|
ชีวิตใน 1 วันใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองบ้าง..
หลังจากที่ขึ้นปีแก่ที่สุดในมหาลัยได้ ประมาณเกือบเดือนแล้ว รู้สึกถึงความแก่ จะแก่ไปไหนล่ะเนี่ย ชีวิตจะโตขึ้นไปไหน คิดว่า จะทำงานยังไงดี ทำงานอะไรดี เพราะ ชีวิตมันโต ขึ้นไปเรื่อยๆ อนาคตก็ดูไม่ค่อยมีหนทางไปเท่าไหร่ ตอนนี้ ก็มีแต่เรียน กับทำโปรเจคไปเรื่อย..
รู้สึกดีมากๆ ที่ไม่ตัดสินใจเปลี่ยนวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาตน รู้สึกถึงการจัดการชีวิตได้มากขึ้น คิดอะไรที่ดูเป็นระบบมากขึ้น ชอบคำนึงของพี่นุ้ยนะ(พี่ที่มาเทรน การหาไอเดียสร้างโครงการเพื่อพัฒนาตนเอง) พี่แกพูดว่า "ใบไม้ถึงเวลาที่มันจะร่วง มันก็ร่วงของมันเอง"
โคตรชอบอ่ะ เหมือนตอนนี้ เราดูที่ปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตมันจะเกิดอะไรก็ให้มันเกิดไป เหมือนใบไม้ มันไม่รู้หรอกว่า วันไหนมันจะร่วงหล่นลงมา มันทำวันแต่ละวันให้มีความหมายก็พอแล้ว
เราเลยรู้สึกว่า การคิดอะไรสักอย่าง เราควรที่จะคิดที่ ปัจุบัน ณ ขณะนี้ ขณะที่เรากำลังอยู่ ดีกว่าไปคิดอะไรที่มันไปข้างหน้า เพราะ มันจะไปกระตุ้นความเครียดของเราเปล่าๆ พี่เค้าพูดให้คิดเยอะมากๆ ให้รู้จักความหมายของชีวิต ให้รู้จักตัวเอง
"ชีวิตมันไม่ใช่การหาคำตอบ แต่มันคือการตั้งคำถามให้กับตัวเอง" การตั้งขึ้นมาสักคำถามนึงให้กับชีวิต มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่คำถามนั้น มันจะขับเคลื่อนไปสู่คำตอบเองเพียงแค่เราหามันเจอ
พูดถึงค้นหาความชอบของตัวเอง ฝึกวิธีการปล่อยของออกมา ชีวิตอยากทำอะไร ทำสิ อย่าไปรอ อย่าให้กฏเกณฑ์ของสังคม ต้องมาหยุดความชอบของเราไว้ แต่ตอนนี้ ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าชอบอะไร สนใจอะไร อยากจะทำอะไร ชีวิตคงอยู่กับกฏเกณฑ์ของสังคมต่อไป สักวัน ชีวิตคงจะมีไอเดียดีๆ เกิดขึ้นมา เพียงแค่รอเวลา และค้นหาเท่านั้นแหละ
ลองทิ้งชีวิต อยู่กับตัวเอง หาสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารัก ทำแล้วมีความสุข แล้วขับเคลื่อนสิ่งที่เราได้มา เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง เพราะ ชีวิตมันก็เหมือนใบไม้ วันนึงอาจเหมือนใบไม้ ที่มันร่วงหล่นลงมาของมันเอง จะดีเหรอ ถ้าวันนึงเราไม่ได้ทำอะไรให้กับตัวเองเลย
ชีวิต มันต้องไม่ว่างเปล่าและไร้ความหวังสิ เหมือนหนังเรื่องนึง Revolutionary Road แมร่งโคตรชอบอ่ะ เป็นหนังที่ดีอีกเรื่องนึงเลย เห็นมุมมองของการเพ้อฝัน ที่ถูกความจริงเข้าครอบงำ บางคนรับสภาพไหว บางคนก็รับสภาพไม่ไหว
เพราะงั้น ความฝันมันต้องอ้างอิงอยู่บนจุดของความจริงบ้าง การเพ้อฝัน โดยมองข้ามตรงจุดนี้ไป มันจะทำให้โลกอยู่กับความเพ้อฝัน จนความจริงต่างๆ เริ่มเลือนหายไป พอมาเจอความจริงที่มันยังซ้อนทับกับความฝันอยู่ ชีวิตก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เกิดเรื่องอะไรหลายอย่างที่ไม่คาดคิด โคตรชอบๆ
ได้ดูหนังที่เข้าชิงออสการ์ในปีนี้ มาทุกเรื่องแล้วรู้สึกว่า มันดีทุกเรื่องจริงๆ ไม่เหมือนปีก่อนๆ บางเรื่องออกแนวงงจนเกินรับไหว จะดูยากไปไหน แต่ปีนี้ ชอบทุกเรื่องอ่ะ ดูไม่ยาก แต่ต้องคิดตามหน่อย ไม่ใช่ดูไปแบบไร้ซึ่งความหมาย
เออ วันนี้ไปดูทรานสเฟอร์มเมอร์มา แมร่งโคตรเจ๋ง ตีกันอย่างเดียวเลย ดูเอามันส์อย่างเดียวเรื่องนี้ เสียดายไม่ค่อยสนุกเท่าภาคแรก รู้สึกภาคนี้โชว์พาวเกินไปหน่อย คือมันรู้สึกสนุกก็จริง แต่มันไม่มีอะไรให้น่าจดจำมากเท่าไหร่ ไม่เหมือนภาคแรกอ่ะ สรุป ดูเอามันส์อย่างเดียว โครตคุ้ม กับหนังรอบเช้าสุด ที่สกาลา บรรยากาศแมร่งโคตรได้อ่ะ
จากสเปซ บันทึกเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2552
Create Date : 23 กันยายน 2552 |
| |
|
Last Update : 23 กันยายน 2552 18:56:15 น. |
| |
Counter : 546 Pageviews. |
| |
 |
|
|
ชีวิต.. ลองให้เวลากับตัวเองบ้าง (1)
ก่อนอื่นเลย.. ที่จะเขียนบันทึกนี้ ต้องขอบคุณพี่นุ้ย ที่เอาบทความเกี่ยวกับ Artist's Dates ให้อ่าน เอาคร่าวๆ ล่ะกัน เีรื่อง artist's dates คือการเดทกับตัวเอง ซึ่งบทความได้พูดถึง 'เด็ก' ในตัวเอง ฟังเสียงของเด็ก ที่อยู่ในตัวเรา แล้วลองทำตามเด็กในตัวเรานั้นดู
โดยที่ได้ให้เวลากับตัวเอง อย่างน้อยแค่ 1 ชม. ใน 1 วัน หรือจะมากกว่านั้น แต่ต้องให้เวลาที่อยู่กับตัวเองจริงๆ ให้ตัวเองได้คิด ได้หาจุดหมาย ได้หายใจ ได้พักผ่อน ฝึกทักษะการพึ่งตัวเอง ช่วยพัฒนาให้สมองซีกขวา ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องความคิดสร้างสรรค์ได้ทำงาน เพราะ เมื่ออยู่กับตัวเอง ไอเดียก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ
ในบทความได้สมมติว่ามีภาำพวัว ที่ยังไม่ระบายสี แล้วตรงหน้าเรามีสีให้มากมาย หลายๆ คนก็ต้องทำให้วัวตัวนั้น มีสีขาว หรือมีสีขาวและดำ หรือสีน้ำตาล เพราะ อ้างอิงความจริงที่ว่า วัวมัน 'ควรจะ' มีสีแบบนั้นสิ ทั้งที่ในใจเรา อยากระบายให้ตัวนั้นเป็นสีเขีัยว เป็นสีส้ม เป็นสีแดง แต่เพราะ มันจะเป็นเรื่องแปลก แตกต่างจากสังคม ก็ต้องระบายสีให้เหมือนคนอื่นๆ
ก็เหมือนชีิวิต ถ้าเราขึ้นอยู่กับคนอื่้น ขึ้นอยู่กับสังคมมาก ชีวิตก็ไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ ชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน มีจุดหมายอะไร วันๆ คงได้แค่ตามสังคมรอบข้าง ปล่้อยชีวิตให้เป็นไปตามสังคม ที่ยกเรื่องนี้มาพูดก็แค่ คนเราเดี๋ยวนี้ เริ่มให้เวลากับตัวเองน้อยลง
ขอเอาแนวทางของผมล่ะกัน เพราะของแบบนี้มันขึ้นกับสไตล์ใครสไตล์มัน 1. ลองหาหนังสือที่เราสนใจ สักเล่มสองเล่ม นั่งอ่้า่น นอนอ่าน
2. ลองหาหนังแนวที่เราชอบ หรืออาจเปลี่ยนเป็นแนวที่เราไม่ชอบบ้าง นั่งดู นอนดู นั่งคิดตาม แล้วลองนั่งขียนอะไรก็ได้ที่หนังต้องการจะสื่อ แล้วจะเห็นว่า หนังเรื่องหนึ่งๆ มีอะไรมากกว่าแค่ ความสนุก
3. ลองออกไปไหนไกลๆ ไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไปพบปะผู้คน ออกไปข้างนอก ออกไปดูสภาพความเป็นอยู่ของคน ออกไปไหนก็ได้ตามแต่ใจเราอยากจะไป มองออกไปไกลๆ ดูชีวิต ดูผู้คน
4. ลองออกไปซื้อของ เดินเล่น ไม่ต้องเป็นสถานที่แปลกใหม่ เอาเป็นสถานที่ที่เราไปแล้วรู้สึกดี
5. ลองออกไปนั่งรถเมล์ผิดสาย แล้วทำชีวิตให้ไม่ร้อนรน ปล่อยให้มันวิ่งไป สุดสายที่ตรงไหน ก็นั่งคันเดิม มาลงที่เดิม ก็ได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง
6. ลองออกไปดูวิว ดูพระอาทิตย์ตก ดูพระอาทิตย์ขึ้น ได้มองออกไปไกลๆ มองท้องฟ้า มองดวงดาว มองความมืดที่ใกล้เข้ามา หรือมองความสว่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
และอีกมากมาย ตามสไตล์ของเรา ไอเดียการให้เวลาของหลายๆ คนมันขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้น ขอแค่หามันให้เจอ หลายๆ อย่างที่ไอเดียไม่เกิด เพราะ เราไม่เคยหยุดให้เวลากับตัวเองได้คิดเลย
ขอแค่เราได้ลอง ให้เวลากับตัวเอง อยู่กับตัวเอง ได้คิด ได้คุยกับตัวเองบ้าง บางสิ่งอาจหลงลืมไปแล้ว เมื่อได้อยู่กับตัวเองได้คิด เราอาจได้อะไรดีๆ กลับมาให้กับชีวิตเราบ้าง
Create Date : 23 กันยายน 2552 |
| |
|
Last Update : 23 กันยายน 2552 1:47:04 น. |
| |
Counter : 479 Pageviews. |
| |
|
|
|
มองออกไปจากมุมที่เราอยู่.. เพื่อให้เวลากับตัวเอง
ชีวิตของเราก็แปลก ยิ่งโต ยิ่งต้องทำตามสังคม เอาสังคม เอาเพื่อน เป็นที่ตั้ง โดยลืมที่จะให้เวลากับตัวเอง
ชีวิตที่มีแต่เรื่องเรียน เรื่องงาน ชีวิตที่อยู่ในกฎเกณฑ์ของสังคม ชีวิตที่อยู่เพื่อคนอื่น โดยลืมให้เวลากับตัวเอง การให้เวลากับตัวเอง ได้พักหายใจ ได้ฝึกทักษะในการช่วยตัวเอง ได้พักผ่อน ได้หยุดคิดถึงตัวเราเอง ได้หาจุดหมายปลายทาง ได้หาความหมายในชีวิต
การลองออกไปไหนไกลๆ จากมุมมองที่เราอยู่ ไปเจอกับสถานที่แตกต่างไป ไปดูชีวิตอื่นๆ ที่เราไม่เคยพบเจอ ถ้าเรารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิต ลองออกไปดูผู้คนตามถนนหนทาง มองชีวิตของคนอื่น
แล้วย้อนกลับมาดูชีวิตของเรา ได้มองอะไรหลายๆ มุมจะช่วยให้เรารู้สึกมีความหมาย มีจุดหมายในการก้าวต่อไป
เวลาที่เราต้องการให้เวลากับตัวเอง เราจะหาเวลานั่งรถไฟ ไปไหนสักที่ แบบไม่ต้องหาจุดหมายในการไป แต่จุดหมายคือ การออกเดินทาง ได้ไปพบกับสถานที่แปลกๆ ได้มองออกไปไหนไกลๆ มองข้างทาง
ทบทวนชีวิต นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย การนั่งรถไฟ สำหรับเรา เรารู้สึกว่า เป็นช่วงเวลาที่เราได้หยุดคิดดีที่สุด เพราะ เวลาที่อยากหาไอเดียอะไร รถไฟเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถไปนั่งคิดหาไอเดียได้ แม้ว่าบางวันอากาศจะร้อน รถอาจจะสกปรกไปบ้าง หรือ อะไรหลายๆ อย่างที่อาจทำให้เราหงุดหงิดได้
แค่เรามองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป รู้จักที่จะอดทน รู้จักที่จะใช้ชีวิตที่มันไม่สบายบ้าง ก็เป็นเรื่องที่จะสามารถช่วยฝึกทักษะในการใช้ชีวิตได้บ้าง
ทางเลือกที่สอง ในการออกไปมองไหนไกลๆ ก็คงเป็นรถเมล์ ต้องรถเมล์ร้อนด้วยนะ ให้ลมตีหน้า ได้มองออกไปดูท้องถนน ไปดูรถ แบบไม่ต้องมีกระจกมาขวางกั้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเรา ที่ช่วยให้ไอเดียเกิดขึ้น
ทางเลือกที่สาม มองดูพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ มองจากที่ไหนก็ได้ ที่เรารู้สึกว่า เป็นที่ที่เราชอบ
อาจจะมองจากหน้าต่างห้องของเรา อาจจะมองจาก ถนนยามที่รถติดไม่ขยับไปไหนสักที อาจจะมองจาก หน้าต่างร้านกาแฟในวันที่ต้องทำงานหนัก หยุดเวลาสัก 5 นาทีมองออกมาจากงานที่ทำอยู่ อาจจะมองจากที่ไหนๆ ก็ได้ ที่เรารู้สึกว่า เราได้มอง
ส่วนตัวแล้วผมจะชอบมองยามเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจากฟากฟ้ามากกว่า เพราะ มันให้ความรู้สึกว่า ชีวิตได้มีวันใหม่ที่มีแสงสว่างเกิดขึ้นอีกครั้ง
แต่การมองพระอาทิตย์ตกดิน ก็รู้สึกดีเหมือนกัน เหมือนการได้พักผ่อน ได้รู้ว่า ชีวิตทั้งวันที่ต้องเหน็ดเหนื่อย วันนี้กลับมืดลง ความมืดที่มาพร้อมความสงบ รู้สึกได้ถึงเวลาที่เราจะได้พักผ่อน ท่ามกลางความเงียบ ความมืดของท้องฟ้า
การจะมองออกไปไหนไกลๆ สักที บางทีก็ไม่ต้องมองหาจุดหมายปลายทาง เพียงแค่ใช้ความรู้สึก ใช้ใจให้นำทางไป เมื่อเรารู้สึกว่าที่นี่ให้ความรู้สึกที่ดีกับเรา ได้อยู่แล้วรู้สึกว่าได้อยู่กับตัวเอง
ก็จงเลือกให้เวลากับตัวเองตรงนั้น หาตัวเองให้พบ

Create Date : 23 กันยายน 2552 |
| |
|
Last Update : 23 กันยายน 2552 1:23:11 น. |
| |
Counter : 344 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
 |
Lodlem |
|
 |
|
|