สุสานหิ่งห้อย..Grave of fireflies.. เศร้า..แต่ไม่เท่าที่คาด
หลังจากดองเปรี้ยวดองเค็มมาได้เกือบ 2 ปี ก็ได้เวลาเปิดดูซักกะทีนะจ๊ะ..

เรื่อง"สุสานหิ่งห้อย" นี้ก็คือ Grave of Fireflies ของ studio Gibli นั่นเอง
เนื่องจากเค้าว่ากันว่าเศร้าเหลือหลาย บางคนร่ำไห้กันตั้งแต่ 5 นาทีแรก
ข้าพเจ้าเลยกลัวๆกล้าๆ ไม่อยากจะเปิดดูเลยจิงๆ อุตส่าห์เลือกเอาเวลางามยามปลอด คือ บ่ายวันเสาร์
แบบว่าถ้าช้านร้องไห้ตาบวม ก็ยังพอมีเวลาพักฟื้น 1 วันกะ 1 คืนก่อนไปทำงาน
แต่ปรากฏว่า..ตะแล้นๆๆๆๆ
ม่ายร้องไห้เรยน่อ
แร้วช้านควรจะดีใจมะล่ะเนี่ย แอร๊งงงง

"สุสานหิ่งห้อย" เป็นการ์ตูนที่สร้างอิงจากเรื่องจริงของใครไม่รู้ กีกี้จำมะได้แระ แต่ว่าน้องสาวของเค้าตายเพราะขาดอาหารในช่วงสงคราม
เค้าก็เลยเขียนชีวิตเค้าออกมาเป็นหนังสือ จากนั้น Gibli ก็เอามาสร้างเป็นการ์ตูน ประมาณนั้นนะ.. (อย่ามาเอาสาระอะไรกะช้านนนน)
ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆของ Gibli ก็เรียกได้ว่าเศร้าหมองมากมาย

ก็เป็นเรื่องสมัยสงครามโลกอ้ะเนอะ จะให้แจ่มใสยังไงไหว
แต่ที่สะดุ้งก็คือ ทำไมทำออกมาสมจริงจังเรยอ้ะคะ อย่างภาพตอนที่แม่ตาย หนอนขึ้น
ต้องเทศพแม่ฝังรวมกับศพอื่นๆ ภาพเด็กชายเซย์ตะถูกทุบตี และอื่นๆ
สะดุ้งหนักเข้าไปอีก ถ้าคิดว่ามีเด็กๆนั่งดูอยู่ด้วย...
สรุปว่ามันมะช่ายการ์ตูนสำหรับเด็กเล็กๆแน่นอน ถึงแม้ภาพจะสวยมากๆก็ตาม

เรื่องราว
เริ่มต้นด้วยเด็กชายเซย์ตะกับน้องสาวเซตซึโกะ ถูกทอดทิ้งให้มีชีวิตอย่างยากลำบากในช่วงสงคราม
หนังเริ่มด้วยประโยคแสนเศร้าของวิญญาณเซย์ตะ
"ผมตายในคืนวันที่ 21 ก.ย.1945"
แต่ด้วยความที่ข้าพเจ้าดูหนังไปด้วย ทำอย่างอื่นไปด้วย
แถมภาษาอังกฤษอ่อนแอสิ้นดี
เลยอ่านประโยคแรกผ่านๆ ด้วยความเข้าใจว่า..
"21 ก.ย.1945 มันเป็นคืนที่แห้งแล้งมาก"
died กะ dried อ้ะค่ะ!!
แล้วแกยังจะริดูหนัง sub eng นะยะ!!
ต่อมาอีกหลายนาที จึงเข้าใจว่า น้องเค้าตายไปแย้วววว...แง...
ปอ.ลิง สรุปว่าที่ดูแร้วไม่ร้องไห้เพราะดูไม่รู้เรื่องป่าวหว่าเรา
เรื่องราวหลังจากนั้นก็คือความยากเข็ญต่างๆนานา
แทรกด้วยความไร้เดียงสาของเซตซึโกะน้อยและความเมตตาที่มีจำกัดจำเขี่ยในช่วงสงคราม
รวมทั้งความโหดร้ายเย็นชาที่ผู้คนมีให้กัน
ในท้ายที่สุด เด็กๆทั้ง 2 ก็ไม่สามารถอยู่รอดไปได้ กลายเป็นวิญญาณน้อยๆ
นั่งรถไฟไปดูหิ่งห้อยในตอนจบ
ชอบ
-แน่นอนว่าต้องเป็นภาพ.. Gibli วาดภาพสวยน่ารัก วาดเด็กๆได้น่าเอ็นดูมาก
-การดำเนินเรื่อง ทารุณจิตใจแต่พอทน ลำดับเหตุการณ์สลับระหว่างความทุกข์และความน่ารัก กีกี้ไม่รู้จะเศร้าหรือจะยิ้มดี
-มันเป็นจริง.. เรื่องนี้ไม่มีอะไรหลอกลวงเลย มันสะท้อนภาพจริงของสงคราม เด็กๆเป็นเหยื่อ หนังก็สะท้อนว่านี่คือเหยื่อ..
สุดท้ายเด็กๆก็ตาย..เพราะมันควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดีหน่อยที่ตายแล้วเป็นวิญญาณแสนสุข ได้นั่งรถไฟเล่น
ไม่ชอบ
-ไม่รู้ทำไมมันมีความขัดแย้งลึกๆในใจ เรารู้ว่ามีคนอดตายในช่วงสงครามจริงๆ
แต่สำหรับเซย์ตะกับเซตซึโกะ มันไม่น่าถึงขนาดนั้น ทั้งสองคนอยู่ใกล้บึงน้ำใสสะอาด
ทำเนื้อกบตากแห้งไว้กิน ปลูกผักได้แน่นอน ถ้าคิดจะปลูก เพราะมีตาลุงคนนึงแกปลูกผักขายอยู่
แต่เซย์ตะไม่ได้ขอแบ่งเมล็ดพันธุ์มาปลูก เซย์ตะไป "ขอซื้อ"
แถมมีหลายๆบ้านที่ปลูกผักไว้กิน ไม่อดตาย แต่เซย์ตะ (ซึ่งอายุ 14 แล้ว) กลับเลือกที่จะขโมย..
เลยดูเรื่องราวช่วงนี้ด้วยความรู้สึกว่า "ทำไมมันไม่ปลูกผักกิน"
และเมื่อเด็กๆทั้งคู่ยังมีป้าอยู่ เพียงแต่ทนอึดอัดใจไม่ได้ จึงหนีออกมาอยู่กันเพียง 2 คน
ยิ่งทำให้รู้สึกว่า เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าไม่อดทนพอ ป้าเค้าก็แค่ขี้เหนียวขี้งก
แต่เค้าก็มีบ้านคุ้มกะลาหัวให้น้องเล็กๆที่สุขภาพอ่อนแอ
ที่สำคัญคือ ป้าพูดว่า "เซย์ตะ ไม่คิดจะทำอะไรบ้างรึ เอาแต่กินๆนอนๆ"
ซึ่งข้าพเจ้าเห็นด้วยมากๆ เซย์ตะโตมากแลว้ อายุ 14 ทำงานได้แล้ว
แต่กลับเล่นกับน้องไปวันๆ แล้วก็มาขอข้าวเค้ากิน
ในช่วงสงครามแบบนี้ ทำอะไรได้ ก็ควรทำ
(เห็นมีหลายๆบ้านที่ยังมีอันจะกิน และมีคุณลุงขายน้ำแข็ง แบกน้ำแข็งไปส่งบ้านเหล่านั้น)
เซย์ตะก็น่าจะมีทางทำอะไรให้มันงอกเงยขึ้นมาได้
อันนี้พอโดนป้าแกดุ เซย์ตาก็งอน พาน้องออกจากบ้าน หนีไปอยู่ถ้ำอะไรก็ไม่รู้
ฝนสาดทุกวัน เซตซึโกะไม่ป่วยไงไหว
สุดท้ายน้องป่วยจนตายไป เซย์ตะก็หมดกำลังจะอยู่ต่อ ปล่อยให้ตัวเองอดตายตามไปง่ายๆเช่นนั้นเอง
เด็กเอ๋ยเด็ก...
ด้วยเหตุฉะนี้ กีกี้เลยมัวแต่อึดอัดคับข้องใจตามประสาคนปากกัดตีนถีบจนกระทั่งลืมร้องไห้

อย่างไรก็ตาม "สุสานหิ่งห้อย" ก็เป็นหนังดีที่คอหนังควรมีไว้ในครอบครอง
ส่วนจะดูกี่รอบก็ตามสะดวกใจ
ส่วนข้าพเจ้า ขอรอบเดียวพอ..
Create Date : 21 มีนาคม 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 22 มีนาคม 2554 10:17:30 น. |
Counter : 2613 Pageviews. |
|
 |
|