..เพื่อความรู้ทางกฎหมาย และ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม..

anyway justice
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สมาคมหมอความยุติธรรม

เพื่อความรู้ทางกฎหมาย
และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

รับให้คำปรึกษากฎหมายและอรรถคดี
ว่าความดำเนินคดีทุกประเภทในศาล
ทั่วราชอาญาจักร

รับตรวจร่างสัญญาและจัดทำเอกสารทางกฎหมาย

ให้คำปรึกษาในการทำนิติกรรมสัญญา
จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม

รับจดทะเบียนหุ้นส่วน บริษัท
เครื่องหมายการค้าและบริการ ฯลฯ

โดย ทีมงานที่ปรึกษา
และทนายความผู้เชี่ยวชาญ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add anyway justice's blog to your web]
Links
 

 

พูดจาภาษากวี


ภาษาที่สื่อสาร ของคนบ้านนอกฉะนี้
อ่านดูคงรู้ดี เนื้อในนี้นะแยบยล
ด้วยคิดว่าใจซื่อ ที่ยึดถือค่าของคน
เที่ยงธรรมสำหรับตน และรักล้นคนติดดิน
สำนึกตลอดว่า เป็นชาวนาน้ำตาริน
ทำมาและหากิน บนแผ่นดินที่ดิ้นรน
จากเด็กที่ดักดาน จนแตกพานผ่านวัยพ้น
เหงื่อหยดต้องอดทน จนกระทั่งเป็นฝั่งฝา
สู้ทนจนเนิ่นนาน อยู่ที่บ้านนอกทำนา
เรียนรู้เรื่องปูปลา เลี้ยงหมูหมามาหลายโหล
ปลายนาข้ามีศาล คนเรียกขานศาลเจ้าโซ่
ศาลไม้ใต้ต้นโพธิ์ ดูแล้วทึ่งจนถึงกลัว
ใครใครผ่านไปมา พอสบตาต้องก้มหัว
ขอพรก่อนขอตัว ก่อนเดินต้อยไปตามทาง
ศาลนี้มีชื่อชั้น คนลือลั่นเรื่องผีสาง
ฤทธิ์แรงเกินเครื่องราง คอยรับจ้างกำจัดคน
ถ้าใครไม่สยบ มันต้องพบพวกผีมนต์
กลั่นแกล้งแสร้งใส่กล ให้เกิดเหตุอาเพศภัย
ชื่อศาลเจ้าพ่อโซ่ ฟังดูโก้แถมยิ่งใหญ่
ฤทธิ์เดชล้วนเลศนัย ไวปรอทยอดระยำ
อยู่มาเมื่อไม่นาน ฤดูกาลฟ้าฝนพรำ
ตกแซ่แต่หัวค่ำ หนักกระหนำตลอดคืน
ตีสี่มีลมแรง เหมือนฟ้าแกล้งแข่งลมคลื่น
ลมร้ายปลายค่ำคืน ศาลเจ้าฝืนยืนต้านลม



ทนทาน ประมาณว่า ฟังเสียง ฟ้าร้องระงม
เสาหลัก ก็หักล้ม ลมซัดโค่น พร้อมต้นโพธิ์
เช้าเย็น เคยเห็นมา ตั้งแต่ข้า ยังไม่โต
ศาลเอ๋ย ไม่เคยโย้ วันนี้ยับ ลงกับดิน

พฤกษ์โพธิ์ ที่เคยพึ่ง ต้องล้มตึง ลงใต้ตีน
โพธิ์พัง ฝังฝากดิน ก็สิ้นสุด ขุดโคตรโพธิ์
เสียศาล ประมาณว่า คือเสียค่า อันอักโข
แถมยัง ฝังต้นโพธิ์ โอ้หนอกรรม ลมสำแดง

คิดไป แล้วใจหาย ยังเสียดาย แต่สุกแย้ง
เจ้ากรรม ลมสำแดง แกล้งลุยรื้อ ถือสิทธิ์ใด
โพธิ์ศาล คือบ้านผี อยู่ดีดี มาเป็นไป
หมูเห็ด และเป็ดไก่ ข้าเคยได้ คงไม่มา

อยากสร้าง ศาลอีกหลัง ยื้อผียั้ง ก็อย่างว่า
ไม้ใหญ่ ที่หมายตา ก็มาตาย ไปตามกัน
จบแล้ว เรื่องราวผี เหลือเรื่องที่ คนสร้างสรรค์
ผีร้าย พ่ายตะวัน ร้ายคนนั้น ข้ามวันคืน




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2552 13:12:00 น.
Counter : 417 Pageviews.  

ศาลปกครองมีคำสั่งให้รับ "มานิต วงศ์สมบูรณ์"กลับเข้ารับราชการ

วันที่ 30 กันยายน ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ให้รับ พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 กลับเข้ารับราชการเหมือนเดิม พร้อมทั้งคืนสิทธิที่พึงได้ตามกฎหมายให้ด้วยภายใน 45 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ภายหลังจากที่ถูกสั่งปลดออกจากตำแหน่ง สืบเนื่องจากพัวพันในคดีทำร้ายร่างกายแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549

สำหรับคดีนี้ พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1และ 2 ตามลำดับ โดยขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 647/2550 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2550 ที่ลงโทษให้ปลดออกจากราชการ และคำสั่งของ ก.ตร.ที่ให้ยกอุทธรณ์คำสั่งปลดออกจากราชการดังกล่าคดีนี้สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงต่อ พล.ต.ต.มานิต ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น รองผู้บังคับการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (ยศ "พ.ต.อ.") เนื่องจากเห็นว่ามีพฤติการณ์แสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 เพราะปล่อยให้มีการทำร้ายร่างกายประชาชนโดยมิได้เข้าขัดขวาง อีกทั้งยังมีพฤติกรรมเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ส่วนกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกฯ กลับไม่ถูกดำเนินคดี

จากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงได้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ () เพื่อพิจารณาลงโทษทางวินัยตามความผิดดังกล่าว ต่อมา ผบ.ตร.ได้นำเรื่องการลงโทษทางวินัยเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ปลด พล.ต.ต.มานิต ออกจากราชการ แต่ทาง พล.ต.ต.มานิต ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งลงโทษดังกล่าวต่อ ก.ตร. และต่อมา ก.ตร.ได้มีมติยกอุทธรณ์คำร้อง

ทั้งนี้ ศาลพิจารณาพฤติการณ์แล้วเห็นว่า การกระทำของพล.ต.ต.มานิต ไม่ได้เป็นการละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เพราะจากภาพเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นว่า พล.ต.ต.มานิตได้เข้าไปแยก นายวิชัย เอื้อสิยาพันธุ์ ชายผู้ขับไล่อดีตนายกฯ พร้อมกับพูดว่า "อย่า อย่า" อันมีลักษณะเข้าไปช่วยแยกตัวออกจากกลุ่ม ซึ่งเป็นชายที่สนับสนุนอดีตนายกฯ มากกว่าที่จะเข้าไปจับกุม
นอกจากนี้ ในขณะที่นายวิชัยถูกกลุ่มผู้สนับสนุนนายกฯ ห้อมล้อมพร้อมกับตะโกนด่าทอตลอดทาง พล.ต.ต.มานิตก็ได้พูดระงับเหตุว่า "หยุด หยุด" แล้วพาตัวนายวิชัย ออกจากการถูกห้อมล้อม เพื่อนำตัวขึ้นรถไปยังสน.ปทุมวัน พร้อมกับแจ้งแก่สื่อมวลชนที่อยู่ในที่เกิดเหตุว่า จำเป็นต้องแยกออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้ตีกัน

อีกทั้งนายวิชัยเองได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ขณะที่ถูกห้อมล้อมอยู่นั้น มีตำรวจชื่อ พ.ต.อ.มานิต สูงประสิทธิ์ได้เข้ามาช่วยเหลือ และนำตัวส่งสน.ปทุมวัน โดยมิได้แจ้งข้อกล่าวหาหรือจับกุมแต่อย่างใด อีกทั้งระหว่างที่ถูกนำตัวมาสน.ปทุมวันก็ไม่มีการใส่กุญแจมือหรือใช้เครื่องพันธนาการใดๆ
ศาลยังเห็นว่า ภาพเคลื่อนไหวในช่วงชุลมุน เป็นภาพจากด้านหลังของผู้ฟ้องคดีและเป็นภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ เฉพาะจุดไม่ได้เป็นภาพรวมทั้งหมด ประกอบกับพยานบุคคลคือนางกชชมณฑ์ อรชุนวงศ์ ซึ่งให้การว่าเห็นพล.ต.ต.มานิต ผลักนายวิชัย ไปให้กลุ่มนายจรัญทำร้ายนั้นก็เป็นกล้องจากโทรศัพท์มือถือ แต่มิได้เป็นการเห็นด้วยตาตัวเอง จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีเจตนาผลักนายวิชัย

ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.มานิต มิได้จับกุมกลุ่มของนายจรัญกับพวกในทันทีนั้น ศาลเห็นว่าในกรณีการเข้าจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ซึ่งในกรณีที่เกิดเหตุชุลมุนของประชาชนที่มีความเห็นไม่ตรงกันนั้น การเข้าจับกุมกลุ่มประชาชนทั้งสองฝ่ายด้วยตัวคนเดียวในทันทีย่อมจะทำไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจระงับเหตุด้วยการกันตัวต้นเหตุออกมา การที่พล.ต.ต.มานิต ได้พยายามกันตัวนายวิชัย โดยไม่ได้จับกุมนายจรัญกับพวกในทันทีนั้นจึงมีเหตุผลเพียงพอรับฟังได้ กอปรกับต่อมาได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับนายมงคล บุญเต็ม ซึ่งยอมรับว่าเป็นพวกที่สนับสนุนอดีตนายกฯ รวมทั้งบุคคลอื่นอีกด้วย จึงเป็นกากระทำที่สมควรแก่สถานการณ์ในขณะนั้น และยังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์เลือกปฏิบัติในการใช้กฎหมาย และใช้ดุลพินิจโดยมิชอบตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

ดังนั้น คำสั่งให้ปลอดออกจากราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมติยกอุทธรณ์ของ ก.ตร.จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลจึงมีคำสั่งให้รับ พล.ต.ต.มานิต กลับเข้ารับราชการ รวมทั้งคืนสิทธิที่พึงได้ตามกฎหมายภายใน 45 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2552 13:06:50 น.
Counter : 268 Pageviews.  

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง "กำนันโต๊ะเด็ง"

วันที่ 15 ตุลาคม ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง นายกามานิต มะมะ อายุ 50 ปี อาสาสมัครรักษาดินแดนประจำ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส นายอนุพงษ์ พันธชยางกูร อายุ 51 ปี อดีตกำนัน ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี และอดีตผู้ต้องหาคดีปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ซึ่งอัยการสั่งไม่ฟ้อง นายอาซีซาน หรืออาแซ หรืออีแซ หรือแว สุเด็ง อายุ 32 ปีและนายซอบัร หรือซอบ๊ะ สรีฟ อายุ 31 ปี จำเลยที่ 1-4 ฐานร่วมกันฆ่า จ.ส.ต.ปัญญา ดาราฮิม ตำรวจ สภ.สุไหงปาดี โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนและใช้จ้างวานฆ่าเจ้าพนักงาน และกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน

คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2547 ระบุว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม-6 กุมภาพันธ์ 2547 จำเลยที่ 1-3 ร่วมกันมีปืนอาก้า 1 กระบอก พร้อมกระสุนและแม็กกาซีน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2547 จำเลยที่ 1, 3 และ 4 ร่วมกันพกพาอาวุธปืนเข้าไปในหมู่บ้านนาโงฮูมอ ต.การะ ซึ่งได้รับการจ้างวานจากจำเลยที่ 2 ให้ไปซุ่มยิงผู้ตาย ขณะไปส่งบุตรและภรรยา เพราะโกรธแค้นจำเลยที่ 2 ถูกราชการกล่าวหาว่าเป็นผู้มีอิทธิพล โดยผู้ตายติดตามความเคลื่อนไหวของจำเลยที่ 2 และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการปล้นอาวุธปืนของกองพันพัฒนาที่ 4 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า โจทก์มีนางสุกัญญา ภรรยา จ.ส.ต.ปัญญา ผู้ตาย อยู่ในเหตุการณ์ขณะ จ.ส.ต.ปัญญาขับรถพาบุตรไปส่งโรงเรียนเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 08.20 น. เบิกความว่าเห็นคนร้าย 2 คนยิงผู้ตายหลังจากส่งบุตรและตน แต่เห็นเพียงด้านหลัง ขณะที่โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน คงมีเพียงพยานบอกเล่าประกอบบันทึกคำให้การจำเลยที่ 1-4 รับสารภาพชั้นจับกุม ซึ่งตำรวจทำขึ้นฝ่ายเดียว ขณะชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1-4 ปฏิเสธว่าถูกบังคับให้สารภาพ จึงมีเหตุน่าสงสัยว่าคำรับสารภาพชั้นจับกุมสอบสวนเป็นไปด้วยความสมัครใจหรือไม่
ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การว่ากระสุนปืนที่ตำรวจค้นพบภายในห้องพักภายในกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน เป็นกระสุนอาวุธปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่และเป็นกระสุนปืนคนละชนิดกับปลอกกระสุนปืนอาก้า ที่พบในรถยนต์ผู้ตาย และเงิน 10,000 บาทที่ถูกค้นพบ เป็นเงินที่กู้ยืมมาซ่อมบ้าน
สำหรับนายมะยูโซ๊ะ หะยีมามะ ผู้ต้องหาร่วมคดีนี้ที่ตำรวจและอัยการกันไว้เป็นพยาน เคยให้การชั้นสอบสวนว่ารู้เห็นที่จำเลยที่ 2 จ้างวาน จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 1 คนที่หลบหนี กระทำผิด โดยนายมะยูโซ๊ะนำซองสีขาวที่จำเลยที่ 2 มอบให้เพื่อนำไปให้จำเลยที่ 1 เมื่อส่องดูกับแสงแดดเห็นว่าเป็นธนบัตรหลายใบซ้อนกัน ศาลเห็นว่าผิดปกติวิสัย หากจำเลยที่ 1 กระทำผิด ย่อมจะปกปิดไม่ให้บุคคลอื่นรับรู้ ขณะชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้นำนายมะยูโซ๊ะมาเบิกความ ส่วนมูลเหตุความขัดแย้งระหว่างจำเลยที่ 2 กับ จ.ส.ต.ปัญญา ไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดเจน และพบว่า จ.ส.ต.ปัญญามีความขัดแย้งกับบุคคลอื่นหลายคน ที่พยานโจทก์เบิกความว่า วันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ 2547 เห็นจำเลยที่ 3 และ 4 ไปบ้านจำเลยที่ 2 เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นกำนัน ต.โต๊ะเด็ง จึงเป็นปกติที่จะมีบุคคลเข้าออกบ้าน พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุน่าสงสัยตามสมควร ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังฟังคำพิพากษาจำเลยทั้ง 4 มีสีหน้ายิ้มแย้ม โดยนายอนุพงษ์กล่าวว่า ดีใจและมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม

เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ รุ่นที่ 13 ซึ่งโครงการนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นที่ 5 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีโอกาสเรียนรู้สภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตครอบครัวมุสลิมในกรุงเทพฯ ซึ่งรุ่นนี้มีเยาวชนเข้าร่วมจำนวน 239 คน โดย พล.อ.เปรมให้โอวาทตอนหนึ่งว่า ภูมิใจและดีใจมากที่ได้รับเยาวชนจากภาคใต้มาร่วมโครงการถึง 239 คน ทั้งนี้จะสังเกตว่าวันนี้มีผู้บัญชาการเหล่าทัพมาร่วมในพิธีด้วย ที่กองทัพมาเพราะกองทัพมีความรู้สึกเช่นเดียวกับที่ดำเนินโครงการนี้ เพราะอยากให้เยาวชนภาคใต้ได้มาเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป มีสองสิ่งที่ต้องพูดทุกครั้ง คือ ความเป็นไทยและความเป็นธรรม ความเป็นไทย อยากให้เด็กทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามมีความภาคภูมิใจและหยิ่งทะนงว่าเป็นคนไทย เป็นเจ้าของประเทศเหมือนกับทุกคน ดังนั้นต้องมีหน้าที่ คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน

"ส่วนความเป็นธรรม รู้ดีว่าความเป็นธรรมเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะให้ความเป็นธรรมต่อคนในชาติ เด็กทั้งหลายมีความชอบธรรมที่จะได้รับความเป็นธรรมเท่าเทียมกันไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ไม่ถือเป็นอุปสรรคทั้งสิ้น ขอให้พระสยามเทวาธิราชที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปกป้องคุ้มครองประเทศชาติ ดลบันดาลให้ทุกคนมีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ และมุ่งมั่นทำความดีอย่างเต็มความสามารถ" พล.อ.เปรมกล่าว

รายงานข่าวจาก ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) เปิดเผยว่า ได้ออกหมายจับคนร้ายก่อเหตุยิงปืนในร้านอาหารและขว้างระเบิดตามเข้าไปทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุเกิดริมถนนทรายทอง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และเกิดเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดรถยนต์จอดบริเวณใกล้โรงแรมเมอร์ลิน อ.สุไหงโก-ลก ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากเมื่อ 6 ตุลาคมนั้น พนักงานสอบสวนขออนุมัติศาลจังหวัดนราธิวาสออกหมายจับผู้ต้องหา 4 ราย คือ นายมูฮำหมัดสักรี ไซซิง อายุ 25 ปี อยู่ที่ 364/1 หมู่ 7 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส นายอิลยัส นิมะ อายุ 27 ปี อยู่ที่ 12 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี นายโรสลาน กูบารู อายุ 25 ปี อยู่ที่ 38/1 หมู่ 8 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี นายมูฮำหมัดรอวี อาแว อายุ 29 ปีอยู่ที่ 39/1 หมู่ 1 ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี

วลา 07.30 น. วันเดียวกัน ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) ตำรวจภูธรนราธิวาส ตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเป็นระเบิดบรรจุในกระสอบปุ๋ยสีขาววางอยู่ไหล่ถนนเส้นทางเลี่ยงเมืองบ้านปลักปลา หมู่ 7 ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส พบกล่องเหล็ก 3 ใบ บรรจุระเบิดเคโม 2 ใบ และบรรจุระเบิดแสวงเครื่องชนิดแอมโมเนียมไนเตรท 1 ใบ คาดว่าคนร้ายเตรียมนำกล่องเหล็กไปประกอบเป็นระเบิด แต่ระหว่างทางพบเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจ จึงนำไปซ่อนไว้ จนชาวบ้านไปพบ

ด้าน พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานศูนย์วัฒนธรรมอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม 24 องค์กร ร่วมกันจัดงานและฟังการอภิปราย "รำลึก ๕ ปี กรณีกรือเซะ ตากใบ บนเส้นทางกระบวนความยุติธรรม" ในวันที่ 24 ตุลาคม สำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เพื่อหารายได้สมทบกองทุนประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2552 11:59:38 น.
Counter : 252 Pageviews.  

ฟ้องราเกซ

พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ในคดียักยอกทรัพย์บีบีซี เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมเป็นคำให้การของเจ้าหน้าที่ล่ามภาษาอังกฤษของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เป็นผู้แปลคำให้การปฎิเสธของนายราเกซ ในคดีร่วมกับอนุมัติสินเชื่อโดยทุจริตให้บริษัท ซิตี้ เทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 1,657 ล้านบาท ให้นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายเศรษฐกิจทรัพยากร ตามที่ร้องขอแล้ว

ด้านนายคำนวณ ชโลปถัมภ์ อดีตทนายความของนายราเกซ กล่าวว่า นางอัมฤต สารุป มารดาของนายราเกซ ซึ่งเป็นนักกฎหมายจะเดินทางมาจากประเทศแคนาดา เพื่อมาเป็นที่ปรึกษาในการสู้คดียักยอกทรัพย์บีบีซี โดยตนเชื่อว่าข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานของอัยการน่าจะไม่แตกต่างจากคดีในอดีต เทียบเคียงได้กับคดีที่นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการ บีบีซี ถูกศาลพิพากษาจำคุก 10 ปี และปรับกว่า 2 พันล้านบาท ฐานร่วมทุจริตปล่อยเงินกู้ให้ บริษัท ซิตี้ เทรดดิ้งฯ ส่วนในการต่อสู้คดี นายราเกซ จะเปิดเผยข้อมูลที่เชื่อมโยงไปยังนักการเมืองที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ตนยังไม่ทราบและยังไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นทนายความในคดีดังกล่าว แต่เมื่อครั้งที่ตนว่าความให้นายราเกซในการคัดค้านขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศแคนาดา นายราเกซยังไม่เคยอ้างอิงถึงนักการเมืองคนใด

“คณะทำงานอัยการ จะดูแต่พยานหลักฐานในสำนวนเป็นหลัก โดยไม่นำเอารายละเอียดหรือเนื้อหาคำพิพากษา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ จำคุก นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการบีบีซี ในคดีซิตี้เทรดดิ้งมาประกอบ และไม่จำเป็นต้องรอฟังผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในดีดังกล่าว เพราะถือเป็นคนละคดีกัน

การประชุมพรรคเพื่อไทย โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค ทำหน้าที่ประธาน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิ้งค์ เข้ามาพูดในที่ประชุม โดยกล่าวตอนหนึ่งถึงเรื่องนายราเกซ ว่า ขอให้ ส.ส.และทีมงานตรวจสอบทุจริตรัฐบาลไปค้นคำพูดการอภิปรายไม่ไว้วางใจของประชาธิปัตย์ ในสมัยรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ในเรื่องบีบีซีมาให้หมด ทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายอภิสิทธิ์ เวชชาขีวะ แล้วนำมาขยายผล เพื่อให้สังคมเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เคยพูดเรื่องนี้ไว้ แต่ไม่ทำตามคำพูด กลืนน้ำลายตัวเอง

"เพราะพรรคประชาธิปัตย์ตอนเป็นรัฐบาลพูดอย่าง พอเป็นฝ่ายค้านพูดอย่าง บางคน เช่น นายกอร์ปศักดิ์ เคยบินไปแคนนาดา ไปเอาข้อมูลกับนายราเกซ เพื่อเอาข้อมูล ตอนนั้นจำได้ เป็นรองนายกฯ อยู่พรรคพลังธรรม ถ้าเรานำมาให้ประชาชนเห็น พรรคประชาธิปัตย์ก็เสียเอง ไม่ต้องเอยถึงตัวบุคคลให้เสียเวลา คนจะเห็นแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์พอถึงตอนนี้ก็ไม่ทำอะไร" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ได้นำเอกสารถอดเทปคำอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง เมื่อสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์ได้อภิปรายช่วงที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนกันยายน 2539 ในเรื่องบีบีซี โดยระบุว่า ตนได้ถอดเทปคำอภิปรายของนายสุเทพ พร้อมทั้งของนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายจุติ ไกรฤกษ์ และนายพินิจ จารุสมบัติ โดยนายสุเทพได้สรุปไว้ชัดเชนว่า ในรัฐบาลนายบรรหาร มีส่วนเกี่ยวข้องคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ โดยเฉพาะกรณีการสั่งจ่ายเช็คจำนวน 20 ล้านบาท ของธนาคารแหลมทอง ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2539 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ นายราเกซ หลบหนีคดี พร้อมการจ่ายเงินให้พรรคชาติไทย เพื่อนำไปใช้ในการเลือกตั้งใน จ.ชลบุรี บุรีรัมย์ สุรินทร์ และ ศรีสะเกษ เป็นเงินกว่า 250-300 ล้านบาท อีกทั้งยังได้ตั้งข้อสังเกต ดคีการจับเงินยี้ร้อยยี่สิบที่ จ.บุรีรัมย์ อาจเป็นเงินดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ การรับเช็คเกิดก่อน บีบีซี จะล้ม คดีนี้จะต้องมีการชำระสะสางผู้อยู่เบื้องหลัง

"ในคำอภิปรายนายสุเทพ ได้ระบุชัดเจนว่า หากได้ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ขณะนั้น ภายใน 2 เดือน จะดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ได้ แต่ในวันนี้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมีอำนาจเต็มที่แล้ว เพราะคดีนี้นอกจากมีนักการเมืองกลุ่ม 16 แล้ว ก็ยังมีนายบรรหาร แต่ทำไมนายสุเทพ ถึงไม่ดำเนินการใดๆ กับนายบรรหาร" นายจตุพร กล่าว และว่าตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เพื่อพิจารณาแนวทางในการดำเนินการ หรือ ตั้งเป็นกระทู้ถามสด

23 พ.ย. 52 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 อัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 3 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษานายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 308, 311 และ 315 ฐานเป็นผู้สนับสนุนร่วมกับกรรมการซึ่งรับผิดชอบดำเนินงานของธนาคารกระทำผิดหน้าที่ ร่วมกันเบียดบังทรัพย์สินของธนาคารไปโดยทุจริต จำนวน 1,657 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2538 ถึง 27 ก.ค.2538 นายราเกซ ร่วมกับนายเกริกเกียรติ และพวกซึ่งได้ยื่นฟ้องเป็นจำเลยและศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไปแล้ว อนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ไปโดยทุจริต อัยการขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดและให้จำเลยร่วมกับพวกซึ่งกระทำผิดชดใช้คืนเงินจำนวน 1,627 ล้านบาท ให้กับธนาคารบีบีซี ผู้เสียหาย
ศาลประทับรับฟ้องเป็นคดีดำ อ.3054 /2552 ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ เตรียมเบิกตัวนายราเกซ มาเพื่อสอบคำให้การในวันที่ 24 พ.ย. 52 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุงต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้อัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 3 ได้ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ กับพวก รวม 6 คน ประกอบด้วยนายพิเศษ พานิชสมบัติ อดีตเจ้าหน้าที่ประเมินหลักทรัพย์, บริษัท ซิตี้ เทรดดิ้งฯ, น.ส.สุนันทา หาญวรเกียรติ อดีตกรรมการบริษัท ซิตี้ เทรดดิ้งฯ,นายเอกชัย อธิคมนันทะ อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี และนายเทอร์รี อีสเตอร์ อดีตกรรมการบริษัท ซิตี้ เทรดดิ้งฯ ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352-354 และ 357 และกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ มาตรา 3-4, 307-309, 311, 313, 315 และ 334

ซึ่งจำเลยดังกล่าวได้ร่วมกันอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทซิตีแทรดดิ้งฯจำนวน 1657 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 10 ก .พ.-27 ก.ค.38 ซึ่งจำนวนเงินที่อนุมัติเกินกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และพวกจำเลยยังร่วมกันประเมินราคาหลักทรัพย์ที่ดินซึ่งเกิดกว่ามูลค่าความเป็นจริง โดยคดีดังกล่าวศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก นายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี และปรับ 2,264 ล้านบาท และให้ปรับบริษัทซิตี้ เทรดดิ้ง ฯ จำเลยที่ 3 จำนวน 1 ล้านบาท

ส่วน น.ส.สุนันทา กรรมการบริษัท ซิตี้ฯ และ นายเทอร์รี กรรมการบริษัท ซิตี้ฯ จำเลยที่ 4 และ 6 ให้ จำคุกคนละ 7 ปี ปรับคนละ 1 ล้านบาท นอกจากนี้ยังให้จำเลยที่ 2, 4 และ 6 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1,132 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17.25 ต่อปี คืนธนาคารบีบีซีด้วย สำหรับนายเอกชัย อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ จำเลยที่ 5 ให้จำคุก 8 ปี ปรับ 1 ล้านบาท พร้อมให้ชดใช้เงินจำนวน 75 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17.25 ต่อปี คืนธนาคารบีบีซีด้วย ขณะที่นายพิเศษ จำเลยที่ 1 ศาลพิพากษาให้ยกฟ้อง.




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2552 10:16:23 น.
Counter : 267 Pageviews.  

คตส.โต้กลับอัยการ ยืนยันคดีกล้ายางทำตามกฎหมาย

อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. อาทิ นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส., นายสัก กอแสงเรือง, นายแก้วสรร อติโพธิ, นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์, คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และนายกล้านรงค์ จันทิก ได้หารือเป็นการภายใน ภายหลังโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดออกมาตำหนิการทำสำนวนของ คตส. ในคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพารา 90 ล้านต้น จากนั้นได้ร่วมกันแถลงข่าว

นายสัก กอแสงเรือง อดีตโฆษก คตส. แถลงภายหลังการหารือเป็นเวลา 1 ชั่วโมง กล่าวว่า ยอมรับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และถือเป็นข้อยุติแล้ว แต่การที่มีบุคคลในสำนักงานอัยการสูงสุดออกมาวิจารณ์ในลักษณะที่ทำให้ คตส.เสียหาย จึงขอโต้แย้งทุกข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า คตส.ได้ทำสำนวนคดีตามอำนาจหน้าที่ของกฎหมาย และอยู่บนพื้นฐานของพยานหลักฐาน ปราศจากอคติ และสั่งฟ้องเมื่อเห็นว่าสำนวนมีความสมบูรณ์ ไม่ใช่ไม่ยอมฟังข้อไม่สมบูรณ์ของอัยการ ไม่แจ้งข้อกล่าวหาให้ครบถ้วนตามที่ถูกระบุ จึงต้องออกมาชี้แจง และคงไม่ดำเนินการเอาผิดหรือฟ้องร้องใคร แต่ต้องการให้สังคมรับรู้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนเท่านั้น

ด้านนายแก้วสรร อดีตเลขานุการ คตส. ชี้แจงกรณีไปเป็นพยานให้ฝ่ายจำเลยในคดีกล้ายางพาราว่า เป็นไปตามหน้าที่ และในอนาคตจะมี คตส.อีกหลายคนต้องเป็นพยานให้ฝ่ายจำเลย หาก คตส.คนนั้นเป็นเสียงข้างน้อยในแต่ละสำนวน แต่ในภาพรวมคดีกล้ายาง คตส.มีมติให้สั่งฟ้องอย่างเป็นเอกฉันท์ ที่ผ่านมาทำหน้าที่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย พร้อมตั้งข้อสังเกตุการที่โฆษกอัยการสูงสุดออกมาตำหนิการทำงาน ของ คตส.และเหตุใด เมื่อคดีจบลงแล้ว ยังจะออกมาแสดงความเห็นให้เกิดความวุ่นวาย
นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส. ยืนยันว่า คตส.มีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะยื่นฟ้องเอง พร้อมระบุ ที่ผ่านมามีหลายคดีที่ อัยการ ส่งสำนวนให้กับศาลแล้วศาลสั่งยกฟ้อง

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่พันตำรวจโท ทักษิณ กล่าวอ้างว่า การตัดสินคดีทุจริตกล้ายาง เท่ากับพิสูจน์ว่า ตนเองไม่ได้ทุจริตจึงควรคืนเงิน 76,000 ล้านบาทให้กับตนเองและครอบครัวว่า เป็นเรื่องที่เทียบเคียงกันไม่ได้ เพราะเป็นคนละคดีกัน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่รู้สึกหนักใจ กับความพยายามของ พันตำรวจโททักษิณ ในการวีดีโอลิ้ง เพื่อชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลไม่มีความชอบธรรม และพร้อมจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยได้แสดงความเชื่อมั่นว่าประชาชนเข้าใจแยกแยะข่าวสารได้




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2552 10:12:58 น.
Counter : 235 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.