ทุกสิ่งรอบตัว เมื่อมองในมุมใหม่ ล้วนแล้วแต่ "บันเทิง"
space
space
space
space

การเดินทางเพื่อตามหาจิตวิญญาณที่หายไป ในวัย(ใกล้ๆ) กลางคน :วางแผนก่อนเดินทางจนถึงวันแรกของ trip

ทริปนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า วีซ่าจะหมดอายุ เลยจัดกระเป๋าและตั้งชื่อทริปแบบง่ายๆ คิดไรไม่ค่อยออกว่า "การเดินทางเพื่อตามหาจิตวิญญาณที่หายไป ในวัย(ใกล้ๆ) กลางคน" หุหุ


(ขอออกตัวก่อนนะครับว่าเพิ่งลองเขียน blog ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลย ถ้าผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยคราฟฟ)


ครั้งนี้ตั้งใจว่าจะลองเดินทางแบบเที่ยวคนเดียว เพราะโดยส่วนตัวก็อยากลองทดสอบการเอาตัวรอดในต่างแดน ด้วยภาษาอังกฤษแบบโรงเรียนวัดของตัวเองดูด้วย อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเราลาค่อนข้างนาน ชาวบ้านเค้าคงลาไปกะเราได้ยาก


ก่อนเดินทาง วางแผนอยู่ประมาณ 3 เดือน เริ่มต้นด้วยการเช็คตารางงานก่อน ว่าช่วงไหนที่น่าจะว่างและลาไปได้นานๆ หน่อย (ทริปนี้ใช้เวลา 20 วัน รวมเดินทาง) หลังจากนั้นก็เริ่มจองตั๋วเครื่องบิน โดยครั้งนี้เลือกจองผ่านเวบ www.skyscanner.com  ซึ่งจะ ranking ตามราคาและสายการบินมาให้ ได้ราคาถูกใช้ได้ โดยเลือกบินกับ EVA Air (จริงๆ ถูกกว่าน้้นจะเป็น China Air แต่แอบกลัวคนจีน ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้แย่นะ เพราะระหว่างทริปนี้ เราไปร่วมทัวร์จีนมาด้วย แต่กลับไม่เลวร้ายเท่าคนจีนที่มาเที่ยวไทยแฮะ)


ที่น่าเสียดายคือสะสมไมล์ไม่ได้เพราะได้เป็นราคา Promotion อยู่แล้ว (ทราบภายหลังจากที่โทรไปถามพนักงานที่ call center ซึ่งเค้าแนะนำมาว่าต่อไปให้ดู booking class ถ้าเป็น V จะไม่สะสมไมล์ให้ >> ความรู้ใหม่)


ภายหลังจากจองตั๋วเครื่องบินแล้ว เราก็เริ่มมาเขียนแผนการเดินทางคร่าวๆ ก่อน โดยไปศึกษาจาก blog อื่นๆ ที่เค้าไปเที่ยวกันมา แล้วมาคัดเลือกเฉพาะที่ถูกชะตาเรา  โดยตอนแรกวางแผนไว้ดังนี้ครับ


1. บินลงที่ Los Angeles แล้วเที่ยวในเมืองสัก 2-3 วัน

2. จองทัวร์จีนไปเที่ยว Grand Canyon และ Las Vegas

3. ไป Portland ที่ Oregon เพราะเราชอบปั่นจักรยาน และเกิดหลงใหลเมืองนี้หลังจากได้อ่านใน A Day Human Ride 

4. บินไป Texas และเยี่ยมพี่สาวกับครอบครัว พร้อมร่วมงานเทศกาล Thanks Giving Day


หลังจากคุยกับเพื่อนรักที่อยู่ New Jersey ก็ปรับแผนใหม่ โดยยกเลิก Portland ออก  แล้วเลือกที่จะเที่ยวเมืองแห่งสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส ที่ Quebec City ประเทศ Canada แทน


พอสรุปได้ ก็ไม่รอช้ารีบไปขอวีซ่าเข้าประเทศ Canada เพิ่มเติม โดยตอนแรกอ่านจากหน้าเวบแล้วตกใจว่าทำไมมันยุ่งยากจังฟระ!! แต่รีบดึงสติ แล้วค่อยกรอกตามเอกสารที่เค้าแจ้งมา ซึ่งเราเลือกที่จะไม่ใช้บริการบริษัทที่เค้ารับดำเนินการขอวีซ่าให้  เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด แค่กรอกเอกสารตามที่เค้ากำหนด แล้วเข้าไปยื่นเอกสาร (ไม่ต้องนัดสัมภาษณ์ เหมือนทำวีซ่าเข้า USA ให้ยุ่งยาก) หลังจากนั้น แค่ 3-4 วันทำการผลก็ออกแล้วครับ ไวจริงๆ


ตอนยื่นเอกสาร พลาดไปหน่อยตรงที่เราตรงดิ่งไปที่สถานทูตแคนาดาที่ตึกอับดุล ราฮิม แต่พอไปถึงกลับได้รับแจ้งว่าเค้าเปลี่ยนให้ไปยื่นกับศูนย์รับยื่นคำร้องขอวีซ่าประเทศแคนาดาแทนมาหลายปีแล้ว (ในหน้าเวบสถานทูตแคนาดา ดันไม่บอกแฮะ แถม review การขอวีซ่าแคนาดาที่เราอ่านเจอก็ดันเก่าไป) เลยต้องรีบขับรถไปสุขุมวิท 13 ทันที โชคดีลาไว้ทั้งวัน


หลังจากได้ผลวีซ่าเรียบร้อย ก็เริ่มทำแผนการเดินทาง โดยวางแผนคร่าวๆ ว่าจะเที่ยวแต่ละที่กี่วัน พอได้เรียบร้อยก็รีบจองตั๋วเครื่องบินในประเทศ และตัวเครื่องบินไปแคนาดาต่อ และสุดท้ายก็จองโรงแรมที่พัก ซึ่งครั้งนี้ลองใช้บริการของ www.expedia.co.th  ดูครับ ได้ที่พักใน LA ใกล้ๆ Thai Town ส่วนที่ New Jersey เราไปพักที่บ้านเพื่อน ส่วนเพื่อนรับหน้าที่จองโรงแรมใน Quebec ให้ ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยว่า มันเลิศ หรู อลังการณ์ ไฮโซ มากมาย (ขออภัยถ้าใช้คำพูดฟุ่มเฟือย อิอิ) และก็พักกับพี่สาวใน Texas (ทริปนี้ประหยัดค่าที่พักไปพอสมควร หุๆๆ)


พอจองทุกอย่างพร้อม เราก็เริ่มลงรายละเอียดแผนการเดินทาง ว่าแต่ละวันจะไปไหนบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ศึกษาโดยอ่านจาก review ในเวบมาพอสมควร


ใกล้วันเดินทาง ก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือ แมร่งโคตรยุ่งเลยครับ งานพร้อมใจกันประดังเข้ามา ลูกค้าติดต่อมาเยอะมาก จิกเรายังกะเราเป็นข้าวเปลือก ไหนจะต้องวางแผน transfer งานด้วย อาทิตย์สุดท้ายก่อนเริ่มเดินทางเป็นช่วงที่ยุ่งที่สุดเลย แต่ครั้งนี้ดีตรงที่เราค่อยๆ วางแผนจัดการเรื่องการเดินทางมาก่อนหน้านี้ค่อนข้างเยอะ เลยยุ่งแต่เรื่องเคลียร์งาน ถ้าเป็นทริปเมื่อก่อน จะสติแตกไปเลย เพราะว่ามันไม่พร้อมสักอย่าง


และแล้วก็มาถึงวันเดินทาง ไม่รู้ทำไมเลือกวันได้ดีมาก เป็นวันศุกร์ที่ 13 พ.ย. อั๊ยยะ !!!

ออกเดินทางแล้วน้าาาา

แวะ transit ที่ไทเป ว่าจะไม่หลับไม่นอน เพราะกลัวเที่ยวต่อไปจะตาค้าง แต่ดั๊น อดไม่ได้

ระหว่างรอเครื่อง ไม่มีไรทำ เลยนั่งลองกล้องจากมือถือ (ครั้งนี้เลือกที่จะไม่พกกล้องเพราะกลัวจะรุ่มร่าม ประกอบกับเราเป็นคนขี้ลืมและซุ่มซ่ามระดับติดอันดับโลก เลยขอพกไรน้อยๆ ดีกว่า) ก่อนมาเลยถอยมือถือมาแทน Note 2 เครื่องเก่าที่จริงๆ ได้ฤกษ์เปลี่ยนนานแล้ว โดยเราได้ LG G4 ที่โดดเด่นด้านกล้องถ่ายรูปมาใช้ร่วมตลอดทริป ซึ่งถือว่าตอบโจทย์เรามากเลย

ขาไปโชคดี ได้ที่นั่งแถวละคน นอนเหยียดสบายเลย แต่ดันตาค้าง นอนมะค่อยหลับ เลยดู Hormone Season 1 ที่ load ใส่มือถือมาดูไปพลางๆ (ทันสมัยมั้ยล่าาา เค้าฉาย season 3 แต่เราเพิ่งมาดู season 1)

ถึงล้าววว สนามบิน LAX มีเรื่องตื่นเต้นเล็กน้อยตอนผ่าน custom เพราะหญิงชาวเอเซียข้างๆ เรา ถูกตำรวจ 2 นาย เข้ามารวบตัวใส่กุญแจมือ เดาว่าระบบดึงประวัติขึ้นมาตอน declare passport แน่ๆ


วันที่ 1 : สำรวจ Hollywood Street และ Chinese Theater

วันนี้ตั้งใจว่าจะเดินเที่ยวถนนฮอลลีวูด ไปจนถึง Chinese Theatre และถ้ามีเวลาจะแวะที่อื่นๆ ละแวกนั้น สถานที่เคยจัดประกาศรางวัลออสการ์ แต่ก็เกือบจะไม่ได้ไป เพราะรถใน LA ติดมวากก โชคดีพี่คนขับแท็กซี่ใจดี แนะนำโน่นนี่สารพัด น่าจะเห็นเราเป็นคนเอเชียเหมือนกัน (พี่ท่านเป็นคนอิหร่าน)

มาถึงรร.ใกล้ๆ Thai town ก็ปาเข้าไปเกือบๆ 6 โมงเย็น (ถึงสนามบินบ่าย 3) เลยตัดสินใจรีบอาบน้ำล้างง่วง แล้วนั่ง Metro red line (subway) ไปลงฮอลลีวูด (front ที่รร. ให้ tap card มาด้วย ประหยัดค่าบัตรไป 1 เหรียญ หุหุ) แต่ต้องไปเสียค่า sim card อีก 80$ แทน เพื่อใช้ติดต่อกับเพื่อนและพี่สาว และใช้ต่อ net เผื่อหลงทาง (ถึงตรงนี้ ขอบอกเลยว่า Google Map เป็นที่พึ่งที่ดีมากกก)

คนที่ LA แลดูนานาชาติมาก คนผิวดำค่อนข้างเยอะ แล้วก็พวกสแปนิช  บางคนเดินทางด้วยสเก็ตบอร์ดแล้วไปต่อ subway จักรยานก็มีให้เห็นบ้างนะ แต่เลนยังไม่เยอะ

รถใต้ดินที่นี่สภาพยังดีกว่าใน New York นะ แต่ก็มี Homeless เยอะพอสมควร เวลาเดินทางด้วยวิธีนี้ เราจะพยายามไม่สบตาใคร ทำตัวเหมือนตรูอยู่ที่นี่มานานแล้วนะ

พี่ท่านนี้อารมณ์ดี๊ดี ฟังวอล์คแมนไป ฮิพฮอพกันไป ไม่สนใจโลกภายนอก ตอนแรกรู้สึกแปลกใจ แต่พอขึ้นไปที่ Hollywood Street ถึงได้รู้ว่า..มันก็ไม่แปลกนะ คนผิวสีที่นี่เค้าก็เป็นแบบนี้กันตลอดทาง

มาถึง Hollywood Street พยายามหาชื่อศิลปินที่เราชื่นชอบ แต่กลับเจอแต่ดารารุ่นเก๋า แถมเจอคุณปู่ Walt Disney ด้วยนะเน่

มี Street Show ให้ดูตลอดทาง

แถมด้วย Cosplay หนัง Hollywood ที่เราต้องแอบถ่ายไกลๆ

ถึงแล้วครับไชนีส เทอเตี้ย เอ๊ย เธียร์เตอร์ สถานที่เคยใช้จัดงานประกาศรางวัลออสการ์ (เมื่อก่อนเราเป็นแฟนพันธุ์แท้ Hollywood และ Oscar มากมาย... ปัจจุบัน ความจำเท่ากับ...ศูนย์ -,,- )

ได้เห็นลายประทับมือ และทรีน ของคุณปู่ Jack Nicholson ดาราที่เราเคยชื่นชอบมากจากหนังเรื่อง One Flew Over the Cockoo's Nest (ล่าสุด 2-3 ปีที่ผ่านมา เห็นมีแปลหนังสือของหนังเรื่องนี้เป็นภาษาไทยแล้วนะ)

กับ Kodak Theater สถานที่จัดงานแจกรางวัลออสการ์ในปัจจุบัน

กลับมาโรงแรมที่พัก โดยเราเลือกพักที่ The Dixie Hollywood ในย่าย Thai Town เห็นฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารและ Super Market ไทย แล้วอุ่นใจ (เราไม่ค่อยชอบอาหารตะวันตกน่ะ)

เดี๋ยวมาโพสต่อนะคราฟฟ




Create Date : 07 ธันวาคม 2558
Last Update : 7 ธันวาคม 2558 11:38:34 น. 0 comments
Counter : 622 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

สมาชิกหมายเลข 2848108
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เมื่อเรามาถึงจุดที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราต้องการอะไรในชีวิต 1 ชีวิต

คำตอบที่ได้คือ เราไม่ได้ต้องการอะไรมากหรอก แค่ใช้ชีวิตที่ได้รับมานี้ให้คุ้มค่า ซึ่งนอกเหนือจากภาระหน้าที่ประจำที่เราต้องมีแล้วนั้น เวลาที่เหลือเราสามารถนำมาจัดสรรให้กับสิ่งต่างๆ รอบตัว เพื่อสร้างความ "บันเทิง" ให้แก่ตนเอง และคนรอบข้าง ซึ่งก่อให้เกิดเป็นประสบการณ์ต่างๆ เท่าที่ 1 ชีวิต จะทำได้

space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 2848108's blog to your web]
space
space
space
space
space