รวมภาพ จากอิสราเอลค่ะ

เพราะลมแรงตลอดทั้งปี ต้นไม้ก็เลยเอียงๆแบบนี้ ---ป่าวตัดต่อนะคะ



เที่ยวเล่น เมืองเทเลอาวิฟ (Tel Aviv)

เมืองหลวงของประเทศอิสราเอล เมืองของคนรุ่นใหม่ เต็มไปด้วยย่านชอปปิ้ง ห้างสรรพสินค้า โรงแรมห้าดาว ...ที่สำคัญ มีชายหาดขาวสะอาด กว้างสุดลูกหูลูกตา จะให้ดี ต้องลองมาเดินเล่นตอนโพล้เพล้ บรรยากาศดีมากๆเลยค่า

บรรยากาศตลาดสดกลางเมืองค่ะ





วันนั้นอากาศค่อนข้างเย็นค่ะ



ฝีมือการถ่ายภาพ พระอาทิตย์ตก ที่ ทะเลเมดิเตอเรเนียนค่ะ



อาคารรูปร่างประหลาด ริมชายหาดค่ะ เจ๋งจริงๆ

เมืองไฮฟ่า อดีตเมืองท่าทางทะเล- เมืองศูนย์กลางแห่งศาสนาบาไฮ- และเมืองที่คนไทยมาอยู่ค่อนข้างมากค่ะ



บรรยากาศจากมุมสูงค่ะ



สวนบาไฮที่มีชื่อเสียงค่ะ


เมืองเยรูซาเลม (Jerusalem)
ศูนย์กลางแห่งศาสนา ไม่ว่าจะเป็น ยูดาย คริสเตียน และมุสลิม เมืองแห่งความเชื่อ ศรัทธา การแสวงหา ปรัชญา ความรู้ และจิตวิญญาณแห่งตน (ฟังดู เข้มขลังมั่กๆ)

ก้อยมาที่นี่เพื่อบรรยายเรื่องศิลปะไทย จำนวน 5 ครั้ง 5 คณะ ค่ะ (ลงมือทำงานเสียที หลังจากโต๋เต๋มาหลายวัน!!!!) ที่มหาวิทยาลัยเบซาเรล วิทยาลัยแห่งศิลปะและเทคโนโลยี ก็คล้ายๆ ศิลปากรบ้านเราน่ะค่ะ
โชคดีที่บรรยาเป็นภาษาอังกฤษ ม่ายงั้นตายแน่ เพราะความรู้ภาษาฮีบรู เท่าหนวดมด งึ๊ย



ภาพมุมสูงของเมืองเยรูซาเลม -ถ่ายจากหอคอยดาวิด




ดูTaxi ของที่นี่สิคะ ---ไฮโซ



อีกรูปๆๆ --อันนี้อยู่ที่ไฮฟ่า



บรรยากาศร้านขายของที่ระลึก



โดมทองอันมีชื่อเสียง- เป็นคล้านแลนด์มาร์ค ของเมืองเยรูซาเลม



ภาพมหาวิทยาลัยเบซาเรล - สวยใหญ่ และ ไฮโซ



เค้าอุตส่าห์ทำโปสเตอร์ให้ --



แอบดูหนุ่มๆนักศึกษา แต่แหม อาจารย์ก็เท่ห์ไม่เบา หุหุหุ




ตกเย็นก็เดินตลาด --ของกินเพียบ สด และอร่อย

ว่ากันว่าในส่วนพื้นที่เกษตรกรรม มีพี่ไทยของเรามาทำงานจำนวนมาก เพราะฉะนั้น เมื่อซื้อผักผลไม้ที่นี่ ก็เหมือนได้ชิมผลิตภัณฑ์จากพี่น้องของเราเอง และก็ต้องบอกว่าพี่ไทยเราเจ๋งจริงๆ

ต่อไปนี้เป็นรายการตระเวณชิมอาหาร ---ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านสลัด และขนมค่ะ






สลัดที่นี่ให้มา ตู้ม สุดๆเลยค่ะ



เยี่ยมชมบ้านศิลปิน ท่านก็อายุเยอะแล้วนะคะ แต่ยังไม่หยุดเขียนรูปแลย แถมงานยังดู อลังการ เพราะ ปู่แก เล่นทำงานขนาดบิ๊กเบิ้ม แถม ตกแต่งเพดานบ้านตัวเองด้วยนะคะ




สัปดาห์สุดท้าย แวะที่เมืองโมดิอิน ---เมืองใหม่ที่ใกล้สนามบิน เพื่อเตรียมตัวกลับเมืองไทย --คิดถึงกระเพราไก่ไข่ดาวซะแล้ว

แต่ก่อนกลับ ขอกินพิซซ่าให้หนำใจก่อนเถอะน่า


แล้วตอนหน้า จะมาเล่าเรื่องที่ไปบรรยาที่สวีเดน และ เดนมาร์ค ให้ฟังนะคะ เจอกันใหม่จ้าาาา




 

Create Date : 31 มีนาคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 17:20:29 น.
Counter : 938 Pageviews.  

กลิ่นโคลน สาบคน ที่เดตซี

เดตซี
ออกจากบ้านพักราวๆ 7 โมงเช้า เราห่อ อาหารเพื่อไปปิกนิก คุณเจ้าของบ้านบอกว่า อาหารที่ขายที่นู่นจะราคแพงมากๆ ขับรถผ่านถนนที่สวยมากๆ 2 ข้างทางเป็นภูเขาเตี้ยๆ ตลอดทางถนนโล่ง รถน้อย มองเห็นหมู่บ้านตั้งห่างๆกันไปตลอด กว้างสุดลูกหูลูกตา แวะจอดที่เมือง Arad เป็นเหมือนเมืองเล็กๆที่มี ชอปปิ้งเซนเตอร์ คล้ายๆ โอเอซิส กลางทะเลทราย เมืองนี้ ไม่มีสัญญาณไฟ แต่ใช้วงเวียนแทน (for what?) ก็ยังเป็นเมืองเงียบๆ อีกเมือง ระหว่างทางที่เราจะไปเดตซี จะมีหมู่บ้านชาวมุสลิมไปเรื่อยๆ บางทีก็จะเห็นเด็กๆยืนรอรถบัส ฝุ่นเยอะแดดร้อน น่าสังเกตคือ หมู่บ้านมุสลิมดูไม่สวยเหมือนหมู่บ้านของคนยิว โอ้วแม่เจ้า มีอูฐ ยืนอยู่ในโรงรถด้วย ว่ากันว่า เมื่อก่อนมีเยอะกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้เค้าไม่ค่อยนิยมกันแล้ว ...ผ่านไปสักพัก ก็มีถนนโค้งมากขึ้น แต่ไม่ใช่โค้งแบบทางขึ้นแม่ฮ่องสอน/ปาย นะ เป็นโค้งกว้างๆ มีจุดหนึ่งที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยๆ ถ้าเป็นเมืองไทย คงจะมีการเอาศาลเพียงตา ผ้าเจ็ดสีมาตั้ง แต่ที่นี่ เค้าเอา รถมอเตอร์ไซค์พังๆ มาจัดเรียง ทำเป็นงานประติมากรรมมันซะเลย (เสียดาย เค้าไม่ให้จอดรถ อดถ่ายรูปเยย – เอ ถ้าถ่ายไปจะมีชัตเตอร์กด ติดวิญญาณป่าวหวา ) ก็ยังมีจุดชมวิว แต่ที่เขาเรียกว่าจุดสังเกตการณ์ เพราะว่า เคยเป็นจุดอันตราย มีการ ซุ่มโจมตี หรือ ดักปล้นสดมภ์เป็นระยะ เพราะเคยเป็นเส้นทางคาราวาน ของพ่อค้า และ ผู้แสวงบุญ เพื่อไปยังเยรูซาเลมนั่นเอง แล้วเราก็ขับรถผ่านเด็กชายสามคน ที่ยืนรอรถบัสอยู่ เราสามารถแยกเด็กมุสลิม (หรือที่นี่เรียกว่า อาหรับ) กับเด็กชาวยิวได้ง่ายๆ คือ เด็กยิว จะสวมหมวกที่เรียกว่า คิปปา(Kippa) ลักษณะคล้ายจานคว่ำ ขนาดไม่ใหญ่มากบนหัว แต่ของเด็กชายมุสลิมมักจะมีขนาดใหญ่กว่า ว่ากันว่า อยู่ไปนานๆ ก็จะแยกออกได้โดยการดูหน้าตา (ขนาดนั้นเลย) แล้วคุณเจ้าของบ้านก็จอดรถรับเด็กชายสามคนนั้น เพราะรู้ว่ายังไงก็ไปทางเดียวกัน ว่ากันว่า เป็นเรื่องที่เค้าทำกันเป็นประจำ แล้วเด็กๆ ก็ไม่กลัวที่จะขึ้นรถของคนแปลกหน้าด้วย เด็กๆ ลงจากไปเมือถึงทางแยกไปเมืองเยรูซาเลม แต่เราเลี้ยวลงมาที่ ทะเลเดตซี เห็นวิวก็ต้องตะลึงอ้าปากค้าง ช่างกว้างใหญ่ สีสวยสะอาดราวกับภาพวาด ทางเข้า เป็นป้อมเหมือนปราสาททราย มีโรงแรมตั้งห่างๆกันอยู่ร่าวๆ 5-6 แห่ง แต่ละแห่งก็ดูอลังการงานสร้างทั้งนั้น ทั้งหมดหันหน้าเข้าหาทะเลเดตซีทั้งนั้น ชายหาดค่อนข้างว่าง ไม่ค่อยมีคน เพราะเดือนนี้ (เดือนมีนาคม) ยังถือว่าเป็นปลายหนาว คนยังไม่ค่อยนิยมมาเที่ยวมากนัก แต่ก็พอเห็นรถทัวร์มาลงบ้างประปราย



ทิวทัศน์ระหว่างทางค่ะ

ทะเลเดตซี เป็นจุดที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 35 เมตร ที่มองเห็นอีกฝั่งเป็นประเทศจอร์แดน เหตุที่เรียกว่า เดตซีเพราะทะเลสาปนี้ไม่มีทางออกสู่ทะเลแห่งอื่นเลย มีเพียงแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงสู่ทะเลเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป น้ำทะเลระเหยขึ้นขึ้นทำให้เกลือในทะเลสาบตกค้างอยู่ที่บริเวณเดิม น้ำในทะเลสาปเดตซีจึงมีความเค็มมากว่า ทะเลปกติถึง 6 เท่า ด้วยเหตุที่น้ำมีความเค็มมากขนาดนี้ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย จึงเรียกทะเลสาบนี้ว่าทะเลสาบเดตซี หรือ ทะเลสาบมรณะ แหม แอบแทรกความรู้ จากวิกิพีเดียซะอย่างนั้น



เพราะเราไม่ได้จองห้องพักในโรงแรม ก็เลยเดินผ่านหาดทรายไปจนสุดทาง ก็เจอ Shopping center สำหรับคนที่ลืมของ หรือ อยากซื้อของที่ระลึกต่างๆ และที่สำคัญ โคลน ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ราคาก็พอทน เช่น ชุดว่ายน้ำ ราคา 99-100 เชกเกิล แว่นกันแดดราคา 50-80 เชกเกิล ผ้าขนหนู 20 เชกเกิล ก็ว่ากันไป ...เราซื้อโคลน ราคาถุงละ 15 เชกเกิล ประมาณ 1 กก. มีถุงเล็กด้วย ราคา 5 เชกเกิล ประมาณว่า ไซส์คนไทย นี่ ก็เอาแค่ถุงเล็กก็พอแล้ว ถุงใหญ่จะได้ไซค์คนไทย 1 คน กับคนอิสราเอล อีก 1 คน (ฮา) แหม มาถึงเดตซีทั้งทีก็ต้องซื้อโคลนก้นทะเลสาบไปพอกหน่อยสิคะ ถ้าใครอยากรู้ว่าอารมณ์ไหน ลองไปหาซื้อ โคลนจากภูโคลนแม่ฮ่องสอน ก็ได้อารมณ์ คล้ายคลึงกัน ส่วนใหญ่จะพอกกันแค่ตัว เค้าว่ามันแรงไป สำหรับหน้า (ใครมั่นใจว่าหนา ก็ลองดูได้)

ถึงเวลาลงน้ำแล้ว ...โห น้ำใสแจ๋ว อยากจะกระโจนลงไปจริงๆ แต่โดนห้ามไว้ก่อน เพราะน้ำทะเลเดตซี เค็มมากๆ ถ้าเข้าตาแล้วละก็ แสบเหมือนโดนพริกไทยเลย เลยต้องค่อยๆเดินลงไปช้าๆ แล้วหย่อนก้นลง สังเกตจากคุณป้านักท่องเที่ยวที่ตัวใหญ่มากๆ เค้ายังลอยได้เลย เอาวะ ...โอ้ว ว้าวว มันยอดมาก ลอยตุ๊ปป่องในน้ำได้ ไม่ต้องว่ายกรรเชียงเลย น้ำก็แลดู เย็นๆ หนึบๆ ใสๆ แปลกดีจริง มีหนุ่มๆไลฟท์การ์ด หุ่นล่ำหน้าหล่อ คอยจับตาดูเราด้วย ว่าแล้วก็ลอยตุ๊บป่องๆ แต่ต้องระวังไม่ให้ลอยไปไกล ประเดี๋ยวพ่อหนุ่มหุ่นงามทั้งหลายเค้าจะเป็นห่วง เหอะ-เหอะ

ลงไปแช่ในทะเล ราว 10-15 นาที ก็ได้เวลาขึ้นมาพอกโคลน โห ข้นคลั่กเหนียวหนึบ แล้วก็ต้องทิ้งเอาไว้ให้แห้ง แข็ง แตกเป็นหนังช้างก่อน โอ้ว อารมณ์นี้อยากจะชูงวงแล้วร้องแปร๋น แล้วก็ไปล้างตัว จะลงไปล้างในทะเล หรือ ที่ล้างตัวแบบฝักบัวก็ได้ เพราะเค้าถือว่า ยังไงก็เป็นโคลนจากก้นทะเลอยู่แล้ว ที่ล้างตัวแบบฝักบัว น้ำแรงมากๆ แรงจนเจ็บเนื้อเลย ...อ้อ กรุณาอย่าฉี่ลงในที่ล้างตัวเชียว เพราะ ท่อระบายน้ำ ก็ลงไปในทะเลนั่นแหล่ะ แล้วท่านก็จะเป็นฝ่ายจุ่มลงไปในทะเลเอง คิดแล้วก็ อึ๋ย!!! ไม่รู้ว่าก่อนหน้าเรา มีคนปล่อยลงไปบ้างหรือยัง แหวะ

มองไปข้างๆ มีซุ้ม คนฝรั่งเศส สองคน มาอาบแดด โห หล่อเชียว ผิวงี้ สีชมพู ...อุ๊ย สักพัก ผลัดกันทาโคลนให้กันซะอย่างงั้น อ้าว คู่เกย์นี่หว่า ว้า เสียดายของงง แต่ยังไงก็ดูเป็นคู่ที่น่ารัก มาขอให้เราถ่ายรูปให้ด้วย



หูยยย ผิวสีชมพู



อ้าว ไหง งั้นละคะ - - เสียดายจัง

เดินลงทะเลอีกรอบ คราวนี้ เดินไปไกลหน่อย ที่พื้นมีอะไร ขาวขุ่น เป็นเม็ดๆ พอเอาเท้าไปแตะๆ แล้วคีบขึ้นมา ก็เห็นเป็น ผลึกเกลือ เป็นเม็ดๆ ใหญ่เหมือนก้อนสารส้ม เก็บมาเยอะเลย กะเอามาฝากเพื่อน แบ่งใส่ขวดโหล เป็นของที่ระลึกแบบไปไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ ยังคงความเค็ม ไม่เปลี่ยนแปลง โฮะ โฮะ โฮะ

ก่อนกลับย้อนไปที่ Shopping center อีกหน ไปหาซื้อของฝาก อยากซื้อโคลนเหมือนกัน แต่คงลำบากต้องขัดห้องน้ำ หลังจากล้างโคลนที่พอก แค่ครีมทามือแล้วกันนะ ที่นี่ดูจะคลั่ง ว่านหางจรเข้กันมากๆ แหม เมืองไทยก็เลิกฮิตกันไปนานแล้วนี่นะ ที่ต้องระวังกันหน่อย คื อป้ายราคามันเป็นภาษาฮีบรูทั้งหมด หลอกนักท่องเที่ยวง่ายทีเดียว ทางที่ดี ต้องถามว่า เป็นราคาทั้งแพค หรือ ราคาแบบแยกชิ้น เพราะ เค้าอาจจะวางไว้เป็นแพคคู่กัน แต่พอไปจ่ายเงิน กลับเป็นราคาต่อชิ้นซะงั้น

แล้วเราก็ขับรถกลับ ย้อนกลับทางเดิม แต่รู้สึกเหนื่อยมากๆ ว่ากันว่า อากาศบริเวณทะเลเดตซีค่อนข้างหนัก ทำให้เราเหนื่อยกว่าปกติ พอมาถึงบ้าน ก็สลบเหมือดไปทันที






 

Create Date : 25 มกราคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 16:23:23 น.
Counter : 607 Pageviews.  

แล้วฉันก็ไป อิสราเอล...

เรียนเพื่อนๆผู้อ่านที่รักคะ Smiley
    ก่อนที่ดิฉันจะหลงลืมไปมากกว่านี้ เพราะว่า กว่าจะเอาเรื่องแต่ละที่มาลงได้ อิฉันก็ต้องหาเวลาว่างอย่างมากๆๆๆๆ มาเขียน แล้วบลอกเกอร์มือใหม่ แต่อายุมาก อย่างดิฉัน ก็ยังต้องใช้เวลากว่า คนอื่นๆ หลายๆเท่าในการโหลดรูป จึงขอพักเรื่องทริปอเมริกาก่อนนะคะ ตอนนี้ขอเอาเรื่องทริปที่ไปบรรยายเรื่องศิลปะไทย ที่อิสราเอลมาลงก่อน ส่วนตอนหน้า จะเป็น ทริป เดนมาร์ค - สวีเดน ค่ะSmiley

.....แล้วชั้นก็ไป อิสราเอล....



ท่ามกลางเสียงคัดค้านของเพื่อนๆที่สุดแสนจะเป็นห่วงเป็นใย ในสวัสดิภาพ และความปลอดภัยของชั้น ( ตายไปทั้งที่ยังไม่แต่งงานนี่ บาปนะแก๊!!!) ชั้นก็ยังดื้อดึงที่จะไปอิสราเอลจนได้  เพราะได้แต่หวังว่าจะโดนลักพาตัวโดยผู้ก่อการรัก หน้าตาคมเข้าสักคน อิอิอิ และตามนโยบายในการดำรงชีวิตของฉัน 1ปี 1ประเทศ ถือเป็นภาระกิจ ที่ต้องพิชิตให้ได้ (เฮ้อ ไม่ได้เจียมบอดี้ เล้ย ลืมไปแล้วเหรอยะ ว่าหล่อนเป็นแค่ครูน้อยต้อยตี่วิด - ด่าตัวเองSmiley )



และก็ไม่ผิดหวังที่ได้ไป หนุ่มๆที่นี่หล่อล่ำจริงๆ เอ๊ย!!ไม่ใช่  ...อิสราเอลเป็นเมืองที่สวยจริงๆ ที่เปลี่ยนทัศนะ ของฉันที่มีอย่างสุดๆ คือ อากาศหนาวมากๆ!! และของแพงหูฉี่ !! ก็นะ ไอ้เราเคยเห็นแต่ในรูปว่าเป็นเมืองทะเลทราย แดดจ้าๆ เห็นจะผิดเสียแล้ว ที่แท้ หน้าหนาวนั้น เข้ากระดูกทีเดียว (ขนาดฉันมาตอนเกือบเข้าหน้าร้อนแล้วนะ)Smiley



เอาละ ต่อจากนี้ไปฉันจะมาอัพบล็อก บอกเล่าเรื่องราวของอิสราเอลที่ชั้นได้รู้ ให้เพื่อนๆ อ่านเพลินๆ เผื่อคราวหน้าพวกเธอ อาจจะอยากที่จะไปหลบระเบิดกับชั้น สักหนนึง
11 มีนาคม 2552  เวลา 21.30 น.
ไปขึ้นเครื่องที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ (ฟังดูหรูไฮ ซะไม่มี)  ต้องไปต่อเครื่องของสายการบิน ของประเทศอิสารเอล ชื่อ สายการบิน แอล-อัล(EL AL) แต่เห็นคนอื่นๆ ออกเสียงว่า แอล-ลาล ฟังดูคล้ายๆแอร์ ลาว ไปซะงั้น  แต่ว่า สายการบินนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกของสตาร์อาลิอันส์ ต้องออกเสียงแบบต่อเนื่องนะคะ ถึงจะเริด (สะ-ตาร์ ห่อลิ้นเล็กน้อย อาลีอ๊านสฺ)   เหมือนกับการบินไทย เลยบรรทุกได้แค่ 20 กก. ไปคราวนี้ต้องย้ายที่พักบ่อย ทางที่ดีที่สุดคือ กระเป๋ายักษ์โหลดใต้เครื่อง 1 ใบ อีกใบเป็นแบบแบ็กแพ็ค ที่บรรจุ โน๊ตบุ๊คคู่ใจ ได้หนึ่งเครื่อง กะว่า พริ้วSmiley



ไปถึงเคาท์เตอร์การบินไทย  มีพนักงานที่เคาเตอร์สาวรุ่นอยุธยาก่อนเสียกรุงนั่งหน้าหงิก คอยต้อนรับขับไล่ เราก็ยิ้มหวานส่งเอกสารให้  อำแดงแกก็กดปุ่มป๊อกๆแป็กๆ“เที่ยวบินคุณเดินทางพรุ่งนี้ค่ะ” เฮ้ย ไรวะ กรูเช็คมาดีแล้วนะ เอ่อ พี่คะ หนูเช็คมาแล้วนะคะ เดินทางวันนี้ค่ะ “น้องดูที่ตั๋วสิคะ บินไทย วันนี้ แต่แอล อัล เดินทางวันที่ 12” ว่าแล้วป้าแกก็สะบัดบ๊อบเดินหนีไป (แก สะบัดบ๊อบ จริงๆนะ) เราเลยงงเป็นไก่ตาแหก เฮ้ย เราไปจองที่เคาเตอร์การบินไทย เอาตั๋วยืนยันไป เช็คเวลาอย่างดี เสียเวลาตรวจกันเกือบชั่วโมง เซ็งเว้ย เลยขอหมายเลขจากพี่พนักงานยกกระเป๋าที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ พี่แก ก็ดี อุตส่าห์หาเบอร์ของสายการบินแอล อัล ให้เรา เราเลยได้โทรไปเช็ค  ปรากฏว่า เป็นวันที่ 12 จริงๆ แต่ เวลา 00.25 น. หมายความว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ อีป้าอำแดง ไม่กลับมา(ถ้ากลับมาคงได้รบพุ่งให้เสียกรุงกันสักรอบ)  แต่เป็นพี่อีกคนที่เกล้าผม ทรงล้านนามาแทน พี่แก ก็น่ารัก จัดการให้เราใหม่ เราถึงได้เดินทางไปขึ้นเครื่องอย่างสบายอารมณ์
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เราก็มาถึงท่าอาการศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งได้เตรียมการมาพร้อมแล้ว ที่จะต้องเดินผ่านบรรดาร้านค้าขายของราวๆ 3 กม. เพื่อเดินหาเคาเตอร์ที่ถูกต้อง ที่ทำได้ก็มีแต่จ้ำๆๆๆ ถึงแม้ว่าจะเหลือเวลาเข้าไปต่อเครื่องประมาณ 2 ชม.) และเส้นทางบังคับ คือ ให้ผู้โดยสารเดินผ่านร้านค้า Duty Free ให้เดินขึ้นไปถึงชั้น 4 จนสุดอาคาร แล้วเดินวนกลับ ลงไปขึ้นเครื่องที่ชั้น 2!!! เพื่อความไม่ประมาท ใส่เกียร์หมาเลยดีที่สุด



ผ่านไป ครึ่งชั่วโมง คงเป็นงานอดิเรกของคนที่ทำงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ หลอกให้คนหลงทาง Smiley(รวมถึงสถาปนิกที่ออกแบบสนามบินด้วย) ทำไม แม่งงง ถึงได้ซับซ้อนอย่างนี้คร๊าบ ขึ้นๆ ลงๆ แต่ในที่สุดก็ได้เจอเคาท์เตอร์ของสายการบิน เช็คตั๋วเรียบร้อย เหลือเวลา อีกราว 55 นาที  รีบเดินไปขึ้นเครื่อง เดินมาทั้งงง ทั้งเหนื่อย หิวน้ำ เห็นร้านขายน้ำ กาแฟ เรียงราย เอาวะ กินน้ำเปล่าซักขวดคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่  “53 บาทค่ะ” หื๊อ?  น้ำแร่ มองเฟลอร์   ที่ขาย11 บาทในเซเว่นเนี่ยนะ  แม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง  กะจะทำเงินไปสร้างสนามบินส่วนตัวเลยหรือไง ห๊า!!! เอาวะ รีบเดินต่อไปดีกว่า เสียรมณ์มาตั้งแต่อีป้าอำแดงนั่นแล้ว เดินต่อมาอีก ราวๆ 10 นาที เริ่มเห็นเค้าร่างของทางออกขึ้นเครื่อง โอ้ว น้ำทำพิษ สุขาอยู่โหนดายยย นั่นแน่ เห็นป้ายแล้วแว๊บๆ เลี้ยวๆๆ แล้วฉับพลัน หางตาข้าพเจ้าไปมองเห็นอะไรอย่างหนึ่งที่หน้าห้องน้ำ นั่น ... แท่นสแตนเลส สูงราวๆ 1 เมตร “น้ำดื่ม... ฟรีด้วยยย” โอ้ว อยากร้องไห้ เอา ห้าสิบสามบาทของตรูคืนมา ฮือ ฮือ ฮือ เป็นอุทาหรณ์สอนใจ อย่าไว้ใจใคร และ อะไร ในสุวรรณภูมิ



ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า หน่วยรักษาความปลอดภัย ของประเทศอิสราเอล  และ สายการบินแอล อัล เข้มงวดมากๆ ที่เห็นยืนขวางทางเข้าส่วนขึ้นเครื่องบิน ก็เห็นอยู่ราวๆ 6 คน ยังมีถัดไปอีก ราวๆ5-6 คน ทั้งผู้หญิง-ผู้ชาย ดูเข้มแข็ง ทำงานเป็นทีมกันจริงๆ เราได้พ่อหนุ่มหนวดคึ้ม เป็นคนตรวจและตั้งคำถาม จุกจิกเหลือเกิน  “เคยไปอิสราเอลมาก่อนไหม?” “จะไปทำอะไรที่อิสราเอล?” “รู้จักใครที่นั่นไหม?” “เป็นคนจัดกระเป๋าเองหรือเปล่า?” แต่รูปหล่อคมเข้ม ตาสีฟ้าที่ใสแจ๊ว สัมภาษณ์เจ๊นานแค่ไหนก็ยอมค๊า....
แต่เพราะมีคนเตือนมาแล้วว่า เวลาที่ถูกสัมภาษณ์ ห้ามล้อเล่นเด็ดขาด เช่น เออ มีคนฝากของมา ถึงแม้คุณกะจะบอกว่า ฝากใจ ฝากเบอร์หรืออะไรก็ช่าง เพราะเฮียแก จะไม่รอช้า เปิดกระเป๋าของท่านเช็คดูทันที งานนี้เลยอดเล่นบทสาวน้อยแสนซน กะเฮียเคราครึ้มเลย นั่งรออยู่ราว 15 นาทีเห็นจะได้ ก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องบิน



ภายในเครื่อง ได้ที่นั่งริมหน้าต่าง เป็นแถวยาว นั่งสามคน แออัดพอประมาณ
เป็นการเดินทางที่สะดวกสบายพอสมควร ด้วยว่า ที่นั่ง ไซส์ฝรั่ง พร้อมโทรทัศนน์  พนักงานบนเครื่องถึงจะไม่ดูอ่อนหวานแช่มช้อยเหมือนกับของการบินไทย แต่กระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว พอขึ้นเครื่องได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงโวยวายจากที่นั่งข้างหลัง คือ คุณป้าคนนึง โวยเป็นภาษาฮีบรู ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่า จะขอเปลี่ยนที่นั่งเป็นที่ริมหน้าต่าง แต่คนที่นั่งอยู่ไม่ยอม เลยไปฟาดงวงฟาดงากับคุณแอร์ แทน คุณแอร์ก็พูดกลับ (ด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กัน) ว่า ”ก็คุณไม่ได้ขอ นั่งที่นั่งริมหน้าต่างตั้งแต่ตอนที่จองตั๋ว เราสามารถเปลี่ยนให้คุณได้ค่ะ” นึกว่าจะมีวางมวย แต่เจ๊แกก็ยอมนั่ง สักพัก ก็โวยขึ้นมากอีก คุณแอร์เลยเดินมาถามเรา ที่นั่งริมหน้าต่างอีกแถว ว่าเปลี่ยนที่ให้ป้าแกได้มั้ย เราก็อึกๆอักๆ แต่ผู้ชายคนข้างๆ พูดเป็นภาษาฮีบรูแทนเราว่า “ไม่ได้ครับ” คุณแอร์ก็เลยจากไป เราเลยเริ่มผูกมิตรกับหนุ่มอิสราเอลที่นั่งข้างๆ เค้าพูดว่า “คุณคงไปอิสราเอลเป็นครั้งแรกใช่มั้ย”



เค้าเริ่มอธิบายว่า ถ้าเราต้องเจรจาต่อรองอะไรกับคนอิสราเอล เราต้องตรงไปตรงมา แล้วก็เข้มแข็ง ต้องกล้าเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการ คนอิสราเอลสามารถทะเลาะกันจะเป็นจะตายในที่ทำงาน แต่หลังจากนั้นก็จะออกไปกินข้าว กินเหล้าด้วยกันหลังเลิกงาน ดังนั้น คนไทยที่มาอิสราเอลแรกๆ จะค่อนข้างวางตัวลำบาก และถูกเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ เหมือนที่เราเคยได้ยินมาตลอดว่า คนยิว (อิสราเอล)ขี้เหนียว แต่จริงๆแล้ว เค้าเพียงต้องการได้สิทธิที่เค้าควรจะมีอย่างเต็มที่มากกว่า ฟังเรื่องราวตางๆ แล้วก็คุยกันไปสักพัก ต่างคนก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
หลังจากบิน ยาว 11 ชั่วโมง เครื่องบินบินผ่านทะเลทราย พระอาทิตย์กำลังขึ้น ท้องฟ้าเป็นสี ชมพู อมส้ม สวยมากๆ เราก็มาถึงเมืองเทเลอาวีฟ เมืองหลวงของประเทศอิสราเอล พื้นดินเบื้องล่าง เป็นอาคารกระจัดกระจาย ทะเลทราย แล้วก็ตึกสูง นักบินเริ่มประกาศว่า เราจะลงจอด ที่ท่าอากาศยาน เบน กูเรียล  ในอีก 30 นาที ให้ทุกคนรัดเข็มขัด แล้วนักบินก็บินผ่าน เมืองเทเลอาวีฟ แต่เลยไปถึงทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่เห็นเป็นผืนน้ำ สีฟ้า สวย แล้วหันหัวเครื่องบินอ้อมกลับ ลงมาจอด ที่สนามบิน ท่ามกลางเสีงปรมมือและเป่าปากเฟี้ยวฟ้าว สนั่นเครื่อง เจ๋งจริงๆ  ผู้ชายคนข้างๆ บอกว่า นี่เป็นเหมือนธรรมเนียมของนักบิน สายการบิน แอล อัล เลยทีเดียว พอเครื่องลงจอด เสียงตามสายก็ประกาศว่า “ขอให้ทุกท่านนั่งประจำที่ และรัดเข็มขัด จนกว่าสัญญาณไฟจะดับ แต่สำหรับท่านที่ กำลังยืนอยู่ตรงทางเดิน และระหว่างที่นั่ง ขอต้อนรับกลับบ้านค่ะ” มีการแซวกันซะอย่างนั้น   เป็นอะไรที่สบายๆมากๆ



ลงจากเครื่องบิน ยังถูกตามมาหลอกหลอนด้วยการนักรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเช่นเคย  ทั้งเรื่องของการเช็คกระเป๋า ตรวจวีซ่า เหนื่อยเหมือนกันที่จะต้องตอบคำถามเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา  
ดูนาฬิกาเรา มัน 11.15 แต่นาฬิกาในสนามบิน เท่ากับ7 โมงเช้า เวลาที่ อิสราเอลช้ากว่าบ้านเราราวๆ 5 ชม. ส่วนอากาศค่อนข้างเย็นทีเดียว (เรียกว่า หนาวเลยดีกว่า) รู้ว่าต้องต่อรถไฟไปเมือง Bel sheva ตอน 8 โมง แหม ท้องเรายังชินเวลาไทย มันก็เกือบๆเที่ยงละ เลยหาอะไรกิน ในสนามบิน เป็นกาแฟ กับแซนด์วิช 1 ชุด ราคา 45 เชกเกิล คิดเป็นเงินไทยก็คูณ 9 เข้าไป ก็ เป็นราคา 405บาท โอ้ว มายก้อด กินสตาร์บัคได้เลยนะเนี่ย โอ้ว แพงอิ๊บอ๊าย แต่ลาเต้ พี่แก อร่อยจริงๆ ระหว่างที่นั่งรอรถไฟ ในสนามบิน ...อ๊ะ อ๊ะ งง อ่ะ ดิ...ตรงอาคารผู้โดยสารของสนามบิน เบล กูเรียล (ตั้งชื่อเพื่อเป็นกียรติ แก่ นาย ดาวิด เบน กูเรียล นายกรัฐมนตรี คนแรก ของอิสราเอล) มีการจัดการเรื่องของการคมนาคมไว้อย่างดีมาก เราสามารถ เลือกใช้บริการรถไฟ รถเมล์ โดยซื้อตั๋วผ่านเครื่องขายได้จากสนามบิน แล้ว สถานีรถไฟ ก็อยู่ในตัวอาคารนั่นเอง




นั่งละเลียดกาแฟ ก็มองเห็นหนุ่มหล่อล่ำ คม เข้ม นี่ถ้าอยู่เมืองไทยคงถูกทาบทามไปเป็นนายแบบเป็นแน่แท้ สาวๆ ก็สวยคม ไม่สูงมาก เห็นคนหนุ่มสาวแต่งตัวแบบข้าวสารๆ พอสมควร(แหงล่ะ ก็เพิ่งกลับจากเมืองไทย) แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราพลาด คือ ลืมเอาบู๊ท มา !!! สาวๆที่นี่ ใส่บู๊ทกันทั้งนั้นเลย  -_-*  
เมื่อถึงเวลา 8 โมง ก็ขึ้นรถไฟ ไปที่เมือง Bel Sheva เจอกับเจ้าของบ้านที่เรา จะมาพัก ยืนรอรับอยู่ ที่สถานีรถไฟ ขับรถ ต่อไปที่บ้าน ใช้เวลาอีก ราว30 นาที จากสถานีรถไฟ คนที่นี่ขับรถ เร็วมาก แต่รถน้อย ถนนโล่ง เหมือนซุปเปอร์ไฮเวย์ เลยดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ถนนสายยาวๆ ตัดผ่านทะเลทราย กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เห็นเมือง หรือ หมู่บ้านเป็นหย่อมๆ มองจากภาพในรถ ดูเหมือนข้างนอกจะแดดจัด และร้อน แต่จริงๆแล้ว อากาศค่อนข้างหนาวและลมแรงทีเดียว
มาถึงเมืองที่ชื่อว่า Metar เป็นเมืองที่ก่อตั้งมาราว 20 ปี ตั้งอยู่ห่างจาก ฉนวนกาซ่า เพียง 45 กิโลเมตร (แล้วคิดดูว่าวิถีความยาวของจรวด มิไซล์ ยาว 40 กิโลเมตร น่าเสียวสันหลังวูบกันขนาดไหน) ว่ากันว่า เมื่อเดือนมกราคมที่อิสราเอล รบกับปาเลสไตน์ คนที่เมืองนี้วิ่งลงหลุมหลบภัยกันวันละ 3 รอบ ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้ถือว่าถูกที่สุดในประเทศทีเดียว
จริงๆแล้ว ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศที่อายุค่อนข้างน้อย คือ ราวๆ 60 ปีเท่านั้นเอง ที่ได้ชื่อเรียก ว่าเป็นประเทศอิสราเอลหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพื้นที่ที่อพยพชาวยิวที่รอดจากสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของ นาซี ที่นำโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งเยอรมันนี
คุณเจ้าของบ้าน พาเราวนรอบๆ หมู่บ้าน หรือ อาจจะเรียกได้ว่าชุมชน แล้วก็กลับมางีบที่ห้องพัก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ราวๆ สามทุ่ม เราออกไปเดินเล่น พระอาทิตย์เพิ่งกำลังจะตก สวยมากๆ เหมมือนหนังในเรื่อง Vanilla sky พรุ่งนื้เราจะขับรถไป เดตซีกัน

สิ่งที่เรียกรู้จากวันแรก ในอิสราเอลคือ

-    หาป้ายภาษาอังกฤษได้น้อยมาก และคนที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษได้พอๆกับคนไทย

-    ไฟฟ้าที่นี่ใช้ กำลังเท่ากับเมืองไทย แต่ควรหาซื้อหัวแปลง เอาไว้ต่อกับปลั๊กในอิสราเอล แถวๆนี้หาร้านขายหัวแปลงยากเสียด้วย

-    คนที่นี่คุยกันเสียงดังมาก จนเรานึกว่า เค้าทะเลาะกัน















 

Create Date : 25 มกราคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 11:24:59 น.
Counter : 679 Pageviews.  

รวมรูปจากนิวยอร์คค่ะ

เอารูปมาลงให้ดูกันเล่นๆแล้วกันนะคะ
ก้อยได้มีโอกาสไปดูงานศิลปะ ที่หอศิลป์ กับพิพิธภัณฑ์หลายที่ค่ะ เช่น Whitney Museum, กูเกนไฮม์, โมมา, เดอะ เมทท์, หอศิลป์แถวไชน่าทาวน์ ฯลฯ แต่บางที่ขี้เหนียว ไม่ยอมให้ถ่ายรูป ก็เลยเอามาให้ดูได้เท่านี้นะคะ
อ้อ มีอย่างนึงที่ขอแนะนำนะคะ คือให้ไปทำบัตร International studentหรือใครที่เป็นครูก็ทำ บัตร International teacher เพระบางที่เค้ามีส่วนลดให้ผู้ถือบัตรเกือบ 50% เลยนะคะ บางที่ก็ให้เข้าฟรีค่ะ สอบถามได้ที่เอเจนท์ ต่างๆค่ะ ราคาราวๆ 250 บาท แค่เตรียมเอกสารให้พร้อมตามที่เค้าแนะนะนะคะ (อย่าไปเอาแบบที่เค้าทำตรงถนนข้าวสารนะคะ ไม่ดีๆ)
1.MOMA (Museum of Modern Art)

ต้อนรับด้วยรูปปั้นที่โถงใหญ่

แวนโกะห์


มาร์ค ชากาล


ปิกัสโซ่



โมเน่

แจ็คสัน พอลลอค

แอนดี้ วอร์ฮอล์


บรรยากาศจาก โมม่า



2. Central park
ตึกที่จอห์น เลนนอนโดนยิง อยู่ตรงด้านหน้า Park เลยค่ะ

สตอร์เบอรี่ ฟิล์ด ที่โยโกะ โอโน่ ทำเพื่อระลึกถึงจอห์น

บรรยากาศใน Park

หิวแล้ว


3.Museum of National History ที่เค้าใช้เป็นแบบในการถ่ายทำเรื่อง Night at the Museum อ่ะคะ
ด้านหน้า




ข้างใน เห็นไหม เหมือนในหนังเลย




แถมบรรยากาศจากรถใต้ดิน อีกนิดนึง



หิวอีกแล้ว มื้อนี้ ขอเปลี่ยนเป็นพิซซ่าแล้วกัน แต่ขอบอกว่า พิซซ่าที่นี่ แผ่นเดียว อิ่ม ราคาแค่ราวๆ 70 บาท เอง เป็นอาหารมื้อประหยัด แถมกินง่ายด้วย

วันนี้เหนื่อยแล้ว ค่อยมาเขียนใหม่แล้วกันนะคะ




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 17:52:44 น.
Counter : 409 Pageviews.  

New York ของช้านนน

ในที่สุด ก็ตกลงใจ โอนเงินมัดจำค่าที่พัก ซื้อตั๋วเครืองบิน "การบินไทย" (ตอนนั่นมีเที่ยวบินตรง กรุงเทพ - นิวยอร์ค) ไม่ได้มีตังค์เยอะหรอกค่ะ แต่เอาแต้มสะสมในบัตรเครดิต แล้วก็เงินเก็บตลอดปีมาซื้อเท่านั้นเอง...ฮืออออSmiley


ใช้เวลาเดินทาง ราวๆ 17 ชม. แบบหลับตื่นๆ แบบว่า ดูหนังจบไปสี่เรื่อง แล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาก็ต่อเมื่อพี่แอร์คนสวยเค้าเอาอาหารมาเสิร์ฟเท่านั้น (อิชั้นสังเกตว่า แอร์ระหว่างประเทศ ดูจะฉ่ำโบ๊ะกว่าในประเทศ แต่ก็แลดูมีประสบการณ์ อันสังเกตได้จากริ้วรอยที่หางตา มากกว่า) อาหารบนเครื่องนี่ ไม่เลวเลยที่เดียว...อ้อ...ดิชั้นบิน Premium Economy ค่ะ ที่นั่งและอาหารไฮโซกว่า Economy  นี๊ดสสสส นึงค่ะ อานิสงค์จากบัตรเครดิตอีกเช่นกัน พอลงที่ JFK ขางี้เปลี้ยเลยทีเดียว


พอไปถึงแล้วก็ผ่านด่านตอมอ เรียบร้อย ดิฉันก็เดินตามทางเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าออกจากสนามบิน แล้วก็ต่อไปยังรถไฟเพื่อไปยังบ้านพักที่สถานี Valley steam ออกจากตัวเมืองไปราว 5 สถานี หรือราวๆ 15 นาที


ขอบอกว่า รถไฟที่นี่ ตรงเวลาแบบสุดๆ เลทไปห้านาที พี่แกขึ้นป้ายขออภัยในความไม่สะดวก อย่างถี่ยิบเลยค่ะ


อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็นทีเดียว (ตอนที่ไปนี่ เดือนพฤษภา หรือ ที่นี่ เค้าเรียกว่า "Beautiful May") มีต้นไม้สีสวยๆ แปลกๆใหเดตลอดทางกันเลยทีเดียว ดูเหมือนจะออกแนว ส้มๆ แดงๆ เสียมากกว่า Smiley


 



รูปหน้าบ้าน
Free TextEditor




ตรงข้างๆบ้านมีสนามใหญ่ๆให้คนในชุมชนได้พักผ่อนด้วย แถมอยู่ห่างจากสถานีรถไฟแค่ช่วงข้ามถนนแต่ถนนที่ว่า เป็นซุปเปอร์ไฮเวย์นะคะ รถที่ขับแถวนี้ก็ตีนผีทั้งนั้นเลยค่ะ


เจ้าของบ้าน ลูกชายแล้วก็ คนข้างห้องค่ะ แบบว่าอยากขอแชร์ห้องอยู่เหมือนกัน แต่กลัวเค้าจะหาว่าหญิงไทยใจง่าย



มีสระว่ายน้ำหลังบ้านด้วยนะคะ แต่ไม่ได้ว่ายหรอกค่ะ หนาวมากกก
เจ้าของบ้าน ชื่อคุณจีนค่ะ (ไม่ใช่คนจีนซักกะหน่อย) ใจดีมากๆเลย บอกว่า อยากกินอะไรก็เปิดเอาในตู้เย็นได้เลยนะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น.....




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 17:13:11 น.
Counter : 309 Pageviews.  

1  2  
 
 

hyper-teacher
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนชอบทำนี่นู่น นั่น ดลอดเวลา เหมือนเด็กไฮเปอร์
[Add hyper-teacher's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com