อ่านหนังสือ ดูหนัง&ซีรี่ย์ นำสิ่งดีๆมาแบ่งปันกัน
 

ความรักของซูเปอร์สตาร์ (What I did for love)

ความรักของซูเปอร์สตาร์ (What I did for love)

เขียน : Susan Elizabeth Phillips ซูซาน อลิซาเบท ฟิลลิปส์
แปล : จิตราพร โนโตดะ
สำนักพิมพ์ : Bliss publishing
ปีที่พิมพ์ : 10/2552
จำนวนหน้า : 281
ราคาปก : 295 บาท

เรื่องจากปกหลัง

เมื่ออดีตคู่ขวัญจากซีรีส์ทีวีเรื่องดังกลับมาโคจรกันอีกครั้ง หลังจากซีรีส์พังไม่เป็นท่าเพราะพฤติกรรมเหลวแหลกของ แบรม เชพพาร์ด พระเอก ของเรื่อง คราวนี้หนุ่มซ่าปากร้ายจะทำให้นางเอกสาวสวย จอร์จี ยอร์กเจ็บช้ำระกำใจอีกหรือไม่ เขาจะกลายเป็นคนใหม่ให้โลกฮอลลีวูดตะลึงลาน
เชิญ พบกับเรื่องราวความรักฉบับปากว่าแต่สายตาเริ่มปิ๊ง นิยายอุ่นไอรักเล่มใหม่ของราชินีนิยายโรแมนติก ซูซาน อลิซาเบท ฟิลลิปส์ซึ่งคุณเคยสนุกกันมาแล้วจากเรื่อง ปราบซ่าสาวแสบ (Ain’t She Sweet ?) จับคู่ดีนัก หลอกให้รักซะให้เข็ด (Match Me if You Can) และ หล่อแค่ไหนก็ไม่รัก (Natural Born Charmer)

ความรู้สึกส่วนตัว (ใครยังไม่เคยอ่านข้ามไปเลยนะค่ะ)
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ขอออกตัวก่อนเลยนะค่ะไม่เคยอ่านของนักเขียนคนนี้มาก่อน ช่วงหลังหนังสือที่นักเขียนเป็นคนตะวันตกจะอ่านไปทางแนวฆาตกรรมซะมากกว่า
(ถ้ามีแนวเดียวกันสองเล่มจะหยิบของญี่ปุ่นมาอ่านก่อนเลย ไม่ค่อยลำเอียงซะเท่าไหร่แต่ก็เลือกมากไม่ได้อ่ะนะค่ะเพราะไม่ได้ซื้อหนังสืออ่านเอง คนซื้อเค้าซื้อมาแนวไหนก็ต้องอ่านอ่ะนะ) ที่ไม่ได้อ่านหนังสือแนวรักๆหวานๆซักเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าแต่ละเรื่องมักจะมีโครงเรื่องคล้ายๆกันทำให้เดาทางได้ตั้งแต่4-5บทแรกแล้วว่าจะจบแบบไหน แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดจริงๆด้วย แต่ที่อ่านต่อเพราะอยากรู้ว่าจอร์จี จะแก้ไขปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมาอย่างไง อ่านไปซักพักคุณจะได้เห็นมุมอีกด้านของ จอร์จีกับเชป ที่คุณไม่คิดว่าจะได้เห็นจากบทก่อนหน้า แล้วจะไม่สงสัยเลยว่าทำไมทั้งสองคนถึงตกหลุมรักกันเองได้ทั้งๆที่ก่อนหน้าเกลียดขี้หน้ากันแทบเป็นแทบตาย
แล้วก็จบลงอย่างแฮปปิ้งตามสเต็ป







 

Create Date : 11 ตุลาคม 2553    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2553 16:42:23 น.
Counter : 1118 Pageviews.  

ปิเอโร่ พันธุกรรมอำพราง

ปิเอโร่ พันธุกรรมอำพราง


 
ผู้ แต่ง Isaka Kotaro
ผู้แปล อิศเรศ ทองปัสโณว์
สำนักพิมพ์ เนชั่นบุ๊คส์
จำนวนหน้า 427 หน้า


จากปกหลังSmiley


    ฮารุกับผม ร่วมสายเลือดกันแค่ครึ่งเดียว แม้จะมีแม่คนเดียวกัน แต่พ่อกลับเป็นคนละคน ตอนที่ผมอายุได้ขวบเดียวคงเป็นช่วงฤดูร้อน แม่ก็ถูกผู้ชายบุกเข้าไปข่มขืนถึงในห้องจนทั้งท้อง และเด็กที่เกิดมาก็คือฮารุนี่เอง
    เพียงสิบวันหลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น คนร้ายก็ถูกจับตัวได้ เด็กหนุ่มยังไม่บรรลุนิติภาวะ เป็นอาญากรโดยสันดาน แม้อายุยังน้อย แต่เป็นนักข่มขืนที่ช่ำชองทีเดียว
    ข่าวเกี่ยวกับอาญากรหนุ่มคนนั้น แทบจะไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเหยื่อเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในเนือ้หา ปกปิดกันไว้กระทั่งชื่อเหยื่อก็ไม่มีการเปิดเผย
   รหัสพันธุกรรมเท่านั้น จะคลี่คลายคดีนี้ได้


Smileyเรื่องตามสไตล์ตัวเองSmiley


  เกิดคดีลอบวางเพลิงที่บริษัทของอิซึมิ โดยฮารุน้องชายได้โทรเตือนพีชายก่อนล่วงหน้าว่าอาจจะมีการวางเพลิง  ทำให้อิซึมิเกิดความสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมาว่าทำไมฮารุถึงได้รู้เรื่องนี้  ทำให้ทั้งสองพี่น้องเข้าเอาไปพัวพันกับการลอบวางเพลิงเพื่อที่จะทำการไขปริศนา เกี่ยวกับการลอบวางเพลิงที่มีรูปกราฟฟิตี้แปลกเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งสองพี่น้องทำการไขปริศนาที่แฝงมากับรูปกราฟฟิตี้เท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดปริศนาว่าการลอบวางเพลิงนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวของพวกเขา  ยิ่งอ่านคุณจะยิ่งสงสัยว่าคดีลอบวางเพลิงที่เกิดขึ้นมันเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรหรือว่ามีเรื่องอะไรแอบแฝงกันแน่  มีจุดหักมุมที่คุณคาดไม่ถึงหลายจุดที่จะทำให้สนุกไปกับหนังสือเล่มนี้


Smiley Smileyสปอล์ยจ๊ะ ใครยังไม่อ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ควรอ่านบรรทัดต่อไปนะค่ะเดี๋ยวจะรู้เรื่องหมด



ความรู้สึกส่วนตัวหลังอ่านค่ะ


-เนื้อเรื่องเหมือนเป็นการบอกเล่าผ่านทางอิซึมิเป็นหลัก ที่มีการบอกเล่าถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้วค่อยเผยเรื่องราวของแต่ละตัวละครออกมา


-อ่านแรกๆแล้วงงว่าฮารุรู้เรื่องเกี่ยวกะวางเพลิงได้ไง หรือว่ามีเซนส์ไรพิเศษหรือเปล่านะ  แถมบุคลิกของฮารุก็สุดโต่งมากๆไม่เหมือนชาวบ้านเค้าเลย



-มีแอบงงเกี่ยวกับเรื่อง DNA ที่อิซึมิทำงานอยู่ ในหนังสือมีอธิบายแล้วพูดถึงเยอะเลย ให้ความรู้ดี แต่เราอ่านแล้วไม่เข้าใจซักเท่าไหร่พออ่านเจอเกี่ยวกับเรื่องนี้อ่านผ่านเร็วมากๆ


-ที่ต้องยกนิ้วให้กับฮารุเรื่องวางแผน นี้คิดได้ไงว่าจะต้องเอาเรื่องวางเพลิง กราฟฟิตี้ DNA มาเกี่ยวโยงเป็นปริศนาเดียวกันเพื่อให้พี่ชายที่เหมือนเครื่องรางประจำตัว เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้(ต้องชมคนแต่งดิถึงจะถูก)


-ใครมันจะไปคิดว่าสองพี่น้องวางแผนที่จะทำเรื่องเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมายกัน ทั้งๆเนื้อเรื่องดูเหมือนว่าฮารุคิดอยู่คนเดียว  แต่ถ้าสังเกตุรายละเอียดเล็กที่ผ่านมา จนถึงตอนท้ายๆก็จะรู้ว่าอิซึมิคิดจะทำอะไรเหมือนกันแต่ดูไม่ซับซ้อนเท่ากับแผนการของฮารุ


-ท้ายสุดหลังจากอ่านเรื่องนี้จบแล้วทำให้รู้สึกว่า DND หรือว่าพันธุกรรม ต่างๆมันไม่มีผลกับคนอีกรุ่น  ถึงคนในครอบครัวเดียวกันจะมีสายเลือดเพียงครึ่งนึงหรือว่าคนละสายเลือดมันก็ไม่เป็นอุปสรรคความรักที่ทุกคนในครอบครัวมอบให้กัน


Smiley อ่านเรื่องนี้จบมาเกือบสอง-สามอาทิตย์แล้วพึ่งจะได้ฤกษ์เขียนเสร็จสักที่ เขียนๆลบๆไปหลายรอบ เล่นลามไปลบเรื่องเก่าที่เขียนไว้อีกSmiley


ใครอ่านแล้วรู้สึกอย่างไงมาแชร์ความรู้สึกกันนะค่ะ ใครยังไม่ได้อ่านก็ลองไปหาอ่านกันดูนะค่ะ


 


 



Free TextEditor




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2553    
Last Update : 21 ตุลาคม 2553 13:24:09 น.
Counter : 789 Pageviews.  

อยากจะร้องไห้ blog ที่เขียนไว้ดันลบทิ้งเอง

เป้นความโง่ ส่วนตัวโดยแท้ กำลังจัด กลุ่มย่อยอยู่แล้วย้ายเรื่องที่ตัวเองเขียนไว้ไปเรียบร้อยแล้ว เกิดไม่ชอบใจหัวข้อ เลยลบทิ้ง ดันลืมย้ายเรื่องกลับมา หายหมดเลยค่ะ 4-5เรี่องที่เขียนไว้ โง่จริงๆเลยเรา




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2553    
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 17:02:51 น.
Counter : 501 Pageviews.  

ความรู้สึกกับงานJapan Festa กับมินิคอนเสริต์Yoshizawa Hitomi

Japan Festa 29-08-2010 กับมินิคอนเสริต์Yoshizawa Hitomi

หลังจากหายหน้าจากการเขียน Blog ไปนานได้โอกาสกับมาเขียนซักที(ความจริงแล้วขี้เกียจแถมยังไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องไรดี)
พึ่งนึกได้ว่าเขียนเรื่องเรื่องไปดูโยชชี่แสดงมินิคอนเสริต์ดีกว่า(เขียนช้ากว่าชาวบ้านเค้าเป็นเดือนเลย)

กริ่นนำก่อนนะค่ะว่า การไปงาน Japan Festa นับว่าเป็นครั้งที่สองของเราแล้วค่ะ ครั้งที่แล้วไปดู มิกิ มาน่ารักมากเลย ทั้งที่ปีที่แล้วคาดหวังว่าโยชชี่ต้องได้มาแน่นอนเพราะชนะการโหวต แต่ดันมาไม่ได้เพราะกำลังโปรโมท มินิอัลบั้มอยู่กลับ ริกะจัง เลยตั้งความคาดหวังว่าปีนี้โยชชี่จะต้องมาแน่นอน(วางแผนมันข้ามปีเลยงานนี้) ปีนี้ก็ไม่ผิดหวังจริงๆในที่สุดโยชชี่ก็ได้มาไทย แต่เกือบไม่ได้เพื่อนที่ไปด้วยดันติดธุระ แต่ด้วยการพูดกรอกหูไปเรื่อยๆในที่สุดก็ยอมไปกับเรา


เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ไปถึงงานก็ตอนเที่ยงกว่าๆ ก็แทบไม่ได้สนใจอะไรในงานเลยเพราะตั้งใจจะมาดู โยชชี่อย่างเดียวแถมอากาศร้อนมาก เดินวนดูรอบๆงานไม่ถึง5นาทีก็เข้าไปหลบในห้างซะแล้ว เลยยืนดูน้องๆที่เค้าประกวดเต้นโคฟเวอร์ จากในห้างเอา พอใกล้ถึงเวลาก็ออกไปยืนข้างนอก ได้ดูเต้นอยู่อีก2-3วง แต่ถูกใจวงที่โคฟเวอร์ 4minute อยู่วงเดียวเต้นกันได้ใจแถมแข็งแรงมากเลย

รีบออกไปยืนตากแดดร้อนตัวดำกับเพื่อนสองคนกันต่อไปเพื่อที่จะได้ยืนอยู่แถวหน้าๆ ปีที่แล้วได้ดูอยู่กลางๆเห็นไม่ค่อยชัดซักเท่าไหร่
(ยืนดูไปคิดไปจะมีคนอายุประมาณเรามาดูหรือเปล่านะแถมมาแค่สองคนด้วยแอบเนียนเด็ก) ก่อนถึงเวลาที่โยชชี่จะขึ้นแสดง เพื่อนดันหิวน้ำเลยออกไปซื้อน้ำกิน แล้วดันเข้ามาที่เดิมไม่ได้เศร้าซิค่ะ แล้วตูจะยืนดูกับใครนี้ คิดหนักมากๆ พอโยชชี่ออกมาเท่านั้นแหละ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้วแหละ ยืนดูคนเดียวก็ได้ ทำเนียนยืนใกล้ๆกับอีกกลุ่มทำเหมือนมาด้วยกันไปเลย

ตอนโยชชี่เดินออกมาความรุ้สึกครั้งแรกมัน น่ารักแถมเท่ห์กว่าที่ฉันนั่งดูในเน็ตซะอีก(ขาวโครตๆไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว) แทบละลายเลยค่ะ (เสียอย่างโยชชี่ผอมไม่นิด ) โยชชี่เอ็นเตอร์เทนสุดยอดเลยร้องเพลงของ MM หมดเลย ตอนที่พิธีกรถามว่ารู้จักอะไรในเมืองไทยบ้าง คำตอบสุดฮิตอาหารไทยค่ะ ต้มยำกุ้ง แล้วก็ช้าง มีน้องๆข้างล่างตะโกนขึ้นไป "ช้างกูอยู่ไหน" ฮากันเป็นแถวๆ โยชชี่ งง แตกค่ะ พิธีกรเลยอธิบายให้ฟังแล้วทำท่าให้โยชชี่ดู โยชชี่ทำตามด้วยค่ะ กรี๊ดกันลั่นเลย ประทับใจตอนท้ายๆอย่างแรงเลยค่ะ ตอนที่น้องๆวงโคฟเวฟมาเต้นเพลง ของ MM ให้ โยชชี่ดู โยชชี่ไม่ดูเปล่านะค่ะ สงสัยว่าจะทำเสียงเพลงไม่ไหว เลยลุกขึ้นมาเต้นด้วย เรียกเสียงกรี๊ดได้ยกใหญ่เลย เห็นแล้วอิจฉาน้องคนที่โยชชี่ลุกขึ้นมาเต้นข้างๆ แล้วโดนโอบไหล่ แอบเห็นหน้าน้องทำไรไม่ถูกตั้งแต่โยชชี่เค้าลุกขึ้นมาเต้นข้างๆแล้ว

ตอนท้ายสุดที่ก่อนที่ ตัวแทนไมมิจิ กับ เถ้าแก่น้อย มามอบดอกไม้ โยชชี่มีแอบหยอดว่าอยากมาเมืองไทยอีก แอบหวังว่าครั้งหน้าจะได้มากับริกะจังหรือเปล่านะกริ๊ดสลบกันอีกรอบ







(อยากดูรูปใหญ่คลิกที่รูปได้เลยนะค่ะ)
หลังจากโยชชี่แสดงเสร็จแล้วสลายตัวกันอย่างรวดเร็ว

รีบหาเพื่อนก่อนเลยอย่างแรก เพราะเริ่มรู้สึกตัวว่าตูอยู่คนเดียวนี้หว่า เจอเพื่อนเรียบร้อยแล้วก็เดินดูเค้าแต่งครอสเพลย์กัน (รู้สึกว่าเค้าแต่งกันด้วยใจรักจริงๆเลยเนอะคนไหนลงทุนก็ลงทุนกันสุดๆ ใครไม่ลงทุนช่างกล้าเนอะ) เดินวนดูหนึ่งรอบว่าใครแต่งตัวอย่างไงบ้าง เล็งว่าจะถ่ายรูปใครดี ถ่ายมาได้แค่คนเดียวเอง แถมคิดหัวตากล้องข้างหน้าด้วย






หลังจากถ่ายน้องคนนี้แล้วหันไปเห็นเค้ารุมถ่ายอะไรกันใหญ่เลย เลยเข้าไปดูกับเค้าบ้าง
ปรากฎว่าได้รูปนี้มาค่ะ



ขอบอกเลยว่าเจ้าตัวเล็กนี้น่ารักมากๆมีแต่คนรุมถ่ายรูปกันใหญ่เลย ที่สำคัญสู้กล้องมากๆเลยค่ะ ใครเรียกก็กันไปหาแถมไม่งอแงเลย เด่นสุดๆ เล่นเอาคนที่แต่งครอสเพลย์ ที่ยืนอยู่ข้างๆดับไปเลยค่ะไม่มีคนสนใจเลย

ไม่รู้ว่าจะเดินดูไรแล้วก็ไปกินไอติม ก่อนกลับบ้าน กลับถึงบ้านแล้วรู้สึก เหนื่อยสุดๆ ประทับใจสุดๆที่ได้เห็นโยชชี่ตัวจริง(ยังไงซะก็คงไม่มีปัญญาเอาตัวเองไปญี่ปุ่นเพื่อดูไอดอลที่ชื่นชอบถึงที่เค้าได้หรอก) รู้สึกคุ้มที่ตัวเองได้ตะกายตัวเองออกจากบ้านไปดูงานครั้งนี้

ขอบคุณไมมิจิ กับเถ้าแก่น้อยที่จัดงานนี้ขึ้นมา ถ้าปีหน้าไม่มีไรเกิดขึ้นสัญญากลับตัวเองว่าจะงานนี้อีกนะค่ะ(ที่สำคัญต้องหาเพื่อนไปด้วยให้ได้ก่อน)

PS.อาจจะบรรยายงานในวันนั้นได้ไม่หมดนะค่ะ เอาเท่าที่จำได้แล้วกันนะอย่าว่ากัน

ถ้าใครได้ไปงานก็มาแชร์ความรู้สึกกันได้นะค่ะ




 

Create Date : 25 กันยายน 2553    
Last Update : 29 กันยายน 2553 18:35:59 น.
Counter : 859 Pageviews.  

บทความจาก FW mail (ปี 2553 จุดจบประเทศไทย...... )

เป็นบทความที่มีคนส่งต่อมาให้อีกที อยากให้เพื่อนลองอ่านดู

หลังจากอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกับคนที่เขียนบทความนี้เหมือนกันเราหรือเปล่า

ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศเราจริงๆมันจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากๆเลย


************************************************
ปี 2553 จุดจบประเทศไทย......ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย
เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้ .....ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา......ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน

สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค
ซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14ประเทศ
ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น
แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์
และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศที่จะเกิดตามมา

ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ
คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน !
ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553
ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์
สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล

ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน
และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ
ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง
เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย
จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน
คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน
เป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้
เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน
เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า
เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs
และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้
วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้
เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว
ไฟฟ้าก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว
เขาสามารถตั้งราคา ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่าเขาจะไม่มีกำไร
ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์
คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้

ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้
การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ
ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว
เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้
เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus,
Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ

ดังนั้น เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด...
เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ ...รัฐจะอยู่ได้ฤา ?

4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย
เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553
คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย
การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น
จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย
ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน

จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี ตราด ระยอง ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมา
เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว
เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ
เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก
นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia
ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่

เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ?

ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น
ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิ
ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ในการวิเคราะห์
บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมกัน
รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามอง อาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ
ก่อนล่มจริง... เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ
ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย
แทนที่ไปเดิน big-c, lotus, careflour, เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า
เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร
เพราะเราไป คาร์ฟู เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย14 บาท
เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิกซี โลตัสเหมือนกัน

นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง
ผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น
เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์
สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่
เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ๆ
ถ้าซื้อจากห้าง 1,000บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900บาท ที่เหลือ 100 บาท

ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว
ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศ
คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ100 เปอร์เซ็นต์
เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร
ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง
เลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุด

ผมอธิบาย วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟัง
หัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ
ได้ผล... ลูกเปลี่ยนวิธีกิน... วิธีคิดไปเลย ... เปลี่ยนไปได้มาก
พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง
ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ
แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย
ผมก็อธิบายคำว่า license ( ค่าลิขสิทธิ) ให้ลูกฟัง
ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธ
ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิ
มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน
ขนมต่างชาติ ห่อสวย แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ
เวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี
ผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย ผมทำได้และได้ทำแล้ว

ปล. ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับ
ยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2551    
Last Update : 9 ธันวาคม 2551 23:14:36 น.
Counter : 370 Pageviews.  

1  2  
 
 

cha_jib
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add cha_jib's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com