ดิ้นรนหาความจริง ....บนความประมาท


(ตอนที่สอง) ดิ้นรนหาความจริง บนความประมาท
           วันที่หมอตรวจในเบื้องต้น แล้ววินิจฉัยว่า ขาบวมอักเสบเพราะหมอนรองกระดูกหัวเข่าเสื่อม ต้องผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูก...ผมได้ถามหมอว่าอาการหมอนรองกระดูกหัวเข่าเสื่อมนั้น มันต้องมีอาการบ่งชี้ก่อนใช่หรือเปล่า ซึ่งหมอก็อธิบายให้ฟังว่า ตรงหัวเข่าจะมีอาการหลวมคอนอย่างเห็นได้ชัด เวลาเดินก็จะมีเสียงกุ๊กกิ๊กที่หัวเข่า เราแยงว่าอาการดังกล่าวไม่มีเกิดขึ้นเลย แต่หมอก็แจ้งว่าที่ไม่มีอาการดังกล่าวเพราะขาคุณบวมมาก...เป็นงั้นไป แต่ผมเอก็มั่นใจว่าตอนขาไม่บวมก็ไม่มีอาการดังกล่าว...หมอนัด x-ray อีกครั้งเพื่อความชัวร์แต่ผมกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกบอกตัวเองว่า...ไม่น่าเป็นอย่างที่คุณหมอบอก...ความเชื่อมั่นในตนเองจึงเกิดความประมาท ทำให้เกิดอาการมากกว่าที่คิด
           เพื่อนชวนให้ลองไปที่ ศูนย์กายภาพบำบัดของมหิดล ซึ่งส่วนตัวก็คล้อยตามเพราะน่าจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ในการรักษาอาการบวมของขา ไปรับการรักษาโดยใช้เครื่องมือสร้างความเย็นไปลดอุณหภูมิขอส่วนที่อักเสบบวม ก็ได้ผลดีตรงส่วนนั้นแต่ก้อนเนื้อไม่ยุบลง ทางศูนย์ก็แนะนำให้พบแพทย์อีกครั้งเพื่อวินิจฉัยให้ถูกต้องว่าเป็นอะไรแน่ๆ
           ผมเริ่มคิดถึงแพทย์ทางเลือก...ยังคิดว่า "แค่ขาอักเสบ" เท่านั้นเอง ร่างกายเราแข็งแรง ออกกำลังกายเสมอๆ เริ่มหาหมอนวดแผนไทย ได้รับการแนะนำให้ไปพบหมอแผนไทยที่ศูนย์การแพทย์แผนไทย แถวบางบัวทอง หมอไทยบอกว่าก้อนเนื้อที่เป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆนี้เกิดจากเส้นเอ็นขอดเป็นปม ทางแพทย์แผนไทยเรียกว่า โรคลมปราบ หมอทั้งเค้นทั้งประคบด้วสมุนไพร ตอนรักษาเจ็บแทบขาดใจ... แต่ก็โชคดีของผมที่ก้อนเนื้อไม่แตกกระจายเสียก่อน....นี่ถ้าเกิดแตกกระจายผมคงไม่ได้มานั่งเขียนเรื่องราวพวกนี้แน่นอน
           เพื่อนรุ่นพี่บอกว่า ให้ลองไปหาหมอนวดจับเส้น ทีอยู่ด้านหลังฟาร์มจรเข้สามพราน ที่นี่หมอเก่งจริงๆ....ผมก็ขับรถไปหา...ขาไปเดินลำบากต้องใช้ไม้เท้าช่วยประคอง พอไปถึงลุงหมอบอกให้นอนลง แล้วคลำขาที่บวมและบอกอาการว่า เดี๋ยวจะแก้อาการขาส่วนล่างที่บวมอยู่ให้หายปวดก่อน แต่ก้อนบวมที่อยู่เหนือหัวเข่า เป็นอาการเส้นเอ็นขอด ลุงหมอแก้ให้ไม่ได้... จากนั้นแกก็ดึงเส้นตรงขาท่อนล่างประมาณไม่เกิน 10 นาที แล้วแกก็บอกให้ลุกขึ้นยืน ลองเดินดู น่าแปลกใจครับ...จากที่เดินเหยียบเท้าขวาลงพื้นเกือบไม่ได้เพราะปวด แต่ตอนนี้ลุกเดินได้สบายมาก ไม่มีอาการปวดหลงเหลือให้เห็น แต่อาการก้อนเนื้อที่บวมอยู่ตรงเหนือหัวเข่า ก็ยังไม่ยุบลง ก็อย่างที่แกบอกแต่แรกว่ารักษาให้ไม่ได้...
           อาการหายปวดอยู่ได้เกือบสัปดาห์ ก็เริ่มปวดขึ้นมาอีกคราวนี้ดูท่าทางจะหนักกว่าเดิม ช่วงนี้ดูเหมือนว่าร่างกายจะเริ่มผอมลง (อาการบงชี้ของมะเร็งอย่างหนึ่งที่มาทราบในตอนหลัง) ไปร่วมนั่งประชุมกับชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี เพื่อนในกลุ่มต่างก็ทักว่าซูบผอมลง....เย็นนั้น คุณปุ๋ย(เพื่อนในชมรมฯ)ได้ โทรมาหาภรรยาผมบอกให้ลองไปพบหมอจีนฝังเข็ม ที่อยู่ในหมู่บ้านย่านถนนพัฒนาการ ซึ่งน้องนัดหมายกับหมอให้เรียบร้อยแล้ว ค่ำวันนั้นจึงไปพบคุณหมอที่บ้าน ท่านก็ดีใจหายต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี คุณหมอได้ตรวจชีพจรในเบื้องต้น แล้วแจ้งอาการให้ทราบว่า อาการปวดขารักษาด้วยวิธีฝังเข็มได้ แต่ก้อนเนื้อที่บวมขึ้นน่าเป็นห่วง คุณหมอจีนท่านนี้เก่งเรื่องฝังเข็ม แต่ก็เรียนจบจากแพทย์แผนปัจจุบันจากประเทศจีน เพียงแต่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปของเมืองไทย...จึงทำได้แค่แพทย์ทางเลือก ฝังเข็ม...ท่านได้บอกเลยว่าอาการปวดขารักษาได้ แต่ก้อนเนื้อที่บวมให้ไปหาหมอแผนปัจจุบัน เพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจน ในการฝังเข็มจะต้องทำห่างจากก้อนนี้ที่มีปัญหานี้อย่าน้อย 12 cm. และห้ามให้ใครเจาะเนื้อไปตรวจดูก่อนที่จะวินิจฉัยได้เกือบแน่ชัดแล้วว่าเป็นมะเร็ง...ผมรู้สึกอึ้ง กับสิ่งที่ได้ยิน...นี่แนวโน้มว่าเราเป็นมะเร็งหรือนี่ แต่ก็ให้หมอฝังเข็มรักษาอาการปวด ก็ได้ผลดี แก้ปวดขาได้ แต่ก้อนเนื้อหมอบอกย้ำให้ไปตรวจเร็วๆ
             กลับไปตามวันนัดของหมอแผนปัจจุบันที่นัดมา X-rays ขาอีกครั้ง...ผลการ X-rays หมอวินิฉัยเป็นว่า ในภาพที่ปรากฏมีเหมือนถุงน้ำอยู่ตรงบริเวณที่บวม หรือไม่ก็เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นตรงผิวกระดูก ต้องส่งตัวไปให้แพทย์กระดูกตรวจอีกครั้ง
             และถ้าเป็นมะเร็งกระดูกจริง ที่โรงพยาบาลเพชรเวชรักษาได้วิธีเดียว คือ เจาะชิ้นเนื้อ เพื่อยืนยันให้ชัดเจน และต้องตัดขาทิ้งกรณีเดียวเท่านั้น...โอ้พระเจ้า....เราเป็นหนักถึงขนาดนี้เลยหรือ...
             วันนั้นกลับบ้านด้วยความรู้สึกมึนๆสัปสน...มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเราในขณะนี้ ญาติตัวเอง หรือฝั่งภรรยาก็ไม่มีใครเป็นมะเร็งสักคนเดียว....มันเกิดอะไรขึ้น...????
             ทราบข้อมูลจากคุณหมอผู้ชำนาญเรื่องโรคมะเร็งว่า คนเราทุกคนมีเซลล์ที่สามารถกลายพันธุ์ได้ หากถูกกระตุ้น เช่น เกิดจากอาหารสุ่มเสี่ยง ประเภทของปิ้งของย่าง หรืออาหารบางชนิดที่มีการฉีดสารฟอร์มาลีน กันเน่า สิ่งพวกนี้จะตกค้างในร่างการ กระตุ้นให้เซลล์ของเรากลายพันธุ์ได้ มะเร็งไม่เกี่ยวกับการถ่ายทอดพันธุกรรม แต่เกิดจากสิ่งกระตุ้นที่อยู่รอบๆตัวเราเป็นหลัก....เท่ากับว่าตอนนี้พวกเราอยู่ท่ามกลางโอกาสที่จะทำให้เกิดเซลล์มะเร็งได้ (ช่วงขณะที่มารับการรักษา ผมเห็นคนไข้เป็นมะเร็งกันมาก มารับคีโมกันชนิดต้องนั่งรอคิวยาวเหยียด)
             ตอนเย็นวันถัดมา ผมได้รับโทรศัพท์จากท่านประธานบุญเจริญ ประธานชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี นัดให้ไปพบกับหมอจีนอีกท่านหนึ่งอยู่แถวโรงแรมแม่น้ำ เป็นถึงศาสดาจารย์...และเชี่ยวชาญถึงการฝั่งเข็มมาก ผมไปตามนัด และยอมรับว่าคุณหมอท่านเก่งมาก วันนั้นไปกัน 4 คน มีท่านประธานบุญเจริญ คุณหยวน ที่ปรึกษาชมรมฯ ผม และภรรยา คุณหมอเห็นก้อนเนื้อที่บวมขึ้นมาก็ฟันธงเลยว่า คุณมีปัญหาเรื่องเนื้องอกแนวโน้มจะไม่ค่อยดี อาจเป็นเนื้อร้ายสูงมาก ต้องผ่าตัดออกเท่านั้นแต่ต้องระวัง หากเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจก็ต้องรีบผ่าตัดโดยเร็วไม่งั้นการแพร่กระจายของมะเร็งจะเกิดขึ้น วันนี้ทางคุณหมอจะช่วยรักษาในเบื้องต้น โดยฝั่งเข็มเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เราผ่อนคลาย วิธีการฝั่งใช้เข็มสั้นๆปักที่ปลายเท้าสองขากับที่เหนือหน้าฝากสองเข็ม รวม สี่เข็ม ก็ให้ความรู้สึกสบายผ่อนคลายดี แถมมีคนตรีจากคุณหมอให้ฟังอย่าสบายใจ
            จากที่รู้ตัวว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งสูง ภรรยา และผมก็รู้สึกมึนงงไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี โชคดีที่แฟนของเพื่อนภรรยา เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จึงอยากตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจจะได้ว่างแผนชีวิตได้ถูก หมอก็ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี...พาไป X-rays อีกครั้ง พอตรวจในเบื้องต้น แล้วแจ้งคร่าวๆว่าหากโชคดีก็แค่ถุงน้ำใต้ผิวหนัง แต่ถ้าโชคร้ายจริงๆก็เป็นก้อนเนื้องอก แต่ไม่รู้ว่าเนื้อร้ายหรือดี
            ข้อมูลจากการ X-rays ถูกส่งไปยังผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคกระดูกทันที ทีมหมอของโรงพยาบาลมาตรวจในเบื้องต้น พร้อมกับเรียกญาติผู้ป่วย (ภรรยาผม) พร้อมกับทีมของอาจารย์หมอนั่งกันเต็มห้องตรวจ ส่วนผมนั่งรถวิลแชร์อยู่หน้าหน้า คงได้ยินแต่เสียพูดคุยวิเคราะห์ความเป็นไปได้ ถึงแม้จะได้ยินไม่ถนัดนัก แต่ก็พอจับใจความว่า "เป็นมะเร็งกระดูก ค่อนข้างชัดเจน และก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่มาก จากประสบการณ์อาการแบบนี้ อันตรายมากหากไม่รีบรักษาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน หรือเก่งที่สุดก็ 6 เดือน....ช่วงนั้นรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรมาทุบหัว มึนงงไปหมด สักพักเห็นพยาบาลที่อยู่ในห้องเดินโอปไหล่ภรรยาผมออกมา เห็นดวงตาที่แดงกล่ำ น้ำตาที่ไหลพรากออกมา...นี่มันเรื่องจริงที่เกิดขึ้นหรือนี้...ผมจะตายจริงๆหรือ มีเวลาแค่ 3 เดือน...ผมจะทำอย่างไรต่อไป....ช่วงนี้นั่งนึกสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ และจะต้องทำออกมากมาย มีเป็นร้อยๆเรื่อง....แล้วเราจะตายได้อย่างไร
            จำไม่ได้ว่าภรรยาพูดว่าอย่างไร ได้ยินแต่เสียงสะอื้น และบอกว่าจะไปเอารถมารับ พยาบาลเข็นรถที่ผมนั่งออกมารอที่บันไดทางเข้าหน้าห้องฉุกเฉิน พร้อมกับปลอบใจว่า ตั้งสติดีๆนะสู้ๆทำบุญเยอะๆ...อีกหลายอย่างจำไม่ได้
           เวลาผ่านไป....ช้าเหลือเกิน ระหว่างที่นั่งรอรถมารับ...เห็นรถฉุกเฉินที่มาส่งคนป่วย แต่ละคนอาการหนักๆทั้งนั้น เราได้แต่นั่งมองตัวเอง...นี่เรายังโชคดีกว่าคนเจ็บเหล่านั้นนะ ร่างกายยังครบ 32 เจ็บแค่ขาเท่านั้น....ตั้งสติดีๆเรามีเวลาตั้ง 90 วันเป็นอย่างน้อย...
           คิดดูอีกที่ ผมน่าจะเป็นคนที่โชคดีมากคนหนึ่ง เพราะจะมีคนในโลกนี้สักกี่คนที่รู้วันตายของตัวเอง อีกสามเดือนต่อไปนี้ เขาให้โอกาสเราสะสมบุญเพิ่ม แสดงว่า บุญที่ผ่านมาของเรายังมีไม่เพียงพอ ....ผมมีโอกาสสะสมบุญเพิ่มขึ้น คำนี้ทำให้สมองเรารู้สึกผ่อนคลายลง ....สบายใจมากขึ้น



Create Date : 13 พฤษภาคม 2560
Last Update : 13 พฤษภาคม 2560 14:51:21 น.
Counter : 545 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 3867123
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เรียกผมว่า "พล" ในชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นมะเร็งกระดูกกับเขาได้ แต่เมื่อเป็นแล้ว ก็ไม่อยากให้ความตายมาทำให้ประสบการณ์ที่ผมเจอะอยู่ต้องหายไปอย่างไร้ค่า... จึงขอมาเล่าเรื่องราวที่ประสบอยู่ อย่างน้อยก็อาจมีประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง... ขอให้สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ
หมายเหตุ ความสงสารจากใครๆไม่ช่วยให้ผมมีคุณค่าได้ แต่ถ้าผมต่อสู้โดยใช้ความเข้มแข็งด้วยใจของตนเอง ผมจะรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น...ผมต้องผ่านมันไปได้แน่นอน
New Comments