นิสัยนินทา มันกำลังจะกลับมา สวัสดีค่ะ ไม่ได้เขียนบล็อกนานละ วันนี้ประเดิมด้วยนิสัย(ไม่ดี) เดิม ๆ ที่มันกำลังจะกลับมา ว่าด้วยอันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนนำมีดมากรีดหิน (ยังมิใคร่เข้าใจความหมายนัก แต่คิดว่าเกี่ยวล่ะนะ) เรื่องมีอยู่ว่า จู่ ๆ เราก็รู้สึกเหมือนนิสัยนี้มันกำลังจะกลับมา อาการมันกำลังจะกำเริบ ก่อนหน้านั้นสมัยเรียนม.ปลาย (อันนานปีผ่านไป) เราได้รับบทเรียนครั้งใหญ่เกี่ยวกับการนินทา ทำให้เกือบเสียเพื่อนรัก ตั้งแต่นั้นมาเราเลยเข็ดหลาบมาก ไม่เคยนินทาใครเลย เป็นอันว่าไม่เคยสนใจเรื่องของคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่เราแคร์เช่นเพื่อนในกลุ่ม ไม่ได้อัพเดทชีวิตใครก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เฉพาะคนที่แคร์จริง ๆ เท่านั้นถึงจะใส่ใจ แต่หากเขาไม่อยากให้เรารับรู้ก็ต้องให้เกียรติเขา เขาอยากให้รู้เขาก็บอกเองแหละ เราก็ใช้ชีวิตของเราไป กอรปกับตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราก็อยู่กับกลุ่มผู้ชายซะส่วนใหญ่ รูมเมท 2 คนก็ไม่เป็นคนนินทา นิสัยค่อนข้างแมนกันทั้ง 3 คน ตอนทำงานที่แรกก็คงนิสัยเดิมไว้เพราะเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิงที่จบสายงานเดียวกันก็ไม่ใช่เป็นคนนินทาอะไร...คือสาววิศวะน่ะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจว่าสาขาอื่นนะ แต่ที่เราเจอ สาววิศวะส่วนใหญ่ไม่ใคร่จะสนใจเรื่องชาวบ้านมากนักหรอกค่ะ ก็ดีค่ะ พอเปลี่ยนงานใหม่ มาทำออฟฟิศ ซึ่งก็มีผู้หญิงครึ่งนึง ผู้ชายครึ่งนึง ก็ดีค่ะ แต่เริ่มรู้สึกเห็นถึงความแตกต่าง... ผู้หญิงในออฟฟิศก็จะมีบ้างมานินทากันซึ่งก็จะมีเป้าหมายหลักอยู่ที่พี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เจ๊แก...ยังไงดีค่ะ ค่อนข้างเป็นแบบฉบับผู้หญิง oldmate น่ะค่ะ ประมาณว่ามีฉายาที่ตั้งมาว่า "ฟ้องเจ้านาย ขายลูกน้อง ทำงานเอาหน้า" อะไรประมาณนี้ (เอ๊ะ! นี่เหมือนเรานินทาเลยนะ ไม่ได้ตั้งใจทำให้เสียหายนะ เป็นวิทยาทาน) ส่วนตัวก็เริ่มเห็นพ้องกับที่ได้ยินมา แต่แรก ๆ เราก็ไม่ได้แสดงความเห็นหรืออะไรมากนัก ตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ ก็มีปัญหากับเจ๊แกเหมือนกัน และเราก็จะไม่พูดตรง ๆ กับเขา (เพราะตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้อะไร) มีปัญหาเรื่องงานก็จะไปคุยกับหัวหน้า แล้วก็ถามหัวหน้าว่าเราต้องฟังคำสั่งใคร หัวหน้ายืนยันบอกว่า เราเป็นลูกน้องเขาก็ฟังเขา ก็...โอเคค่ะ อะไรที่เห็นต่างกับหัวหน้าเราก็ไม่ทำ เจ๊ แกก็ประชดมาบ้างนะคะ แต่ I don't care. you're not my boss ค่ะ อารมณ์ประมาณนี้ ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ปีที่ 3 ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเราเองเริ่มจะร่วมกลุ่มสนทนาวงนินทากับเขาบ้างแล้วมีการพูด แสดงความเห็น จากประสบการณ์ที่ว่ามา..... และตอนนี้ก็คิดแล้วว่า นิสัยนินทา มันกำลังจะกลับมาแล้ววววววว ไม่รู้ว่านิยามของคำว่านินทา กับการบอกเล่ามันคืออะไร แต่สำหรับเราคิดว่าหากผ่านตัวกรองทั้ง 3 นี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการนินทาค่ะ ซึ่งเราก็จะต้องกลับมาใช้ตัวกรองเหล่านี้เหมือนกัน เรียกว่า ตัวกรองของ โสเครติส มีอยุ่ว่า โซเครติสบอกเพื่อนว่า เพื่อนเอ๋ย รอเดี๋ยวก่อน ก่อนที่เพื่อนจะเล่าเรื่องของเพื่อนนั้น เพื่อนได้นำเรื่องของเพื่อนไปกรองกับเครื่องกรองสามชั้นมาแล้วหรือยัง เพื่อนของโซเครติสงงมาก ถามกลับว่า เครื่องกรองสามชั้นอะไรหรือ เป็นเครื่องกรองที่ทำให้เรารู้ว่า เรื่องของเราควรส่งต่อถึงผู้อื่นหรือไม่ โซเครติสตอบ ข้าก็ยังงงๆ อยู่ดีล่ะ ไหนลองบอกส่วนประกอบของแต่ละชั้นกรองมาซิ โซเครติสจึงบอกว่า เครื่องกรองชั้นแรกก็คือ ความจริง ขอถามหน่อย เรื่องที่เพื่อนจะพูดหรือเล่าออกมาเป็นความจริงหรือไม่ เพื่อนของโซเครติสบอกว่า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะฟังมาจากคนอื่นอีกที แต่เขาก็บอกมาว่าเป็นจริงนี่ ถ้าเพื่อนไม่ได้ประสบเรื่องนั้นด้วยตนเอง เพื่อนอย่าเพิ่งแน่ใจเลยว่าเป็นเรื่องจริง ดังนั้นเพื่อนจะนำเรื่องที่เพื่อนก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่ามาเล่าให้ข้าฟังอย่างนั้นหรือ โซเครติสกล่าวแก่เพื่อนของเขา แล้วเครื่องกรองชั้นที่สองล่ะ เพื่อนของโซเครติสถามต่อ เครื่องกรองชั้นที่สองคือ ความดี ขอถามหน่อยว่า เรื่องที่เพื่อนจะเล่านั้นเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ โซเครติสตอบและย้อนถามกลับ ไม่ดีเลย เพราะที่ข้ากำลังจะเล่าให้ท่านฟังเป็นเรื่องเกี่ยวกับความไม่ดีของคนอื่น โซเครติสพูดว่า ถ้าอย่างนั้นเพื่อนจะเอาทั้งเรื่องไม่จริงและขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องไม่ดีด้วยมาเล่าให้ข้าฟังอย่างนั้นหรือ โซเครติสเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า เอาล่ะเพื่อน แม้ว่าเรื่องของเพื่อนจะเป็นเรื่องไม่จริงและไม่ใช่เรื่องดี แต่เรามาดูกันก่อนก็ได้ว่า เรื่องของเพื่อนจะผ่านเครื่องกรองชั้นที่สามได้หรือไม่ มันคืออะไรล่ะ เพื่อนของโซเครติสถาม เครื่องกรองชั้นที่สามคือ ประโยชน์ เรื่องที่เพื่อนจะเล่าให้ข้าฟัง เมื่อฟังแล้วทำให้เกิดประโยชน์อันใดหรือไม่เล่า เพื่อนของโซเครติสตอบว่า เห็นจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยท่าน "ถ้าอย่างนั้น โซเครติสพูด ในเมื่อเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องไม่ดี และไม่มีประโยชน์ เพื่อนก็อย่าเล่าให้ข้าฟังเลย เก็บไว้ที่ตัวเพื่อนเองดีกว่า เพื่อนของโซเครติสอึ้งไป และใช้ความคิดเพื่อพิเคราะห์คำพูดของโซเครติสอย่างหนักหน่วง ก่อนจะลากลับโดยไม่ได้เล่าเรื่องนั้นให้เขาฟังอีกเลย โดยสรุปคือ
หากผ่านตัวกรองทั้งสามนี้มาได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรบอกต่อ แต่ต้องแยกประเด็นนะคะ อันไหนคือข้อเท็จจริง หรือได้รับฟังมา อันไหนคือความเห็นที่เราใส่เข้าไป เอาล่ะ เราก็จะลองใช้ตัวกรองเหล่านี้เหมือนกันค่ะ |
runnavee
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog | ||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |