BlogGang.com : : สมาชิกหมายเลข 7867142 : เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า (EV): คือการขับเคลื่อนเทคโนโลยี่ เพื่อ อนาคตที่ยั่งยืน

ปัจจุบันกระแสความนิยมในการใช้ ยานยนต์ ไฟฟ้า (EV) ได้เพิ่มปริมาณมากขึ้นอยากรวดเร็ว แต่ยานยนต์ ไฟฟ้า (EV) ในปัจจุบันก็ยังมีข้อจำกัด ในเรืองของขนาดแบตเตอรี่ และระยะเวลาเดินทาง ต่อการชาร์ต 1 ครั้ง รวมถึงเวลาที่ใช้ในการชาร์ตไฟฟ้า ยังกินเวลาที่นานพอสมควร
ดังนั้นในการเสาะหาการขนส่งที่ยั่งยืน เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาต่อยอด และมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขส่วนของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะมีความสะอาด ไม่ก่อมลพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับยานยนต์ทั่ว ๆ ไป ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิม หรือเครื่องยนต์สันดาปภายในที่เป็นอยู่ขณะนี้

ความสำพันธ์ระหว่าง
เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนและยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
หลักการทำงานของเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน คือ ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าออกได้ด้วยการทำปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างไฮโดรเจนกับออกซิเจนจนสามารถผลิกกระแสไฟฟ้าออกมาได้ ระหว่างปฏิกิริยาทางเคมี ยังสามารถทำให้ได้น้ำออกมาเป็นผลพลอยได้อีกด้วย น้ำซึ่งเกิดจากการรวามตัวกันระหว่างไฮโดรเจนกับออกซิเจนนั่นเอง ทำให้การปล่อยก๊าซเสียออกมาเป็นศูนย์ อันเมื่อมากจาก สามารถเปลี่ยนไฮโดรเจน ให้กลายเป็นน้ำ นั่นเอง ซึ่งตรงจุดนี้เอง ทำให้ยานยนต์ที่ใช้พลังงานจากเซลล์ เชื้อเพลงจะต่างจากยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบบเดิมในปัจจุบัน ที่ยังใช้อยู่
ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังคงใช้พลังงานไฟฟ้าที่เก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่มาเป็นตัวขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้าอีกที ซึ่งพลังงานไฟฟ้าที่เก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่ ได้มาจากแหล่งผลิตที่ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลเป้ส่วนใหญ่
ยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิงสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามความต้องการ โดยให้แหล่งพลังงานที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อดีของยานยนต์ที่ใช้พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก:

ยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากท่อไอเสียเป็นศูนย์ ซึ่งมีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก ในขณะที่ประชาคมโลกเพิ่มความพยายามในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนไปสู่การขนส่งที่พลังงานสะอาดยิ่งขึ้นก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น

เวลาเติมเชื้อเพลิงเร็วขึ้น:

ข้อดีหลักประการหนึ่งของยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนคือใช้เวลาเติมเชื้อเพลิงได้รวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่แบบดั้งเดิม แม้ว่ายานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการชาร์จ แต่ยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสามารถเติมเชื้อเพลิงได้ภายในไม่กี่นาที ซึ่งให้ความสะดวกสบายที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการเติมเชื้อเพลิงในปัจจุบัน

ระยะทางในการขับที่ยาวขึ้นมากขี้น:

โดยทั่วไปแล้ว ยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนจะมีระยะการขับที่ยาวกว่าเมื่อเทียบกับยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่บางรุ่น ช่วงระยะทางในการขับที่ยาวขึ้นนี้ช่วยแก้ปัญหา "ความวิตกกังวลเกี่ยวกับช่วงระยะทาง" ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางระยะไกล
การใช้งานที่หลากหลาย:
เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนพบการใช้งานที่นอกเหนือจากยานยนต์โดยสาร รวมถึงรถโดยสาร รถบรรทุก และแม้แต่รถไฟ ความอเนกประสงค์นี้ทำให้เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหมาะสมกับความต้องการด้านการขนส่งที่หลากหลาย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การคมนาคมที่ยั่งยืน

ผลพลอยได้จากยานยนต์ที่ใช้พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน

ผลพลอยได้หลักของยานยนต์ที่ใช้พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนคือไอน้ำ ปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์เชื้อเพลิงจะรวมไฮโดรเจนกับออกซิเจนเพื่อผลิตไฟฟ้าและน้ำ (H₂O) กระบวนการปลอดมลภาวะนี้ทำให้ยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิงแตกต่างจากเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเดิมๆ ซึ่งปล่อยมลพิษที่เป็นอันตรายออกสู่ชั้นบรรยากาศ
ไอน้ำที่ผลิตโดยยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนจะถูกปล่อยออกมาในรูปของน้ำที่สะอาดและบริสุทธิ์ แม้ว่าปริมาณไอน้ำที่ปล่อยออกมาจะค่อนข้างน้อยในยานยนต์แต่ละคัน แต่ผลสะสมของการนำไอน้ำไปใช้อย่างแพร่หลายอาจส่งผลกระทบเฉพาะที่ เช่น ความชื้นที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น

“ ยานยนต์ที่ใช้พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนถือเป็นก้าวสำคัญสู่การขนส่งที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในขณะที่โลกมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากยานยนต์ทั่วไปที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนก็นำเสนอโซลูชั่นที่น่าสนใจ ด้วยคุณประโยชน์ในการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ระยะเวลาการเติมเชื้อเพลิงที่เร็วขึ้น และระยะการขับขี่ที่ขยายออกไป ยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนจึงพร้อมที่จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ และมีส่วนช่วยให้โลกสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ”