Group Blog
 
All Blogs
 

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า....เพื่อน

 

       มีเรื่องที่ค่อนข้างจะเซอร์ไพรซ์อยู่ 2 เรื่องหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องเกรียน ฟิคชั่น จบไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง เรื่องแรกคือไม่นึกว่าหนังเรื่องนี้จะมีอะไรมากกว่า teaser ตัวอย่างที่ออกอากาศมา เรียกได้ว่าเป็นคนละเรื่องกันเลย  แต่อีกเรื่องนี่สิที่เซอร์ไพรซ์มากกว่า นั่นก็คือ "เพื่อนสมัย ม.6 ที่ไม่เคยเจอและติดต่อกันมาเป็นสิบปี" โทรมาหา แถมเบอร์ที่โทรมาหาดันเป็นเบอร์โทรใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดเบอร์ได้ไม่ถึงสัปดาห์และยังไม่เคยให้เบอร์ใครเลย ถ้าเป็การซื้อหวยคงต้องเรียกได้ว่าถูกรางวัลแจ็คพ็อตอย่างแรง!!!

       หลังจากที่ได้รับเชิญแกมขู่บังคับให้เข้า group line ห้อง 6/6 เพื่อนมากหน้าหลายตานับสิบที่ไม่เคยได้ติดต่อกันก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วระลึกความหลังและไต่ถามความก้าวหน้ากันในปัจจุบันอย่างสนิทสนมคุ้นเคยและไม่เคอะเขิน ราวกับว่าไอ้ห้อง 6/6 นี้มันเพิ่่งเรียนจบกันไปเมื่อวาน แม้จะมีเรื่องของกาลเวลามาคั่นอยู่บ้าง แต่กลิ่นไอเดิมๆก็ยังไม่เคยจางหายไป

       เพื่อนบางคนเป็นคนที่ออกจะเกเรแต่วันนี้เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์....

       เพื่อนบางคนที่หน้าตาสวยงามฝันอยากจะเป็นแอร์โฮสเตส เธอได้เป็นสมใจและกลายเป็นคุณแม่ลูกสอง.....

       เพื่อนบางคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นพ่อครัวและตอนนี้ก็ได้เป็นเจ้าองกิจการร้าขายโจ๊ก.....

       เพื่อนบางคนรักสวย รักงาม ตอนนี้เธอได้เป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้า.......

       และอีกหลายๆคนในหมู่ผองเพื่อนที่กำลังเดินตามความฝันของตัวเอง บางคนได้เป็นอย่างที่ฝัน บางคนพลิกผันจากที่ฝัน แต่นั่นก็คงไม่สำคัญ เพราะถึงอย่างไร เราทุกคนก็ยังคงมีความหวัง เพราะความหวังและความฝันนั้นจะเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตคนเราดำเนินกันต่อไป

       การพบกันกับเพื่อนเก่าในครั้งนี้คงเปรียบเสมือนยาชูกำลัง ยาวิเศษ ที่ช่วยทำให้ชีวิตของเราชาว ม.6/6 ได้มีแรง มีกำลังสู้กับชีวิตต่อไป เพราะต่อจากนี้ไปหากยามใดที่เราท้อแท้ เราผิดหวัง เราต้องการกำลังใจก็จงรู้ไว้ว่ายังมีเพื่อน ม. 6/6 เพื่อนที่เคยครั้งหนึ่งเคยด่าพ่อ ล้อแม่กัน เพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยไล่เตะตูด แอบเปิดกระโปรงกัน เพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยลอกข้อสอบ โดดเรียน ด้วยกัน จะเป็นกำลังใจ จะเป็นคนคอยให้คำปรึกาาเราอยู่เหมือนครั้งสมัยที่เรีย แม้ว่าทุกวันนี้เพื่อนๆ เหล่านั้นจะโตมีหน้าที่รับผิดชอบกันหมดแล้วก็ตามที แต่เมื่ออยู่รวมกลุ่มกัน คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าพวกเราก็ยังคงเป็นเด็กเหมือนเดิม

       ผมเองชั่วชีวิตเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย เป็นคนที่เพื่อนไม่เคยติดต่อหาได้เลย ผมเป็นคนที่อาจจะเพ้อฝันกับคำพูดอันแสนสวยหรูของคำว่าเพื่อนแต่ไม่เคยปักใจที่จะเชื่อว่ามันเป็นความจริง แต่วันนี้ผมเชื่อสนิืทใจแล้วครับว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะ

"ไม่ว่าเราจะอยู่ไกลสักแค่ไหน แต่เพื่อนจะเป็นคนที่ตามหาเราเจอเสมอ"

       ขออุทิศ entry นี้ให้กับ "ยอด" และ "หลา" เพื่อน ม.6/6 ของทุกคน ขอให้เพื่อนบินหลาไปสู่ยอดเขาแห่งความสุขนิรันดร์กาล.....

 




 

Create Date : 24 เมษายน 2556    
Last Update : 24 เมษายน 2556 11:32:15 น.
Counter : 1018 Pageviews.  

มอง (คนละ) มุมเดียวกัน???

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุจำเป็นที่จะต้องไปซื้อเสื้อผ้าเพื่อใส่ไปร่วมงานของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เคารพนับถือ ซึ่งเสื้อผ้าชุดนั้นราคาประมาณ 2,000 บาท จึงได้ไปหาเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเจ้าเพื่อนคนนี้เป็นคนที่มักจะได้อะไรพิเศษๆ จากหน่วยงานที่มันทำอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะพวกบัตรส่วนลดจากร้านค้าต่างๆ นี่เรียกได้ว่ามีมาตลอดและร้านละหลายๆ ใบเสียด้วยรวมถึงร้านค้าที่ผมจะไปซื้อเสื้อผ้าซึ่งแน่นอนมีไม่ต่ำกว่า 10 ใบ



หลังจากพบเจอและแจ้งความประสงค์แล้วเจ้าเพื่อนตัวดีก็นำเอาคูปองส่วนลดของร้านดังกล่าวนับดูคร่าวๆ เกือบ 1 โหลมาโชว์พร้อมกับให้เลือกซึ่งในส่วนลดนั้นมีตั้งแต่ 15%, 20%, 30% ไปจนถึงสูงสุด 50%ซึ่งมีถึง 5 ใบด้วยกัน จึงได้เอ่ยปากขอที่ส่วนลด 50% ด้วยว่าจะได้ไม่ต้องซื้อของราคาแพงเพราะช่วงนี้เป็นช่วงกลางเดือน




แต่หลังจากที่เพื่อนสุดที่รักสอบถามรายละเอียดว่าจะซื้อของอะไรราคาเท่าไหร่เรียบร้อยแล้วก็ยื่นคูปองส่วนลดมาให้ "อึ้ง ทึ่ง เสียว" เลยครับ เพราะเป็นส่วนลด "15%" ด้วยเหตุผลที่ว่า "ซื้อของราคาไม่แพงเอาส่วนลดแค่นี้ไปนั่นแหละดีแล้ว ซื้อของสักหมื่น สองหมื่นค่อยเอา ส่วนลด 50% ไปถึงจะคุ้ม" หูย คิดได้ไงเนี่ย!


ทั้งๆ ที่มีคูปองลด 50% ตั้งหลายใบ ทั้งๆ ที่มันไม่ค่อยชอบช็อปปิ้ง และที่สำคัญคือทั้งๆ ที่อีกไม่กี่วันเจ้าคูปองดังกล่าวก็จะหมดอายุแล้ว แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดกันแบบนั้น




ถามว่าโกรธไหม ก็ไม่โกรธครับเพียงแต่แปลกใจในแนวคิดมากกว่า ระหว่างคุณค่าที่ได้ใช้กับมูลค่าที่ไม่มากมายกับมูลค่าที่มากมายแต่ไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้อย่างไหนมันจะ "คุ้มค่ากว่ากัน" หนอ




ลองกลับไปคิดกันเล่นๆ ดีกว่าครับ



(ตีพิมพ์ครั้งแรกคอลัมน์ Webmaster's Talk ประจำเว็บสาธุดอทคอม เดือนพฤศจิกายน 2549)




Webmaster




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2549    
Last Update : 9 ธันวาคม 2549 16:54:21 น.
Counter : 307 Pageviews.  

ไม่แข่งยิ่งแพ้

เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมได้มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่ดูแล้วชวนให้คิดถึงชีวิตคนเราได้เป็นอย่างดี เป็นเรื่องธรรมดาๆ ของเด็กคนยากจนคนหนึ่งที่บังเอิญทำรองเท้าคู่ใหม่ที่พ่อกับแม่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเงินมาซื้อให้หาย ด้วยความกลัวที่จะถูกพ่อแม่ว่า เด็กคนนั้นจึงตัดสินใจไม่ให้ที่บ้านรู้ โดยในแต่ละวันจะให้น้องเดินออกไปก่อน พอถึงช่วงจังหวะก็ให้น้องถอดรองเท้าแอบส่งมาให้แล้วตัวเขาเองจึงทำเสมือนว่าใส่รองเท้าออกไปให้พ่อแม่เห็นเป็นแบบนี้ประจำ



มีอยู่วันหนึ่งได้มีการประกาศถึงการแข่งขันวิ่งแข่งผู้ที่ชนะเลิศจะได้เงินรางวัลก้อนหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าสามารถซื้อรองเท้าได้สบายๆ หลายคู่เลยทีเดียว เด็กคนนั้นจึงเข้าร่วมการแข่งขันด้วย... ซึ่งหากมีเพียงแค่นี้เนื้อเรื่องก็คงจะไม่หวือหวาโดนใจผมสักเท่าไหร่หรอกครับ แต่เพราะรางวัลที่ 2 ของการแข่งขันในครั้งนี้มีรางวัลเป็นรองเท้าคู่ใหม่น่ะสิครับ จึงทำให้เด็กคนนั้นทำทุกวิถีทาง คิดทุกอย่าง เพื่อที่จะให้ได้ที่ 2 ของการแข่งขัน!



คนเราทุกวันนี้อยู่ในสังคมด้วยการแข่งขันทั้งสิ้น แข่งขันที่จะเข้าเรียน แข่งขันที่จะได้คะแนนดี แข่งขันที่จะได้เข้าทำงานในบริษัทหรูๆ แข่งขันที่จะมีบ้าน แข่งขันที่จะมีรถ แข่งขันที่จะมีมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมดนี้คือการแข่งขันทั้งสิ้น และผลตอบแทนของการแข่งขันก็มีเพียง 2 ทางเท่านั้นคือไม่แพ้ก็ชนะ โอกาสที่จะเสมอตัวนั้นยากเต็มที เพราะอย่างน้อยเราก็ได้เสียเหงื่อ เสียแรงงานในการมุ่งที่จะเอาชนะไปเรียบร้อยแล้ว



ผมไม่ปฏิเสธครับว่าในโลกสมัยปัจจุบันนี้คนที่จะอยู่รอดได้ล้วนแล้วแต่ต้องเป็นผู้ที่ชนะในสังคม เป็นผู้ที่ต้องฟันฝ่าและยืดหยัดด้วยตัวเองทั้งสิ้น ซึ่งตัวผมเองก็ตกอยู่ในวังวนนี้ด้วยเช่นกัน แต่พวกเราเคยมองย้อนกลับไปบ้างไหมครับว่าชัยชนะที่เราได้มานั้นบางครั้งต้องแลกกับอะไรหลายๆ อย่างเลยทีเดียว---เราทำงานเพื่อให้ได้เงินมากขึ้นแต่เวลาพักผ่อนเรากลับน้อยลง, เรามีชื่อเสียงในวงสังคมมากขึ้นแต่มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลง, เราทำงานอย่างหนักเพื่อให้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง จนทำให้เราไม่มีเวลาที่จะอ่านแม้กระทั่งหนังสือดีๆ ที่อยากจะอ่านสักเล่มหนึ่ง ฯลฯ นั่นคือสิ่งที่เราสูญเสียไป.



ฉะนั้นหากเราลองเปลี่ยนทัศนคติใหม่ดูบ้าง จากการที่ว่าต้องเป็นที่ 1 ในทุกเรื่องมาเป็นที่ 2 บ้างในบางเรื่อง ผมเชื่อครับว่าชีวิตของพวกเราทุกคนคงจะมีคงามสุขเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว



จะ "ไม่แข่งยิ่งแพ้" หรือ "ที่หนึ่งไม่ไหวฉันเต็มใจขอเป็นแค่ที่สอง" ก็เลือกเอาครับ!



(ตีพิมพ์ครั้งแรกคอลัมน์ Webmaster's Talk ประจำเว็บสาธุดอทคอม เดือนตุลาคม 2549)




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2549    
Last Update : 9 ธันวาคม 2549 13:43:57 น.
Counter : 287 Pageviews.  


สายมูเขารู้กัน
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สายมูเขารู้กัน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.