บันทึกคนเพี้ยน
Group Blog
 
All Blogs
 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 11



         ปีนี้ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนแลมพ์ตันเร็วกว่าปกติ ใบไม้บนยอดเขาเริ่มเปลี่ยนสีให้เห็นบ้างแล้ว แต่ผู้คนที่คฤหาสน์โรสอคาเซียกลับไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความงามของธรรมชาติเพราะมัวแต่วิ่งวุ่นตามหาเลดี้เมลิอานาร์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนหน้าวันหมั้นเพียงวันเดียวท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตถึงกับเป็นลมล้มพับไปหลายตลบเมื่อรู้เรื่องลูกสาว พิธีหมั้นซึ่งตระเตรียมไว้พรักพร้อมต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดด้วยข้ออ้างว่าเลดี้เมลิอานาร์ล้มป่วยกะทันหันคนงานชายถูกส่งออกไปตามหาตัวหญิงสาวอย่างลับๆ ตามสถานที่ที่นางชอบไปทุกแห่งแต่ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ไม่มีแม้แต่เงาของหญิงสาว


เกลรามือจากการกวาดเศษใบไม้แห้งที่ร่วงเกลื่อนอยู่หน้าคฤหาสน์เหม่อมองออกไปนอกถนนด้วยความหวังว่าคุณหนูของนางจะควบม้าลอดซุ้มประตูเข้ามาในวินาทีใดวินาทีหนึ่งแต่ก็ต้องผิดหวังตามเคย ผ่านไปหกวันแล้วยังไม่มีวี่แววว่าพวกที่ออกไปตามหาจะพบตัวเลดี้เมลิอานาร์ ผู้คนในตลาดเริ่มซุบซิบถึงเรื่องนี้กันมากขึ้นอีกไม่นานก็คงจะลือกันไปทั้งเมืองจนทราบถึงพระกรรณของเจ้าชายเอเดรียนถึงตอนนั้นชะตากรรมของโรสอคาเซียจะเป็นอย่างไร เกลไม่อยากจะคิด


        เสียงฝีเท้าม้าควบเป็นจังหวะดังมาจากสุดถนนซึ่งเป็นทางโค้ง เกลตาลุก ทิ้งไม้กวาดลงกับพื้นแล้ววิ่งไปชะเง้อดูถึงหน้าประตูใหญ่ เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงฝีเท้าของม้าเพียงตัวเดียวแสดงว่าไม่ใช่ม้าของพวกที่ออกไปตามหาเลดี้สาว ส่วนคนอื่นๆ ในเมืองหลวงก็นิยมไปไหนมาไหนกันด้วยรถม้ามากกว่า หรือว่า...


ความหวังเริ่มเรืองรองขึ้นในหัวใจของแม่สาวใช้วัยรุ่น


ม้าสีน้ำตาลตัวงามชะลอฝีเท้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่งอยู่ตรงทางเดินหน้าคฤหาสน์โอ่อ่าสีเหลืองหม่นมันสะบัดหัวพลางพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ก่อนจะก้มลงเล็มหญ้าอ่อนที่ขึ้นแซมอยู่ระหว่างแผ่นหินคนบนหลังม้าก้มลงมองแม่สาวใช้ที่ยืนทำตาโตอ้าปากค้างขวางทางอยู่


“สวัสดี”


เขากล่าวพร้อมกับโปรยยิ้มทรงเสน่ห์เส้นผมหยิกสลวยสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนแสงแดดเป็นประกายมันเลื่อมราวกับเส้นไหม


“ข้ามาพบนายของเจ้า ช่วยหลีกทางให้หน่อยได้มั้ย”


เกลพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตะลึงมองชายหนุ่มรูปงามบนหลังม้าความหวังที่เพิ่งจะฉายแสงขึ้นในใจของนางเมื่อครู่ก่อนไม่เพียงแต่วูบดับลงเท่านั้นหากมันเพิ่งถูกแทนที่ด้วยเงาดำทะมึนของลางร้ายสดๆ ร้อนๆ เดี๋ยวนี้เอง


“เอ้า..ไม่หลบก็ไม่เป็นไร”


เจ้าชายเอเดรียนตวัดร่างลงจากหลังม้าแล้วยื่นสายบังเหียนส่งให้แม่สาวใช้ที่ยืนเก้ๆกังๆ จะหลีกทางก็ไม่ใช่ จะขวางทางก็ไม่เชิง ก่อนจะสาวพระบาทตรงไปยังอาคารหลังใหญ่เบื้องหน้า


เกลยืนมองสายบังเหียนที่ถูกยัดเยียดใส่มืออย่างงงงัน กว่านางจะตั้งสติได้โอรสองค์ที่สองของราชาซาเรียก็เสด็จถึงประตูคฤหาสน์แล้ว


...ต้องรีบไปเตือนคนในบ้าน...


นั่นคือสิ่งแรกที่นางคิดออก


...แต่ต้องจัดการกับเจ้าตัวตรงหน้านี่ก่อน...


เกลออกแรงฉุดเจ้าม้าตัวโตจนสุดกำลังแต่ไม่ว่าจะพยายามทั้งดึงทั้งลากอย่างไรม้าทรงของเจ้าชายเอเดรียนก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนจากที่ในที่สุดแม่สาวใช้ก็ต้องยอมแพ้นั่งแปะลงกับพื้นหินอย่างหมดสิ้นทั้งเรี่ยวแรงและความหวัง


เจ้าชายเอเดรียนทรงเคาะห่วงทองเหลืองกับประตูไม้สองสามครั้งไม่นานนักบานประตูสีน้ำตาลเข้มก็เปิดออกจีน่าสาวใช้โผล่ใบหน้าอ่อนเยาว์ประดับรอยยิ้มใสของนางออกมาต้อนรับผู้เป็นแขก


“เชิญข้...” เสียงของแม่สาวใช้ขาดหายไปพร้อมๆกับสีโลหิตบนใบหน้า ปากของนางอ้าค้างก่อนจะขยับขึ้นลงคล้ายจะอุทานคำว่า ‘เจ้าชาย’ แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ


“ข้ามาเยี่ยมเมล” เจ้าชายแย้มสรวลให้แม่สาวใช้


จีน่าขยับถอยห่างจากประตูเพื่อเปิดทางให้เจ้าชายเอเดรียนก้าวเข้ามาในห้องโถงแต่ยังคงยืนขวางหน้าพระองค์เอาไว้ไม่ยอมนำเสด็จไปที่ห้องรับรองอย่างที่ควร


“เอ่อ ค...คุณหนู..ละ..หลับอยู่เพคะ”นางกราบทูลตะกุกตะกัก


“เหรอ งั้นข้าขอพบท่านอาก็ได้”


“ท่านผู้หญิงป่วยเพคะ... เพิ่งจะนอนหลับไปเมื่อสักครู่นี่เองเพคะ”


เจ้าชายหรี่พระเนตรมองแม่คนรายงาน


“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอจนกว่าเมลจะตื่น”


“มะ...ไม่ได้นะเพคะ...” จีน่ารีบปฏิเสธปากคอสั่นนางเหลียวมองไปรอบห้องโถงคล้ายจะหาคนช่วย แต่เจ้ากรรม ไม่มีใครอยู่แถวนั้นสักคนเดียวนางจึงต้องหาทางเอาตัวรอดไปทั้งน้ำขุ่นๆ เท่าที่กำลังสมองยามตื่นตระหนกจะนึกออก


“คือ...คุณหนู..เอ่อ..คุณหนูยังไม่หายดีต้องนอนพักผ่อนมากๆ เพคะท่านหมอสั่งไว้”


“งั้นหรือ?”


“เพคะ”


จีน่าบิดมือไปมาอย่างอึดอัด นึกภาวนาขอให้เจ้าชายทรงเชื่อในคำโกหกของนางแล้วรีบเสด็จกลับวังหลวงไปเสียทว่าพระองค์ยังคงปักหลักซักต่ออย่างไม่ย่อท้อ พระพักตร์ที่เคยแย้มละไมอยู่เป็นนิจเริ่มขมวดบึ้งอย่างที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก


“นางป่วยเป็นอะไรกันแน่ ป่านนี้ยังไม่หายอีก”


แม่คนถูกถามทำหน้าราวกับจะร้องไห้


        “มะ..ไม่ทราบ..เอ๊ย..เป็นไข้เพคะ เป็นไข้หนักมากคงออกมาเข้าเฝ้าไม่ได้หรอกเพคะ”


“หนักขนาดนั้นเชียวหรือ”


“เพคะ”


“ดี ถ้างั้นข้าจะไปพบนางเอง เจ้าช่วยนำทางให้ด้วย”


จีน่ามองผู้พูดตาค้างพร้อมกันนั้นก็นึกอยากจะเป็นลมไปเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องเผชิญชะตากรรมที่ยังไม่รู้ว่าจะเลวร้ายถึงขั้นไหนในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า


แม่สาวใช้จำใจเดินนำเจ้าชายหนุ่มขึ้นบันไดไปชั้นบนสู่ห้องกว้างตรงสุดทางนางค่อยๆ ผลักบานประตูที่ปิดสนิทให้เปิดออกอย่างไม่เต็มใจ ห้องนอนของเลดี้เมลิอานาร์ที่ปรากฏแก่สายตายังคงมีสภาพเช่นเดียวกับตอนที่เจ้าของเพิ่งจากไปทุกประการสายลมเย็นภายนอกพัดพรูผ่านประตูระเบียงที่เปิดทิ้งไว้กว้างพาให้ม่านโปร่งบางรอบเตียงนอนปลิวสะบัดเป็นครั้งคราวภาพที่นอนนุ่มปูทับด้วยผ้าทอสีขาวสะอาดเรียบตึงปราศจากรอยยับจึงปรากฏแก่สายตาผู้มาเยือนอย่างถนัดถนี่เตียงสี่เสานั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคน ‘เป็นไข้หนัก’ ตามที่แม่สาวใช้รายงาน


เจ้าชายเอเดรียนหยุดอยู่แค่บานประตูพลางกวาดสายพระเนตรสำรวจห้องนอนของว่าที่คู่หมั้นจนทั่ว


“นึกแล้วเชียว”


พระองค์บ่นพึมพำพลางถอนพระปัสสาสะหนักหน่วง ก่อนจะหันไปคาดคั้นเอากับแม่คนนำทางที่ยืนตัวลีบอยู่ข้างหลัง


“นางหนีไปแล้วใช่มั้ย”


จีน่าตาตกลงมองพื้น เพียงแค่นั้นเจ้าชายเอเดรียนก็ทรงเดาได้ว่าคำตอบคืออะไรพระองค์ตั้งท่าจะหันกลับ ทว่าสายลมที่พัดเข้ามาทำให้ชายผ้าม่านแหวกออกเป็นช่องพอดีจดหมายฉบับน้อยที่หล่นอยู่ตรงนั้นจึงปรากฎแก่สายพระเนตร เจ้าชายหนุ่มจ้องมองกระดาษสีขาวแผ่นน้อยบนพื้นนิ่งอยู่เพียงอึดใจก็สาวพระบาทเข้าไปหยิบมันขึ้นมาคลี่ออกอ่าน




บ้านของช่างทำเครื่องประดับชื่อดังแห่งเมืองลัสเตอร์สโตนเป็นบ้านสองชั้นแบบโบราณก่อด้วยก้อนศิลาสีเทาอ่อน มีบานหน้าต่างกรุกระจกใสแจ๋วในกรอบไม้สีน้ำตาลเข้มกระจายอยู่โดยรอบเหนือขึ้นไปคือหลังคาสีส้มแดงและปล่องไฟทรงเหลี่ยมสีเดียวกันมองเห็นได้ชัดเจนแต่ไกลหน้าบ้านมีแปลงดอกไม้เล็กๆ ชูช่อบานสะพรั่งอวดสีสันสดใสรับแสงแดดอุ่นยามเช้า


เมลิอานาร์เดินผ่านแปลงดอกไม้ตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านแล้วหยุดยืนรอโดยไม่ลืมหันไปส่งสายตาเขียวปัดให้คนตัวโตผิดผู้หญิงที่ยังอยู่ห่างออกไปอีกหลายก้าวเพราะมัวแต่เดินทอดน่อง


“ถ้าเจ้าขืนชักช้าอย่างนี้ ข้าจะเข้าไปคนเดียว” นางส่งเสียงขู่มาตามสายลม


        เอลเร่งฝีเท้าจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มหน้าสวยในชุดนักบวชซึ่งมีความสูงเพียงแค่หัวไหล่ของเขารอยยิ้มบางๆจุดขึ้นบนเรียวปากงามได้รูปเมื่อเห็นลาดไหล่กะทัดรัดภายใต้ผ้าเนื้อหนาสีเทาเงินเคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นจังหวะตามแรงหอบหายใจ


        “เหนื่อยละซีท่าน ก็ไม่รู้จะรีบเดินไปทำไมนี่น้า ยังไงบ้านมันก็ไม่หนีไปไหนหรอกเดินช้าๆ ก็ถึงเหมือนกัน” เขาอดที่จะกระเซ้าไม่ได้


เมลิอานาร์หันขวับคราวนี้แม้แต่เสียงที่พูดก็ดูเหมือนจะกลายเป็นสีเขียวไปด้วย


“ข้าจะเดินยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า”


ราชาหนุ่มหัวเราะหึๆในลำคอพลางส่ายหน้า “อะไรกันข้าอุตสาห์หวังดีแท้ๆ ระวังนะเมล ท่านขี้โมโหแบบนี้แก่ตัวไปจะกลายเป็นตาแก่หัวล้าน”


“เอลลี่ นี่เจ้า...”


ประตูไม้หนาหนักถูกผลักให้เปิดออกจากด้านในทันเวลาพอดีสงครามย่อยๆ ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นจึงต้องปิดฉากลงโดยปริยาย


เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาน่าเอ็นดูจ้องมองชายหนุ่มรูปหล่อสองคนที่ยืนเถียงกันอยู่หน้าบ้านของนางด้วยสายตาพิศวงนางยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรชายหนุ่มคนที่แต่งกายเหมือนนักบวชก็หันมายิ้มให้แล้วชิงพูดขึ้นเสียก่อนน้ำเสียงของเขาฟังอ่อนโยนนุ่มหู


“เรามาพบช่างทำเครื่องประดับชื่อริช ไคลี่เขาอยู่ที่นี่หรือเปล่าน้องสาว”


        “อยู่ค่ะ” เด็กสาวตอบ “เชิญนายท่านทั้งสองเข้ามาข้างในก่อน”


สาวน้อยขยับหลีกทางให้ผู้เป็นแขกก้าวเข้ามาในตัวบ้านแล้วเดินนำไปยังห้องด้านขวามือซึ่งมีชุดเก้าอี้หน้าตาขึงขังตั้งอยู่กลางห้อง


        “นายท่านนั่งรอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปตามท่านพ่อมาพบ” นางเอ่ยปากเชื้อเชิญ


เมลิอานาร์พึมพำคำขอบใจเบาๆเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะหนานุ่มของเก้าอี้พนักโค้งสีน้ำตาลเข้ม ส่วนชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งยังยืนมองสำรวจมุมนั้นมุมนี้ในห้องเพลินอยู่


ห้องที่แม่สาวน้อยทิ้งพวกเขาเอาไว้มีขนาดไม่กว้างมากนักพื้นปูด้วยพรมสีน้ำเงินเข้ม ผนังเป็นสีเทาอ่อนตามสีของหินที่ใช้ก่อสร้างแม้จะดูน่าอึดอัดอยู่สักหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับมืดทึบเนื่องจากมีบานหน้าต่างขนาดใหญ่ถึงสองบานเปิดให้แสงสว่างจากภายนอกส่องผ่านเข้ามาได้เหนือชุดเก้าอี้ที่เมลนั่งอยู่คือโคมไฟแขวนทำด้วยทองเหลืองขัดจนขึ้นเงาวับ อีกด้านของห้องที่อยู่ลึกเข้าไปตั้งโต๊ะไม้ตัวใหญ่วางม้วนกระดาษระเกะระกะปนเปไปกับขวดหมึกและปากกาขนนกมีภาพร่างแบบเครื่องประดับที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์วางแผ่อยู่หลายแผ่นรอบโต๊ะคือตะกร้าหวายใส่ม้วนกระดาษร่างแบบเต็มแน่นจนล้นออกมาบนพื้นที่ผนังด้านหลังโต๊ะคือหิ้งไม้ต่ออย่างหยาบๆ อัดแน่นไปด้วยสมุดปกหนังเล่มโตนับสิบเล่ม


“ขอโทษที่ให้พวกท่านต้องรอนาน”


เสียงทุ้มต่ำดังมาจากประตูห้อง เรียกร้องให้ผู้เป็นแขกทั้งสองต้องหันไปมองเจ้าของเสียงเป็นชายกลางคนศีรษะล้าน รูปร่างอ้วนท้วมแต่งกายแบบลำลองด้วยเสื้อทูนิคสีน้ำตาลยาวคลุมสะโพกและกางเกงรัดหน้าแข้งสีดำมีเข็มขัดหนังสีเดียวกับกางเกงคาดต่ำเน้นพุงใหญ่ที่ยื่นโย้ออกมาราวกับผู้หญิงท้องสักเจ็ดเดือน


        “ข้าคือริช ไคลี่” เขาเอ่ยแนะนำตัว


เอลมองช่างทำเครื่องประดับชื่อดังที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูกจริงอยู่ว่าชายหนุ่มไม่เคยพบกับช่างทำเครื่องประดับมาก่อนจึงไม่รู้ว่าคนพวกนั้นควรจะมีลักษณะท่าทางอย่างไร แต่ริชไคลี่ผู้นี้แตกต่างไปจากภาพที่เขาจินตนาการเอาไว้ลิบลับชนิดหน้ามือเป็นหลังมือไม่ว่าจะเป็นใบหน้าอันอวบอูมจนคางแทบจะกลืนหายไปกับลำคอ จมูกแบนกว้าง ดวงตายิบหยีเหมือนหมูที่ดูหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจแม้กระทั่งนิ้วมือทั้งสิบของชายกลางคนก็ยังใหญ่โตเทอะทะจนไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างสรรค์งานศิลปะอันประณีตละเอียดอ่อนใดๆขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหน เอลก็สรุปได้คำเดียวว่าช่างทำเครื่องประดับผู้นี้ดูเหมือนพ่อค้าหน้าเลือดเสียมากกว่า


        ชายหนุ่มรอจนกระทั่งผู้สูงวัยกว่านั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้วจึงนั่งลงบ้าง


“พวกท่านมีธุระอะไรกับข้า”ชายร่างอ้วนเริ่มเรื่องอย่างไม่ยอมให้เสียเวลาดวงตาเรียวเล็กมีแววเจ้าเล่ห์เหลือบมองผู้เป็นแขกทั้งสองคล้ายกำลังตีราคาวัตถุอะไรสักชิ้น


เมลิอานาร์รู้สึกไม่ชอบสายตาของชายหัวล้านผู้นี้เอาเสียเลยนางเกลียดนักเวลาที่ต้องถูกมองแบบประเมินค่าราวกับเป็นสิ่งของแต่เพราะนี่เป็นงาน...งานที่จะต้องทำให้สำเร็จลุล่วงตามพันธะบ้าๆที่ยัยเอลลี่สร้างขึ้นมานั่นแหละหญิงสาวจึงได้แต่ข่มความรู้สึกขุ่นใจเอาไว้แล้วพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด


        “พวกเรามีเรื่องจะถามท่านสักหน่อย คงไม่รบกวนเวลาของท่านนานนัก”


ริช ไคลี่เหยียดริมฝีปากออกอย่างดูแคลนเขาคะเนแล้วว่าเจ้าหนุ่มแปลกหน้าสองคนนี้ไม่น่าจะใช่ลูกค้าของเขาจึงไม่จำเป็นต้องเอาใจใส่มากนัก


“ข้ามีงานมากเหลือเกินท่านนักบวชไม่มีเวลาตอบคำถามของใครทั้งนั้นถ้าพวกท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อสั่งทำเครื่องประดับละก็ ข้าคงต้องขอตัว”


“เดี๋ยวก่อนสิครับท่านลุง”


        เอลร้องห้ามพลางหยิบถุงเงินหนักอึ้งจากข้างเอวออกมาโยนเล่นเหมือนจะลองกะประมาณน้ำหนักปากก็พูดต่อไปเรื่อยๆคล้ายไม่สังเกตเห็นประกายแห่งความโลภที่ฉายชัดออกมาทางดวงตายิบหยียามมองตามการเคลื่อนไหวของถุงผ้าสีดำในมือเขา


“พวกเราแค่ต้องการถามคำถามสั้นๆ สักสองสามข้อเท่านั้นเอง”


“ก็ได้” ชายอ้วนนั่งลงตามเดิม “แต่บอกไว้ก่อนนะว่าความจำข้าไม่ค่อยดี”


        “นี่คงพอจะช่วยทำให้ความจำของท่านลุงดีขึ้นบ้าง”


ชายหนุ่มหยิบเหรียญทองในถุงออกมาวางไว้ตรงหน้าผู้สูงวัยกว่าสองเหรียญ


        ริช ไคลี่มองเหรียญทองคำสุกปลั่งบนโต๊ะด้วยดวงตาเป็นประกายท่าทางดูแคลนแบบเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างขวางแทบจะฉีกไปถึงใบหูเขาขยับขึ้นนั่งตัวตรงพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอาการเอางานผิดเป็นคนละคน


        “นายท่านต้องการรู้เรื่องอะไร เชิญถามมาได้เลย”


        คนในชุดนักบวชรีบหยิบตลับทองคำรูปไข่ยื่นไปตรงหน้าเจ้าของบ้าน


        “งานชิ้นนี้ ท่านพอจะจำได้หรือไม่”


        ชายกลางคนเอื้อมมืออวบอูมไปรับตลับทองคำฝังพลอยน้ำงามใบน้อยขึ้นมาพลิกดูอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้าว่าจำได้


        “นี่เป็นงานของข้าเอง พวกท่านได้มันมายังไง”


“พวกข้าได้มันมายังไงไม่สำคัญหรอกครับท่านลุง ท่านรู้แค่ว่าพวกข้าไม่ได้ขโมยมันมาก็พอแล้ว” เอลเอ่ยแทรกขึ้น


เจ้าของบ้านหัวเราะกลบเกลื่อนจนพุงกระเพื่อม


“แหมนายท่าน...ข้าก็ถามไปอย่างนั้นเองแหละ”


        “แล้วท่านพอจะบอกได้มั้ยว่าคนที่สั่งทำตลับอันนี้เป็นใครมาจากไหน” เมลิอานาร์ดึงการสนทนากลับมายังเรื่องสำคัญที่นางต้องการรู้อีกครั้ง


ริช ไคลี่ไม่ตอบเขาทำเสมือนไม่ได้ยินสิ่งที่นางถามดวงตาเจ้าเล่ห์เหลือบมองไปยังถุงเงินในมือของชายหนุ่มผมทองก่อนจะเสมองไปทางอื่น


เอลจ้องหน้าชายเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกรังเกียจตาแก่อ้วนคนนี้นอกจากจะมีหน้าตาท่าทางเหมือนพ่อค้าหน้าเลือดแล้วยังมีนิสัยโลภมากเหมือนกันไม่มีผิดชายหนุ่มพยายามสะกดกลั้นเสียงถอนหายใจด้วยความสมเพชเอาไว้ไม่ให้หลุดลอดออกมา ขณะหยิบเหรียญทองจากในถุงวางลงบนโต๊ะอีกหนึ่งเหรียญ


 เสียงโลหะมีค่ากระทบพื้นไม้ดังกริ๊กเบาๆเรียกร้องให้ช่างทำเครื่องประดับชื่อดังหันมามอง ดวงตายิบหยีเป็นประกายวาวอย่างพึงพอใจแล้วคำพูดก็หลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากอวบหนาของเขาราวกับทำนบแตก


“ขอโทษเถอะนะนายท่าน คนแก่ก็อย่างนี้แหละความจำไม่ค่อยดีแต่ข้าพอจะนึกออกแล้วตลับอันนี้มีนายทหารผู้หนึ่งว่าจ้างให้ข้าทำขึ้นพร้อมกับเครื่องประดับผมเข้าชุดกันเขากำชับให้ข้าทำอย่างสุดฝีมือทีเดียวเพราะต้องการนำไปถวายแด่เจ้าชายและพระคู่หมั้น”


เอลหยิบเหรียญทองออกมาวางเพิ่มให้อีกหนึ่งเหรียญสำหรับคำถามต่อไป


        “ท่านลุงพอจะจำได้มั้ยว่าทหารคนนั้นมีหน้าตาท่าทาง หรือว่าแต่งกายยังไง”


“เอ.. ดูเหมือนเขาจะสวมเครื่องแบบสีแดงมีสัญลักษณ์รูปดาวอยู่ที่อกเสื้อหรือยังไงนี่แหละข้าเองก็ชักจะลืมๆ ไปแล้ว”


        เครื่องแบบทหารสีแดงปักสัญลักษณ์รูปดาวในดินแดนแถบนี้มีเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่ใช้เครื่องแบบดังกล่าว แม้ชายหนุ่มจะรู้ระแคะระคายมานานแล้วว่าราชาคาลอสแห่งทาเนียร์ต้องการยึดครองกรีนแลนด์แต่เขาไม่อยากจะเชื่อว่าพระองค์จะถึงกับยอมใช้วิธีสกปรกเช่นนี้


        ยาพิษ!


        ความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในสมองราวกับสายฟ้าฟาดราชาองค์ก่อนของกรีนแลนด์ก็ถูกลอบสังหารด้วยยาพิษเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่า...


        เสียงตั้งคำถามของคนในชุดนักบวชที่ดังอยู่แว่วๆดึงความคิดที่เตลิดไปของชายหนุ่มให้กลับมาจดจ่ออยู่กับปัจจุบันอีกครั้งเขาฟังไม่ถนัดว่าเมลถามอะไรแต่ช่างทำเครื่องประดับส่งเสียงปฏิเสธดังลั่น


“โอ๊ยย...ที่อยู่กับชื่อของลูกค้าข้าคงบอกท่านไม่ได้หรอกท่านนักบวช”


        เอลเลิกคิ้วน้อยๆมองหน้าผู้พูดพลางขยับถุงผ้าในมือ เหรียญทองที่บรรจุอยู่ในนั้นกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งชายศีรษะล้านแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างชั่งใจในที่สุดก็ยอมลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นหลังโต๊ะทำงานคว้าสมุดปกหนังเล่มโน้นเล่มนี้ลงมาเปิดดูอยู่สักพักก่อนจะหยิบเล่มหนึ่งถือติดมือเดินอุ้ยอ้ายกลับมานั่งที่เดิม


        “ที่จริงข้าไม่ควรทำแบบนี้เลย มันผิดกฎของพวกเรา”


“เอาเถอะน่าท่านลุง หากข้าไม่พูด ท่านไม่พูด แล้วใครจะรู้”


        ชายหนุ่มหยิบเหรียญทองอีกสองสามเหรียญยัดใส่มือข้างที่ยังว่างอยู่ของริชไคลี่


        สมุดถูกกางลงบนโต๊ะตรงหน้าคนทั้งสามหนุ่มหล่อสองคนก้มลงดูภาพในนั้นอย่างสนใจจนศีรษะแทบจะชนกัน บนหน้ากระดาษสีเหลืองนวลมีรูปของตลับเจัาปัญหาและหวีสับสำหรับสตรีวาดเอาไว้เพียงคร่าวๆด้านข้างเป็นรายละเอียดชนิดของเพชรพลอยและจำนวนที่จะต้องใช้ถัดลงมาบริเวณมุมขวาล่างซึ่งเป็นตำแหน่งที่ควรจะมีชื่อและที่อยู่ของลูกค้าเขียนเอาไว้กลับมีเพียงตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือขยุกขยิกปรากฏอยู่สองบรรทัด อ่านได้ความว่า ‘มารับเอง’ และ ‘รีอา’


“อะไรกันนี่”เอลครางออกมาอย่างผิดหวัง “ไม่เห็นมีที่อยู่...ท่านหลอกเราหรือไง”


        ชายกลางคนยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หลอก แต่ลูกค้ารายนี้แปลกอยู่สักหน่อยเขาขอมารับของเอง แถมยังจ่ายเงินล่วงหน้าเต็มจำนวนเสียด้วยข้าก็เลยไม่ได้จดชื่อที่อยู่ของเขาเอาไว้”


        “แล้วคำว่ารีอานี่ล่ะ ไม่ใช่ชื่อของเขาหรอกหรือ”


นิ้วเรียวสวยราวกับลำเทียนของนักบวชหนุ่มชี้ลงตรงตัวอักษรบรรทัดที่สอง


        “อ๋อ นั่นเป็นชื่อวิหารน่ะท่านข้าจดไว้กันลืมเพราะนายทหารคนนั้นบอกว่าจะให้นักบวชจากวิหารรีอามารับของแทน”


        “นักบวช?” เอลขมวดคิ้ว ...นักบวชกับยาพิษช่างเป็นความสัมพันธ์ที่เหมาะเหม็งอะไรอย่างนี้


“ใช่ ท่านฟังไม่ผิดหรอก”ชายอ้วนหัวเราะพุงสั่นอีกหน “ตอนนั้นข้าก็ถามย้ำแบบเดียวกับท่านนี่แหละแต่พอเอาเข้าจริง คนที่มารับของกลับกลายเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหารเสียนี่ แปลกดีมั้ยล่ะ”


เมลิอานาร์ไม่ได้ฟังแล้วว่าเจ้าของบ้านจะพล่ามอะไรต่อไปหรือเอลจะถามคำถามอะไรเพิ่มเติมอีกตอนนี้ในสมองของหญิงสาวนึกถึงแต่ชื่อของปฐมวิหารรีอา ท่านปราชญ์ผู้เป็นอาจารย์ของนางเคยเอ่ยถึงวิหารรีอาเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นจึงไม่แปลกเลยที่ริชไคลี่จะเข้าใจผิด น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อเสียงของวิหารเก่าแก่ที่มีแต่นักบวชหญิงแห่งนี้


 ในที่สุดนางก็พบคำตอบที่กำลังค้นหาสักที...




หลังจากซักถามช่างทำเครื่องประดับจนไม่มีสิ่งใดที่เขาจะบอกได้อีกคนทั้งคู่ก็ร่ำลาเจ้าของบ้านเพื่อกลับไปหารือกันต่อยังที่พักไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะใช้เวลาอยู่ในบ้านของริช ไคลี่นานเกือบสี่ชั่วยามเมื่อออกมายืนอยู่ภายนอกแสงแดดอ่อนอุ่นในตอนเช้าก็แผดกล้าขึ้นจนกลายเป็นแดดยามเที่ยงไปเสียแล้ว


        เอลเริ่มรู้สึกว่าท้องไส้ชักจะออกอาการประท้วงเป็นระยะชายหนุ่มกวาดตามองร้านค้าแผงลอยข้างทางที่มีผ้าผืนใหญ่สีสดดาดแทนหลังคาบังแดดแลเห็นเป็นแนวยาวต่อเนื่องกันไปจนสุดถนนจรดกับจัตุรัสเมืองสายน้ำพุเย็นฉ่ำกลางจัตุรัสสาดละอองฝอยกระทบเปลวแดดทอประกายสีรุ้งงดงามเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆตามทิศทางของผู้มอง รอบลานน้ำพุมีแผงลอยขายผลไม้และร้านขายขนมปังอบใหม่ๆส่งกลิ่นหอมกรุ่นยั่วน้ำลาย


“หาอะไรรองท้องกันก่อนดีมั้ยท่านเมล”เขาเอ่ยชวน


        ไม่มีเสียงตอบ..ดูเหมือนคนข้างกายกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่ได้ยินคำถามเอลพยายามส่งเสียงทำลายสมาธิของเพื่อนร่วมทางต่อไปอีกหลายประโยค แต่ฝ่ายนั้นยังคงมุ่นคิ้วเฉยไม่มีเสียงใดๆ หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มที่เม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง


        ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าถือวิสาสะคว้าไหล่บอบบางของเจ้าคนรูปหล่อที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างกายให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาก่อนจะถามเสียงห้วน


        “นี่ท่านจะปล่อยให้ข้าพูดคนเดียวอีกนานแค่ไหน”


เมลิอานาร์สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของแม่สาวร่างยักษ์ด้วยอาการตกใจดวงตาสีน้ำเงินวาววับขึ้นมาทันทีอย่างเอาเรื่อง


“ทำอะไรของเจ้าน่ะ”


        “ข้าต่างหากต้องเป็นฝ่ายถาม”ชายหนุ่มปล่อยมือจากไหล่ของคนตรงหน้า เปลี่ยนเป็นท่ายืนกอดอกเอียงคอมอง กึ่งฉุนกึ่งสงสัย“ท่านเป็นอะไรไป ข้าเรียกตั้งหลายคำยังไม่ได้ยิน”


        หญิงสาวในคราบนักบวชหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้าชื้นเหงื่อราวกับจะลบร่องรอยเคร่งเครียดเมื่อสักครู่ให้จางหายน้ำเสียงที่เอ่ยตอบอ่อนลงเล็กน้อย


“ขอโทษที ข้ามัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”


        “มีเรื่องอะไรให้ท่านต้องคิดนักหรือไง”


“มีก็แล้วกันน่า”หญิงสาวสะบัดเสียงตอบ “ตาลุงคนนั้นให้ข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเรามาบ้างเหมือนกัน”


        ราชาหนุ่มเลิกคิ้วเข้มหนาของตนขึ้นสูง “ตรงไหนล่ะที่เป็นประโยชน์ ทหารชุดแดงนักบวชที่กลายเป็นหญิงรับใช้ หรือว่าวิหารชื่อประหลาดนั่น”


        สายตาขุ่นๆของคนในชุดนักบวชตวัดผ่านหน้าผู้พูดไปราวกับจะค้อนริมฝีปากสีสดขมุบขมิบไม่รู้ว่าชมหรือด่า ...แต่สงสัยว่าจะเป็นอย่างหลัง


        เอลเผลอหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างกลั้นไม่อยู่ยามหัวเราะ ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มดูสว่างไสวชวนมองเสียจนแทบจะกลบรัศมีเจิดจ้าของดวงอาทิตย์เบื้องบนได้เลยทีเดียวไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอดยั่วหนุ่มหล่อข้างกายไม่ได้สักทีโดยเฉพาะเวลาที่หมอนั่นทำหน้ายุ่งๆ ตาขวางๆ ให้เห็น อย่างตอนนี้


        “ขำอะไรของเจ้า”


คน ‘ตาขวาง’ยิ่งออกอาการ ‘ขวาง’ หนักขึ้นกว่าเดิม


“เปล๊า” เอลยักไหล่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ตอบเสียงซื่อ “ท่านจะพูดอะไรก็พูดไปสิ ข้ารอฟังอยู่”


        ดวงตาสีน้ำทะเลใสแจ๋วจ้องหน้านางเหมือนกำลังตั้งใจรอฟังอยู่จริงๆจนเมลิอานาร์ชักไม่แน่ใจว่าแม่สาวตัวโตพูดจริงหรือพูดเล่นจึงได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปกำกับไว้ก่อนแล้วค่อยถ่ายทอดความคิดของตนออกมาเป็นคำพูด


“ทหารชุดแดงคนนั้นน่าจะเป็นชาวทาเนียร์”


        “ข้อนั้นข้ารู้แล้ว”


        “อ้อ” หญิงสาวลากเสียงอย่างหมั่นไส้ “งั้นอีกสองข้อเจ้าก็คงรู้แล้วเหมือนกันสิ”


        “อย่าเพิ่งงอนน่าท่านเมล ทำใจน้อยเป็นผู้หญิงไปได้ท่านนี่ข้าไม่รู้หรอก ตอนนี้รู้แต่ว่าข้าหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้วเท่านั้นแหละไปหาอะไรรองท้องกันก่อนเถอะแล้วท่านค่อยเล่าความคิดอีกสองข้อที่เหลือให้ข้าฟังระหว่างมื้ออาหาร ตกลงไหม”


        เมลิอานาร์อยากจะแกล้งตอบว่า ‘ไม่ตกลง’อยู่เหมือนกันแต่ไม่มีโอกาสเพราะพอพูดจบแม่สาวร่างยักษ์ก็เดินนำลิ่วไปยังร้านอาหารเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามลานน้ำพุจับจองที่นั่งริมถนนใต้ร่มหลังคาผ้าฝ้ายเนื้อหนาอย่างรวดเร็วหญิงสาวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวเดียวกัน


        อาหารกลางวันที่แม่ค้าร่างท้วมยกมาเสิร์ฟประกอบไปด้วยซุปมันฝรั่งกินกับขนมปังก้อนกลมที่อบจนผิวนอกเป็นสีน้ำตาลสวยและเนื้อแกะย่างชิ้นโตที่ขาดไม่ได้คือเหล้าน้ำผึ้งกลิ่นหอมรสแรงซึ่งเอลบอกว่าเป็นเหล้าพื้นเมืองอันเลื่องชื่อของแคว้นอังมาร์


        หลังจากก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารของตนไปได้สักครู่ชายหนุ่มก็เงยขึ้นมองอีกฝ่าย


        “เอ้า ว่ายังไงล่ะท่าน ไม่พูดหรือไงข้ารอฟังอยู่นะ”


        เมลิอานาร์ตวัดหางตาผ่านหน้าผู้พูดแวบหนึ่งใช้ส้อมจิ้มเนื้อส่งเข้าปากเคี้ยวช้าๆ ก่อนจะกล่าวแบบรวบรัด


        “ข้าคิดว่าคนปรุงยาพิษจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิหารที่ว่าทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือต้องเดินทางไปที่นั่น”


        “หือ” ราชาหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง “ท่านรู้ที่ตั้งของวิหารหรือไง”


หญิงสาวส่ายหน้า


“ตอนนี้ยังไม่รู้แต่ข้าคิดว่าน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่เพราะผู้หญิงคนนั้นสามารถเดินทางไปกลับด้วยตัวคนเดียวได้”


        เอลยกเหล้าน้ำผึ้งในถ้วยดีบุกขึ้นจิบระหว่างที่คิดตามคำพูดของอีกฝ่าย


        “แถวนี้ไม่มีวิหารชื่อประหลาดเช่นนั้นหรอกท่านเมล บางทีข้อสันนิษฐานของท่านอาจจะผิด”


“หรือบางทีวิหารนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในกรีนแลนด์” เสียงนุ่มหูสวนขึ้นทันควัน


        ราชาหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง คำแย้งของนักบวชร่างบางฟังดูมีเหตุผลไม่น้อยที่สำคัญมันสอดคล้องกับสิ่งที่เขากำลังนึกสงสัยอยู่เสียด้วย


        “ท่านหมายถึงทาเนียร์หรือ”


“ถูกต้อง เจ้าเข้าใจอะไรได้เร็วเหมือนกันนี่”


เอลยิ้มดุๆให้กับประโยคที่ฟังยังไงก็ไม่เหมือนคำชมของอีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้น “แล้วเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ล่ะ”


เมลิอานาร์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันทีนางมองคนตรงหน้านิ่งนานอย่างชั่งใจ ทาเนียร์ไม่ใช่ประเทศที่ปลอดภัยและสงบสุขเหมือนกรีนแลนด์การที่จะพ่วงแม่สาวตัวโตคนนี้ไปด้วยจะดีละหรือ... แต่เอลก็ดูไม่ค่อยจะเหมือนผู้หญิงอยู่แล้วแถมพอแต่งตัวแบบนี้ยิ่งทำให้นางเหมือนผู้ชายเข้าไปใหญ่ คงไม่มีโจรงี่เง่าที่ไหนกล้าเข้ามาหาเรื่องกับคนเดินทางที่(ดูเหมือนจะ)เป็นผู้ชายทั้งคู่หรอกน่า


“ว่ายังไงล่ะท่าน”เอลส่งเสียงถามย้ำมาอีกรอบ หญิงสาวจึงตัดสินใจตอบ


        “เราจะเดินทางกันคืนนี้ แต่มีข้อแม้...”


คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันทันที“ข้อแม้อะไร”


“เจ้าขี่ม้าเป็นมั้ย”


“เป็นสิ ถามทำไม”


        “ดี” หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ


        “งั้นเจ้าเตรียมซื้อม้าฝีเท้าจัดสำหรับตัวเองไว้ได้เลย”




Create Date : 02 มิถุนายน 2559
Last Update : 2 มิถุนายน 2559 5:56:24 น. 2 comments
Counter : 650 Pageviews.

 


โดย: ป้าทุยบ้านทุ่ง วันที่: 7 สิงหาคม 2559 เวลา:19:21:50 น.  

 
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ


โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:15:34:15 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

akihiro
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






...โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ จะเลื่อนลับยุคนธรสิงขรเขา พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา กำสรดเศร้าโศกมาเอกากาย ถึงมีเพื่อนก็เหมือนพี่ไม่มีเพื่อน เพราะไม่เหมือนนุชนาถที่มาดหมาย มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม...

คนตัวเล็กในโลกกว้างใหญ่ รักการอ่าน ชอบการเขียน แต่ที่ชอบที่สุดคือการนอน ความสามารถพิเศษคือการนอนมาราธอน มีพรสวรรค์ในด้านการอ่านหนังสือแบบไม่ต้องเสียตังค์


...งานเขียนใน blog นี้ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ความ แต่เจ้าของก็หวงค่ะ หากใครต้องการนำไปเผยแพร่ที่อื่นกรุณาติดต่อเจ้าของก่อนเน้อ...
Friends' blogs
[Add akihiro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.