Revolutionary Road .. บางทีคนอย่างพวกเรา อาจไม่เหมาะกับที่ที่สวยงามราวกับฝันแบบนั้น
ผมเพิ่งมีโอกาสได้ชม Revolutionary Road เมื่อ 2 วัน ที่ผ่านมานี้เอง อานุภาพของการได้ดูหนังเรื่องนี้ มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ยังคงติดอยู่ในใจ ( ถึงนักวิจารณ์ในอเมริกาจะไม่ค่อยปลื้ม หนังเรื่องนี้ก็ตามเถอะ ) Revolutionary Road .. บางทีคนอย่างพวกเรา อาจไม่เหมาะกับที่ที่สวยงามราวกับฝันแบบนั้นสำหรับย่านเมืองใหม่บนถนนที่ชื่อว่า Revolutionary Road สถานที่ตั้ง ของหมู่บ้านสีขาว ที่งดงามราวหลุดออกมาจากความฝันของครอบครัวอเมริกันชนชั้นกลางแต่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่สวยงามและอบอุ่นเหล่านั้น พวกเขาอยากเป็น หรือเป็นคนของถนนสาย Revolutionary Road แบบที่ทุกคนหวังที่จะเห็นจริงหรือเปล่า ?แฟรงค์ วีลเลอร์ ( ลีโอนาโด ดิคลาปริโอ ) เจอ กับ เอพริล ( เคต วินสเลต ) สาวสวย เซ็กซี่ ในผับแห่งหนึ่ง เอพริลสนใจแฟรงค์ เพราะ เขา ไม่เหมือนหนุ่มคนไหนที่มาจีบเธอ นั่นเพราะ เขาเป็นคนมีความฝัน แฟรงค์ ทำงานตอนเช้าเป็นกรรมกรที่ท่าเรือ แต่ อีกไม่นานเขาจะหันไปเป็นแคชเชียร์กะดึก เพื่อเก็บเงินไว้เดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลกส่วนเอพริล คือ หญิงสาว ที่เพิ่งจบวิทยาลัยการแสดงมา เธอไม่เคยเดินทางไปไหน โดยที่ไม่ต้องมีใครบอกอะไร คนดูรู้ได้โดยทันทีว่า เธอกำลังตกหลุมรักผู้ชายที่มีความฝันอยากเดินทางรอบโลกอย่างแฟรงค์ นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มอ้าปากพูดถึงความฝันของตัวเองแล้วแล้วทำไม แฟงค์ กับ เอพริล ถึงมาลงเอยที่ Revolutionary Road ? ได้ละความฝันของทั้งคู่ต้องหยุดลงทันทีเมื่อ เอพริล ตั้งท้อง แฟรงค์ ซื้อบ้านและตัดสินใจทำงานประจำที่บริษัทยักษใหญ่แห่งหนึ่งบริษัทที่แฟรงค์พูดถึงให้ชู้รักของเขาฟังด้วย ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าเสมอว่า คุณรู้ไหม พ่อผมเคยทำงานตำแหน่งเดียวกับผมที่บริษัทนี้ และผมก็พูดเสมอว่า ผมไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตแบบเดียวกับพ่อ แต่วันนี้ที่ผมต้องมานั่งอยู่ที่ นี่ คุณว่ามัน ตลกไหม แฟงค์ และ เอพริล ใช้ลูกเป็นเหตุผลให้พวกเขาเลือกเส้นทางชีวิตที่มั่นคงกว่าปลอดภัยกว่า และน่าจะสวยงามมากกว่า เอพริล เลือกมีลูกสองคนเธอให้เหตุผลว่า ลูกคนแรก ทำให้เราได้มาอยู่ที่ Revolutionary Road ส่วนลูกคนที่สองพวกเขามี เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าพวกเขารักกันจริง ๆ ไม่ใช่แค่พลาดไปจึงคิดสร้างครอบครัวแต่ความสวยงามที่พวกเขาช่วยกันสร้างขึ้นมันกำลังเค้นคอพวกเขาจนแทบหายใจไม่ออกภาพของแฟรงค์ ที่ใส่สูทเดินตามฝูงชนขึ้นรถไฟไปทำงานทุกวัน ภาพของเอพริล ทำงานบ้านยกถังขยะมาทิ้งที่หน้าบ้านเธอมักจะมองเหม่อออกไปนอกถนน และนึกถึงวันแรกที่พวกเขาย้ายมาอยู่ที่ถนนเส้นนี้เสมอผมไม่รู้ว่า ทั้งเขาและเธอคิดอะไรอยู่ แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือ นักแสดงอย่าง เคต วินสเลต ถ่ายทอดตัวละครของ เอพริล ให้ผู้ชมเห็นอยู่ตลอดเวลาว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ดูเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว และไม่เหมาะเลยสักนิดที่เห็นผู้หญิงคนนี้เดินหยิบจับทำโน่นนี่อยู่ในครัว เธอดูไม่มีความสุขจริง ๆ กับสิ่งแวดล้อมแบบนั้นแล้วในที่สุด พวกเขาก็มาถึงจุดแตกหักเมื่อ เอพริล ตัดสินใจว่าเธออยู่ที่นี่ไม่ได้ หลังจากที่เธอไปแสดงละครแล้วค้นพบว่าสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่การเป็นแม่บ้าน เธอถามแฟรงค์ อย่างตรงไปตรงมาว่า แฟรงค์ มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้จริง ๆ หรือแค่แสร้งมีความสุขไปวัน ๆ เอพริล บอกแฟรงค์ให้ ลาออก แล้วไปใช้ชีวิต ที่ ฝรั่งเศส เธอจะทำงานเลี้ยงเขาและลูกเอง ระหว่างที่ เขา คิดหาทางว่าเขาอยากทำอะไร เอพริล พูดประโยคหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นประโยคที่สะท้อนถึงทัศนคติของผู้ชาย ในยุคนั้นของอเมริกาได้เป็นอย่างดีครับ เธอบอกเขาว่า มั่นใจในตัวเองหน่อย เขาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แฟรงค์ ถามเธอกลับว่า เขาเป็นอะไร You are a man คุณเป็นผู้ชายไง แล้ว เอพริลก็พูดจริงทำจริง เธอหางานได้แถมรายได้ดีซะด้วย เธอเริ่มเก็บของคุยกับลูกเตรียมตัวทำทุกอย่างเพื่อที่จะหนีออกจาก Revolutionary Road แต่ฝันของทั้งคู่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันครับอยู่ ๆ แฟรงค์ ก็ได้รับข้อเสนอในการเลื่อนตำแหน่ง ในงานที่เขาไม่คิดว่าตัวเองทำได้ดีนั่นแหละและระหว่างนั้นแฟรงค์ก็มีชู้ด้วย แถมยังทำ เอพริล ท้องลูกคนที่ สามอีกเอพริล โกรธแทบคลั่งเมื่อรู้ว่าท้อง และยิ่งโกรธหนักขึ้นเมื่อรู้ว่า แฟรงค์ ไม่เคยคิดจะไปฝรั่งเศส จริง ๆ เขาไม่เคยปฏิเสธตำแหน่งใหม่ แถมยังมีน้ำหน้ามาบอกอีกว่า นอนกับผู้หญิงอื่นโดยก่อนหน้าที่พวกเขาจะทะเลาะกัน แฟรงค์และเอพริล ได้รู้จักกับ จอห์น อดีตดอกเตอร์ด้านคณิตศาสตร์ ที่ต้องไปรักษาตัวในโรงพบาบาลโรคประสาท จอห์น ถูกมองว่าเป็นคนสติไม่ดี แต่เขากลับเข้ากันได้ดีกับแฟรงค์และเอพริลครั้งสุดท้ายที่จอห์น มาเยี่ยมทั้งคู่ที่บ้านและรู้ว่า พวกเขาล้มแผนการไปฝรั่งเศสแล้ว จอห์น เลือกที่จะพูดกับแฟรงค์ตรง ๆ ว่า คุณกลัวอะไรแฟรงค์ คุณเลือกที่จะอยู่อย่างปลอดภัยในที่ ๆ ว่างเปล่า และไร้ความหวัง มากกว่าการไล่ตามความฝันใช่ไหม และผมไ ม่แปลกใจเลยถ้าคุณจะตั้งใจทำให้เธอท้อง ไม่รู้สิครับบางทีคนดี ๆ ก็คิดทำอะไรบ้า ๆ ได้ และทำไมผู้กำกับจะทำให้คนบ้ากลายเป็นคนที่มองเห็นปัญหาและพูดสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกมาได้ดังกว่าใคร ๆ ไม่ได้หลังจากจอห์น มาเยี่ยมบ้าน เอพริล ก็สติแตก เธอทะเลาะกับแฟรงค์ ทันที คุณหลอกฉันมาติดกับและฉันไม่ได้รักคุณอีกต่อไปแล้ว ฉันเกลียด คุณ . ถ้าคุณเกลียดผม คุณมาทำอะไรในบ้านหลังนี้ แต่งงานกับผมทำไม และจะบอกให้ สำหรับผมคุณมันเป็นแค่ความว่างเปล่า เอพริล ทำไมคุณยังเก็บเด็กในท้องไว้ ผมไม่แคร์ด้วยซ้ำที่คุณจะเอามันออก .บางครั้งคำพูดที่พูดด้วยทิฐิ ก็ทำร้ายคนที่รักเรา ได้อานุภาพรุนแรงยิ่งกว่าอาวุธใด ๆ และยิ่งเขารักคุณมากแค่ไหนบาดแผลก็จะยิ่งฝังรากลึกรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ..ผมไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นที่ Revolutionary Road แต่สำหรับคนบางคน พวกเขาคงไม่เหมาะที่จะอยู่ในที่ที่สวยงามอบอุ่นและปลอดภัยแต่ทว่า กลับต้องอยู่อย่างว่างเปล่าและไร้ความหวัง ไปวัน ๆเราอาจจะต้องใช้ความกล้ามาก ๆ ในการหนีออกจากที่ ๆคุ้นเคย เพราะการเดินทางครั้งใหม่ย่อมเกิดขึ้นพร้อม ๆกับความกลัวเสมอผมคงไม่เล่าตอนจบของ Revolutionary Road ละแต่บอกได้เพียงว่า ฉากสุดท้ายที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ในเช้าที่ เอพริล ตั้งใจทำตัวเป็นแม่บ้านในฝันให้ แฟรงค์ เธอทำอาหารเช้าให้เขากิน ฟังเขาพูดเรื่องงาน และให้กำลังใจเขา สายตาเธอตอนมองเขาและพูดว่า มั่นใจหน่อย แฟรงค์ คุณเก่งในงานที่ทำอยู่ และตัวคุณเองก็รู้ดี เธอคงหมายความอย่างที่เธอพูดจริง ๆ และนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาอยู่ด้วยกันหลังจากที่ดู Revolutionary Road จบ ผมอยากให้เรื่องนี้มีตอนจบสัก 3 แบบครับแบบแรกก็จบแบบที่ผู้กำกับทำนั่นแหละ เพราะเราต้องเคารพงานของศิลปิน ถึงมันจะทำให้ อึ้ง ทึ่ง และ เสียวมากก็ตามแบบที่สอง ผมอยากให้ทั้งคู่เริ่มการเดินทางครั้งใหม่ นอก Revolutionary Road แบบที่สาม เรื่องเป็นยังไงก็ได้ แต่อยากได้ตอนจบแบบ happy endingและสำหรับผมแล้ว Revolutionary Road เป็นหนังที่ดูแล้วความรู้สึกจะเปลี่ยนไปตามวัยครับ ถ้าผมดูตอนที่เด็กกว่านี้หรือแก่กว่านี้สักสิบปี ก็อาจไม่คิดแบบนี้และถึงหนังเรื่องนี้จะไม่ได้จบแบบ Happy Ending อย่างที่ผมหวัง ผมก็ยังอยากใช้ชีวิตอย่าง happy ending นะ เพราะถึงบางทีเราจะล้มลุกคลุกคลานมากน้อยต่างกันไป แต่ชีวิตก็ย้อนกลับไม่ได้ มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้า อย่าหยุดเดินนะครับเพราะถ้าหยุดเดินเราคงไม่เจอตอนจบแบบ Happy Ending แน่นอนผมว่า แฟรงค์ เป็นคนโชคดีนะ ที่เจอผู้หญิงอย่าง เอพริล จะมีคนสักกี่คนที่คอยตั้งใจฟังคุณพูดทุกครั้งในเรื่องที่เธอไม่ได้มีความสนใจเลยแล้วยังสบตาและพูดกับคุณว่า คุณเก่งในสิ่งที่ทำอยู่ และตัวคุณเองก็รู้ดี ไม่มีอะไรดีไปกว่า กำลังใจจากคนที่เรารักและรักเราหรอกครับ และเชื่อผมเถอะครับว่า การตื่นขึ้นมาแบบมีกันและกันย่อมดีกว่าการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในที่ที่ว่างเปล่าและไร้ความหวังแน่นอน ..