แล้วฉันก็ไป อิสราเอล...
เรียนเพื่อนๆผู้อ่านที่รักคะ  ก่อนที่ดิฉันจะหลงลืมไปมากกว่านี้ เพราะว่า กว่าจะเอาเรื่องแต่ละที่มาลงได้ อิฉันก็ต้องหาเวลาว่างอย่างมากๆๆๆๆ มาเขียน แล้วบลอกเกอร์มือใหม่ แต่อายุมาก อย่างดิฉัน ก็ยังต้องใช้เวลากว่า คนอื่นๆ หลายๆเท่าในการโหลดรูป จึงขอพักเรื่องทริปอเมริกาก่อนนะคะ ตอนนี้ขอเอาเรื่องทริปที่ไปบรรยายเรื่องศิลปะไทย ที่อิสราเอลมาลงก่อน ส่วนตอนหน้า จะเป็น ทริป เดนมาร์ค - สวีเดน ค่ะ
.....แล้วชั้นก็ไป อิสราเอล.... ท่ามกลางเสียงคัดค้านของเพื่อนๆที่สุดแสนจะเป็นห่วงเป็นใย ในสวัสดิภาพ และความปลอดภัยของชั้น ( ตายไปทั้งที่ยังไม่แต่งงานนี่ บาปนะแก๊!!!) ชั้นก็ยังดื้อดึงที่จะไปอิสราเอลจนได้ เพราะได้แต่หวังว่าจะโดนลักพาตัวโดยผู้ก่อการรัก หน้าตาคมเข้าสักคน อิอิอิ และตามนโยบายในการดำรงชีวิตของฉัน 1ปี 1ประเทศ ถือเป็นภาระกิจ ที่ต้องพิชิตให้ได้ (เฮ้อ ไม่ได้เจียมบอดี้ เล้ย ลืมไปแล้วเหรอยะ ว่าหล่อนเป็นแค่ครูน้อยต้อยตี่วิด - ด่าตัวเอง )
และก็ไม่ผิดหวังที่ได้ไป หนุ่มๆที่นี่หล่อล่ำจริงๆ เอ๊ย!!ไม่ใช่ ...อิสราเอลเป็นเมืองที่สวยจริงๆ ที่เปลี่ยนทัศนะ ของฉันที่มีอย่างสุดๆ คือ อากาศหนาวมากๆ!! และของแพงหูฉี่ !! ก็นะ ไอ้เราเคยเห็นแต่ในรูปว่าเป็นเมืองทะเลทราย แดดจ้าๆ เห็นจะผิดเสียแล้ว ที่แท้ หน้าหนาวนั้น เข้ากระดูกทีเดียว (ขนาดฉันมาตอนเกือบเข้าหน้าร้อนแล้วนะ)
เอาละ ต่อจากนี้ไปฉันจะมาอัพบล็อก บอกเล่าเรื่องราวของอิสราเอลที่ชั้นได้รู้ ให้เพื่อนๆ อ่านเพลินๆ เผื่อคราวหน้าพวกเธอ อาจจะอยากที่จะไปหลบระเบิดกับชั้น สักหนนึง 11 มีนาคม 2552 เวลา 21.30 น. ไปขึ้นเครื่องที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ (ฟังดูหรูไฮ ซะไม่มี) ต้องไปต่อเครื่องของสายการบิน ของประเทศอิสารเอล ชื่อ สายการบิน แอล-อัล(EL AL) แต่เห็นคนอื่นๆ ออกเสียงว่า แอล-ลาล ฟังดูคล้ายๆแอร์ ลาว ไปซะงั้น แต่ว่า สายการบินนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกของสตาร์อาลิอันส์ ต้องออกเสียงแบบต่อเนื่องนะคะ ถึงจะเริด (สะ-ตาร์ ห่อลิ้นเล็กน้อย อาลีอ๊านสฺ) เหมือนกับการบินไทย เลยบรรทุกได้แค่ 20 กก. ไปคราวนี้ต้องย้ายที่พักบ่อย ทางที่ดีที่สุดคือ กระเป๋ายักษ์โหลดใต้เครื่อง 1 ใบ อีกใบเป็นแบบแบ็กแพ็ค ที่บรรจุ โน๊ตบุ๊คคู่ใจ ได้หนึ่งเครื่อง กะว่า พริ้ว
ไปถึงเคาท์เตอร์การบินไทย มีพนักงานที่เคาเตอร์สาวรุ่นอยุธยาก่อนเสียกรุงนั่งหน้าหงิก คอยต้อนรับขับไล่ เราก็ยิ้มหวานส่งเอกสารให้ อำแดงแกก็กดปุ่มป๊อกๆแป็กๆ“เที่ยวบินคุณเดินทางพรุ่งนี้ค่ะ” เฮ้ย ไรวะ กรูเช็คมาดีแล้วนะ เอ่อ พี่คะ หนูเช็คมาแล้วนะคะ เดินทางวันนี้ค่ะ “น้องดูที่ตั๋วสิคะ บินไทย วันนี้ แต่แอล อัล เดินทางวันที่ 12” ว่าแล้วป้าแกก็สะบัดบ๊อบเดินหนีไป (แก สะบัดบ๊อบ จริงๆนะ) เราเลยงงเป็นไก่ตาแหก เฮ้ย เราไปจองที่เคาเตอร์การบินไทย เอาตั๋วยืนยันไป เช็คเวลาอย่างดี เสียเวลาตรวจกันเกือบชั่วโมง เซ็งเว้ย เลยขอหมายเลขจากพี่พนักงานยกกระเป๋าที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ พี่แก ก็ดี อุตส่าห์หาเบอร์ของสายการบินแอล อัล ให้เรา เราเลยได้โทรไปเช็ค ปรากฏว่า เป็นวันที่ 12 จริงๆ แต่ เวลา 00.25 น. หมายความว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ อีป้าอำแดง ไม่กลับมา(ถ้ากลับมาคงได้รบพุ่งให้เสียกรุงกันสักรอบ) แต่เป็นพี่อีกคนที่เกล้าผม ทรงล้านนามาแทน พี่แก ก็น่ารัก จัดการให้เราใหม่ เราถึงได้เดินทางไปขึ้นเครื่องอย่างสบายอารมณ์ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เราก็มาถึงท่าอาการศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งได้เตรียมการมาพร้อมแล้ว ที่จะต้องเดินผ่านบรรดาร้านค้าขายของราวๆ 3 กม. เพื่อเดินหาเคาเตอร์ที่ถูกต้อง ที่ทำได้ก็มีแต่จ้ำๆๆๆ ถึงแม้ว่าจะเหลือเวลาเข้าไปต่อเครื่องประมาณ 2 ชม.) และเส้นทางบังคับ คือ ให้ผู้โดยสารเดินผ่านร้านค้า Duty Free ให้เดินขึ้นไปถึงชั้น 4 จนสุดอาคาร แล้วเดินวนกลับ ลงไปขึ้นเครื่องที่ชั้น 2!!! เพื่อความไม่ประมาท ใส่เกียร์หมาเลยดีที่สุด
ผ่านไป ครึ่งชั่วโมง คงเป็นงานอดิเรกของคนที่ทำงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ หลอกให้คนหลงทาง (รวมถึงสถาปนิกที่ออกแบบสนามบินด้วย) ทำไม แม่งงง ถึงได้ซับซ้อนอย่างนี้คร๊าบ ขึ้นๆ ลงๆ แต่ในที่สุดก็ได้เจอเคาท์เตอร์ของสายการบิน เช็คตั๋วเรียบร้อย เหลือเวลา อีกราว 55 นาที รีบเดินไปขึ้นเครื่อง เดินมาทั้งงง ทั้งเหนื่อย หิวน้ำ เห็นร้านขายน้ำ กาแฟ เรียงราย เอาวะ กินน้ำเปล่าซักขวดคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่ “53 บาทค่ะ” หื๊อ? น้ำแร่ มองเฟลอร์ ที่ขาย11 บาทในเซเว่นเนี่ยนะ แม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง กะจะทำเงินไปสร้างสนามบินส่วนตัวเลยหรือไง ห๊า!!! เอาวะ รีบเดินต่อไปดีกว่า เสียรมณ์มาตั้งแต่อีป้าอำแดงนั่นแล้ว เดินต่อมาอีก ราวๆ 10 นาที เริ่มเห็นเค้าร่างของทางออกขึ้นเครื่อง โอ้ว น้ำทำพิษ สุขาอยู่โหนดายยย นั่นแน่ เห็นป้ายแล้วแว๊บๆ เลี้ยวๆๆ แล้วฉับพลัน หางตาข้าพเจ้าไปมองเห็นอะไรอย่างหนึ่งที่หน้าห้องน้ำ นั่น ... แท่นสแตนเลส สูงราวๆ 1 เมตร “น้ำดื่ม... ฟรีด้วยยย” โอ้ว อยากร้องไห้ เอา ห้าสิบสามบาทของตรูคืนมา ฮือ ฮือ ฮือ เป็นอุทาหรณ์สอนใจ อย่าไว้ใจใคร และ อะไร ในสุวรรณภูมิ
ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า หน่วยรักษาความปลอดภัย ของประเทศอิสราเอล และ สายการบินแอล อัล เข้มงวดมากๆ ที่เห็นยืนขวางทางเข้าส่วนขึ้นเครื่องบิน ก็เห็นอยู่ราวๆ 6 คน ยังมีถัดไปอีก ราวๆ5-6 คน ทั้งผู้หญิง-ผู้ชาย ดูเข้มแข็ง ทำงานเป็นทีมกันจริงๆ เราได้พ่อหนุ่มหนวดคึ้ม เป็นคนตรวจและตั้งคำถาม จุกจิกเหลือเกิน “เคยไปอิสราเอลมาก่อนไหม?” “จะไปทำอะไรที่อิสราเอล?” “รู้จักใครที่นั่นไหม?” “เป็นคนจัดกระเป๋าเองหรือเปล่า?” แต่รูปหล่อคมเข้ม ตาสีฟ้าที่ใสแจ๊ว สัมภาษณ์เจ๊นานแค่ไหนก็ยอมค๊า.... แต่เพราะมีคนเตือนมาแล้วว่า เวลาที่ถูกสัมภาษณ์ ห้ามล้อเล่นเด็ดขาด เช่น เออ มีคนฝากของมา ถึงแม้คุณกะจะบอกว่า ฝากใจ ฝากเบอร์หรืออะไรก็ช่าง เพราะเฮียแก จะไม่รอช้า เปิดกระเป๋าของท่านเช็คดูทันที งานนี้เลยอดเล่นบทสาวน้อยแสนซน กะเฮียเคราครึ้มเลย นั่งรออยู่ราว 15 นาทีเห็นจะได้ ก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องบิน
ภายในเครื่อง ได้ที่นั่งริมหน้าต่าง เป็นแถวยาว นั่งสามคน แออัดพอประมาณ เป็นการเดินทางที่สะดวกสบายพอสมควร ด้วยว่า ที่นั่ง ไซส์ฝรั่ง พร้อมโทรทัศนน์ พนักงานบนเครื่องถึงจะไม่ดูอ่อนหวานแช่มช้อยเหมือนกับของการบินไทย แต่กระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว พอขึ้นเครื่องได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงโวยวายจากที่นั่งข้างหลัง คือ คุณป้าคนนึง โวยเป็นภาษาฮีบรู ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่า จะขอเปลี่ยนที่นั่งเป็นที่ริมหน้าต่าง แต่คนที่นั่งอยู่ไม่ยอม เลยไปฟาดงวงฟาดงากับคุณแอร์ แทน คุณแอร์ก็พูดกลับ (ด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กัน) ว่า ”ก็คุณไม่ได้ขอ นั่งที่นั่งริมหน้าต่างตั้งแต่ตอนที่จองตั๋ว เราสามารถเปลี่ยนให้คุณได้ค่ะ” นึกว่าจะมีวางมวย แต่เจ๊แกก็ยอมนั่ง สักพัก ก็โวยขึ้นมากอีก คุณแอร์เลยเดินมาถามเรา ที่นั่งริมหน้าต่างอีกแถว ว่าเปลี่ยนที่ให้ป้าแกได้มั้ย เราก็อึกๆอักๆ แต่ผู้ชายคนข้างๆ พูดเป็นภาษาฮีบรูแทนเราว่า “ไม่ได้ครับ” คุณแอร์ก็เลยจากไป เราเลยเริ่มผูกมิตรกับหนุ่มอิสราเอลที่นั่งข้างๆ เค้าพูดว่า “คุณคงไปอิสราเอลเป็นครั้งแรกใช่มั้ย”
เค้าเริ่มอธิบายว่า ถ้าเราต้องเจรจาต่อรองอะไรกับคนอิสราเอล เราต้องตรงไปตรงมา แล้วก็เข้มแข็ง ต้องกล้าเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการ คนอิสราเอลสามารถทะเลาะกันจะเป็นจะตายในที่ทำงาน แต่หลังจากนั้นก็จะออกไปกินข้าว กินเหล้าด้วยกันหลังเลิกงาน ดังนั้น คนไทยที่มาอิสราเอลแรกๆ จะค่อนข้างวางตัวลำบาก และถูกเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ เหมือนที่เราเคยได้ยินมาตลอดว่า คนยิว (อิสราเอล)ขี้เหนียว แต่จริงๆแล้ว เค้าเพียงต้องการได้สิทธิที่เค้าควรจะมีอย่างเต็มที่มากกว่า ฟังเรื่องราวตางๆ แล้วก็คุยกันไปสักพัก ต่างคนก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน หลังจากบิน ยาว 11 ชั่วโมง เครื่องบินบินผ่านทะเลทราย พระอาทิตย์กำลังขึ้น ท้องฟ้าเป็นสี ชมพู อมส้ม สวยมากๆ เราก็มาถึงเมืองเทเลอาวีฟ เมืองหลวงของประเทศอิสราเอล พื้นดินเบื้องล่าง เป็นอาคารกระจัดกระจาย ทะเลทราย แล้วก็ตึกสูง นักบินเริ่มประกาศว่า เราจะลงจอด ที่ท่าอากาศยาน เบน กูเรียล ในอีก 30 นาที ให้ทุกคนรัดเข็มขัด แล้วนักบินก็บินผ่าน เมืองเทเลอาวีฟ แต่เลยไปถึงทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่เห็นเป็นผืนน้ำ สีฟ้า สวย แล้วหันหัวเครื่องบินอ้อมกลับ ลงมาจอด ที่สนามบิน ท่ามกลางเสีงปรมมือและเป่าปากเฟี้ยวฟ้าว สนั่นเครื่อง เจ๋งจริงๆ ผู้ชายคนข้างๆ บอกว่า นี่เป็นเหมือนธรรมเนียมของนักบิน สายการบิน แอล อัล เลยทีเดียว พอเครื่องลงจอด เสียงตามสายก็ประกาศว่า “ขอให้ทุกท่านนั่งประจำที่ และรัดเข็มขัด จนกว่าสัญญาณไฟจะดับ แต่สำหรับท่านที่ กำลังยืนอยู่ตรงทางเดิน และระหว่างที่นั่ง ขอต้อนรับกลับบ้านค่ะ” มีการแซวกันซะอย่างนั้น เป็นอะไรที่สบายๆมากๆ
ลงจากเครื่องบิน ยังถูกตามมาหลอกหลอนด้วยการนักรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเช่นเคย ทั้งเรื่องของการเช็คกระเป๋า ตรวจวีซ่า เหนื่อยเหมือนกันที่จะต้องตอบคำถามเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ดูนาฬิกาเรา มัน 11.15 แต่นาฬิกาในสนามบิน เท่ากับ7 โมงเช้า เวลาที่ อิสราเอลช้ากว่าบ้านเราราวๆ 5 ชม. ส่วนอากาศค่อนข้างเย็นทีเดียว (เรียกว่า หนาวเลยดีกว่า) รู้ว่าต้องต่อรถไฟไปเมือง Bel sheva ตอน 8 โมง แหม ท้องเรายังชินเวลาไทย มันก็เกือบๆเที่ยงละ เลยหาอะไรกิน ในสนามบิน เป็นกาแฟ กับแซนด์วิช 1 ชุด ราคา 45 เชกเกิล คิดเป็นเงินไทยก็คูณ 9 เข้าไป ก็ เป็นราคา 405บาท โอ้ว มายก้อด กินสตาร์บัคได้เลยนะเนี่ย โอ้ว แพงอิ๊บอ๊าย แต่ลาเต้ พี่แก อร่อยจริงๆ ระหว่างที่นั่งรอรถไฟ ในสนามบิน ...อ๊ะ อ๊ะ งง อ่ะ ดิ...ตรงอาคารผู้โดยสารของสนามบิน เบล กูเรียล (ตั้งชื่อเพื่อเป็นกียรติ แก่ นาย ดาวิด เบน กูเรียล นายกรัฐมนตรี คนแรก ของอิสราเอล) มีการจัดการเรื่องของการคมนาคมไว้อย่างดีมาก เราสามารถ เลือกใช้บริการรถไฟ รถเมล์ โดยซื้อตั๋วผ่านเครื่องขายได้จากสนามบิน แล้ว สถานีรถไฟ ก็อยู่ในตัวอาคารนั่นเอง
 นั่งละเลียดกาแฟ ก็มองเห็นหนุ่มหล่อล่ำ คม เข้ม นี่ถ้าอยู่เมืองไทยคงถูกทาบทามไปเป็นนายแบบเป็นแน่แท้ สาวๆ ก็สวยคม ไม่สูงมาก เห็นคนหนุ่มสาวแต่งตัวแบบข้าวสารๆ พอสมควร(แหงล่ะ ก็เพิ่งกลับจากเมืองไทย) แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราพลาด คือ ลืมเอาบู๊ท มา !!! สาวๆที่นี่ ใส่บู๊ทกันทั้งนั้นเลย -_-* เมื่อถึงเวลา 8 โมง ก็ขึ้นรถไฟ ไปที่เมือง Bel Sheva เจอกับเจ้าของบ้านที่เรา จะมาพัก ยืนรอรับอยู่ ที่สถานีรถไฟ ขับรถ ต่อไปที่บ้าน ใช้เวลาอีก ราว30 นาที จากสถานีรถไฟ คนที่นี่ขับรถ เร็วมาก แต่รถน้อย ถนนโล่ง เหมือนซุปเปอร์ไฮเวย์ เลยดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ถนนสายยาวๆ ตัดผ่านทะเลทราย กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เห็นเมือง หรือ หมู่บ้านเป็นหย่อมๆ มองจากภาพในรถ ดูเหมือนข้างนอกจะแดดจัด และร้อน แต่จริงๆแล้ว อากาศค่อนข้างหนาวและลมแรงทีเดียว มาถึงเมืองที่ชื่อว่า Metar เป็นเมืองที่ก่อตั้งมาราว 20 ปี ตั้งอยู่ห่างจาก ฉนวนกาซ่า เพียง 45 กิโลเมตร (แล้วคิดดูว่าวิถีความยาวของจรวด มิไซล์ ยาว 40 กิโลเมตร น่าเสียวสันหลังวูบกันขนาดไหน) ว่ากันว่า เมื่อเดือนมกราคมที่อิสราเอล รบกับปาเลสไตน์ คนที่เมืองนี้วิ่งลงหลุมหลบภัยกันวันละ 3 รอบ ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้ถือว่าถูกที่สุดในประเทศทีเดียว จริงๆแล้ว ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศที่อายุค่อนข้างน้อย คือ ราวๆ 60 ปีเท่านั้นเอง ที่ได้ชื่อเรียก ว่าเป็นประเทศอิสราเอลหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพื้นที่ที่อพยพชาวยิวที่รอดจากสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของ นาซี ที่นำโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งเยอรมันนี คุณเจ้าของบ้าน พาเราวนรอบๆ หมู่บ้าน หรือ อาจจะเรียกได้ว่าชุมชน แล้วก็กลับมางีบที่ห้องพัก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ราวๆ สามทุ่ม เราออกไปเดินเล่น พระอาทิตย์เพิ่งกำลังจะตก สวยมากๆ เหมมือนหนังในเรื่อง Vanilla sky พรุ่งนื้เราจะขับรถไป เดตซีกัน
สิ่งที่เรียกรู้จากวันแรก ในอิสราเอลคือ
- หาป้ายภาษาอังกฤษได้น้อยมาก และคนที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษได้พอๆกับคนไทย
- ไฟฟ้าที่นี่ใช้ กำลังเท่ากับเมืองไทย แต่ควรหาซื้อหัวแปลง เอาไว้ต่อกับปลั๊กในอิสราเอล แถวๆนี้หาร้านขายหัวแปลงยากเสียด้วย
- คนที่นี่คุยกันเสียงดังมาก จนเรานึกว่า เค้าทะเลาะกัน




Create Date : 25 มกราคม 2553 | | |
Last Update : 31 มีนาคม 2553 11:24:59 น. |
Counter : 679 Pageviews. |
| |
|
|
|