Clumsy and Looney it's me 'The Looney Witch'
 
 

บทที่ 2

คอนโดมิเนียมกลางกรุงดูเล็กไปถนัดตาเมื่อกวิตราจัดงานฉลองวันเกิดให้สองแฝดซึ่งมีอายุครบห้าปีเพื่อนๆ ในโรงเรียนที่มีบ้านอยู่ในละแวกนี้แวะเข้ามาอวยพรพร้อมผู้ปกครอง กเชนทร์ขันรับอาสาเป็นพ่องานจัดอาหารและสถานที่และยังสัญญาจะเก็บพื้นที่ให้หลังงานเลิกโดยน้องชายเธอให้เหตุผลว่าเธอเหนื่อยมากแล้ว เมื่อเวลาที่จะเป็นสุขก็ขอให้ได้สุขเต็มที่ ไม่ต้องกังวลให้มากนัก


ผู้ปกครองเพื่อนร่วมชั้นของเด็กทั้งสองต่างประหลาดใจที่เด็กแฝดมีแม่เป็นคนไทยเนื่องด้วยทั้งไทยสันต์และอันนาหน้าตาลอกเค้ามาจากเคเลบไม่ผิดเพี้ยนผู้คนจึงสรุปเอาว่า เด็กฝรั่งที่มีชื่อและนามสกุลไทย น่าจะมีแม่เป็นฝรั่งชาติใดชาติหนึ่งจึงเตรียมตัวพูดภาษาอังกฤษกันเต็มที่ แต่เมื่อกวิตราแนะนำตัว บรรดาแม่ๆต่างพากันทำหน้าประหลาดใจ แต่ก็มีมารยาทเกินกว่าจะถามออกมา


“น้องไทพ่อน้องไทไปไหนน่ะทำไมเราไม่เคยเห็นมารับน้องไทกับหนูนาที่โรงเรียนเลย”เด็กชายภัคพงศ์ถามขึ้นอย่างสงสัยผู้ใหญ่ในห้องต่างเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจแม้ว่าสายตากำลังจ้องเขม็งไปที่ทีวีจอยักษ์กวิตราชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินแต่ก็เลือกที่จะวางเฉยเสีย ไม่เก็บนำคำพูดเด็กเล็กๆมาเป็นอารมณ์ ผิดกับกเชนทร์ที่เดินลุกหนีเข้าไปในครัว


“ไม่รู้สิ เราก็ไม่เคยเห็น แต่แม่จ๋าบอกว่าพ่อจ๋าอยู่ไกล ไกลมากๆ ถึงคิดถึงเรากับหนูนาแค่ไหนก็มาหาไม่ได้เราเลยยังไม่เคยเจอพ่อเล้ย ตอนนี้น้าเชนเลยเป็นพ่อเราไปก่อนน้าเจเคยบอกเราว่าเดี๋ยวแม่จ๋าจะหาพ่อใหม่ให้ แต่ต้องรอคนดีๆ เหมือนพ่อเราก่อนแม่จ๋าถึงจะยอม”เด็กชายไทยสันต์ตอบน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ปราศจากความเศร้า บรรดาผู้ปกครองในห้องต่างส่งสายตาเห็นใจไปให้เด็กน้อยทั้งสองที่ยังคงเจื้อยแจ้วตอนนี้ที่เปลี่ยนเป็นเรื่องการ์ตูนที่เปิดในโรงเรียนเมื่อตอนบ่าย


กวิตราเห็นขันกับเรื่องที่ไทยสันต์เล่าให้เพื่อนฟังเธอเลี่ยงที่จะตอบลูกๆ ของเธอเกี่ยวกับพ่อของเด็กทั้งสอง เพื่อไม่ให้ลูกๆรู้สึกมีปมด้อย และเธอเชื่อว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็คงเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันมีเพียงผู้ใหญ่ที่คิดได้ลึกซึ้งกว่าก็คงจะตีความกันไปว่าพ่อผู้ให้กำเนิดเด็กทั้งสองได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับนั่นกลับเป็นสิ่งที่ดี เพราะกวิตราอึดอัดที่จะต้องคอยตอบคำถามของใครต่อใครและไม่อยากทนเห็นสายตาตัดสินจากผู้คนที่ไม่เคยรู้จักเธออย่างน้อยการที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเพราะสามีตายก็ดูไม่แย่เท่าไรนัก


เมื่อเข้าหัวค่ำบรรดาแขกงานเลี้ยงวันเกิดก็พร้อมใจกันกลับด้วยต้องเข้าเรียนในเช้าวันถัดไป สายตาเห็นใจและสงสารยังคงถูกส่งมาจากทุกทิศทาง


“ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้ของให้น้องไทกับน้องหนูนาเป็นเด็กดีเลี้ยงง่ายๆ นะคะ คุณเกดนี่เก่งจังเสียสามีไปแล้วแต่ก็ยังเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดีเด็กเก่งได้”เสาวภาหนึ่งในบรรดาคุณแม่ทิ้งท้าย กวิตราเพียงแค่กล่าวคำขอบคุณอย่างสุภาพ โดยที่กเชนทร์ยืนเหยียดปากอยู่ในครัว


“เป็นหม้ายตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เป็นไรนะคะ น้องๆน่ารักแบบนี้เดี๋ยวก็มีคนเข้ามายื่นใบสมัครเป็นพ่อค่ะ”ณัฐณุชจูงมือเด็กชายภัคพงศ์ที่ถามไทยสันต์เรื่องเคเลบออกจากห้องเด็กน้อยตัวป้อมหันมาไหว้เธอและกเชนทร์อย่างเรียบร้อยก่อนวิ่งไปหอมแก้มอันนาเข้าฟอดใหญ่ณัฐณุชหัวเราะคิกคักและต่อว่าลูกชายพอเป็นพิธี หญิงสาวไม่ได้ว่าอะไรด้วยเห็นว่ายังเด็กกันทั้งคู่ ได้แต่ร่วมหัวเราะไปกับคนอื่นๆ ด้วย


กเชนทร์เก็จานใบสุดท้ายเข้าตู้และหันมาพบว่ากวิตรากำลังต้อนมนุษย์ย่อส่วนทั้งสองเข้านอน ไทยสันต์หอมแก้มหญิงสาวก่อนที่จะวิ่งเข้ามาหอมแก้มเขาอีกฟอดใหญ่เมื่ออันนาเห็นดังนั้นก็ทำตามบ้าง ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเข้าห้องนอนไปโดยที่ไทยสันต์เสนอจะเล่านิทานให้อันนาฟังก่อนนอน ชายหนุ่มเช็ดแก้มแฉะๆของตัวเองที่เด็กทั้งสองฝากรักเอาไว้เต็มเหนี่ยว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“เป็นอะไรไปถอนหายใจเป็นคนแก่ไปได้”กวิตราหยิบเอาผ้าขี้ริ้วขึ้นมาซักก่อนจะเอาไปเช็ดเคาน์เตอร์ในครัวซ้ำๆ


“กำลังเซ็ง ดันถามถึงไอ้ห่ะนั่นขึ้นมาได้เสียอารมณ์หมด ดีนะที่ไทมันเล่าซะฟังเหมือนว่ามันตายห่ะไปแล้ว ไม่งั๊นเรื่องคงยาวกว่านี้พวกแม่ๆ เด็กพวกนั้นก็หูผึ่งกันเชียวเห็นจ้องกันตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว”กเชนทร์สบถออกมาอย่างหยาบคายก่อนจะโดนมือเรียวฟาดเข้าให้เต็มรัก


“นี่ พูดจาน่าเกลียด รู้อยู่ว่าเด็กๆถามตามประสาซื่อ ยังเก็บเอามาเป็นอารมณ์”


“ไม่ได้หงุดหงิดเด็ก หงุดหงิดแม่พวกมะ”ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อฝ่ามือฟาดกลับมาแรงกว่าเดิม


“พอเลยๆ เก็บเสร็จแล้วก็รีบกลับห้องไปเลยมีรายงานต้องรีบทำส่งไม่ใช่หรอ”กวิตราเอ่ยปากไล่ ทำเอาชายหนุ่มทำท่ากระฟัดกระเฟียดออกจากครัวไปก่อนจะหันกลับมาเหมือนนึกขึ้นได้


“พี่เกดอย่าคิดเยอะนะ มันไม่มีค่าหรอก”น้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ที่ออกมาทำให้กวิตราส่งยิ่มกลับไป


“มันผ่านมาตั้งนานแล้วชั้นคิดจนไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะ ปล่อยเขาไปเถอะ”แม้จะพูดออกไปแต่ทั้งกเชนทร์และเธอต่างรู้ว่ามันไม่ใช่ความจริงเลยชายหนุ่มได้แต่โบกมือแล้วออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้เธอมีความรู้สึกเหมือนร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา


นานเท่าไหร่แล้วหนอที่เธอต้องทนกล้ำกลืนมองสายตาแปลกๆของคนรอบตัวโดยที่ทำได้เพียงฝืนยิ้มและเงยหน้าต่อไป คอยบอกคนสนิทว่าไม่เป็นไรทุกครั้งที่คนเหล่านั้นแสดงความเห็นใจและด่าทอเคเลบอย่างเจ็บแสบข้อความล่าสุดที่เธอได้รับจากผู้ชายคนนั้นยิ่งทำให้เธอยิ่งสับสนไม่เข้าใจว่าเขาจะกลับมาทำไมให้เธอเจ็บใจมากขึ้นไปอีก ลูกๆ ของเธอเติบโตมาโดยไม่มีพ่อมาตั้งแต่ต้น และได้เข้าใจว่าพ่อของเขาได้ตายจากไปแล้วกวิตราไม่แน่ใจว่าเธอควรจะปล่อยให้เขามาทวงสิทธิ์ความเป็นพ่อกับลูกๆ ของเธอหรือควรจะกีดกันไม่ให้เขาได้พบเจอกับเด็กทั้งสองดีหนอ นี่ก็เป็นเวลาเดือนกว่าแล้วที่เธอได้รับการติดต่อจากคนที่อ้างว่าจะยืดอกรับผิดชอบแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีความคืบหน้าใดๆ จากนั้นอีก


อาการใจโลเลที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอนานมาแล้วกลับก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่แม้กวิตราจะมั่นใจว่าเธอไม่ได้รักใคร่เคเลบแล้วแม้แต่น้อยแต่หัวใจเธอกระตุกวูบทุกครั้งที่เห็นเขาเขียนอะไรขึ้นบนโซเชียลเน็ตเวิร์คและหญิงสาวเหมือนจะหยุดหายใจทุกครั้งที่เห็นรูปภาพที่เขาส่งขึ้นหน้ากระดานของตัวเองอีกทั้งยังความรู้สึกโหยหาลึกๆ อย่างที่ตัวเธอก็อธิบายไม่ได้หากต้องเผชิญหน้ากันขึ้นมาจริงๆ เธอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ใจหนึ่งก็คงจะโล่งใจเพราะเธอคิดว่าเธอคงทำตัวไม่ถูก หากต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้งแต่อีกใจก็อดจะโกรธเคืองไม่ได้เพราะสิ่งที่เขาได้ทำกับเธอไว้มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน


มีหลายครั้งที่เธอพยายามนึกย้อนกลับไปในคืนนั้นพยายามเรียกความทรงจำจากคืนนั้นและค้นหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่สิ่งที่เรียกคืนมาได้มีเพียงความรู้สึกละเมียดละไม อ่อนหวานและความรู้สึกเหมือนลอยขึ้นไปบนอากาศและระเบิดออกมาดังดอกไม้ไฟซึ่งเธอแน่ใจว่าคืนนั้นเคเลบคงไม่ได้ทำลงไปเพราะความรู้สึก ‘ละเมียดละไม อ่อนหวาน’ อย่างแน่นอน มันเป็นเพียงความมักง่ายและความต้องการเบื้อต่ำของคนสองคนเท่านั้นแต่แม้พยายามจะหาคำตอบให้ได้มากกว่านั้น กลับไม่ได้มีอะไรที่ดีขึ้นมาเลยแม้จะมีบางครั้งที่เธอฝันว่าได้ยินเสียงบอกรักกระซิบรำพันของชายคนหนึ่งซึ่งหญิงสาวจำได้ลางๆว่าเป็นเสียงเคเลบ แต่ทุกครั้งเธอต้องคอยย้ำกับตัวเองว่ามันคงเป็นเพียงจิตใต้สำนึกของเธอที่คาดหวังว่าจะได้ยินคำรักอย่างลมๆแล้งๆ เท่านั้น


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของหญิงสาวมือเรียวเอื้อมหยิบอุปกรณ์สื่อสารรุ่นทันสมัยก่อนจะกดรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง


“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด”สายเรียกเข้าเป็นไอยรินทร์เจ้านายของเธอที่มักจะโทร.หาเธอทุกเมื่อ เมื่อต้องการสิ่งใดจนบางครั้งหญิงสาวนึกสงสัยว่าเจ้านายเธอไม่มีเลขาหรืออย่างไร


“เกด ช่วยพี่นิดนึงสิ”น้ำเสียงนุ่มนวลของหญิงวัยกลางคนใสแจ๋วเบิกบานเช่นนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องให้เธอช่วยกวิตรากลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวานใส


“พี่อู๊ดมีอะไรจะใช้เกดเหรอคะ”หญิงสาวจงใจเลือกใช้คำเพราะความสะใจล้วนๆ


“ต๊าย... พูดอะไรอย่างนั้น น่าเกลียด แค่วานเฉยๆพี่เห็นว่าเกดน่ะ เพียบพร้อมที่สุดในบริษัทแล้ว ทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกคล่องแคล่วภาษาอังกฤษก็ปรื๊ดๆ โช๊ะๆ แล้วเผอิญว่าทางบริษัทแม่ที่สวิสเขาจะส่งผู้บริหารมาอินสเปคน่ะเลยอยากให้เกดช่วยไปต้อนรับหน่อย”


“จะดีเหรอคะ แล้วพวก เออีเขาจะไม่ว่าเอาเหรอคะ”


“โน้ว โนว ๆๆ พี่ขอโทษที่ไม่เคลียร์ เฉพาะแผนกไฟแนนซ์ของเราจ้ะแผนกอื่นๆ ก็พวกนางๆ เออี พีอาร์ทั้งหลายนั่นล่ะ แต่พวกเขาจะมาดูแผนกเราเป็นพิเศษงานไม่ยาก ใช้เวลาไม่นาน พี่แค่อยากให้เกดต้อนรับคณะผู้บริหารดีๆ อธิบายองค์ประกอบกับการทำงานของเราให้พวกเขาดูนี่ล่ะ ไม่รบกวนงานเกดมากนักหรอกลูก”


“เอ่อ แล้วจะมากันเมื่อไหร่คะเนี่ย”


“จันทร์หน้าจ้ะ เกดยังมีเวลาทำใจอีกเกือบอาทิตย์พี่เชื่อว่าเกดทำได้ ขอบใจนะลูก ดึกแล้ว พักผ่อนได้แล้วล่ะ กู๊ดไนท์ลูก”ปลายสายตัดไปโดยไม่เหลือช่องว่าให้กวิตราได้โต้ตอบอะไรได้หญิงสาวทำได้เพียงถอนหายใจและยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างปลงๆ


แฟ้มเอกสารสีเหลืองแกว่งไปมาหน้ากวิตรามันลอยอยู่เหนืออากาศระหว่างนิ้วเรียวบางเคลือบด้วยสีพีชประกายมุกสองนิ้วที่หนีบมันไว้ไม่ให้ตกลงมาบนหน้าเธอ


“นี่เป็นรายละเอียดคณะผู้บริหารที่จะมาอาทิตย์หน้าและฉันขอบอกว่า แซ่บม๊วก อยู่หลายคน อ่านดูเอานะยะ จะได้เตรียมตัวรับมืออย่าลืมแต่ตัวงามๆ ไว้นะยะ เผื่อหล่อนจะวาสนาดีกับเขาบ้าง อ้อ ปอลิงอย่าแย่งคุณมาร์ตินนะ คนนั้นฉันเล็งไว้แล้ว” ร่างโปร่งของทิตยา หรือ ซันเออีของบริษัทที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอกรีดกรายอย่างมีจริตจก้าน


“นังซัน มาทำอะไรแถวนี้ยะนี่จะมากันท่าผู้ชายกันโต้งๆ อย่างนี้เลยเหรอ”กวิตราเงยหน้าถามด้วยความขบขันทิตยาเป็นคนที่เธอให้คำจำกัดความว่า ‘รั่วสุดขีด’ แม้รูปร่างหน้าตาเธอจะสวย เซ็กซี่ระดับนางฟ้าวิคตอเรีย’ส ซีเครท บุคลิกยามทำงานของเธอก็คล่องแคล่ว น่าชม แต่ทุกคนที่ได้ทำความรู้จักกับเธอจะเลือกที่จะเป็นเพื่อนกันไปเสียหมดส่วนใหญ่ก็เพราะอุปนิสัยบ้าหลุดโลกของเธอนี่เอง


“แหงล่ะทั้งบริษัทนี้ไม่มีใครสูสีในเรื่องความงามกับฉันเท่ากับหล่อนละฉันเลยต้องมากันท่าไว้ก่อน อยากได้สุดๆ คนนี้ฉันฟันธงว่าเป็นเนื้อคู่ฉัน”ดวงตาที่ตกแต่งด้วยอายไลน์เนอร์โฉบเฉี่ยวและขนตาหนาเป็นแพเคลิ้มฝันทำเอากวิตราหัวเราะคิก


“อิบ้าฉันเห็นแกมีเนื้อคู่ประมาณสิบล้านคนเข้าไปแล้วเนี่ย”น้ำเสียงสะบัดด้วยความหมั่นไส้ แต่ทิตยาก็ไม่ได้ติดใจทั้งยังเสริมต่อด้วยเสียงแหลมสูง


“ชาติก่อนฉันคงทำบุญมาดีอ่ะแก...เนื้อคู่เต็มไปหมด หัวกะไดบ้านไม่แห้งแล้วเนี่ย โฮะๆๆ”

“แกแน่ใจนะว่าไอ้ที่หัวกระไดบ้านไม่แห้งเนี่ยไม่ใช่อ้วก”


“อุ๊ย อิบ้าผู้ชายขึ้นบ้านมาขอย่ะ เคยเห็นมะ ไม่คุยด้วยแล้วดีกว่า ยังไม่ได้โทร.หาพีอาร์ของรายการแซ่บ...อีซี่เลย”ร่างชะลูดของทิตยาหันหลังออกจากประตูแผนกด้วยท่าเดินสง่างามขัดกับอุปนิสัย


นิ้วเรียวยาวพลิกเอกสารในแฟ้มที่ได้จากทิตยาเปิดไล่ดูรายชื่อคณะผู้บริหารที่จะเข้าตรวจเยี่ยมอย่างคร่าวๆผู้บริหารบางท่านก็มีรูปถ่ายส่งมาจากบริษัทแม่บางรูปก็เป็นที่ฝ่ายการตลาดหามาจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งคุณภาพของรูปแย่มากจนบางคนก็ไม่สามารถบอกอัตลักษณ์ได้ข้อมูลในแฟ้มก็มีแค่ ชื่อ นามสกุล ตำแหน่ง สัญชาติ งานอดิเรกเธอตั้งใจว่าจะค่อยเอากลับไปอ่านดูที่บ้าน แต่สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นชื่อคุ้นตา‘เคเลบ สไตน์เนอร’ ที่มาพร้อมรูปถ่ายอันพร่ามัวที่ไม่สามารถบอกอะไรได้มากนัก ภาพเล็กๆพร่ามัว ซ้ำยังเป็นสีขาวดำ คาดว่าคงจะเอามาจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือเสิร์ชเอ็นจิ้น กวิตราไล่ดูรายละเอียดในเอกสารฉบับนั้น ตำแหน่งระบุไว้ว่าเป็น ‘รองกรรมการฝ่ายการเงิน’ สัญชาติเยอรมัน งานอดิเรกคือวาดรูป คิ้วได้รูปขมวดกันเป็นปมอย่างแคลงใจนอกจากชื่อเหมือนกันแล้ว สัญชาติ และงานอดิเรกยังเหมือนกันอีกเธอจำได้ดีว่าเคเลบคนนั้นชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจพวกเธอชอบไปปิกนิกกันกับกลุ่มเพื่อนที่สวนสาธารณะข้างสะพานโกลเด้นเกทและเคเลบมักพกกระดาษกับดินสอสเก็ตช์เพื่อไปวาดรูปสะพาน ภาพนั้นมีหลายใบจนต้องแจกจ่ายให้เพื่อนทุกคนทั้งยังมีภาพวาดถนนสไตน์เนอร์ ถนนลอมบาร์ด และยังสวนสนุกที่พวกเธอทำงาน แต่เมื่อหญิงสาวลองพิจารณาจากตำแหน่งหน้าที่แล้วเธอจึงสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เธอจำได้ว่าเคเลยเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ซึ่งแม้จะสายงานคล้ายๆ กัน แต่ก็คงไม่สามารถกินตำแหน่งสูงขนาดนี้ในบริษัทใหญ่ๆได้เร็วนัก หญิงสาวยักไหล่เบาๆ ก่อนจะวางแฟ้มนั้นไว้ข้างตัวอย่างไม่แยแสแล้วกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อและลืมเรื่องนี้ไปเลยจนกระทั่งกลับบ้าน




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2556   
Last Update : 4 สิงหาคม 2556 20:54:42 น.   
Counter : 568 Pageviews.  


บทที่ 1

ตอนที่1

รถยนต์ไฮบริดรุ่นล่าสุดเลี้ยวเข้าจอดคฤหาสน์ทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่ในตัวเมืองเชียงรายร่างเล็กกลมป้อมสองร่างรีบกระโดดลงจากรถทันทีที่รถจอดสนิท เสียงกรีดร้องอย่างตื่นเต้นดังไปทั่วบริเวณร่างโปร่งก้าวตามลงมาพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบเล็กหลายใบหญิงสาวมองตามร่างมนุษย์ย่อส่วนไปอย่างอารมณ์ดีกวิตราในวัยยี่สิบเจ็ดสวยสง่าราวสตรีชั้นสูง รูปร่างโปร่งทรงนาฬิกาทราย ผิวพรรณละเอียดละออพวงแก้มสีชมพูปลั่ง ดวงตาเรียวตวัดหางเหมือนกวางสาวเครื่องหน้าชัดเจนหลังจากที่ลดส่วนเกินบนใบหน้าออกหมดกวิตราในตอนนี้แทบไม่เหลือเค้าเดิมของสาวน้อยตัวกลมป้อมเมื่อหกปีก่อน

“ถ้ามันล้มนะ จะหัวเราะให้บ้านบึ้ม”เสียงแตกพร่ามาจากกเชนทร์ที่ได้รับค้อนวงใหญ่จากหญิงสาว

“ถ้าบ้านบึ้มแกตายแน่... ไม้สักทองทั้งหลังขนาดนี้ แกเป็นหนี้หัวบานแหงม”

“กลัวอะไร ขอตังค์พ่อสิเชนไม่มีตังค์จ่ายอยู่แล้ว”ร่างสูงแย่งกระเป๋าบางส่วนมาช่วยถือ หลังจากขับรถไปรับสามแม่ลูกที่สนามบินกเชนทร์อ่อนกว่าพี่สาวเกือบเจ็ดปีทำให้บางครั้งกวิตรารู้สึกเอ็นดูน้องชายคนนี้เป็นพิเศษ หญิงสาวยิ้มหัวอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินตามเด็กน้อยทั้งสองเข้าไปในตัวบ้าน

กวิตราอุ้มท้องกลับมาประเทศบ้านเกิดด้วยความอดทนเธอโชคดีที่มีครอบครัวที่เข้าใจ และให้อภัยเธอในสิ่งที่เธอทำพลาดไป เธอและครอบครัวประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าเด็กในท้องมีถึงสองคนความสงสารลูกจึงเพิ่มทวีขึ้นมาเธอทำให้เด็กสองคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องมาเป็นเหยื่อในความสะเพร่าของเธอความตั้งใจที่จะเป็นแม่ที่ดีเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งเมื่อเธอต้องดูแลถึงสามชีวิตไปพร้อมๆ กัน

เด็กทั้งสองเกิดมาหน้าตาเหมือนเคเลบไม่มีผิดเพี้ยน สร้างความปวดร้าวให้เธอมากไปกว่าเดิมเฝ้าก่นด่าน้อยใจในโชคชะตาตัวเอง แต่เธอก็ยังคงยึดมั่นในปณิธานที่จะเป็นแม่ที่ดีเลี้ยงลูกแฝดของเธอให้เติบโตมาด้วยความรักแม้ว่าจะต้องปวดใจทุกครั้งที่มองหน้าลูกทั้งสอง มีบางครั้งที่ลูกๆของเธอถามหาพ่อเมื่อเห็นเพื่อนๆ ของตนมีพ่อมารับพร้อมแม่เธอได้แต่ข่มความขมขื่นตอบว่าพ่อของทั้งคู่อยู่ไกลเกินกว่าจะมาหาแต่ยังรักและคิดถึงเด็กๆ อยู่เสมอไทยสันต์ลูกชายของเธอดูจะเป็นเด็กที่ฉลาดสุขุมเกินวัย ไม่เคยถามถึงพ่ออีกเลยอีกทั้งยังหยุดอันนาเมื่อเด็กหญิงถาม และคอยปลอบโยนน้องสาวเมื่อเธอร้องไห้หาพ่อ

เธอไม่ได้ข่าวคราวของเคเลบอีกเลยนับตั้งแต่เธอส่งข้อความนั้นไปแม้ว่าโลกออนไลน์จะพัฒนาไปไกลกว่าเมื่อก่อน แต่โลกของเธอและเขาไม่เคยได้มาบรรจบกันไม่มีคำตอบจากจดหมายฉบับนั้น และเธอก็ทรนงเกินกว่าจะส่งไปอีกฉบับเพื่อย้ำเตือนในใบแจ้งเกิดของลูกๆ เธอก็เว้นว่างชื่อบิดาไว้อย่างตั้งใจ แม้เธอจะหวังลึกๆว่าสักวันเคเลบจะกลับมายืดอกรับผิดชอบด้วยความยินดีแต่เธอก็รู้ว่าคงเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆกวิตรายังคงยืดอกรับผิดชอบครอบครัวของเธอด้วยความอดทนอีกทั้งครอบครัวเธอทั้งรักและหลงหลานตัวน้อยทั้งสองเป็นอย่างมาก หญิงสาวแทบไม่ต้องเผชิญความลำบากใดๆในการเลี้ยงดูลูกทั้งสอง แม่ ย่าและยายของเธอหมั่นไปเยี่ยมเยียนสามแม่ลูกที่กรุงเทพฯเสมอเมื่อโอกาสอำนวยและคอยอาสาเลี้ยงดูเด็กทั้งสองเมื่อกวิตราต้องไปทำงานคุณปู่ของเธอที่สร้างอุบายฉลองในโอกาสที่ตนอยู่ยืนยาวกระทั่งได้อุ้มเหลน ยืนกรานจะออกค่าใช้จ่ายในการศึกษาทั้งหมดของเด็กทั้งสองให้สูงที่สุดเท่าที่ทั้งคู่จะเรียนไหวทางจิณณาก็เช่นกัน ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนสนิทกันหลังจบโครงการกลับมาทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ แม้แต่น้อย แต่เพื่อนสาวยังคงยืนเคียงข้างเธอช่วยให้เธอผ่านปัญหาต่างๆ ด้วยดีเธอมักไปเป็นเพื่อนเธอในชั้นเรียนการเตรียมตัวเป็นแม่อีกทั้งยังเป็นธุระจัดหาพี่เลี้ยงมาดูแลเด็กๆ เป็นอย่างดี จนเธอเปรยเล่นๆว่าถ้าหากประเพณีไทยมีวัฒนธรรมการแต่งตั้งแม่ทูนหัวจิณณาคงไม่พ้นตำแหน่งนั้นเป็นแน่

ร่างโปร่งเดินเข้าไปเห็นเด็กน้อยทั้งสองจมอยู่ใต้กองของเล่นกองโตที่บรรดาผู้ใหญ่จัดหาซื้อมาให้ในโอกาสที่เด็กน้อยทั้งสองจะมาอยู่ด้วยในช่วงปิดเทอมก็ถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนเดินเข้าไปกราบผู้ใหญ่แล้วส่งสายตาอ่อนใจไปที่กองของเล่น

“ซื้อใหม่อีกแล้วเหรอคะนี่ ของเก่ายังเล่นกันไม่ทันเบื่อเลยแล้วนี่ซื้อเสียเยอะแยะไปหมด เคยตัวกันไปเปล่าๆ”

“แน้ ยายเกดนี่ก็ มันจะอะไรกันนักกันหนา ย่าไม่ได้ซื้อให้เกดเสียหน่อย เหลนย่าย่าก็อยากให้มีความสุข สนุกกันไปตามวัย ของเล่นเก่าๆ น่ะ มันของเด็กเล็กกว่านี้เดี๋ยวพัฒนาการมันจะไม่ทันกัน บ้านเราก็ใช่จะขัดสนเงินทองเสียหน่อย”ย่าละอองของเธอให้เหตุผลโดยมีกรองแก้ว แม่ของเธอสนับสนุน

“ใช่ ความฉลาดหลานฉัน ทีตอนเด็กๆ แม่ซื้อของเล่นให้เกดเยอะแยะไม่เห็นเกดบ่นนี่นา”

“โธ่ พี่เกด อยู่กับพี่เกดน่ะ หลานเชนเล่นยังไม่เต็มที่ก็โดนพี่เกดสั่งเก็บไล่ไปนอนทุกที นี่กลับมาบ้านทั้งทีก็ให้เด็กๆ เล่นให้เต็มที่สิ นี่ปิดเทอมนะ”กเชนทร์ซึ่งตามหลังมาเสริมทัพผู้ใหญ่เข้าไปนั่งแทบเท้าย่าละอองอย่างประจบประแจง กวิตรากลอกตาด้วยเบื่อจะขัดจึงตัดบทหาทางออกให้ตนเรียบๆ

“เฮ้อ เอาเถิดค่ะ ถ้าทุกคนว่าอย่างนั้น เกดคงขัดอะไรไม่ได้เกดขอตัวไปสรุปยอดบัญชีนะคะ ไทเล่นเสร็จแล้วเก็บให้เรียบร้อยนะครับลูกหนูนาช่วยพี่ไทด้วยนะคะ”กวิตราเตือนลูกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเด็กน้อยทั้งสองตอบรับอย่างกระตือรือร้นก่อนที่ไทยสันต์จะวางมือจากของเล่นแล้วผละมาหาเธอ

“แม่จ๋า โตขึ้นไทจะซื้อของเล่นให้ตัวเองครับ แม่จ๋าไม่ต้องห่วงนะครับ”คำมั่นของหนุ่มน้อยทำให้เธออิ่มใจให้รางวัลเป็นหอมฟอดใหญ่อย่างหมั่นเขี้ยว

“ตกลงครับ แต่ตอนนี้ไทต้องดูแลของเล่นใหม่ให้ดีๆ นะครับเดี๋ยวแม่มา”เด็กน้อยรับคำอย่างขันแข็งก่อนจะวิ่งกลับไปสมทบกับน้องสาว

นับตั้งแต่กลับบ้านมา กวิตราก็วิ่งวุ่นทำงานตัวเป็นเกลียว เธอจบมาด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอีกทั้งบุคลิคภาพ รูปร่างหน้าตาของเธอทำให้หางานในบริษัทใหญ่ๆ ทำได้อย่างง่ายดายเธอได้งานในบริษัทอาหารแปรรูปจากต่างประเทศชื่อดังและทำงานอย่างตั้งใจกระทั่งได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วแต่ก็ใช่ว่าชีวิตจะสุขสบายนัก เพราะเธอต้องทำงานหนักจนเกือบจะเรียกได้ว่าหามรุ่งหามค่ำเวลาส่วนตัวเกือบทั้งหมดของเธอ นอกจากจะทุ่มเทให้ลูกน้อยทั้งสองแล้วยังต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งระหว่างลาพักร้อนกวิตราเปิดคอมพิวเตอร์แลบทอปขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วเพื่อเข้าระบบตรวจสอบงานที่สั่งการผู้ช่วยไว้ก่อนออกเดินทางระหว่างนั้นก็เปิดอีเมลล์ส่วนตัวขึ้นมาพบว่ามีข้อความมากมายส่งถึงเธอในระบบโซเชียลเน็ตเวิร์คนิ้วเรียวยาวเลื่อนไปกดลิงค์อย่างคล่องแคล่วเพื่อพบว่าเธอมีรูปมากมายในหน้าโปรไฟล์ของจิณณา มันเป็นวันที่เธอพาลูกๆไปงานขึ้นบ้านใหม่ของเพื่อนในกลุ่มที่ไปทำงานที่ซานฟรานซิสโกด้วยกันรูปของหญิงสาวและเด็กน้อยทั้งสองในอิริยาบทต่างๆเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาเพื่อนฝูงของเธอ มีหลายคนแสดงความคิดเห็นชื่นชมในความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กแฝดทั้งสองภาพหลายภาพถูกกระจายไปยังเพื่อนๆ ต่างชาติของกวิตราที่เคยทำงานด้วยกัน มีหลายคนแสดงความคิดเห็นที่ทำให้เลือดในกายเธอเย็นเยียบเหงื่อกาฬซึมขึ้นมาตามไรผม

‘เฮ้ นี่ลูกของเคทหรือนี่โตเร็วจัง อายุเท่าไหร่กัน’

‘เด็กสองคนนี้หน้าตาคล้ายเคเลบจังแอบมีลูกด้วยกันก็ไม่บอก’

‘เคเลบกับเคท จริงหรือนี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูกใคร ทำไมไม่เห็นบอกกันบ้าง’

‘เคเลบรูปหล่อมีคู่แข่งเสียแล้ว เตรียมตัวไว้เถิด’

‘ยิ่งเห็นเด็กคนนี้ยิ่งคิดถึงเคเลบถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเคเลบกับเคทอยู่ห่างกันกว่าครึ่งโลกคงคิดว่าไทสันน้อยเป็นลูกของเคเลบกับเคทแน่นอน’

‘เฮ้ เคเลบนายมีตัวตายตัวแทนด้วยว่ะเพื่อน’

ทั้งๆ ที่กวิตรารู้อยู่เต็มอกว่าบรรดาเพื่อนเก่าๆมีเจตนาเพียงยั่วแหย่ตามประสาเพื่อนฝูงไม่ได้คิดจริงจังกับความจริงที่ว่าเธอและเคเลบมีลูกด้วยกันถึงสองคน ยิ่งหากเพื่อนๆของเธอรู้อายุของเด็กแฝดทั้งสองยิ่งเดาออกไม่ยากหญิงสาวนึกก่นด่าโชคชะตาฟ้าดินที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอกับลูกได้อยู่กันอย่างสงบสุขทั้งที่ผ่านมาเธอไม่เคยถ่ายรูปลูกน้อยขึ้นโปรไฟล์ส่วนตัวเลยจนกระทั่งเลื่อนไปดูรูปหนึ่งที่จิณณาถ่ายไทยสันต์ภาพเดี่ยวเป็นภาพที่ทำให้หัวใจหญิงสาวแทบหยุดเต้นก็ในเมื่อเด็กชายไทยสันต์ถอดโครงหน้าจากผู้เป็นบิดาทางสายเลือดมาไม่ผิดเพี้ยนมีเพียงสีทองสุกสว่างของดวงตา และสีผิวอมเหลืองเท่านั้นที่แตกต่างอีกทั้งมุมกล้องยังอำนวยให้เหมือนบิดาเข้าไปใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นกวิตราคิดไม่ออกเลยว่าใครกันที่มือดีแท็กชื่อของเคเลบในรูปนั้นพร้อมความเห็นอีกหลายข้อความที่คล้ายคลืงกันกว่าที่มือบางจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เพื่อต่อสายถึงจิณณาเพื่อให้ฝ่ายนั้นลบรูปไทยสันต์และอันนาออกไปเสียก่อนที่เรื่องจะบานปลายก่อนที่ใครจะจับสองมาบวกสองแล้วได้คำตอบที่แท้จริงในช่วงเสี้ยววินาทีนั้นก็มีเสียงร้องเตือนว่าเธอมีข้อความใหม่เข้ามาในโซเชียลเน็ตเวิร์คข้อความนั้นคือเคเลบที่แสดงความเห็นบนรูปของไทยสันต์มือเรียวที่บัดนี้สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเลื่อนไปกดรูปขึ้นมาใหม่ด้วยหัวใจเต้นรัวข้อความสั้นๆ ที่ยิ่งทำให้หัวใจเธอแตกสลายน้ำตาที่เธอคิดว่าเหือดแห้งไปแล้วตั้งแต่หกปีก่อนพร่างพรูลงมาอีกครั้ง

‘หน้าเหมือนผมจริงๆ ด้วยชักอยากเห็นหน้าพ่อของไทสันน้อยเสียแล้วสิ แสดงตัวให้ดูหน่อยสิเคท’

กวิตราเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มในอกชายคนนั้นกล้าดีอย่างไรถึงมีความคิดดูหมิ่นน้ำใจเธอได้ขนาดนี้เอาความคิดที่ไหนว่าเธอจะมีแก่ใจมีใครใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่เธอได้บอกเขาไปแล้ว คนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู้ตั้งแต่ต้นแม้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาลูกของเธอหากเห็นรูปถ่ายภาพนี้ก็บอกได้ไม่ยากว่าใครคือบิดาของเด็กชายไทยสันต์ด้วยระยะเวลาและหลักฐานที่ประกฏอยู่ตรงหน้าไฟที่ถูกสุมทรวงไว้เป็นเวลานานบัดนี้ลุกโชนอย่างน่ากลัวหญิงสาวในตอนนี้เต็มไปด้วยโทสะแรงกล้ามือเรียวทั้งคู่กำแน่นอย่างแค้นใจจนเล็บที่ถูกขัดเคลือบตกแต่งอย่างดีจิกลึกเข้าไปในอุ้งมือน้ำตาร้อนๆ ไหลพรากอย่างไม่หยุดหย่อนร่างระหงสั่นสะท้านด้วยอารมณ์ที่ผสมคละเคล้ากันระหว่างความโกรธ น้อยใจ ผิดหวังและเจ็บช้ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีเวลาให้ใครนอกจากลูกน้อยทั้งสองด้วยความหวังในส่วนลึกของจิตใจว่าเคเลบจะกลับมายืดอกรับไทยสันต์และอันนาเป็นลูกอย่างภาคภูมิ เหตุผลลึกๆที่กวิตราตั้งชื่อลูกให้คล้องกับชื่อสามัญภาษาอังกฤษก็ด้วยเหตุนี้เธอคอยติดตามความเคลื่อนไหวของชายที่เป็นพ่อแท้ๆ โดยสายเลือดของลูกเธอผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นระยะเห็นเขามีความสุขอยู่ดีก็ใจชื้นว่าชายที่ตนรักปลอดภัยอยู่ที่บ้านเมืองของเขาแอบคิดเข้าข้างตัวเองเป็นบางครั้งว่าเขากำลังก่อร่างสร้างตัวเพื่อที่จะรับเธอและลูกๆไปอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเนื่องด้วยไม่เห็นผู้หญิงคนไหนประกาศตัวว่าเป็นคนรักของชายหนุ่มในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้

จนมาวินาทีนี้ คำแรกที่เขาติดต่อสื่อสารกับเธอแม้จะเป็นทางอ้อมก็ทำให้เธอได้ตาสว่างว่าชายคนที่เธอเฝ้ารักได้จบสิ้นเยื่อใยต่อเธอลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วจริงๆและจงใจจะไม่รับผิดชอบในความผิดพลาดที่เธอและเขาสร้างขึ้นมา ความหวังลมๆ แล้งๆที่เธอหล่อเลี้ยงไว้หลายปีได้หลุดลอยไปในทันตาหญิงสาวสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งทีก่อนจะพ่นลมออกมาทางจมูกเป็นการตัดใจเธอลากนิ้วไปที่รายชื่อเพื่อนของเธอแล้วลากหาชื่อ ‘เคเลบ สไตน์เนอร์’เพื่อลบทิ้งทันทีอย่างไม่รีรอ พอกันทีกับวิมานในอากาศจอมปลอมที่เธอวาดฝันไว้ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีวันเป็นจริงอย่างไรก็ตาม เธออยากให้แน่ใจว่าไม่มีใครพยายามเพ่งมองรูปลูกๆของเธอจนจับสองมาบวกสองได้เธอตัดสินใจกดโทรศัพท์หาจิณณาเพื่อให้อีกฝ่ายลบรูปเธอออกไปเสียรอสายไม่นานปลายทางก็ตอบรับอย่างเบิกบาน

“ไงหล่อน ฉันแท็กรูปแกกับหลานๆตอนไปงานขึ้นบ้านไอ้เดย์ให้แล้วนะ เห็นหรือยัง”น้ำเสียงไม่รู้เรื่องรู้ราวทำให้ก้อนแข็งๆ ในลำคอกวิตราจุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“เจ แกลบรูปออกเถอะพวกแจ๊คเห็นแล้วฉันกลัวว่าพวกนั้นจะเดาออก”พยายามกดน้ำเสียงราบเรียบอย่างยากลำบาก

“คิดออกก็คิดไปสิ แกจะกลัวอะไร จะได้ประจานพ่อมันด้วย ว่าไข่แล้วทิ้ง เลวไร้ความรับผิดชอบ”จิณณาที่ยังเคืองเคเลบอยู่กลับมีอารมณ์โกรธรุนแรงกว่าเธอนัก

“เคเลบเพิ่งคอมเมนต์รูปไทไปเมื่อกี๊ไม่รู้ใครแท็ก”เธอพูดเพียงเท่านั้นก็หยุดเพราะเธอไม่สามารถคุมเสียงตัวเองให้ราบเรียบอีกต่อไปทางฝ่ายนั้นก็ดูจะนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

“อ้าว ใครแท็กวะ แต่เฮ้อฉันอยากจะรู้เหลือเกินว่านอกจากมันจะไม่มีความรับผิดชอบแล้วมันจะมีความละอายแก่ใจบ้างหรือเปล่า แต่เท่าที่ดูจากความเห็นแล้วคงไม่ ชิ...ไอ้หน้าตัวเมีย”

“ช่างเขาเถอะ ฉันเลือกจะตัดเขาออกจากชีวิตแล้ว เขาจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของฉันแล้วแต่ฉันไม่อยากให้ลูกต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอีก แกลบออกเถอะนะ”

“เฮ้อ ก็ได้ ว่าไงก็ว่าตามกัน รูปแกนี่นา เดี๋ยวส่งเป็นอีเมลล์ไปให้แทนแล้วกัน”

“ขอบใจนะ เดี๋ยวกลับกรุงเทพฯไปจะเลี้ยงข้าว”หญิงสาวเปลี่ยนบทสนทนาให้เป็นความรื่นรมย์

“อ้าว นี่อยู่เชียงรายเหรอ ตามไปด้วยได้ไหมเนี่ยเบื่อกรุงเทพฯจะตายอยู่แล้ว”ปลายสายนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะบ่นออกมายาวเหยียดเกี่ยวกับความวุ่นวายในเมืองใหญ่

“มาสิ เดี๋ยวให้ป้าหน่อยทำกับข้าวไว้รอ แกงโฮะระดับตำนาน ลำแต๊ๆสูตรแท้ดั้งเดิม น้ำพริกหนุ่มพร้อมแคปหมูทำเอง หอม มัน ขนมจีนน้ำเงี๊ยวกระดูกหมูไข่ปามรสละมุนหอมใบตอง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณขึ้นมาภายในสิบนาทีนี้เรามีแกงแคจิ้นงัว และไส้อั่วอัมพรเจ้าดัง ยัง... ยังไม่พอ...”

“แต่ฉันว่าแกพอเถอะ สงสารท้องไส้ฉันบ้างขนมาทั้งจังหวัดเลยนะเนี่ย”สองสาวหัวเราะคิกคักชอบใจ มิตรภาพของพวกเธอเรียบง่ายคอยช่วยเหลือกันและกันเสมอ ครอบครัวของทั้งคู่จึงพลอยสนิทสนมกันไปด้วย

“เออๆ ถ้าจะมาเมื่อไหร่ก็โทร. มาหาฉันแล้วกันเดี๋ยวที่บ้านฉันคงทำกับข้าวไว้รอ ยิ่งย่าฉันคงกรี๊ดลั่นบ้าน”

“ไอบ้า เวอร์ไปละ ฉันไปทำงานก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะรีบเคลียร์งานแล้วตามไป”กวิตรารับคำก่อนที่จะตัดสายไป

หญิงสาวนั่งสูดหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเพื่อสงบสติอารมณ์เธอรู้สึกชาหนึบในอกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนตอนนี้ในหัวของเธอสับสน ความคิดตตีกันยุ่งเหยิงไปหมดใจหนึ่งเธอรู้สึกปลอดโปร่งที่ไม่ต้องเฝ้าคอยอะไรบางอย่างอย่างลมๆ แล้งๆโล่งใจที่เธอรู้ว่าการรอคอยของเธอได้สิ้นสุดลงแล้วและเป็นเวลาที่เธอจะตัดใจให้ขาดสิ้นได้เสียที แต่ในมุมหนึ่งเล็กๆ ของความคิดหัวใจเธอเหมือนถูกกรีดเป็นริ้วๆ ความหวังของเธอกลายเป็นปราสาททรายที่ถูกน้ำทะเลพัดทลายลงอย่างไม่เหลือเค้าเดิม

ในขณะที่กวิตรากำลังรวบราวสติให้จดจ่อกับงานนั้นเสียงเตือนข้อความในระบบโซเชียล เน็ตเวิร์คก็ดังขึ้นเรียกร้องความสนใจหญิงสาวมือเรียวขยับเมาส์เพื่อเปิดข้อความที่ทำให้ร่างกายเธอไร้ความรู้สึกไปอย่างสมบูรณ์

‘เคท

ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเริ่มต้นอย่างไรแต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือสิ่งใดที่ผมควรจะเริ่ม... ผมขอโทษ จากก้นบึ้งของหัวใจ

ผมเสียใจในความเห็นแก่ตัวอย่างน่ารังเกียจของผมผมขอโทษที่ผมไร้ความรับผิดชอบอย่างโหดร้าย และปล่อยให้คุณต้องเผชิญกับความลำบากและความอับอายอย่างโดเดี่ยว

แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ยังดูแลสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีและภาคภูมิเป็นสิ่งที่น่านับถือเป็นอย่างมาก ผมละอายแก่ใจอย่างสุดซึ้ง

ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมจะแสดงความเป็นลูกผู้ชาย และรับผิดชอบในการกระทำของผมจริงๆเสียที ผมจะทำเรื่องไปประเทศไทยเพื่อพบลูกๆของผมและแสดงตัวให้ลูกรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ไม่พึงประสงค์

คุณมีสิทธิ์เต็มที่จะโกรธ เกลียดผมและมีความชอบธรรมโดยชอบที่จะกีดกันผมไม่ให้เจอลูกๆแต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะวอนขอทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ ผมขออย่าให้ลูกๆต้องมาพลัดพรากจากสิ่งที่เขาพึงจะมีพวกเขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะมีพ่อที่จะเป็นที่พึ่ง อีกครื่งหนึ่งนอกจากแม่

เคท... ผมอยากให้คุณตรองดูให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจ อย่าได้ใช้อารมณ์ความโกรธแค้นที่คุณมีต่อผมทำให้ลูกๆขาดผลประโยชน์ที่พวกเขาพึงจะมี ผมสัญญาว่าต่อจากนี้ผมจะดูและลูกๆเป็นอย่างดีด้วยความรัก จะปกป้องพวกเขาจากอันตรายทั้งปวงที่พวกเขาจะเจอแม้ครอบครัวของเราจะไม่ได้เริ่มต้นจากความรัก แต่ผมจะให้ความรักลูกๆของผมอย่างเต็มที่ ขอให้คุณเชื่อใจผมในเรื่องนี้

เคเลบ’

จิณณานั่งมองรายชื่อเพื่อนบนระบบโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างไม่สบอารมณ์เธอกำลังโกรธและโกรธมากเสียด้วยไอ้เพื่อนผู้ชายที่เธอคิดว่าเป็นฝรั่งนิสัยดีมีคุณธรรมไม่ขี้เหล้าเมายาติดปาร์ตี้เหมือนคนอื่นๆ ลงท้ายก็มีข้อเสียที่แย่มากเหมือนกันเคเลบช่างไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย ไม่มีความรับผิดชอบไม่มีแม้กระทั่งสัญชาตญาณความเป็นพ่อ เธอไม่น่าคิดแผลงๆ โดยการแกล้งแทกรูปเด็กชายไทยสันต์บนโซเชียลเน็ตเวิร์คเลยในชั่วความคิดนั้น เธออยากกระตุ้นความรับผิดชอบในตัวเคเลบซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคิดว่าชายหนุ่มมีมาโดยตลอด แต่ข้อความสั้นๆที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวทำเอาเธอมือสั่นด้วยความโกรธแทนที่จะกลัวความผิดแล้วเงียบหายไปเงียบๆ จากนั้นค่อยมายืดอกยอมรับแบบลูกผู้ชายเคเลบกลับพาซื่อเขียนข้อความที่ยืนยันกับจิณณาว่า เขามันคนไม่มีหัวใจร่างผอมถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วกดระบบข้อความถึง ‘เคเลบ สไตน์เนอร์’พร้อมกับทิ้งคำสั้นๆแค่เพียงว่า

‘ไอ้ทุเรศ’

เสียงกระแอมดังขึ้นในจังหวะที่เธอกดปิดหน้าต่างโซเชียลเน็ตเวิร์คทำเอาจิณณาสะดุ้งสุดตัวร่างเก้งก้างหันไปเห็นชายในชุดสูทเนี้ยบเนื้อผ้าราคาแพงยืนมองเธอด้วยสาตาที่มีรอยยิ้มคล้ายจะเย้า ปากแดงจัดที่ตัดกับไปหน้าขาวสะอาดยกมุมขึ้นอย่างช่วยไม่ได้แม้ว่าเจ้าของจะพยายามห้ามสุดความสามารถ

“พี่ปั้น ตกใจหมดมากันเงียบๆ”หญิงสาวสะบัดเสียงด้วยอารมณ์กรุ่นยังคงมีอยู่

“มาแอบดูคนใช้เวลางานไปเล่นเฟสบุ๊ค”ปนันธวุธเป็นรองกรรมการผู้จัดการของบริษัทวงจรไฟฟ้าที่เธอทำงานอยู่ด้วยความที่ครอบครัวทั้งสองสนิทกัน จึงทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันตามงานสังสรรค์บ่อยก็นับตั้งแต่ชายหนุ่มกลับจากอังกฤษ และจิณณากลับจากซานฟรานซิสโก โดยส่วนตัวหญิงสาวเพียงคิดว่าปนันธวุธเป็นพี่ชายคนหนึ่งซึ่งคอยก่อกวนเธอให้ชีวิตมีสีสันแต่บางครั้งก็รู้สึกถึงสายตาของชายหนุ่มที่ทำให้เธอสะบัดร้อนสะบัดหนาวอย่างบอกไม่ถูก

“เออน่า แป๊บเดียว เข้าไปด่าคนแล้วก็ปิด”

“ว่างขนาดไปไล่ด่าคนเลยเรอะ”

“เปล่าหรอก แต่เกลียดมาก มันไม่มีความเป็นลูกผู้ชายทุเรศ”น้ำเสียงที่ปิดความโกรธขึ้งไว้ไม่มิดทำให้ปนันธวุธคลายสีหน้าขบขันลงแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“เจ พี่ขอเตือนนะอย่าได้ไปเที่ยวว่าผู้ชายคนไหนว่าไม่มีความเป็นลูกผู้ชายอีกถ้าวันไหนเจเจอผู้ชายที่เขาพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายขึ้นมาแล้วเจจะเสียใจ” แม้จะคิดว่าเลือกคำได้ดูรุนแรงน้อยที่สุดแล้วแต่จิณณาก็ยังสะบัดหน้าอย่างขัดใจอยู่ดี

“พี่ปั้นไม่ต้องยุ่งได้ไหม เจกำลังโกรธ โกรธมากรีบๆ พูดธุระมาแล้วก็ไปทำงานของตัวเองต่อเดี๋ยวจะโดนคนขี้ฟ้องมาพูดว่าใช้เวลางานมานั่งเมาธ์มอย”

“พี่แค่จะมาบอกว่า อาทิตย์หน้าพี่จะไปโอซาก้าบริษัทแผงวงจรอิเลคทรอนิกส์เขามีงานเปิดตัวสินค้าแล้วพี่ก็ว่าจะเลยไปคุยกับซัพพลายเออร์เจ้าอื่นๆ ด้วยเลย คิดว่าคงไปตั้งเกือบเดือนเจอยากได้อะไรไหม” สายตามีแววอาทรอยู่ในที แต่จิณณาก็ยังไม่อยากคิดไปเองจึงรีบตอบถึงสิ่งแรกที่เธอนึกออก

“ซื้ออิจิโกะ ดังโงะมาให้ด้วยสิ อยากกินอ่ะ”

“ได้สิแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ”สายตามีเลศนัยที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวชอบกล

“อะไร ไม่เอายากนะ ถ้ายากไม่กินดีกว่าเดี๋ยวจะว่าเจเห็นแก่กิน”ปนันธวุธหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอื้อเอ็นดู ชายหนุ่มก้าวเข้าประชิดตัวจิณณาเพื่อพูดให้ได้ยินเพียงสองคน

“อย่าลืมคิดถึงพี่นะ”พูดเพียงเท่านั้นแล้วก็รีบสาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงหัวเราะปล่อยให้ผู้ฟังนั่งจ้องแผ่นหลังกว้าง หาคำพูดตัวเองไม่เจอ




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2556   
Last Update : 17 มิถุนายน 2556 19:03:03 น.   
Counter : 212 Pageviews.  


บทนำ

เส้นสีแดงสองเส้นบนอุปกรณ์ขนาดเล็กรูปร่างคล้ายปากกาทำเอาจิตใจหญิงสาวกระตุกวูบไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดครั้งเดียวในชีวิตที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะนำมาซึ่งปัญหายิ่งใหญ่เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำตอนเกิดเหตุความอยากรู้อยากลองของเธอนำมาซึ่งความยุ่งยากไม่จบสิ้น ร่างกลมป้อมทรุดลงพื้นอย่างหมดแรงไหล่หนาสั่นสะท้าน เธอร้องไห้ครวญครางเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆมือกำอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ไว้แน่น จิตใจว้าวุ่นคิดตาลปัตรอย่างไร้จุดหมายเธอไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปมองบุพการีของเธออย่างไรคิดไม่ออกว่าจะเริ่มบอกพวกท่านจากตรงไหน โดยเฉพาะพ่อของเธอซึ่งมักจะเคร่งครัดเสมอพ่อคงไม่ยอมรับความผิดพลาดใหญ่หลวงครั้งนี้เป็นแน่ เธอรู้ดีว่าเธอจะนำความอับอายมาสู่บุพการีของเธอเรื่องราวอาจร้ายแรงถึงขั้นที่เธอคงโดนไล่ออกจากบ้านเธอไม่รู้ว่าชีวิตเธอจะเริ่มไปทางไหน หากเธอจะต้องดูแลอีกหนึ่งชีวิตที่จะเกิดมาเธอต้องมีเงินก้อนใหญ่เพื่อรองรับชีวิตเด็กน้อยที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกโดยไม่รู้เรื่องราวใดๆไม่สมควรต้องมารับผิดชอบผลของการกระทำของผู้ใหญ่สองคนเด็กน้อยควรจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะหาให้ได้ต่อจากนี้เธอต้องวางแผนการเงินอย่างรัดกุมเพื่อชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมาเด็กน้อยจะเป็นความรับผิดชอบของเธอแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตอนนี้พ่อของเด็กก็บินกลับประเทศที่อยู่ไกลกว่าครึ่งโลกไปแล้วเธอวาดภาพว่าเขาคงกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าอย่างที่เธอเคยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความรักที่เขามีให้เธอ

กวิตราเป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทยเด็กสาวประพฤติตัวดีมาเสมอ เธอไม่เที่ยวกลางคืน ไม่สูบบุหรี่เป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน เป็นลูกสาวที่ดีของครอบครัว เธอเดินทางมาเพื่อเข้าร่วมโปรแกรมเวิร์คแอนด์ทราเวลในซานฟรานซิสโกได้เกือบสี่เดือนหลังจากสอบปลายภาคเทอมสุดท้ายของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเธอพบชายหนุ่มในฝันซึ่งเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเยอรมนีกวิตราตกหลุมรักแต่แรกเห็นยิ่งเธอได้รู้นิสัยใจคอและความคิดอ่านของชายหนุ่มเธอยิ่งตกหลุมรักแต่ติดตรงที่ทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดมา อีกทั้งเธอยังไม่มีเสน่ห์ใดๆดึงดูดใจชายหนุ่มที่เธอรักได้ด้วยความเป็นผู้หญิงร่างใหญ่ ไหล่กว้างจากการเป็นนักว่ายน้ำมาแต่เด็กเค้าโครงหน้าแบบชาวตะวันออกไกลซึ่งไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวตะวันตกนักแถมเธอยังทำตัวไม่น่าทะนุถนอม ไม่มีจริตแบบผู้หญิงให้ใครตกหลุมรักสาวน้อยจึงต้องผิดหวังในความรักอย่างช่วยไม่ได้

ในคืนเกิดเหตุนั้นเป็นคืนที่กวิตราแพ้ความอยากรู้อยากลองเธอไม่เคยดื่มหนักจนเมามาก่อนในชีวิต อย่างมากก็เพียงสองแก้วเพื่อเข้าสังคมคืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายของเพื่อนที่ทำงานของทั้งคู่กวิตราถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มอย่างหนัก และเคเลบ เพื่อนชายที่เธอรักก็เช่นกันสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเพื่อนทุกคนกลับที่พักของตนเองเพราะต่างเมาเกินกว่าจะทำอะไรกันต่อ เว้นแต่เคเลบที่หลับลึกไปก่อนหน้านี้เพราฤทธิ์แอลกอฮอลล์กวิตราจึงกึ่งลากกึ่งจูงชายหนุ่มเข้าไปนอนในห้องของเธอ เพราะเกรงว่าเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนท์จะกลับมาเห็นแล้วไม่พอใจเธอทิ้งชายหนุ่มให้นอนอยู่บนพื้นก่อนที่เธอจะคลานไปที่เตียงของตัวเองแล้วหลับไป

หญิงสาวรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนรุ่งสางเธอรู้สึกถึงแรงกดทับตรงกลางลำตัวจึงขยับออกห่างด้วยสติยังกลับมาไม่ครบถ้วนสมบูรณ์แต่เมื่อนึกขึ้นได้กวิตราจึงเห็นว่าเคเลบขึ้นมานอนเบียดบนเตียงเล็กๆของเธอในสภาพเปล่าเปลือยด้วยกันทั้งคู่แม้เธอพยายามจะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหนักก็ไม่มีสิ่งใดเข้ามาในหัวสิ่งเดียวที่พอจะบอกใบ้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นคือร่างกายของเธอรอยช้ำสีแดงมากมายเต็มลำตัวและความเจ็บปวดช่วงหว่างขาของหญิงสาว เมื่อเธอปลุกเคเลบขึ้นมาอีกฝ่ายก็ดูจะตกใจไม่แพ้กัน ชายหนุ่มลนลานใส่เสื้อผ้าด้วยมือไม้สั่นก่อนจะรีบออกไปด้วยคำพูดทิ้งท้ายเพียงขอโทษ กวิตราเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายหลังจากนั้นเพื่อคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เคเลบก็ดูจะรับรู้ทุกอย่างเท่ากับเธอ จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีก เพื่อนๆที่ทำงานคิดกันไปเองว่าเธอสารภาพรักกับอีกฝ่ายแล้วถูกปฏิเสธทุกคนรู้ว่าหญิงสาวตกหลุมรักเคเลบอย่างถอนตัวไม่ขึ้นและเพียรพยายามบอกให้เธอสารภาพกับชายหนุ่มโดยเร็วดังนั้นเมื่อทั้งคู่ต่างหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน ที่ทำงานจึงนำข้อสรุปนี้มาใช้จนกระทั่งชายหนุ่มจบโครงการแล้วบินกลับประเทศไป

เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้นอย่างลังเลกวิตรายันตัวลุกขึ้นแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความมั่นคงกลับคืนมาเธอสำรวจตัวเองในกระจกและจัดการความเรียบร้อยก่อนจะหันไปเปิดประตูห้องน้ำเพื่อพบกับหญิงสาวอีกคนที่มองมาอย่างเป็นกังวล

“เป็นไงบ้างวะเกด”จิณณา หรือ เจเจเพื่อนสาวที่มาด้วยกันจากประเทศไทยรับรู้เรื่องราวทุกอย่างและคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอเธอเป็นคนเดินเข้าไปในร้านขายยาเพื่อหาอุปกรณ์ตรวจครรภ์มาให้กวิตรา หญิงสาวเลี่ยงที่จะตอบเป็นคำพูดจึงส่งอุปกรณ์ในมือให้เพื่อนสาวดูอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะล้มตัวลงบนเตียง จิณณามองหญิงสาวสลับกับสิ่งของในมืออย่างคนจนคำพูดเพื่อนสาวนั่งลงบนเตียงข้างๆ เธอที่สะอื้นไห้อย่างหาทางออกไม่เจอทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เนื่องจากต่างคนต่างอับจนด้วยคำพูด

“แกจะเก็บเด็กไว้ป่ะ”จิณณาเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“เก็บสิ...แต่ยังไม่รู้จะวางแผนให้ลูกยังไง”น้ำเสียงเศร้าสร้อยหมดอาลัยทำเอาคนเป็นเพื่อนสงสาร

“ลองบอกพ่อกับแม่แกดูก่อนสิ พ่อแม่แกรักแกจะตาย ไม่ฆ่าแกทิ้งหรอก”

“ฉันกลัวพ่อกับแม่จะเสียใจ พวกท่านต้องอับอายมากที่มีลูกสาวสำส่อนแบบฉัน”

“เฮ้ย ที่พูดนั่นก็เกินไป เขาเรียกพลาด แกก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำซะหน่อยบอกต้นเรื่องที่มาที่ไปให้ดีๆ ก่อนแล้วค่อยเฉลย อย่ากระโตกกระตาก”กวิตรายังคงนิ่งซึมไม่ตอบรับอะไร

“แล้วพ่อเด็กล่ะ” จิณณาเห็นเพื่อนสาวนิ่งไปพักหนึ่งแววตาขมขื่นปรากฏให้เห็นเด่นชัด

“คงต้องบอก แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะมารับผิดชอบอะไรผู้ชายคนไหนจะอยากได้ลูกที่เกิดจากความผิดพลาด”น้ำเสียงแห้งผากโรยแรง

“เฮ้ย อย่างเพิ่งคิดไปไกล มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้.. เอางี๊แกไปอาบน้ำนอนให้สบายตัวก่อน ตื่นมาพรุ่งนี้ค่อยว่ากันชั้นอยู่เป็นเพื่อนแกตรงนี้ล่ะ” จิณณาตบบ่าเพื่อนอย่างให้กำลังใจก่อนจะดึงกวิตราเข้าไปในห้องน้ำพร้อมเตรียมของทุกอย่างให้เสร็จสรรพเธอต้องคอยเคาะประตูเมื่อเห็นว่าเสียงในห้องน้ำเงียบไป เมื่อเพื่อนสาวออกมาเธอก็จัดการส่งกวิตราเข้านอนก่อนที่ตัวเองจะเบียดตัวบนเตียงเดี่ยวของเพื่อนสาวและพาตัวเองเข้าสู่นิทรารมย์

“พ่อคะ ถ้าหนูทำอะไรผิดพลาดไปอย่างร้ายแรง พ่อกับแม่จะเกลียดหนูไม๊คะ”กวิตราถามบิดาเธอผ่านการสนทนาทางวีดิโอเธอพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบอย่างที่จิณณาแนะเธอไม่อยากให้พ่อแม่ของเธอเสียใจแบบตั้งตัวไม่ทัน

“มันก็ขึ้นอยู่กับเจตนาล่ะ ถ้าลูกฆ่าคน ขโมยของหรือติดยานั่นคงทำให้พ่อเกลียดหนูมาก แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นพ่อจะโกรธตัวเองที่สั่งสอนลูกมาไม่ดี สอนให้ลูกคิดถูกคิดผิดไม่เป็น”กรพลตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พ่อของกวิตราเป็นเศรษฐีใหญ่ในเชียงรายมีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย อีกทั้งยังสืบเชื้อสายเจ้าเมืองเชียงรายอันเป็นที่เคารพรักของคนในจังหวัดใบหน้าใจดีที่ส่งสายตาอันเต็มไปด้วยความรักผ่านกล้องมานั้นทำเอากวิตราอยากจะร้องไห้อีกครั้ง

“ถ้าหนูทำพลาดอย่างที่หนูไม่รู้ตัว แล้วทำให้พ่อต้องอับอายและเสียใจล่ะคะ”

“คนเรามันผิดพลาดกันได้ลูก หากลูกก้าวพลาดไปพ่อกับแม่จะอยู่ตรงนี้เพื่อลูกเสมอ ความอับอายไม่ใช่สิ่งใหญ่โตอะไรเลยคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องมีเรื่องให้อายกันทั้งนั้น เกดไปทำอะไรมา บอกพ่อมาตรงๆเถอะ” พ่อของเธอยิงเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อมทำเอากวิตราน้ำตาคลอหน่วยบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ หาคำพูดที่จะทำให้พ่อของเธอเสียใจน้อยที่สุดก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอกวิตรา หญิงสาวพยายามเล่าเรียงเรื่องราวพร้อมมองสีหน้าของพ่อที่เปลี่ยนไปใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นตึงเครียดดั่งคนที่รู้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงตลอดบทสนทนากรพลรับฟังอย่างสงบ ไม่มีคำบริภาษใดๆ ออกจากปากบิดาของเธอมีเพียงดวงตาร้าวรานส่งมายังเธอ

“แล้วผู้ชายคนนั้นว่ายังไง ลูกบอกเขาหรือยัง”พ่อของเธอถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กวิตราสัมผัสได้ถึงอารมณ์คุกรุ่น

“หนูยังไม่ได้บอกเขาเลยค่ะพ่อ หนูกลัว”

“พ่อว่าเกดควรจะบอก ถ้าเขาไม่อยากได้เราก็เลี้ยงของเราเองลูกพ่อสองคนพ่อเลี้ยงมาได้แค่หลานคนเดียวทำไมพ่อจะเลี้ยงไม่ได้”คำพูดจากปากพ่อของเธอทำกวิตราชะงักค้างเธอมองพ่อตัวเองเหมือนกับไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน

“พ่อไม่โกรธหนูเหรอคะ”

“โกรธสิ แต่จะทำอะไรได้ ในเมื่อลูกก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องลูกของพ่อไม่เคยเป็นคนเหลวไหล แค่ทำพลาดครั้งเดียวพ่อไม่ถึงกับตัดพ่อตัดลูกหรอกและพ่อก็คิดว่าแม่ของหนูก็คงจะคิดแบบเดียวกับพ่อ” กวิตราเห็นรอยน้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตาพ่อเธอก่อนที่กรพลจะกะพริบตาไล่ออกไป

“หนูขอโทษค่ะพ่อ หนูทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังหนูทำให้ทุกคนอับอาย”สิบนิ้วประณมผ่านจอน้ำตาไหลเป็นสายทำให้เธอไม่แน่ใจว่าเธอตาฝาด หรือมีน้ำตาจากพ่อเธอเช่นกัน

“ไม่เป็นไรลูก กลับบ้านมา เริ่มต้นใหม่ คนเรามันผิดพลาดกันได้แล้วลูกจะทำยังไงต่อ”

“หนูจะอยู่ต่อให้จบโครงการค่ะพ่อ เหลืออีกแค่เดือนเดียวเองท้องคงยังไม่ใหญ่มาก หนูจะเก็บเงินไว้เป็นอนาคตของลูกตอนแกโตขึ้นเพราะฉะนั้นหนูจะทำงานทันทีที่กลับถึงเมืองไทย หนูจะเลี้ยงลูกของหนูด้วยตัวหนูเองเด็กคนนี้จะเป็นความรับผิดชอบต่อการกระทำของหนู”หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคงแน่วแน่

“เอาไว้ก่อน รอไปบอกพ่อเด็กก่อนว่าเขาจะเอายังไง ใช้เวลาคิดให้ดีก่อนถ้าหนูเลือกที่จะอยู่ต่อพ่อก็ไม่ขัด แต่หนูต้องดูแลตัวเองให้ดีอย่าลืมว่าตอนนี้หนูมีอีกชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาพ่อกับแม่จะดูแลเรื่องนี้เอง ทำใจให้สบาย พ่อกับแม่อยู่ข้างลูกเสมอ”กรพลย้ำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สิ่งที่หญิงสาวต้องการตอนนี้คือกำลังใจไม่ใช่อารมณ์โกรธเกรี้ยว เขาต้องมีสติในการแก้ไขปัญหาการมีหลานเพิ่มมาคนหนึ่งก็ฟังดูไม่แย่เท่าใดนัก แม้จะผิดหลักผิดตอนไปเสียหน่อยแต่เด็กเกิดมาในท้องลูกสาวเขาแล้วครอบครัวเขาก็พร้อมจะรับเด็กน้อยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

กวิตรานั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสายตาว่างเปล่าในจอเปิดหน้าโซเชียลเน็ตเวิร์คของเคเลบ เธอตั้งใจว่าจะส่งเป็นข้อความส่วนตัวเพื่อจะได้เป็นเรื่องระหว่างสองคนการส่งข้อความเป็นวิธีเดียวที่เธอนึกออกที่จะติดต่อกับชายหนุ่มเพราะในเมื่อเธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่าย แถมอีเมลล์ก็ไม่เป็นที่นิยมนักเธอจึงคิดว่าการส่งข้องความผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คจะเป็นวิธีที่เคเลบจะรับรู้ได้เร็วที่สุด

แม้ไม่รู้ว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรแต่กวิตราก็เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเธอไม่หวังว่าเคเลบจะยืดอกรับผิดชอบด้วยความยินดี สิ่งที่ดีที่สุดที่อาจเกิดขึ้นคือต่างฝ่ายต่างมีส่วนรับผิดชอบให้ตัวเด็กในท้องที่กำลังจะเกิดแต่การจะให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวดูจะไกลเกินฝันหญิงสาววางมือบนแป้นพิมพ์ แต่นึกไม่ออกว่าจะพิมพ์อะไร ในหัวของหญิงสาวว่างเปล่ากลัวความผิดหวัง เธอรักเขาเหลือเกิน เธอรักรอยยิ้มเปิดเผย เธอรักความคิดเชิงบวกเธอรักเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ซึ่งมักจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะดวงตาเรียวพร่าเลือนด้วยน้ำตาทุกครั้งที่คิดถึงกวิตราสูดหายใจเต็มปอดก่อนจะเริ่มพิมพ์ตัวอักษรร้อยเรียงเป็นถ้อยคำลงไป

‘ฉันมาลองคิดดูว่าฉันจะบอกคุณคิดดูว่ามันควรหรือไม่ที่จะบอก ถ้าฉันจะต้องบอกคุณ ฉันจะบอกคุณด้วยวิธีไหนฉันไม่อยากให้คุณลำบากใจ แต่ฉันคิดว่าคุณมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะรับรู้

ฉันท้องจากคืนนั้นที่เราทั้งคู่ต่างไม่ได้สติ

ไม่ต้องห่วงคุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรจากคุณเลยใช้ชีวิตไปตามปกติถ้าคุณไม่ต้องการเด็กคนนี้ ฉันจะเลี้ยงดูแกเอง

ฉันแค่คิดว่าคุณสมควรจะรู้ไว้เพราะคุณก็มีส่วนทำให้เด็กเกิดขึ้นมา เด็กคนนี้ก็เป็นสิทธิ์ของคุณครึ่งหนึ่งแต่ถ้าคุณเลือกที่จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา และผลที่ตามมานั้นฉันก็เคารพการตัดสินใจของคุณ’

กวิตรามองข้องความสั้นๆ นั้นอย่างชั่งใจ หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเธอสูดหายใจเข้าอีกครั้ง เตรียมพร้อมรับผลที่ตามมา ก่อนจะกดส่งข้อความนั้นออกไปและรอคอยอย่างคาดหวัง




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2556   
Last Update : 17 มิถุนายน 2556 19:03:51 น.   
Counter : 375 Pageviews.  



Pastries Monster
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Pastries Monster's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com