กลยุทธ์ธุรกิจ แบบ joker
สืบเนืองจากข่าวการสังหารหมู่ในโรงภาพยนตร์ โดยฆาตกรที่ว่ากันว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวร้าย โจ๊กเกอร์ในภาพยนตร์เรื่องแบทแมน มาสะกิดต่อมสงสัยของผู้เขียนว่าตัวละครนี้มันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆทำให้ผมไปหาแบทแมนภาคที่แล้ว The Dark night มาดูพบว่าตัวละครโจ๊กเกอร์นั้นถูกถ่ายทอดออกมาโดยการแสดงที่น่าจะดีที่สุดในชีวิตของ ฮีท เลเจอร์ผู้ล่วงลับแล้ว ตัวละครนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจในแง่คนค้าขายอย่างเราเช่นเดียวกัน ปกติในหนังซุเปอร์ฮีโร่ เรามักจะพบเจอแต่ตัวร้ายที่มีทุกอย่างทั้งทุน อุปกรณ์ ไฮเทค อำนาจมหาศาล สมุนเป็นกองทัพ มาต่อสู้กับซุปเปอร์ฮีโร่ที่มักจะมีกำลังน้อยกว่า พลังด้อยกว่า แต่มีจิตใจที่ต่อสู้ไม่ยอมแพ้จนเอาชนะเหล่าร้ายทั้งปวงได้ ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ต่างหากจึงเป็นสิ่งที่เรารักในตัวซุปเปอร์ฮีโร่ หากแต่โจ๊กเกอร์ในภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์โนแลนด์ไม่ใช่ตัวร้ายประเภทที่ว่ามาเลย โจกเกอร์ในเรื่องนี้เป็นตัวร้ายที่ใช้เพียง สมุน(ที่น่าจะเป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราวซึ่งเป็นเพียงอาชญากรข้างถนนธรรมดา)เพียงไม่กี่คน มีดพับ อาวุธปืนที่หาซื้อได้ทั่วไป และ ระเบิดที่ทำง่ายๆจากน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งแผนการเชิงเส้นตรงไม่ซับซ้อนแต่กลับสามารถมาเล่นงานแบทแมน ลูกคุณหนูที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทค วิทยาการที่ทันสมัยที่สุดในโลก แผนก R&D และทีมที่ปรึกษาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ และสติปัญญาที่น่าจะฉลาดเป็นอันดับต้นๆในโลก(ถ้าเป็นเรื่องจริง) พร้อมด้วยกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ของตัวเองอย่าง เวยน์ เอนเตอร์ไพรซ์คอยสนับสนุน สำหรับผมสิ่งที่น่าสนใจในการต่อสู้ของทั้งคู่อาจไม่ใช่เรื่องที่ว่าใครจะแพ้หรือชนะแต่เป็นเรื่องของ ความแตกต่างในเรื่องวิธีคิดของคู่รักคู้แค้นคู่นี้มากกว่า ความแตกต่างแรกคงเป็นเรื่อง ความเชื่อ ในขณะที่แบทแมนเชื่อในการพยายามควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นระเบียบ(ในความคิดของเขา)ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ความกลัวหรือสัญลักษณ์ค้างคาวในการควบคุมอาชญากร ทุน อาวุธไฮเทคในการสร้างระเบียบใหม่ขึ้นในเมืองก็อธแธม แต่โจ๊กเกอร์กลับคิดว่าโลกเต็มไปด้วย Chaos ความสับสน อลหม่าน ที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะพยายามวางแผนการควบคุมมันอย่างไร ในความคิดของเขาความพยายามในการควบคุมโลกที่สับสนจึงเป็นความโง่เขลา ความแตกต่างในความเชื่อประการแรกจึงทำให้แนวคิดในการวางกลยุทธ์ของทั้งคู่จึงแตกต่างกัน ในขณะที่แบทแมนและเจ้าหน้าที่ของรัฐพยายามวางแผนการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศในการพยายามจะจับตัวโจ๊กเกอร์ ในขณะโจ๊กเกอร์แค่คิดว่าถ้าเขาเป็นแบทแมนเขาย่อมต้องระดมสรรพกำลังในการจับเขาแน่นอน เขาจึงไม่เปลือแรงและเปลืองสมองไปคิดว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกจับ แต่กลับวางแผนว่าถ้าเขาถูกจับแล้วจะวางแผนหลุดออกมาได้อย่างไร เพราะแนวคิดแบบนี้ทำให้แผนการของโจ๊กเกอร์นำหน้าแบทแมนอย่างน้อยหนึ่งก้าวแทบตลอดทั้งเรื่อง(จะว่าไปแล้วคือทั้งเรื่องแต่เนืองจากผู้เขียนไม่อยากสปอยล์หนังจึงไม่คงบอกรายละเอียดมากไปกว่านี้) และเนืองจากเชื่อในความสับสน อลหม่านของโลกใบนี้ เหตุการณ์หลายๆอย่างในโลกล้วนมีปัจจัยที่คาดไม่ถึงเสมอ ลักษณะการวางกลยุทธ์ของโจ๊กเกอร์ จึงมีลักษณะยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ ลงทุนน้อย ใช้คนน้อย รวมถึงไม่พึงพาเทคโนโลยีชั้นสูงมากมาย และ เนื่องจากน่าจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายพอควรจึงมักจะคิดถึง worst case scenario เช่นถ้าแผนที่วางไว้พลาดจะเป็นยังไง และมีแผนคอยรับความผิดพลาดอยู่เสมอ(เกือบทั้งเรื่อง) แม้ภายนอกบุคคลิกของคนอย่างโจ๊กเกอร์จะดู Aggressive แต่โดยเนื้อแท้เขาเป็นคนรอบคอบทีเดียว ในขณะที่คนอย่างแบทแมนอาจจะด้วยสภาพแวดล้อมแบบ ลูกคุณหนูซึ่งวิธีคิดในการดำเนินธุรกิจมักจะไม่ได้คิดจากข้อจำกัดทางการเงิน(เพราะเขาไม่มีข้อจำกัดทางการเงิน) หรืออาจเรียกว่าแนวคิดแบบเผาป่าทั้งป่าเพื่อฆ่าหนูนาตัวเดียว เหมือน ที่เรามักจะเห็นในชีวิตจริงเวลาผู้ประกอบการสไตล์ ลูกคุณหนูเวลาจะเปิดตัวธุรกิจใดๆสักอย่างหนึ่งก็มักจะ ทุ่มเทสมองไปคิดเรื่องจะใช้งบกับงานอีเวนท์เปิดตัวสินค้าสักกี่ล้านดี พรีเซนเตอร์เป็นใครดี พยายามสร้างความแปลกอย่างไรดีคนจึงจะเกิดกระแส(ซึ่งบางครั้งอาจเข้าถึงคนเพียง 250 คน) ในขณะที่คนที่เริ่มธุรกิจจากศูนย์หรือติดลบ จะมีสกิลบางอย่างติดตัวเช่นอาจสามารถโปรโมทสินค้าของตัวเองให้คนเห็นได้มากกว่าล้านคนโดยใช้ต้นทุนไม่กี่พันบาท บางครั้งข้อจำกัดด้านการเงินกลับกลายเป็นสร้างความไม่จำกัดทางความคิดได้สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนค้าขายหลายคนคงเคยเห็น เช่นในเรื่องปฏิบัติการต่างๆของแบทแมน หรือ บรู๊ซ เวย์น เราจึงมักจะได้เห็นการนำเงินไปเททิ้งเล่นๆอยู่เสมอ เช่นนำเครื่องบินส่วนตัวไปปฏิบัติการ หรือ เปิดโรงแรมชั้นหนึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวจัดอีเวนท์ระดมทุน ดั้งนั้นถ้าจะวัดเรื่องความเก่งกาจในความมีประสิทธิผลในการใช้เงินจะพบว่า โจกเกอร์ เอาชนะแบทแมนเสียกระจุย แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่แยกทั้งคู่ออกจากกันโดยสิ้นเชิงคือ เรื่องของ ศีลธรรม คือไม่ว่าอย่างไรแบทแมนก็ยังคงมีศีลธรรมอยู่ในจิตใจแต่โจ๊กเกอร์ไม่มีสิ่งที่ว่าอยู่เลย ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นข้อดีหรือข้อด้วยของทั้งคู่เพราะทั้งคู่ก็มีสิ่งที่ต้องแลกมาเหมือนกัน เพราะศีลธรรมอาจเป็นตัวฉุดรั้งแบทแมนในการกระทำบางอย่างซึ่งบางครั้งในทางธุรกิจเราก็มักจะเห็นได้ทั่วไปเช่น บริษัทหนึ่งเสียภาษีถูกต้อง กับ อีก บริษัทหนึ่งหลบภาษีอย่างน่ารัก แน่นอนว่าแข่งกันอย่างไรบริษัทที่สองย่อมได้เปรียบแน่นอน หากกฎเกณท์การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ หากแต่เมื่อคุณปฏิบัติตัวแบบไม่มีศีลธรรมคุณก็ย่อมต้องรับการปฏิบัติแบบเดียวกันจากคนรอบข้าง เพราะคนจะไม่ไว้วางใจคุณเพราะรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ทำนายไม่ได้ อาจโดนหักหลังจากคนรอบข้างเป็นเรื่องปกติ ซึ่งบางครั้ง ราคาของความเป็นคนดีก็มีสูงเหมือนกัน เช่นความเชื่อใจจากซัพพลายเออร์ หรือ ลูกค้าบางครั้งก็มีมูลค่ามหาศาล(หากจะคิดเป็นตัวเงิน) บริษัทที่ปฏิบัติกับทุกคนอย่างซื่อสัตย์ไม่ว่าจะเป็นพนักงานของตัวเองหรือคู่ค้า เมื่อเวลาที่ยากลำบากก็อาจได้รับความช่วยเหลือโดยไม่คาดคิด สิ่งนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายเช่นพนักงานที่ยอมลดเงินเดือนตัวเองเพื่อช่วยให้บริษัทอยู่รอด ปีเตอร์ ดรักเกอร์เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า พนักงาน หรือคู่ค้า อาจจะไม่ชอบคุณเรื่อง ความไม่เก่ง หรือ ด้อยความสามารถ แต่เขาก็ยังให้อภัยคุณได้ แต่เขาจะไม่ให้อภัยคุณเลยหากคุณเป็นคนที่ไร้ศีลธรรม เรื่องสุดท้ายที่แยกทั้งคู่ออกจากกันอาจเป็นเรื่อง อารมณ์ขัน แน่นอนว่าแบทแมนนั้นผ่านอดีตอันโหดร้าย แต่โจ๊กเกอร์ก็คงไม่ต่างกันแต่เราคงไม่ได้เห็นมุขตลกจากแบทแมนบ่อยนัก ในขณะที่โจ๊กเกอร์นั้นแม้มุขของเขาจะเป็นตลกสยองขวัญแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอารมณ์ขันเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้าง สไตล์ให้กับตัวตลกจากนรกจากเขาให้แตกต่างจากคนอื่น เหมือนปัจจุบันเรามักจะได้เห็นไม่ว่าจะเป็นรายการเล่าข่าว เศรษฐกิจการเมือง กฏหมายไม่ว่าจะเป็นวงการที่จริงจังเคร่งเครียดปานใดต่างก็แข่งกันตลก แข่ง กันยิงมุข ฝืดบ้างขำบ้างก็ว่ากันไปเพราะแน่นอนว่าอารมณ์ขันมักจะเข้าถึงคนหมู่มากได้ง่ายกว่าแต่อย่างไรก็ตามหากต้องการจะสร้างสไตล์ก็ควรจะมีความเป็นตัวของตัวเองด้วย ถ้าคุณเป็นคนตลกน้อยๆก็อย่าพยายามตลกให้มันมากเพราะนอกจากจะไม่สร้างสไตล์ใดๆให้แตกต่างกับคนอื่นแล้ว(เพราะทุกวันนี้ทุกคนพยายามตลกกันหมด!!!)ยังอาจเป็นการลดทอนคุณค่าของสิ่งที่คุณต้องการสื่อสารให้ไม่น่าเชื่อถือด้วย หรือในทางกลับกันเรามักจะเห็นคนที่มีภาพลักษณ์ตลกเวลามาโปรโมทกิจการตัวเองเช่นร้านอาหารก็นำเรื่องกิจการของตัวเองมาเป็นมุขด้วยเช่นมุข ร้านนี้คนเยอะนะ
..อร่อยเหรอ
ไม่ใช่ แม่ครัวทำช้าน่ะ ตึง!!โป๊ะ!! มุขแบบนี้อาจจะเรียกรอยยิ้มจากเราได้บ้างแต่จะไม่มีผลให้เราไปกินอาหารในร้านนี้เลยเพราะฉะนั้นการเลือกใช้อารมณ์ขันก็ต้องเลือกจังหวะที่เหมาะสมด้วย มาพูดถึงความต่างของการทำธุรกิจแบบโจ๊กเกอร์เกอร์และแบทแมนกันมากพอแล้วเราลองมาดูกันที่ความเหมือนกันบ้างสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่เหมือนกันและทำให้ทั้งคู่สร้างสิ่งที่พิเศษกว่าคนอื่นได้ก็คือ แรงผลักดันของทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องเงิน!!! ฉากที่โจ๊กเกอร์เผาแบงค์ทำให้รู้ว่าเขาไม่ใส่ใจเรื่องเงินเลยเขาทำเพราะ สะใจที่ได้ทำเท่านั้น แบทแมนก็เช่นกันเพราะเกิดมาบนกองเงินกองทองทำให้เขาต้องแสวงหาเรื่องอื่นๆในชีวิตมาเป็นความท้าทาย เพราะเงินขนาดนี้เขาอาจจะสร้างความสงบสุขให้กับเมืองได้โดยการให้ทุนสนับสนุนรัฐเพื่อสร้างกองทัพโดยไม่ต้องมาใส่เสื้อคลุมรัดรูปมาเตะต่อยเหล่าร้ายก็ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะใส่ชุดค้างคาวมากกว่าซึ่งอาจมองได้ว่านี่คงเป็นงานอดิเรกของลูกคนรวย แต่ก็เหมือนชีวิตการทำธุรกิจสำหรับคนบางคนเรื่องบางเรื่องเราก็ทำเพราะอยากทำไม่ใช่ทำเพราะอยากได้เงินและดังที่หลายคนเคยได้ยินว่า จงไปทำสิ่งที่ชอบแล้วจะทำได้ดีสุดท้ายเงินก็จะตามมาเองเช่นการลงทุนบางอย่าง การพัฒนาสินค้าบางตัว บางครั้งก็อาจตอบคำถามเรื่องการคุ้มทุนไม่ได้แต่บางครั้งการกระทำดังกล่าวก็อาจพัฒนาไปสู่บางอย่างที่ดีกว่าก็ได้เช่นโทมัสเอลวาเอดิสันทดลองทำหลอดไฟหลายๆปีล้มเหลวหลายพันครั้งหากนำเวลาและเงินจำนวนดังกล่าวไปทำร้านขายเทียนไขอาจจะกำไรดีกว่าก็ได้มั้ง ^^ แต่เขาก็ไม่ทิ้ง Passion ในการทำงานให้สำเร็จจนสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ในโลกขึ้นมาดังนั้นหลายๆครั้งคุณไม่ได้กำลังสร้างเงินแต่คุณกำลังสร้างประวัติศาสตร์ก็ให้ลืมๆเรื่องเงินไปบ้างก็ได้นะครับ สุดท้ายเขียนมาเกือบสี่หน้ากระดาษ ก็เริ่มรู้สึกตัวเองว่านี่กูจริงจังมากไปหรือเปล่าวะ 555 ถ้าโจ๊กเกอร์มีตัวตนจริงๆอาจจะบอกว่าอย่าไปอินกับหนังให้มันมากนักนะชาวโลกนี่มันเป็นแค่เรื่องบันเทิงเท่านั้นจนผมอยากจะถามตัวเองด้วยประโยคเด็ดของโจ๊กเกอร์เช่นเดียวกันว่า why กู so serious?
Create Date : 20 สิงหาคม 2555 |
|
1 comments |
Last Update : 20 สิงหาคม 2555 12:08:11 น. |
Counter : 3355 Pageviews. |
|
|
|