พระเจ้าตายแล้ว !!!
มาถึงเริ่มเรื่องแรกที่ไม่ค่อยจะน่าอ่านสักเท่าไหร่เลย แต่ยังไงก็จะเขียนแชร์ ๆ กันครับ :)
"พระเจ้าตายแล้ว" เป็นวลีสุดคมวลีหนึ่ง นิทเช่ (Friedrich Wilhelm Nietzsche, 1844-1900) นักปรัชญาชาวเยอรมัน(สมัยนิทเช่เป็นประเทศปรัสเซีย)ชื่อดังที่ทิ้งงานเขียนวรรณกรรมไว้หลายเล่ม หนึ่งในนั้นเป็นหนังสือชื่อดังว่า 'Thus Spoke Zarathustra' ซึ่งเขาได้ใช้ซาราธุสทราเป็นตัวดำเนินเรื่องและเป็นกระบอกเสียงของเขาในการประกาศจุดยืนความเชื่อและอุดมการณ์
อิทธิพลทางปรัชญาของนิทเช่นั้นส่วนใหญ่ได้รับมาจากนักคิดนามว่าโชเป็นเฮาเออร์(Schopenhauer) ซึ่งเป็นฐานความคิดที่ดูคล้ายแนวปรัชญาแบบวัตถุนิยมตะวันออก ซึ่งลึกลงไปในความคิดของนิทเช่เองก็ตั้งอยู่ฐานของปรัชญาแบบวัตถุนิยมและเขาได้นำมาพัฒนาต่อจนเป็นปรัชญาในแบบของเขาเอง ดังนั้นโลกในทัศนะของนิทเช่คือโลกใบนี้ โลกที่มีเพียงโลกเดียวชีวิตเดียว โดยมีสิ่งหนึ่งที่คอยผลักดันให้มนุษย์มีชีวิตได้คือ The Will to Power หรือ เจตจำนงแห่งอำนาจ 'เจตจำนง' ที่ว่าถ้าหากแปลเป็นภาษาง่าย ๆ ก็คือ กิเลสตัณหา, ความดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ 
เกริ่นมาซะยาว จากแนวคิดปรัชญาวัตถุนิยมทางศีลธรรมของนิทเช่ ได้อธิบายการดำรงอยู่ของมนุษย์ไว้สองประเภทนั่นคือ Mass Man และ The Over Man Mass Man นั้นหมายถึงฝูงชน, กลุ่มคน แต่ The Over Man ถูกแปลไว้หลายสำนวนมาก เช่น เลิศมนุษย์, สุดยอดมนุษย์ อะไรทำนองนี้ แล้วทั้งสองต่างกันอย่างไร ?? ตามความคิดของนิทเช่ Mass Man คือฝูงมนุษย์ที่ทุกคนเหมือน ๆ กันไปหมด ดำเนินตามฝีท้าวของที่เคยเดิน ไม่มีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ให้ต่างไปจากชีวิตเดิม ๆ ที่มีอยู่ ถ้าจะให้พูดคนพวกนี้ก็แลดูจะคล้ายกับเหล่าพนักงานออฟฟิศที่ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปให้ทันเวลาทำงาน พักเที่ยงกินข้าว ตอนเย็นเลิกงานก็ไปเดินห้าง โหนรถเมล์ เบียดเสียดในรถไฟฟ้ากลับบ้านแล้วนอน ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้จุดหมาย ส่วน The Over Man ถ้าจะให้เปรียบก็คงยากเพราะไม่ได้หมายความว่า Mass Man เป็นพนักงานออฟฟิศแล้ว The Over Man จะต้องเป็นเจ้าของบริษัทหรือหัวหน้า แต่ในความหมายของ The Over Man คือผู้ที่มีศีลธรรมแบบนาย(Master Morality) ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์​ ดำรงอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ตัวเองได้สร้างขึ้น ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางความคิดของผู้อื่น
"พระเจ้าตายแล้ว" ไม่ได้เป็นคำพูดของของ The Over Man หรอกครับ แต่เป็นคำพูดที่นิทเช่ต้องการเสียดสีเหล่า Mass Man ซึ่งเป็นตัวแทนของคนในยุคปัจจุบันนี้แหละครับ ทำไมพระเจ้าตายแล้ว??? นั่นก็เพราะวิถีการนำเนินชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ทำให้การนับถือศาสนาแบบคนโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง การนับถือศาสนาของผู้คนในปัจจุบันเป็นเพียงแค่เปลือกนอก พวกเขาทำไปตามสภาพแวดล้อมของสังคม ไม่ได้ยึดสารัตถะในคำสอนของศาสนาเป็นสำคัญ สิ่งเดียวที่มีคือความเชื่อทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ที่รอเรากลับไปหามันในยามแก่ ศาสนาของ Mass Man จึงเป็นเพียงกรอบในการดำเนินชีวิตที่คอยตอกย้ำให้ Mass Man ยังคงเป็น Mass Man อยู่ดังเดิม(Slave Morality) ดังนั้นศาสนาแบบนี้คงไม่ต่างอะไรไปจากคำพูดของ นิทเช่หรือซาราธุสทราว่า "พระเจ้าตายแล้ว"


-ครั้นเมื่ออยู่ตามลำพังซาราธุสตราได้กล่าวแก่ดวงใจตนดังนี้-"เป็นไปได้หรือที่นักบุญชราผู้อยู่ในป่าของตน-หารู้ไม่ว่าพระเจ้าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว".

อ้างอิงจากหนังสือ
1. Thus Spoke Zarathustra, Friedrich Nietzsche, ศัลก์ ศาลยาชีวินแปล
2. ปรัชญาอัตถิภาวะนิยม, ดร. ม.ล. นิพาดา เทวกุล




Create Date : 15 พฤษภาคม 2556
Last Update : 15 พฤษภาคม 2556 23:51:55 น.
Counter : 5509 Pageviews.

1 comments
  
มนุษย์กิเลสหนาฝักใฝ่เรื่องวัตถุมากกว่าจิตใจ
สมัยนี้ ขนาดจิตใจยังถูกชำแหละให้กลายเป็นวัตถุ
แล้วจะหาพระเจ้าเจอได้อย่างไร
โดย: knichaay วันที่: 17 พฤษภาคม 2556 เวลา:17:28:12 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

L'Oscar
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Hey Hey !
New Comments