Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
13 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 

FW: ในหลวงของเรา

Subject: ในหลวงของเรา



".... ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน
แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใดที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
ให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ๆ ทรงครองแผ่นดิน
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรง "ครองใจคน.."

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช


เรื่อง "เดิมพันของเรา"

ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "เคยทรงเหนื่อย
ทรงท้อบ้างหรือไม่

ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า
ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้
เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง
คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ฉบัย 5 ธ.ค.32


เรื่อง "ราษฎรยังอยู่ได้"

ปีพุทธศักราช 2513
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎรในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง
อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น

ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น
ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน
แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ

ราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า
เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้
แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ

ข้อมูลจากคำอภิปรายเรื่อง "พระบิดาประชาชน"

และมีอีกหนึ่งพระกระแสพระราชดำรัสที่เป็นคำตอบว่าเหตุใดจึงไม่อาจหยุดทรงงานได้

...คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้
ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก
ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง
ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะทำได้


"ดอกไม้จากหัวใจ"

ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บายวันที่ 13 พ.ย.
2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์
ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ

ภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ

วันนั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ
โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก
จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น

ดังเช่นครอบครัวจันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย
102
ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร
โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก
และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด

เปลงแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย
แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน
เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า
แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง
พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด
จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู
พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอยางอ่อนโยน

เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย
ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม

เช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น
หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า "หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว
ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม
พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแผ่นมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก

พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้
อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปีเต็ม


แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9
สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี

ข้อมูลจาก "แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์" ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ
วารสารไทย


"เขาเดินมาเป็นวัน ๆ"

"...มีอยู่ครั้งนึง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี
ได้ตามเสด็จ...ตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษ เสด็จฯ
เยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ ๆ ก็เสด็จฯ ประมาณ 9 โมงเช้า
เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรมาเรื่อย ๆ

ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า แหม นานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม
ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึกแดดเปรี้ยง
หนังเท้านี้รู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง
ก็โดนกริ้ว

นี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวัน ๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว
แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว..

พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันที่ 11 ส.ค.
2534


"ต่อไปจะมีน้ำ"

บทความ "น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา"
เขียนโดย
มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.2528
ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ถึงเรื่องอัศจรรย์ของ "ในหลวง" กับ
"น้ำ" ที่เกิดขึ้นในคำวันหนึ่งของเดือน ก.พ.2528


ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก
หญิงชราคนนึ่งที่มาเข้าเฝ้าฯ
รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม ขอพระราชทานน้ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า

ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้


แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่งซึ่งจอดห่างออกไปราว
5 เมตร ปรากฎว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ ๆ
ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรก
ในรอบปี ทำให้ผู้ตามเสด็จและราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตาม ๆ กัน


"เก็บร่ม"

การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง
ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด
แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน

ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ "พระบารมีปกเกล้าฯ
ที่อำเภอท่ายาง" ตีพิมพ์ในหนังสือ "72 พรรษาราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์"
ว่า
ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง
ปรากฎว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก
ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด
แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์
นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตามเสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย
ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎรที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่างก็เปียกฝนโดยทั่วกัน

"จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชอครักษ์เก็บร่ม
แล้วทรงพระดำเนินเยี่ยมข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จ
โดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการ
และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น"


"สิ่งที่ทรงหวัง"

ครั้งหนึ่งขณะเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งได้ขอพระราชทานสัมภาษณ์
และได้กราบบังคมทูลถามว่า การที่เสด็จฯ
เยี่ยมราษฎรและมีโครงการตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้น

ทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรบสั่งตอบว่า
"มิได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่
แต่ทรงสนพระทัยว่าประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลงหรือไม่


"รักถึงเพียงนี้" และ "จุดเทียนส่งเสด็จ"

บทความชื่อ "แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส" ตีพิมพ์ในนิตยสาร "สู่อนาคต"
ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ
ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ
เยี่ยมราษฎรทางภาใต้เมื่อหลายปีก่อน

โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น
เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย
โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลาย ๆ หมู่บ้านนั้น
แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป


ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้านที่ทั้งทุกข์เพราะยากจนและทุกข์เพราะภัยคุกคาม
จึงได้เสด็จฯ
ลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น
บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา
และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิ่งตายก่อเสด็จไปถึงเพียงไม่กี่ชั่วโมง

ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้
จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะ
.."เข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า
ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ
จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้"..

บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า
ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น
"โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า ..รายอกลับไปเถอะ
ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา..."

และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว
โต๊ะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย
ด้วยความห่วงใยใน "รายอ" และ "ประไหมสุหรี" หรือ
พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง


"รถติดหล่มกับถนนสายนั้น"

หากย้อนกลับไปค้นหาจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจในด้านการพัฒนาแล้ว
ชื่อของ
"ลุงรวย" และ "บ้านห้วย มงคล" คือสองชื่อที่ลืมไม่ได้

เรื่องราวของ "ลุงรวย" เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2495
หรือมากกว่าห้าสิบปีล่วงมาแล้ว ที่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กใน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

บ้านห้วยมงคลนี้อยู่ทั้ง "ใกล้และไกล" ตลาดหัวหิน
ใกล้เพราะระยะทางที่ห่างกันนั้นไม่กี่กิโลเมตร แต่ไกลเพราะไม่มีถนน
หากชาวบ้านจะขนพืชผักไปขายที่ตลาดต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ

ห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้
แต่วันหนึ่งกลับมีรถยนต์คันหนึ่งมาตกหล่มอยู่ที่หน้าบ้านลุงรวย
เมื่อเห็นทหารตำรวจกว่าสิบนายระดมกำลังกันช่วยรถคันนั้นขึ้นจากหล่ม
ลุงรวยผู้รวยน้ำใจสมชื่อก็กุลีกุจอออกไปช่วยทั้งงัด ทั้งดัน ทั้งฉุด
จนที่สุดล้อรถก็หลุดจากหล่ม

เมื่อรถขึ้นจากหล่มแล้ว
ลุงรวยจึงได้รู้ว่ารถคันที่ตัวทั้งฉุดทั้งดึงนั้นเป็นรถยนต์พระที่นั่งและคนในรถนั้นคือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินีนาถ

แม้จะตื่นเต้นตกใจที่ได้เฝ้าฯ ในหลวงอย่างไม่คาดฝัน
แต่ลุงรวยก็ยังจำได้ว่าวันนั้น "ในหลวง" มีรับสั่งถามลุงว่า
[b]หมู่บ้านนี้มีปัญหาอะไรบ้าง..

ลุงได้กราบบังคมทูลว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดคือไม่มีถนน
จึงนอกจากจะโชคดีได้รับพระราชทาน "เงินก้นถุง" จำนวน 36 บาท
ซึ่งลุงนำไปเก็บใส่หีบบูชาไว้เป็นสิริมงคลจนถึงทุกวันนี้แล้ว

อีกไม่นานหลังจากนั้น
ลุงรวยก็ได้เห็นตำรวจพลร่มกลุ่มหนึ่งเข้ามาช่วยกันไถดินที่บ้านห้วยมงคล
และเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ชาวบ้านก็ได้ถนนพระราชทาน


ถนนห้วยมงคลที่ทำให้ชาวไร้ห้วยมงคลสามารถขนพืชผักออกมาขายที่ตลาดหัวหินได้ภายในเวลาเพียง
20 นาที


"สามร้อยตุ่ม"

มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท
ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์
รวมทั้งแมลงตาง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองคื


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผ้ส่องถวายอยางไม่สะดุ้นสะเทือน
อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น

ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณ์ขันว่า

"..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่
เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง
ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง
ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.."



"น้ำท่วมครั้งนั้น"

วันที่ 7 พ.ย. 26
ขณะที่ชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งกำลังทนทุกข์หนักกับสภาพน้ำท่วมขัง
น้อยคนที่จะรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพยายามหาหนทางบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาอยู่อย่างเงียบ


วันนั้นรถพระที่นั่งแวนแวคคอนเนียร์ แล่นออกจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ราวบ่ายสองโ มงเศษ สู่ถนนศรีอยุธยาเลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี
มุ่งสู่ถนนบางนาตราด

ไม่มีหมายกำหนดการ ไม่มีการปิดถนน แม้แต่ตำรวจท้องที่ก็ไม่ทราบล่วงหน้า

รถยนต์พระที่นั่งชะลอเป็นระยะ ๆ เพื่อทรงตรวจดูระดับน้ำ
จนเมื่อถึงคอสะพานสร้างใหม่ที่คลองลาดกระบัง
จึงเสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งเพื่อทรงหารือกับเจ้าหน้าที่ที่ตามเสด็จ

ทรงฉายภาพด้วยพระองค์เอง ทรงกางแผนที่ทอดพระเนตรจุดต่าง ๆ
จนถึงเวลาบ่ายคล้อย รถยนต์พระที่นั่งจึงแล่นกลับ เมื่อถึงสะพานคลองหนองบอน
รถพระที่นั่งหยุดเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉายภาพบริเวณน้ำท่วมและทรงศึกษาแผนที่ร่องน้ำอีกครั้ง

ปรากฎว่าชาวบ้านทราบข่าวว่า "ในหลวงมาดูน้ำท่วม"
ต่างก็พากันมาชมพระบารมีนับร้อย ๆ คน จนทำให้การจราจรบนสะพานเกิดการติดขัด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงโบกพระหัตถ์ให้รถขบวนเสด็จผ่านไปจนเป็นที่เรียบร้อยด้วยพระองค์เอง

< IMG
src="//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3983959/A3983959-50.jpg">



"เชื่อมั่น"

เย็นย่ำแล้วแต่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งยังไม่หมดภารกิจ
เมื่อรถวิ่งกลับมาทางถนนพัฒนาการ ทรงแวะฉายภาพบริเวณคลองตัน
ทอดพรเนตรระดับน้ำแล้วทรงวกกลับมาที่คลองจิก

เวลานั้นฟ้ามืดแล้วเพราะเป็นเวลาจวนค่ำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงนำไฟฉายส่วนพระองค์ออกมาส่องแผนที่ป้องกันน้ำท่วมและแนวพนังกั้นน้ำอยู่เป็นเวลานาน

กลายเป็นอีกภาพหนึ่งที่สร้างความตื้นตันใจแก่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ
อย่างยิ่ง

ประชาชนคนหนึ่งในละแวกเคหะนคร 1 แขวงบางบอน เขตประเวศ บอกว่า
"รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ทรงห่วงใยทุกข์ของราษฎร
เสด็จฯ มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง
พวกเราถึงจะทนทุกข์เพราะน้ำท่วมขังเน่ามาเป็นเวลานานก็เชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน"



"ฉันทนได้"

ในเดือนหนึ่งของปี 2528
พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหักเฉียดโพรงประสาทฟัน
พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ
ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน

เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า
"จะใช้เวลานานเท่าใด"

ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1-2 ชม.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า

"ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้
วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน"

"คำสอนประโยคเดียว"

เมื่อนิตยสาร "สไตล์" ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร. สุเมธ
ตันติเวชกุล
ถึง "คำสอน" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ ดร.สุเมธ
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร. ตอบว่า คำสอน
"ประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า

"มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้
นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น"



"ดีใจที่สุด"

สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์มืดมน
พระบรมฉายาลักษณ์ไม่เพียงเป็นรูปเคารพบูชา
แต่ยังเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความศรัทธาที่ช่วยให้มีแรงต่อสู้กับความทุกข์ต่อไปได้
ดัง คุณยายละเมียด แสงเนียมวัย 72 ปี ชาวจังหวัดชุมพร
ผู้ที่เผชิญกับอุทกภัยภาคใต้ในปี 2540 น้ำท่วมบ้านสูงมากจนอยู่อาศัยไม่ได้

"อยู่ ๆ น้ำก็ท่วมมาเร็วมาก ยายต้องไปขออาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่
ต่อมาก็ขึ้นไปอยู่ชั้นบน ออกไปไหนไม่ได้เลย
...พอดีที่บ้านนี้เขาปลูกมะละกอ
ต้นมันสูงมาถึงหน้าต่างเราก็เอื้อมถึงพอดี เลยได้กินข้าวกับมะละกอ
ก็กินมาสามวัน มาเมื่อวานผู้ใหญ่บ้านมาบอก
มูลนิธีในหลวงจะเอาของมาแจกยายคิดเลยว่า ไม่อดตายแล้ว
ทุกครั้งที่คนไทยเดือดร้อน ในหลวงจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง

ของที่ยายได้มา ที่ดีใจที่สุดคือมีรูปของท่านมาด้วย
ที่บ้านเสียหายหมดแล้ว
ยายจะเอารูปท่านไว้บูชา


ยายพูดแล้วก็ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักสุดหัวใจ


"ทุกข์บรรเทา"

การ "ประทับอยู่ในบ้านเมือง" ดังพระราชดำรัสนั้น
ในเวลาต่อมาก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้หมายถึงการประทับอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น
แต่ยังเสด็จฯ
เยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์จนแทบจะทั่วทุกตารางนิ้วที่พระบาทจะย่างไปถึงได้

ทรงวิทย์ แก้วศรี ผู้เรียบเรียงบทความ
"บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ" บันทึกไว้ว่า
วันที่
13 ก.ย 2497 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 26 พรรษา และทรงครองราชย์เป็นปีที่ 8

ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์อัคคีภัยครั้งร้ายแรงขึ้นที่อำเภอบ้านโป่ง
จ.ราชบุรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยือนราษฎรขาวบ้านโป่งผู้ประสบภัยในพื้นที่
ทรงทอดพระเนตรบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้และพระราชทานสิ่งของบรรเทาทุกข์

ทุกข์ในยามยากเพราะสิ้นเนื้อประดาตัวจากภัยเพลิงนั้นมากล้น แต่
เมื่อได้รู้ว่ายังมีใครสักคนคอยเป็นกำลังใจ
ทุกข์สาหัสแค่ไหนก็ยังพอมีแรงกายลุกขึ้นสู้ต่อได้

การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบภัยในครั้งนั้น
นับได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในรัชกาล



"141 ตัน"

เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ
พระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493
และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ


ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา

จน 29
ปีต่อมามีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่าพระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้นเป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย
หนังสือพมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว
3 ชม. เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง
น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141
ตัน

ไม่เพียงเท่านั ้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ยังเล่าเสริมให้เห็น
"ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ" ที่ไม่มีใครคาดถึงว่า

.."ไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา
โบหลุดอะไรหลุดพระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย
บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก"


"สุขเป็นปี ๆ"

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ
พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง
โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรี
คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า
พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น
แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็ นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย

ที่สำคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี
นั้นสำคัญ
เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น
"จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง.."



"พระมหากษัตริย์"

เมื่อมีผู้สื่อข่าว bbc ขอพระราชทานสัมภาษณ์เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง
The
Soul of Nation ในปี 2522
โดยได้กราบบังคมทูลถามถึงพระราชทัศนะเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริยไทย
พระองค์ได้พระราชทานคำตอบว่า

"การที่จะอธิบายว่า พระมหากษัตริย์ คืออะไรนั้น
ดูเป็นปัญหาที่ยากพอสมควร
โดยเฉพาะในกรณีของข้าพเจ้า ซึ่งถูกเรียกโดยคนทั่วไปว่า พระมหากษัตริย์
แต่โดยหน้าที่ที่แท้จริงแล้ว
ดูจะห่างไกลจากหน้าที่ที่พระมหากษัตริย์ที่เคยรู้จักหรือเข้าใจกันมาแต่ก่อน

หน้าที่ของข้าพเจ้าในปัจจุบันนั้น ก็คือทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์
ถ้าถามว่า ข้าพเจ้ามีแผนการอะไรบ้างในอนาคต คำตอบก็คือไม่มี
เราไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
เราก็จะเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับเรา




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2549
4 comments
Last Update : 13 พฤษภาคม 2549 8:37:59 น.
Counter : 2498 Pageviews.

 

 

โดย: ปลาทูน่าในบ่อปลาพยูน 13 พฤษภาคม 2549 12:36:08 น.  

 

 

โดย: อินทรีทองคำ 13 พฤษภาคม 2549 13:11:34 น.  

 

 

โดย: อินทรีทองคำ 13 พฤษภาคม 2549 13:11:35 น.  

 

แวะมาอ่านครับ
เถิดทูนพ่อหลวงอีก1ดวงใจครับ

 

โดย: นั่งรอเธออยู่ (นั่งรอเธออยู่ ) 29 กันยายน 2549 14:39:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ya da mon
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




~*~ Love is all around ~*~
สวัสดีผู้เยี่ยมชมที่น่ารักค่ะ
Friends' blogs
[Add ya da mon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.