ้าหญิงกาอิยาห์คืนลงในถาดเครื่องประดับแล้วทำท่าจะผละจากไปหากหญิงชราเจ้าของแผงพยายามยื่นแหวนทองคำขนาดเล็กประดับพลอยสีน้ำเงินอมเขียวทอประกายระยับมาตรงหน้าเขาพร้อมกับจ้องมองด้วยสายตาวิงวอน


“อย่าเพิ่งไปสิคะนายท่าน ท่านไม่ซื้อต่างหูก็ไม่เป็นไรแต่แหวนพลอยน้ำทะเลสีเข้มหายากวงนี้ท่านไม่ควรมองข้ามมันได้โปรดชมดูสักนิดเถอะค่ะ สีของพลอยเข้ากับสีดวงตาของนายผู้ชายท่านนี้เหลือเกินไม่ลองชมดูก่อนหรือคะ”


เอลเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจหากคนในชุดนักบวชเหลือบมองแหวนทองคำวงน้อยประดับพลอยสีเขียวเข้มอมน้ำเงินสดใสราวกับสีของท้องทะเลยามคลื่นลมสงบในมือเหี่ยวย่นของหญิงชราอย่างใช้ความคิดที่จริงก็ไม่เลวนักหรอกถ้าจะต้องซื้อแหวนสักวงหากมันจะทำให้นางทุ่นเวลาในการตามหาตัวช่างทำเครื่องประดับชื่อดังคนนั้นได้


         หญิงสาวเลื่อนสายตาไปมองหน้าคนขายแล้วยื่นข้อเสนอทันที


“เอาอย่างนี้แล้วกันท่านป้าถ้าท่านตอบคำถามที่ข้าต้องการรู้ได้ เราจะซื้อแหวนของท่าน”


“คำถามอะไรหรือคะ ถ้าตอบได้ข้าก็ยินดี”


         “ท่านรู้จักช่างทำเครื่องประดับที่ชื่อ ริช ไคลี่หรือเปล่า”


         “อ๋อ” หญิงชราลากเสียงยาวดวงตาขุ่นมัวเปล่งประกายสดใส “รู้จักค่ะท่านนักบวชท่านไคลี่เป็นช่างทำเครื่องประดับฝีมือดีที่สุดของหมู่บ้านเรา”


“แล้วบ้านของเขาอยู่ที่ไหน ท่านป้าพอจะทราบมั้ย”


“บ้านของเขาอยู่ใกล้ๆ หอระฆังค่ะพวกท่านเดินไปตามถนนสายนี้จนสุดแล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึง”


         “ขอบคุณท่านป้ามาก แหวนของท่านราคาเท่าไหร่”


“สี่พันห้าร้อยเกรนค่ะ”


         หญิงชรารีบห่อแหวนวงน้อยด้วยกระดาษเยื่ออย่างดีแล้วยื่นส่งให้นักบวชหนุ่มซึ่งเอื้อมมือมารับไว้ก่อนจะหันไปยัดห่อกระดาษนั้นใส่มือคนข้างกายอีกต่อหนึ่ง


         “แหวนเป็นของเจ้าแล้ว จ่ายเงินให้นางด้วย”


“อะไรกัน ท่านเป็นคนตกลงกับนาง ท่านก็จ่ายเองสิ...”คนที่หลวมตัวยืนฟังนักบวชหนุ่มสนทนาโต้ตอบกับแม่ค้าชราอยู่เป็นนานโวยลั่นที่จู่ๆจะต้องมาจ่ายค่าแหวนราคาแพง หากเจ้าคนต้นคิดไม่ได้อยู่รอฟังเสียงโวยเสียแล้วหมอนั่นเผ่นแผล็วหายเข้าไปในฝูงชนตั้งแต่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้อ้าปากด้วยซ้ำเอลจึงจำต้องควักถุงเงินออกมาอย่างเสียไม่ได้เขาหยิบเหรียญทองในถุงส่งให้หญิงชราโดยแทบจะไม่ได้นับแล้วรีบสาวเท้าตามเพื่อนร่วมทางตัวแสบไปทันที


         ชายหนุ่มพยายามสอดส่ายสายตาฝ่าฝูงชนที่กีดขวางอยู่ข้างหน้ามองหาเจ้าของร่างผอมบางในชุดยาวรุ่มร่ามสีเทาเงิน...เจ้าบ้านั่นหายหัวไปไหนไวชะมัด... เขายังคิดไม่ทันจบก็พอดีมองเห็นเมลยืนยิ้มกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ข้างทางเหมือนกำลังรออยู่ท่าทางสบายอกสบายใจไม่ทุกข์ร้อนของหมอนั่นดูแล้วขัดตาชายหนุ่มยิ่งนัก


“ท่านนี่มันน่า...จริงๆ”


เมลิอานาร์ยิ้มรับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้านนางขยับออกเดินไปตามทิศทางที่หญิงชราคนขายแหวนชี้บอก ปากก็พูดไปเรื่อยๆ


         “ใจเย็นๆ น่าเอล เจ้าจะโมโหไปทำไมเราได้ทั้งแหวนได้ทั้งที่อยู่ของริช ไคลี่ ไม่ดีหรือไงหา”


         “แล้วใครว่าข้าอยากได้แหวนไม่ทราบ”


“ถ้าไม่อยากได้ เจ้าโยนทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง”


         เอลหยิบแหวนออกมาจากห่อกระดาษแล้วตั้งท่าจะขว้างมันทิ้งตามคำแนะนำจริงๆ หากคนแนะนำหันมาเห็นเข้าเสียก่อนจึงรีบร้องห้ามเสียงหลง


         “เฮ้ยยย เจ้าจะบ้าเหรอเอล แหวนราคาตั้งสี่พันห้าร้อยเกรนคิดเป็นค่าเช่าห้องพักได้ตั้งหลายคืน เจ้าจะทิ้งจริงๆ น่ะ”


         “ก็ข้าบอกแล้วว่าไม่อยากได้”


เมลถอนใจเฮือก แล้วเสนอทางออกใหม่


         “เจ้าก็เก็บไว้ให้คนอื่นๆ อย่างเจ้าช...เอ่อ..ใครก็ได้นี่”


“งั้นให้ท่านก็แล้วกันถือว่าเป็นค่าจ้างที่ท่านอุตสาห์เดินทางจากแลมพ์ตันมาเพื่อช่วยพวกเรา” ชายหนุ่มยื่นมือที่กำแหวนออกมาตรงหน้าทว่าคนตัวเล็กกว่ากลับส่ายหน้าปฏิเสธ


“ข้าไม่ต้องการค่าจ้างจากเจ้า ที่ข้ามานี่ก็เพราะเจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่ใช่เพราะเจ้าสักหน่อย”


         “ยื่นมือมาเดี๋ยวนี้ท่านเมล”


         คนในชุดนักบวชยังคงเฉยดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนออกคำสั่งนิดหนึ่งพลางถอนใจอีกเฮือก


“จะต้องให้ข้าพูดตรงๆ หรือเอลลี่ แหวนพลอยสีเหมือนดวงตาของเจ้าอย่างนี้ข้าเห็นแล้วมัน... เอ่อ... ขนลุกน่ะ เจ้าเก็บเอาไว้ให้คนอื่นดีกว่า”


ราวกับราดน้ำมันลงบนกองเพลิงที่จวนหรี่ดับให้กลับโหมฮือขึ้นมาใหม่สีหน้าของเอลเบอเรธกระด้างเย็นชาไม่ผิดอะไรกับหน้ากากเหล็กดวงตาสีน้ำเงินอมเขียววาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับเขามาก่อนแล้วเจ้าหนุ่มชาวแลมพ์ตันผู้นี้กล้าดียังไง


         ชายหนุ่มคว้าไหล่รั้งร่างของคนตัวเล็กกว่าให้หันกลับมาเผชิญหน้าพลางเอ่ยถามเสียงกร้าว


“ท่านจะยื่นมือมารับแหวนไปดีๆ หรือต้องให้ข้าสวมให้”


“ก็ได้ ก็ได้” คนในชุดนักบวชยกสองมือขึ้นเสมอไหล่ในท่ายอมแพ้...ที่จริงแหวนวงนั้นก็สวยดีอยู่หรอก พลอยน้ำทะเลสีเข้มจัดหายากอย่างนี้หากท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตได้มาเห็นเข้าเป็นต้องกรี๊ดกร๊าดแน่นอนดีเหมือนกันเวลาที่นางกลับบ้านจะได้มีของไปกำนัลผู้เป็นมารดา เผื่อท่านผู้หญิงจะบ่นน้อยลงอีกหน่อย


หญิงสาวแบมือออกมาตรงหน้า


         “ส่งมาสิ”


         ดูเหมือนเอลจะรอจังหวะอยู่แล้วพอเห็นอีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว เขาก็คว้ามือข้างซ้ายของหมอนั่นขึ้นมาสวมแหวนให้ โดยไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าตนสวมแหวนลงบนนิ้วไหนแค่เห็นคนตรงหน้าชักมือกลับด้วยสีหน้าตกใจก็เพียงพอแล้ว ความรู้สึกขุ่นมัวในใจของเขาดูเหมือนจะมลายหายไปจนเกือบหมด...หากไปเกาะติดอยู่กับคนในชุดนักบวชแทน


         “ทำอะไรของเจ้าน่ะเอล” เมลิอานาร์จ้องหน้าคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาขุ่นเขียว


“เจ้าไม่รู้หรือไงว่า...”


หญิงสาวชะงักคำพูดไว้แค่ปลายลิ้น ก้มลงมองดูมือซ้ายของตนด้วยความเจ็บใจที่พลาดท่าเสียทีให้คนตรงหน้าจนได้พลอยสีน้ำทะเลบนนิ้วนางทอประกายระยิบระยับราวกับกำลังหัวเราะเยาะนางอยู่หญิงสาวสะบัดมือไปตรงหน้าแม่สาวร่างยักษ์ด้วยท่าทางโกรธจัด


“ถอดมันออกเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะอภัยให้กับความไม่รู้ของเจ้า”


คนได้รับคำสั่งยืนยิ้มเฉยอยู่ในหน้าทำไมเขาจะไม่รู้ธรรมเนียมประหลาดของชาวแลมพ์ตันในเมื่อบิดาของเขาเองเป็นผู้สวมแหวนแห่งพันธะไว้ที่พระดัชนีข้างซ้ายของราชาซาเรียเมื่อครั้งที่ทั้งสองพระองค์ทรงทำข้อตกลงทางทหารร่วมกันเขารู้ดีเชียวละ แล้วยังรู้อีกด้วยว่าแหวนที่สวมลงบนนิ้วมือข้างซ้ายของชาวแลมพ์ตันคือสัญลักษณ์แทนสัจจะสัญญาที่ต้องรักษาผู้ถูกสวมแหวนจะไม่มีสิทธิ์ถอดแหวนออกเองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ที่สวมแหวนให้นอกเสียจากกว่าสัจจะสัญญานั้นจะถูกกระทำให้สำเร็จลุล่วงหรือถูกยกเลิกเป็นโมฆะ


“ข้าจะไม่ถอดแหวนให้ท่าน จนกว่างานจะสำเร็จ” ชายหนุ่มตอบ


“เจ้ารู้...”หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจจนเกือบจะลืมความโกรธไปชั่วขณะ


“เจ้ารู้เรื่องแหวนแห่งพันธะ”


เอลพยักหน้ารับ


“ใช่ ข้ารู้ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนี่ ทำไมข้าจะรู้ไม่ได้”


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องสวมแหวนไว้ที่นิ้วชี้ของข้า ไม่ใช่นิ้วนาง”


“สำหรับข้าจะนิ้วไหนก็เหมือนกันนั่นแหละท่านอย่าใช้ลูกไม้ตื้นๆ มาหลอกให้ข้าถอดแหวนเสียให้ยาก ข้าไม่มีทางหลงกล”


         เอลพูดแล้วก็ผายมือไปที่ถนนเป็นการบอกให้อีกฝ่ายออกเดินทางต่อสักที


เมลิอานาร์ได้แต่ยืนกัดฟันกรอดจ้องหน้าแม่สาวใช้ร่างยักษ์อย่างแสนแค้นเคราะห์ดีที่เอลลี่ไม่ใช่ผู้ชาย ไม่อย่างนั้นคงจะได้เห็นเลือดของชาวกรีนแลนด์กันมั่งหรอกหญิงสาวทิ้งสายตาอาฆาตไว้ที่ร่างสูงใหญ่ผิดผู้หญิงของคนตรงหน้า หันหลังขวับก้าวเดินดุ่มๆ ไปตามถนนโดยไม่พูดอะไรอีกเลย


 เอลมองตามร่างบางที่เดินนำลิ่วห่างออกไปด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษจนต้องผิวปากออกมาเป็นเพลงไม่ใส่ใจกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองทั้งหลายที่เดินผ่านไปผ่านมาชายหนุ่มขยับออกเดินตามหลังคนในชุดนักบวชไปช้าๆ ไม่รีบร้อน ขืนเร่งความเร็วเหมือนตามหาวัวหายอย่างเจ้าหมอนั่นกว่าจะถึงบ้านของช่างทำอัญมณีชื่อดังเป็นได้หมดแรงก่อนพอดี เมื่อนึกถึงอาการสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินจ้ำอ้าวหนีไปของหนุ่มหล่อรายนั้นแล้วเอลก็ต้องส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ เรื่องแค่นี้เอง เจ้าหมอนั่นกลับทำงอนตุ๊บป่องเป็นผู้หญิงไปได้...แปลกแท้ๆ เชียว




Create Date : 26 พฤษภาคม 2559
Last Update : 26 พฤษภาคม 2559 21:03:03 น. 2 comments
Counter : 605 Pageviews.

 


โดย: ป้าทุยบ้านทุ่ง วันที่: 7 สิงหาคม 2559 เวลา:19:17:18 น.  

 
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ


โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:15:34:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

akihiro
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






...โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ จะเลื่อนลับยุคนธรสิงขรเขา พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา กำสรดเศร้าโศกมาเอกากาย ถึงมีเพื่อนก็เหมือนพี่ไม่มีเพื่อน เพราะไม่เหมือนนุชนาถที่มาดหมาย มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม...

คนตัวเล็กในโลกกว้างใหญ่ รักการอ่าน ชอบการเขียน แต่ที่ชอบที่สุดคือการนอน ความสามารถพิเศษคือการนอนมาราธอน มีพรสวรรค์ในด้านการอ่านหนังสือแบบไม่ต้องเสียตังค์


...งานเขียนใน blog นี้ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ความ แต่เจ้าของก็หวงค่ะ หากใครต้องการนำไปเผยแพร่ที่อื่นกรุณาติดต่อเจ้าของก่อนเน้อ...
Friends' blogs
[Add akihiro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.