...Blog ผมเอง นายตัวเอ๊กซ์ ...

Curse Of Golden Flower : งดงามจับตา แต่เนื้อหาไม่จับใจ

กับอีกหนึ่งผลงานของจางอี้โหมว ผู้กำกับ หนังจีนที่ผม ชอบมาตั้งแต่ Crouching Tiger Hiden Dragon/Hero/House Of Flying Daggerมาเรื่องที่4 ของเขา ผมก็ตั้งตารอดู แม้จะมีใครว่า ผลงานของเขา เริ่มจะแผ่วความน่าสนใจลงไปเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังอยากดู ในส่วนของเนื้อเรื่อง กับ บทบาทการแสดงก็ไม่ได้ติดใจผมนัก แต่นักแสดงหลักอย่างโจเหวินฟะ และกงลี่ ก็แสดงได้อย่างคงเส้นคงวา แต่ก็ไม่สามารถสรางความสะเทือนใจไปได้มากนัก ถ้าว่าไปแล้ว อารมณ์สะเทือนใจใน The Banquet ยังทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจได้มากกว่า แต่ที่ติดตามากมายคืองานสร้างที่อลังการครับ ประทับตาผมมากๆ ทุกฉากทำออกมาได้ ยิง่ใหญ่ทุกกระเบียดนิ้วสมจริง ยิ่งใหญ่ งดงาม และอีกอย่างรวดเร็วครับ ซึ่งดูแล้วมันเป็นระบบระเบียบดี ชอบครับกับงานโปรดัคชั่น งดงามจับตา แต่เนื้อหาของหนังนั้นไม่ประทับใจก็เท่านั้นเอง อย่างที่จางอี้โหมวเขาก็เคยออกตัวแล้วว่าหนังที่เขาสร้าง ต้องการให้เป็นหนังตลาดที่จะช่วยดึงให้คนจีนหันมาสนใจหนังชาติตัวเองบ้าง ดูหนังเรื่องนี้ แล้วคนที่ดูหนังในจีนก็คงจะอดภูมิใจไม่ได้ว่า บ้านเมืองของเขาก็มีมรดกทางวัฒนธรรมที่งดงามและอลังการ ...
ใครสนใจงานด้านศิลป์ และ ความอลังการก็ดูได้ครับ แต่ถ้าหวังว่าหนังจะมันหยดติ๋ง แอ๊คชั่นอย่างฮีโร่ ก็ไม่ครับ เรื่องนี้ เน้น งานโปรดัคชั่นเป็นหลัก และ เนื้อหาหนังที่เป็นดราม่า มาเป็นส่วนรอง ครับผม...




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2550 21:38:37 น.   
Counter : 661 Pageviews.  

Love Phobia : ความรักคือความทรงจำ

รักแรกพบ การรอคอย การพบกัน การพรากจาก และการสูญเสีย แต่ถึงอย่างไร โจคังก็ยังมีความสุขกับการที่จะเก็บมันไว้เป็นความทรงจำ เพราะ ความรักของเขาคือ ความทรงจำ
เรื่องราวความรักของโจคัง ที่เล่าเรื่องราวตั้งแต่เขายังเด็กที่เกิดรักแรกพบกับสาวน้อยน่ารัก อาริ ผู้ที่ มีเรื่องเล่าแปลกๆ เกี่ยวกับตัวเธอ ว่าตัวเธอเต็มไปด้วยคำสาป หากใครแตะต้องตัวเธอ จะต้องมีอันเป็นไป และเมื่อ เขาได้รับผมกระทบจากการถูกต้องตัวอาริ แล้วเธอก็หายไปจากชีวิต ด้วยเหตุผลอะไรนั้น โจคังไม่เคยรู้ จนเวลาผ่านไป 10 ปี เขาได้ เจอเธออีกครั้ง แตก็เพียงเวลาไม่นาน และเมื่อ เขาได้รับจูบแรกจากเธอ เขาก็ ป่วยอีก และ อาริก็หายไปจากชีวิตของเขาเป็นครั้งที่ 2
ผ่านไปอีก 8 ปี อาริ กลับมาหาเขาอีกครั้ง เขาได้อยู่กับเธอ เพียงแค่แปดชั่วโมง แล้วเธอก็จากไปอีก แต่ในครั้ง เขาไม่ยอมแพ้ที่จะปล่อยให้เธอหายไปอีก โจคัง โตพอ ที่จะไม่ยอมเชื่อ เรื่องเล่าที่เธอเล่าให้ฟังทุกครั้งที่พบกัน เพราะเขาไม่อยากเสียเธอไปอีก จนในที่สุด เมื่อเขาได้พบเธออีกครั้ง แต่ก็เป็นการพบกันครั้งสุดท้าย เพราะอาริ อยุ่กับเขาไม่ได้อีกต่อไป แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น โจคังก็ไม่เคยที่จะลบเธออกไปจากใจ เพราะ อาริ คือความรักของเขา และความรักของเขาคือความทรงจำที่สวยงาม
Love Phobia หนังเกาหลีอีกเรื่อง ที่ทำให้ผมต้องเสียน้ำตาไปกับ ความปวดร้าวของการที่ต้องรอคอยใครสักคน เพียงเพื่อได้พบกัน และจากกันในเวลาเพียงสั้นๆ การที่เรารักใครสักคนหนึ่งนั้น แน่นอนเราต้องอยากอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่สำหรับความรักของสองพระนางในเรื่อง คือความรักที่ต้องพลัดพราก เพราะมีเส้นของความแบ่งแยกมากั้นกลางระหว่างสองคนไว้ ที่ถึงแม้ โจคังอยากจะก้าวข้ามไป แต่เขาก็ เข้าไปไม่ได้ เพราะเขาต้องทำตามความต้องการของคนที่เขารักคือ อาริ นั้นไม่ยอมให้เขาข้ามเข้ามาเด็ดขาด
เส้นความแบ่งแยกนั้น คือ ความเจ็บปวดที่ทำให้ทั้งสอง มิอาจอยู่ด้วยกันได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้อาริต้องพยามสร้างเรื่องราว แปลกๆมาเล่าให้โจคังฟังว่าทำไม เธอถึงได้หายไปจากชีวิตเขา แม้มันจะดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่โจงคังก็ยังยอมเชือฟัง และรอคอยเธอ เพราะเขารักเธอ และอยากอยู่ใกล้ๆเธอ กระทั่งแม้ในที่สุด ความจริงที่ปวดร้าวยิ่งกว่า การได้ฟังเรื่องไร้สาระที่อาริเล่าให้ฟังนั่นก็คือ ความจริงอาริเป็นโรคร้ายที่เขาหรือใครก็ไม่อาจเยียวยารักษาได้ และท้ายที่สุดเธอก็ต้องจากเขาไปอยู่ดี
Love phobia ให้แง่มุมในความมั่นคงของความรักของชายคนหนึ่งที่มีต่อรักแรกพบของเขาอย่างแน่วแน่ ซึงจุดนี้หนังก็เรียกน้ำตาคนดูได้เป็นถึงแล้ว แต่ที่ซ่อนอยู่ภายหลังจากความซึ้งนั้น กลับมีประเด็นหนักอย่างเรื่อง ความผิดพลาดของการักษาพยาบาลของสถาบันการแพทย์ ที่ทำให้ชีวิตที่บริสุทธิ์หนึ่งชีวิตต้องมีตราบาปที่ไม่ได้ก่อ และทำให้เกิดเรื่องราวรักที่สุดเศร้าเรื่องนี้ หรือประเด็นเรื่องการแบ่งแยกความเป็นคนของผู้ติดเชื้อ HIV ที่สังคมทั่วไปมองแยกเขาออกไปจากสังคม จนเหมือนเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
ในซีนการจากไปของ อาริ หลายคนอาจจะคิดว่า มันดูไร้เหตุผลจนเกินไป แต่สำหรับผม ผมเชื่อว่า ตัวหนังไม่ได้บอกอกมาตรงๆว่า อาริจากไปอย่างนั้นจริงๆ แต่อยากให้คิดว่าเป็นจินตนากรของการจากไปที่ดูจะไม่โหดร้ายเกินไปสำหรับผู้ป่วยอย่างอาริ เป็นความคิดภายในใจที่คิดว่าคนรักของเขาไม่ตายจากไป แต่เพียงจากไปอยู่ดาวดวงอื่น ผมเชื่อว่า เป็นการลดทอนภาพความสะเทือนใจทั้งในส่วนของตัวโจคังเอง และสำหรับคนดู รวมทั้งสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อคนอื่นเหมือนอาริที่ต้องจากไป ซึ่งในความจริงแล้ว อาริก็จากไปด้วยโรคร้ายนั้น เพียงแต่โจคังไม่ต้องการ เก็บความทรงจำที่เลวร้ายแบบับ้นไว้ ภาพการจากไปของอาริ จึงเป็นในแบบที่ออกมาใหเห็นอย่างในหนัง ซึ่งเป็นแบบนั้น มันก็เรียกน้ำตาคนดูได้เป็นถึงเหมือนกัน
บทสรุปของหนังแม้ดูจะเป็นสูตรสำเร็จของหนังเกาหลีทั่วๆไป แต่ Love Phobia ก็ยังคงเป็นหนังรักเกาหลีอีกเรื่องที่น่าประทับ เพราะดูแล้ว อิ่ม กับความรักของโจคังที่ใหต่อ อาริ เหมือนกับเป็นความหวังให้เราว่า สักวัน เราคงจะมีความรักที่จะเป็นความทรงจำที่สวยงามอย่างนี้บ้าง



ขอบคุณภาพประกอบจาก Hancinema.net




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2549 13:07:21 น.   
Counter : 2016 Pageviews.  

The Prestige: หนังมายากลที่เป็นมายากล

ความสนุกของมายากลจะหมดลงทันทีหากถูกจับกลได้ เมื่อใดก็ตามที่ความลับถูกเปิดเผย กลนั้นก็ไม่ใช่กลอีกต่อไป
The Prestige เรื่องราวของการห้ำหั่นกันของสองนักมายากล โรเบิร์ต เองเจียร์ กับ อัลเฟรด บอร์เดน ที่หักกันไม่ลง เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการเอาชนะกันและกัน แต่เบื้องหลังของการเอาชนะนั้น ทั้งสองต่างก็มีปมในใจและเบื้องหลัง ที่จ้องจะแก้แค้นกันเอง ทั้งในเรื่องของศักดิ์ศรีของนักมายากล ที่ใครกันจะมีฝีมือเหนือกว่าและเรื่องราวของความแค้นส่วนตัว ที่สามารถไปหาคำตอบในหนังว่าเพราะอะไร
คริสโตเฟอร์ โนแลน เล่นสนุกกับหนังได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยความที่หนังเป็นหนังมายากล การเล่นกลสนุกต่างๆ ก็ถูกนำเสนอออกมาให้คนดูได้เห็นได้ทึ่งกัน แต่กลใดนั้น ก็ไม่เท่ากับกล ที่โนแลน เล่นกับคนดูด้วยการ ผูกปมของเรื่องตั้งแต่เริ่มต้น บวกกับการลำดับเรื่องราวสลับไปสลับมา ระหว่าง ปัจจุบัน กับอดีตที่ค่อยๆ ดำเนินไป ผ่านไดอารี่ของทั้งสองนักมายากล แทบจะทั้งเรื่อง ไม่มีส่วนใดเลยจะช่วยคลายปมของหนังจนมาในช่วง 30 นาทีสุดท้ายของหนังที่ทุกอย่างค่อยๆ เผยออกมาทีละเปลาะ แต่การเผยของโนแลนนั้น ก็ไม่ได้เผยออกมาอย่างทันทีทันใด แต่กลับเป็นการเล่นเกมกับคนดูว่า ที่เราจับได้นั้นว่าความจริงของปมแต่ละปมนั้นคืออะไรตกลง คนดูคิดถูกหรือคิดผิด แต่ท้ายที่สุดจนจบเรื่อง หนังก็ยังคงเป้นกลจนทำให้คนดูอึ้งไปกับคำตอบที่ตัวเองได้รับในตอนจบ สุดท้ายแล้วแม้หนังจะเปรียบเสมือนการแสดงมายากล แต่นักมายากลอน่างโนแลนก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นปล่อยให้คนดูงงในตอนจบ กลับเฉลยกลให้กับคนดูได้เข้าใจ แต่แม้กลอย่าง The Prestige จะถูกเปิดเผย หนังก็ยังดูสนุกอยู่ดี
The Prestige นั้นไม่ได้เป็นแค่หนังมายากลธรรมดาๆ แต่กลับเป็นหนังที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราว ความเป็นดราม่า ทริลเลอร์ และแฟนตาซีไว้อย่างครบถ้วน หนังถูกอัดแน่นไปด้วยความสงสัยตลอดทั้งเรื่อง คริสเตียน เบล (ผมเชื่อว่า เขาจะกลายเป็นดาราคู่บุญของ โนแลนต่อไป) ทำหน้าที่ได้ดีกับบทบาทของ อัลเฟรด บอร์เดน นักมายากล ที่ฉลาดหลักแหลม และเป็นคาแรกเตอร์ ที่ดูมีมิติลึกลับ น่าสงสัย และก็เช่นกัน สำหรับ ฮิวจ์ แจ็คแมน เขาก็สามารถขับดันตัวเองในบทของโรเบิร์ต เองเจียร์ นักมายากลผู้มีความลุ่มหลง กับการเอาชนะ และแก้แค้นเพื่อนของเขาในทุกวิถีทาง เพียงเพื่อให้ได้มาเพียงคำว่า ชัยชนะ ซึ่งการกระทำของตัวละครทั้งสองตัวนี้ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างแทบจะทั้งสิ้น ไม่ว่า จะเป็น ซาราห์ ภรรยาของเบอร์เดน โอลิเวียร์ ที่เคยเป็นคนรักของ เองเจียร์ มาก่อน แต่ก็ถูกแย่งชิงไปโดยเบอร์เเดน เพียงเพราะแผนของเขาที่ต้องการให้โอลิเวียร์ ไปล้วงความลับกับกลของเบอร์เดน ทุกคนล้วนกลายเป็นเหยื่อ ของการแย่งชิงชัยชนะของทั้งสองคน และอีกหนึ่งบทบาท ที่จะมองข้ามไปเสียไม่ได้ คือ คัตเตอร์ วิศกร นักประดิษฐ์ อุปกรณ์เล่นกลผู้อยู่เคียงข้าง เองเจียร์ ที่รับบทโดย ลุง ไมเคิล เคน ซึ่ง ลุงเคนก็ รับบทเป็นผู้สนับสนุนเองเจียร์ ได้อย่างน่าประทับใจ
บทสนทนาของหนังดูจะเป็นการเชือดเฉือน และสะท้อนให้เห็นถึงผลความมีฐิถิ และความหยิ่งในศักดิ์ศรีของคน ว่าท้ายที่ที่สุดแล้ว การได้มาซึ่งชัยชนะบางครั้งมันก็ไม่ได้สวยหรูนัก เพราะบางครั้งการได้มันมาก็ต้องแลกกับบางอย่าง คือการสูญเสียและการมีความสุขอย่างความทุรนทุราย (เป็นอย่างไรนั้นก็ไปหาคำตอบกันได้ในโรงหนังครับ)




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2549 14:39:26 น.   
Counter : 397 Pageviews.  

The Banquet : เพราะรัก หรือ ความลุ่มหลงในอำนาจ

The Banquet เรื่องราวการแย่งชิง ราชบังลังก์ ในวังหลวง และ โสกนาฏกรรมของความรักในวังหลวง ที่ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะอำนาจ หรือ ความรักแล้ว ก็ไม่มีใครจะครอบครองมันได้
หลังจากที่ ได้ผ่านสายตากันมากับหนังกำลังภายในที่สวยงามดุจงานศิลปะที่เป็นภาพวาดที่เคลื่นไหวได้บนจอหนังอย่าง Crouching Tiger Hidden Dragon-Hero-Hosue of flying Daggers จนมาถึง The Banquet จางซิยี่ เธอก็ยังคงความงดงามกับลีลาการต่อสู้ทุกท่วงท่าของเธอ แต่กับ The banquet เธอสามาถสื่ออารมณ์ การแสดงได้มากกว่าทุกเรื่อง เพราะ The Banquet ไม่ได้ เป็นหนังกำลังภายในที่สู้กันมันหยด อย่างเรื่องก่อนๆ กลับกลายเป็นเรื่องราวที่อัดแน่นไปด้วยความเป็นดราม่า โศกเศร้า ขึ้งโกรธ และสับสน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า จาง ซิยี่ เธอมิได้ เก่งเพียงด้านศิลปะการต่อสู้เพียงอย่างเดียว
เผิงเสี่ยวกัง ผู้กำกับ The Banquet นำเสนอหนังออกมาได้คล้ายคลึงกับละครเวทีโรงใหญ่โรงหนึ่งที่อลังการ สวยงามตระการตา ด้วยฉากการต่อสู้ที่อ่อนช้อย งดงาม และเข้มแข็ง ฉากวังหลวงที่ดูอลังการใหญ่โต และยิ่งใหญ่ ผนวกกับดนตรีประกอบที่สอดแทรกเข้ามาในแต่ละฉากนั้น ให้อารมณืคนดูเหมือนนั่งอยู่ในโรงละครเวทีโรงใหญ่ โรงหนึ่งที่ผสมผสานการแสดงเข้ากับดนตรีประกอบได้อย่างกลมกลืน อีกทั้งบทสนทนาที่เป็นจังหวะจะโคน คล้ายบทกวี ซึ่งทังหมดทั้งมวลนั้น เท่าที่ผมทราบ ผู้กำกับเผิงเสี่ยวกัง ได้นำเค้าโครงเรื่อง Hamlet ของ เชคสเปียร์ มาผูกเรื่องราวใหม่ ให้มีความเป็นตะวันออกและเปลี่ยนจุดศูนย์กลางของเรื่องจาก ตัวละครที่เจ้าชายอย่าง Hamlet มาเป็น ฮองเฮาว่าน ผู้อาภัพกับสถานการ์ที่เกิดขึ้นกับนางในหนัง
The Banquet เล่าเรื่องราวของการชิงบัลลังก์ของน้องชายฮ่องเต้ โดยการลอบปลงพระชนม์ และส่งคนไปฆ่าองค์ชายรัชทายาท อู๋หลวนด้วย แต่ด้วยความที่เป็นคนรักกันมาแต่เก่าก่อน ที่จะถูกบังคับให้แต่งงานกับฮ่องเต้ที่ตายไป ฮองเฮาว่านจึงได้ให้คนไปแจ้งข่าวกับองค์ชายก่อน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการไม่ให้คนที่เธอรักต้องมาตายจากไป และเป็นการปกป้องความเป็นรัชทายาท ขององค์ชายอู๋หลวนด้วย เพราะความดึงดัน และหลงในอำนาจของฮ่องเต้องค์ใหม่ เขาทำทุกอย่างตามความอำเภอใจ เขาบังคับฮองเฮาให้แต่งงานกับตน เพราะเขาลุ่มหลงในความสาวและสวยของนาง อีกทั้งกำจัดดทุกคนที่ขวางทางเขา รวมทั้งองค์ชายรัชทายาท แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะองค์ชายรัขทายาทนั้น ได้รับการช่วยเหลือจากฮองเฮาว่านอยู่นั่นเอง จากการอยู่รอดขององค์ชายอู๋หลวนนี่เอง ที่ทุกอย่างเริ่มการเป็นโศกนาฏกรรมในหนัง ทุกคนล้วนต้องสูญเสีย เพียงเพราะความรัก และความลุ่มหลงในอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮองเฮาว่าน ที่ในความเป็นจริงแล้วทุกอย่างนางทำไปเพราะรักอู๋หลวน หรือ เพียงเพราะนางอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดินกันแน่
แม้การดำเนินเรื่องของหนังอาจจะดูอืดอาดไปบ้าง แต่ด้วยเพราะความงดงาม ความตระการตา ของฉากการต่อสู้อันงดงาม ความอลังการของวังหลวงและเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวละครแต่ละตัวนั้นก็ช่วยดึงให้คนดูลืมไปกับความอืดอาดของหนังได้บ้าง
จางซิยี่ รับบทบาทการเป็นฮองเฮาว่านได้อย่างน่าทึ่ง เพราะ เธอคือผู้ดำเนินเรื่องราวให้เป็นไปได้อย่างน่าติดตาม และอีกหนึ่งบทบาทที่น่าจับตามองคือ ซินนู๋ บุตตรีของเสนาซิน ที่เป็นคู่หมั้นขององค์ชายอู๋หลวน เธอคือความบริสุทธิ์ของหนังจริงๆ ความรักของนางที่มีต่อองค์ฉายอู๋หลวนนั้น เปรียบเหมือนผ้าขาวที่ยังไม่มีการแต่งแต้มใดๆ เลย
บทสนทนาในหนังนั้นล้วนแต่มีคำคมข้อคิด ที่แสดงออกมาถึงความเป็นมนุษย์ได้ดีที่มีทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ในตัว อีกทั้งหนังยังมีการนำเสนอสัญลักษณ์อยู่หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นหน้ากาก นกฟินิกซ์ ยาพิษ ซึ่งบทพูดที่เกียวข้องกับสัญลักษณ์ในหนังเหล่านี้เปรียบได้เหมือนกับบบทกวีที่ถุกแปลความออกมาเป็นบทสนทนาของตัวละครในหนัง
บทสรุปของหนังนั้นต่างก็มีคำตอบให้เห็นว่า ไม่ว่าอำนาจจะยิ่งใหญ่เพียงใด แม้จะได้รับการยอมรับนับถือหรือไม่ สุดท้ายทุกอย่างก็ยังคงพ่ายแพ้ความตาย เพราะฉะนั้นสิ่งไหนก็ไม่จีรัง เพราะความตายมันก็พรากจากไปได้ เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2549 14:36:06 น.   
Counter : 750 Pageviews.  

Cars หนังเรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงบ้าน

Cars การ์ตูนปลุกสำนึกรักบ้านเกิด

เพิ่งจะมีโอกาสได้ไปดูหนังการ์ตูน เรื่อง Cars เมื่อวานนี้ ดีใจครับที่ไม่พลาดการ์ตูนเรื่องนี้ Walt Disney และ Pixars ก็ยังคงสร้างความประทับใจสำหรับหนังครอบครัวช่วงปิดเทอมแบบนี้(ถึงผมจะไปดูคนเดียวก็เถอะ แต่ผมก็คิดว่า ถ้าพ่อแม่พาลูกๆ มาดูกันคงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย)
Cars เป็นเรื่องราวของ หนุ่มนักซิ่งหน้าใหม่ของวงการ ที่เข้าร่วมแข่งขัน Piston Cup ด้วยความเก่งและดัง ทำให้ Lightning มีความหลงตัวเองอยู่มาก เป็นรถที่ไม่สนใจความรู้สึกรถรอบข้าง และคิดว่าตัวเองทำงานคันเดียวได้ ไม่รู้จักคำว่าทีม แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเป็นที่ชื่นชมของหมู่รถทั่วไป เพราะความเก่งกาจ และลีลาการขับเคี่ยวในสนามแข่งที่น่าตื่นเต้น และเพราะความหลงตัวเองของเขา ทำให้เขาเกือบพลาดตำแหน่งแชมป์ Piston Cup แต่ถึงอย่างนั้น การได้แชมป์ของเขาก็ยังไม่กินขาด เพราะยังมีแชมป์ ร่วมกับเขาอีกสองคัน คือ The King และ Hicksจึงทำให้ต้องมีการแข่งขันกันอีกครั้งในอีก 7 วันข้างหน้าที่ แคลิฟฟอร์เนีย และระหว่างการเดินทางไปแคลิฟฟอร์เนีย Lighting เกิดพลัดหลงกับรถบรรทุกที่พาเขาไป แคลิฟฟอร์เนีย และหลงเข้ามาใน Radiator Springs เมืองเล็ก ที่อยู่ลึกเข้้ามาของทางเชื่อมระหว่างรัฐ ด้วยความเลินเ่ล่อและรีบร้อนของ Lightning ทำให้เขาต้องติดอยู่ในเมืองเล็กๆ นั้น เพื่อทำคุณ ไถ่โทษ ด้วยการทำถนนใหม่ในเมือง (ที่ lightningทำซะพังยับเยิน)ให้เสร็จ และระหว่างที่เขาอยู่ในเมืองนี้ lighting ได้เรียนรู้ และ สัมผัสถึง ความรัก ความผูกพัน ความมีน้ำใจ ของรถในเมืองเล็กๆ โดยเฉพาะ ความผูกพัน แบบเพื่อนที่ Mator คอยต้องเฝ้่าดูเขาในฐานะนักโทษ แต่กลับทำตัวเป็นเหมือนเพื่อนสนิทของเขา Sally สาว Porche ที่มีกิจการโรงแรมในเมือง ที่ดูเหมือน Lightning จะแแอบปิ๊ง และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายอมอยู่ที่เมืองนี้ด้วย และ Hudson Hornet หมอประจำเมืองที่ดูจะเป็นรถขวางโลก แต่ กลับเป็นผู้ที่ทำให้ lighting ฉุกคิดอะไรได้มากมาย ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย และ Lightning เริ่มมีความสุขกับการอยู่เมืองนี้ แต่แล้ว เขาก็ถูก สื่อมวลชนตามพบ และทำให้เขาต้องกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันที่แคลิฟฟอร์เนียอย่างโดดเดี่ยว การแข่งขันครั้งนี้ จะทำให้ Lightning ได้แชมป์ อย่างตั้งใจหรือไม่ และ Radiator Springs ที่เขาจากมาจะเป็นอย่างไรก็ไปติดตามกันในหนังต่อเลยนะครับ ( ... แต่คงไปดูกันหมดแล้วมั้งเนี่ย หนังฉายมาเป็นอาทิตย์แล้ว)

Cars ดูๆ ไปแล้วคาแรคเตอร์ ก็เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไป เพียงแต่เปลี่ยนจากตัวคนมาเป็น รถเท่านั้นเอง ด้วยความที่เป็นหนังการ์ตูน แม้ประเด็นที่หนังต้องการสื่อ ออกมาจะเป็นเรื่องที่หนักอึ้งอยู่ก็ตาม แต่มันถูกมองข้ามไปเพราะความน่ารักของตัวการ์ตูนแต่ละตัวนี่เอง หนังสื่อออกมาให้เห็นความเป็นตัวตนที่เสียดสี นิสัยของคนออกมาได้อย่างชัดเจน ไม่ว่า จะเป็น Hicks รถแข่งสีเขียวที่เป็นเงาแชมป์ มาทุกฤดูกาล และจะแขวนล้อแล้ว เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้มาซึ่งถ้วยรางวัลและการยอมรับ แม้มันจะเป็นการทำให้ผู้เข้่าร่วมแข่งขันต้องเจ็บตัวก็ตาม หรือตัว Lighting เองที่หลงไหลไปกับชื่อเสียง และความสามารถของตัวเองจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง คิดว่าตัวเองทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร อีกทั้งยัง ไม่พอใจใสปอนเซอร์ ของตัวเองที่มีลูกค้าเป็นรถขึ้นสนิม สิ่งที่เขามุ่งหวังคือการเป็นแชมป์ และ การได้ เป็น presenter ของ Dinoco เท่านั้น แต่ Radio Spring ก็เปลี่ยนให้เขา เป็นรถที่มองโลกในอีกด้านหนึ่งได้ .... ส่วนตัว Hudson Hornet คารแรกเตอร์ หมอรถขวางโลกของ Radio Springs ก็เป็นตัวละครหลักอีกตัวที่การ์ตูนนำเสนออกมาได้ดี เพราะเขาคือรถที่ติดอยู่กับอดีต และมีอคติกับรถแข่ง เพราะเขามีปมอดีตที่ฝังใจกับวงการรถแข่ง ทำให้เขาดูเป็นรถที่ขวางโลก แต่เนื้อแท้แล้วเขาเป็นรถที่ดี และห่วงใยรถทุกคันในเมือง ช่วงกลางเรื่องของหนัง เป็นจุดเปลี่ยนทัศนคติ ของตัวละครหลัก อย่าง Lighting และ Hudson hornet อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจริงๆ แล้วโดยพื้นฐานของตัวละครหลักสองตัวนี้มีความเหมือนกัน เพียงแต่ต่างเวลา และ สถานะเท่านั้น Hudson Hornet เมื่อเห็น Lightning แล้วเหมือนเขาเห็นเงาอดีตของตัวเอง รวมทั้งนิสัยและอคติที่เขามอง Lightning นั้น ทุกอย่างก็ล้วนมีอยู่ในตัวเขาด้วย
ในช่วงท้ายของหนังก็ชี้ให้เห็นถึงผลพวงของการเป็นรถดี มีน้ำใจนักกีฬา ซึ่งบางครั้ง การเป็นที่ยอมรับนั้น ไม่เป็นต้องเป็นแชมป์ เสมอไป การเป็นคนดีมีน้ำใจต่างหากที่จะทำให้คนยอมรับ และหนังสื่อให้เห็นถึงการสำนึกในบุญคุณของผู้มีพระคุณ ผ่านการเลือกทางเดินของ Lightning ด้วยทั้งๆ ที่โอกาสทองมาถึงมือ แล้ว แต่เขาก็ยังเลือกอีกทางที่เขาคิดว่าถูกต้องและดีสำหรับเขาและทุกคันแล้ว

Cars เป็นการ์ตูนปลุกสำนึกรักบ้านเกิด ที่ผมคิดอย่างนั้น ก็เพราะ Radiator Springs ครับ เมืองเล็กๆที่ถูกลืม เพราะความเจริญที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว จะมีอยู่ซีนหนึ่งที่เล่าถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเล็กๆ ที่เคยเป็นทางผ่านของการเดินทางระหว่างรัฐ นั่นก็คือ Radiator Springsซึ่งตัวหนังทำให้เห็นถึงความสุขของทั้งผู้ที่อยู่ในเมือง และผู้ที่เดินทางผ่านมา แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อ นโยบายสร้างถนน Highway ที่เป็นเส้นทางลัด การเดินข้ามรัฐ จึงทำให้ Radiator Springs ก็เริ่มถูกลืมไปทีละนิดๆ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนใน Radiator Springs ก็ยังไม่เคยคิดจะย้ายหนีไปไหน ยังอยู่รอรถที่เดินทางผ่านมาด้วยความหวัง แม้จะไม่มีรถผ่านเข้ามานัก แต่พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในเมืองของพวกเขา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อไปอย่างมีความสุข ดูแล้วทำให้ผมรู้สึกคิดถึงบ้านที่ผมจากมา นึกว่าตัวในเองในใจว่า ทำไมเราถึงลืมถิ่นฐานบ้านเกิดตัวเองได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่ ตั้งแต่เด็กจนโตเราก็มีความสุขอยู่บ้านที่เป็นชนบท แม้ประเด็นหลักของการ์ตูนเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องสำนึกรักบ้านเกิด แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เรื่องนี้มันสะกิดใจให้ผมคิดถึงบ้านได้ยังไง....
ตาดูดาว...เท้าแช่ทะเล




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2549   
Last Update : 12 ตุลาคม 2549 20:17:51 น.   
Counter : 664 Pageviews.  

1  2  

ตาดูดาว...เท้าแช่ทะเล
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




~Mr ThanWaKan~
[Add ตาดูดาว...เท้าแช่ทะเล's blog to your web]