วิถีชน คนนอกกรอบ

ดูงานมาเลย์ ตอนจบ ไชน่าทาว์นกลางกรุง

จตุรัสเมอร์เดก้า มาเลเซีย


(ต่อจากตอนที่แล้ว) หลังจากเราออกจากเมืองปุตราจายา ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเราก็ย้อนมาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อใช้เวลาให้คุ้มก่อนเดินทางกลับเมืองไทย เราแวะไปที่พระราชวังของราชาธิบดี ที่สุลต่านแต่ละรัฐของสหพันธรัฐมาเลเซียจะหมุนเวียนมาดำรงตำแหน่ง และพำนักที่นี่ แต่เราได้แค่ถ่ายรูปกับทหารองค์รักษ์หน้าวังเท่านั้น



หน้าพระราชวังราชาธิบดี


ใช้เวลา ครึ่งชั่วโมงเราก็ต่อไปที่จตุรัสเมอร์เดก้า หรือจตุรัสเอกราช เป็นสถานที่ประกาศอิสรภาพจากผู้ปกครองอาณานิคม คืออังกฤษ ซึ่งบริเวณดังกล่าว มีอาคารพิพิฑธภัณธ์ ที่ทำการในอดีตอาคารทรงยุโรปที่สวยงาม และทุกๆปี ก่อนที่จะสร้างเมืองใหม่ปุตราจายา ที่นี่คือศูนย์กลางของประเทศเหมือนสนามหลวงของไทยเรา ข้อสังเกตุคือจะมีเสาธงที่ประดับธงชาติสหพันธรัฐมาเลเซียที่สูงที่สุดในโลก ตั้งตระหง่าน


เสาธงที่ใหญ่ที่สุดในโลก



พี่สมชาย


จนกระทั่งประมาณห้าโมงเย็น รถตูก็นำคณะเราไปแวะชอบปิ๊ง ที่ ย่านไช่น่าทาวน์ (PETALING STREET) ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยพวเราแยกกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2-3 คน ตามอัธยาศัย ซึ่งบรรยากาศย่านไช่น่าทาวน์ ชอบปิ๊ง (PETALING STREET) ก็ใกล้เคียงกับหน้ารามฯ, ประตูน้ำ, อนุสาวรีย์ชัย หรือแถวสยาม แต่ที่ดูเด่นมีเสน่ห์กว่าก็คือ ที่นี่เหมือนตลาดทวีปเอเชีย เพราะมีทั้งร้านค้าและผู้คนเกือบทุกสายพันธุ์ในทวีปเอชียมาเดินและเปิดร้านในที่นี้ ทั้ง จีน อินเดีย ปากีสถาน มาเลย์ ไทย อินโดนีเซีย ลาว พม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น แขกอาหรับ ออสเตรเลีย นิวซีแลด์รวมไปถึงชาวยุโรป เดินกันให้ควัก ทั้งที่เป็นผู้ซื้อและผู้ขาย





สถาปัตยกรรมผสมผสานยุคอาณานิคม


สำหรับการติดต่อซื้อขายนั้น ส่วนใหญ่ก็ใช้ภาษอังกฤษ กับภาษมาเลย์ การตั้งราคาก็เกินกว่าความเป็นจริงหลายเท่าตัว สินค้าแบรนด์แนมทั้งแท้และก็อปปี๊ขายกันเกลื่อน ตาดีได้ ตาร้ายสีย โดยเฉพาะพวกเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องหนัง รองเท้า และน้ำหอม ไม่ต่งกับตลาดท่าสะเด็ด ที่หนองคาย, ตลาดท่าขี้เหล็กชายแดนแม่สาย หรือตลาดโรงเกลือที่จังหวัดสระแก้ว




ร้อนอย่างแรง..เลยหลบแดด

คณะเราเดินช๊อปกันแบบระวังเป็นพิเศษ แต่ที่เจอกับตนเองจะๆก็ ไปต่อราคากระเป๋าหนังปาร์ด้าที่ ตั้งราคาไว้ 80 ริงกิต หรือ 800 บาท เราต่อเหลือ 15 ริงกิต หรือ 150 บาท เราเจอหญิงชาวจีนวัยกลางคนนั้งขายไวอาก้าหน้าตาเฉย ราคาก็ย่อมเยา เพียงกล่องละ 4 ริงกิต หรือ 40 บาท แต่ไม่เห็นใครในคณะเราซื้อ

เมื่อเราผ่านไปในอีกซอย ก็เจอวัยรุ่นชาวจีนมาเลย์ทั้งชายและหญิงเข้ามาประกบ ชักชวนซื้อบริการทางเพศ โดยมีอัลบัมรูปถ่ายผู้หญิงให้ดูพร้อม ยิ่งเดินยิ่งเจอ ทั้งนวดฝ่าเท้า ทั้งนวดแผนโบราณ เป้นเรื่องแปลกในสายตาเรา เพราะโหงวเฮ้งน่าจะเป็นเถ้าแก่ร้านทองหรือภัตรคารอาหารจีนมากกว่า


จุดเกิดเหตุ แผงน้ำหอมที่ไชน่าทาว์น center>

ซักพักผู้เขียนซึ่งแยกกลุ่มมา 3 คน ซึ่งก็มีแบร์มะ กำนัน 5 แนบทอง กับแบร์ลี รองนายกฯ 4 สมัย เพื่อหาน้ำหอมคุณภาพดีราคาถูก เพราะเราพลาดโอกาสในการซื้อน้ำหอมแบรนด์แนมที่ตึกเปรโตรนาสเมื่อเช้าวันนี้



เหมือนย่านการค้าบ้านเราเลย แต่คนเขาหลากพันธุ์มากcenter>

เราเดินทะลุซอยจนนับไม่ไหวในที่สุด เราก็เจอแผงขายน้ำหอม ดูเหมือนเขาจะเพิ่งเปิดร้าน ซึ่งก็มีน้ำหอมหลากหลายยี่ห้อแบรนด์ดังๆวางจำหน่าย แต่ที่น่าสังเกตุคือไม่ได้บรรจุในกล่อง เจ้าของร้านเป็นวัยรุ่นชาวจีนมาเลย์ผอมสูงผมเซ่อๆ และหนุ่มล่ำสั้นหน้าเหี้ยมชาวอินโดฯ คอยยืนตะโกนเรียกลูกค้าและโฆษณาเป็นภาษามาเลย์สลับกับภาษาอังกฤษ ผมก็เดินเข้าไปหยิบน้ำหอมขึ้นมาขวดหนึ่ง ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ผมใช้เป็นประจำ เมื่อลองสูดกลิ่นและพิจารณาจากขวด เห็นว่า นี่มันของแท้ เพราะใช้มานาน แต่ก็นึกในใจอยู่ว่า มันช่างเลียนแบบได้เยี่ยมจริงๆ หันไปดูราคาที่เขียนด้วยกระดาษแข็งบนโต๊ะคือ ขวดละ 30 ริงกิต



ผู้เขียนจึงขอวานแบร์ลีสอบถามราคาให้แน่ชัดอีกครั้ง แบร์ลีจึงถามเป็นภาษามาเลย์ “ขวดนี้ราคาเท่าไหร่ ต่อได้ไหม” คนขายก็ตอบ “ 30 ริงกิต ต่อได้” ผมจึงลองต่อไป “15 ริงกิต ” คนขายมันตอบ โอเค้! มันรีบเดินไปเอาถุงมา ผมก็งงในขณะที่มือก็ยังกำขวดน้ำหอมอยู่ แบร์รีบอกว่า “ต้องเอาน๊ะ ธรรมเนียมที่นี่ต่อแล้วต้องเอา” นึกในใจ ว่ามันต้องมีอะไรแน่



ผู้เขียนควักกระเป่าตังค์ขึ้นมา เพื่อจะหยิบเงินจ่าย เมื่อมันรับเงินไปแล้ว คนขายก็ขอน้ำหอมคืนเพื่อเปลี่ยนขวดใหม่ให้ เป็นกล่องใหม่เอี๋ยม! ผู้เขียนจึงตอบไปว่า “ไม่เป็นไร จะเอาขวดนี่แหละ กล่องไม่ต้อง ไอมีกระเป๋าสะพายปราด้าที่เพิ่งซื้อมา” เท่านั้นแหละ.. ไอ้จีนมาเลย์กับไอ้อินโดฯมันจ้องหน้า ตาแดงก่ำ พร้อมพูดเป็นภาษมาเลย์ว่า “ไม่ได้!” ผู้เขียนก็เลยบอกว่า “ถ้าไม่ได้ก็เงินคืนเงินมา” มันตอกกลับ “คืนไม่ได้ เพราะเป็นลูกค้ารายแรก ถ้าคืนให้ก็จะขายไม่ดีทั้งคืน” ก็เลยมีการยื้อขวดน้ำหอมกับมันตั้งสองสามตลบ ในที่สุดเมื่อมีคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มสนใจ หันมามอง อีกในใจก็คิดว่า “ สงสัยวันนี้อาจจะได้เปิดศึกระหว่างประเทศซะแล้ว”

src = //www.bloggang.com/data/b/betongtoday/picture/1278271072.gif>


แต่สุดท้ายมันก็ถอดใจ คงเห็นว่า เจอคนจริงเข้าแล้ว มันก็โบกมือไล่เราพร้อมกับสบถภาษาจีนไล่หลัง เราสามคนจึงรีบเดินจ้ำไปข้างหน้าเพื่อหนีห่างไปจากที่นั้น โดยเราแวะไปชิมแบเกอร็รี่ กาแฟสดฝีมือเยี่ยมของชาวฮินดูที่นั่น เพื่อดูทิศทางลม ระหว่างนั่งละเลียดกาแฟนั้น แบร์มะ กับแบร์ลี ก็บอกว่า “ ที่มาเลเซีย คนจีนจะเป็นนักเลง เป็นแก๊งมาเฟีย แก๊งมิจฉาชีพ ธุรกิจผิดกฎหมาย ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนกับคนฮินดู ต่างกับไทยที่คนจีนจะเป็นชนชั้นนำ เป็นนักธุรกิจ ไม่ก้าวร้าวนักเลงเหมือนจีนในมาเลเซีย ที่เรียกว่าเป็นแก๊งมังกรเชื่อมโยงกับแก๊งลูกหมูในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเอง” ฟังแล้วขนลุก เกือบไปแล้วเรา




เบียร์อุ่นๆกับซีฟู๊ตcenter>

เรารอรอจนหนึ่งทุ่ม เราก็ไปขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับไทย ซึ่งถ้าวิ่งอย่างเร็วก็ 6 ชั่วโมง แต่เราออกจากกัวลามลัมเปอร์ประมาณ 2 ทุ่ม เพื่อประหยัดที่พักและเวลา

ระหว่างนั่งบนรถขากลับเราก็วิพากษ์กันถึงประสบการอย่างถึงพริกถึงขิง เราวิพากษ์นโยบายภูมิบุตรของมาเลเซีย ที่ให้โอกาสและอภิสิทธิกับคนชาติพันธุ์มาเลย์ และควบคุมเผ่าพันธุ์อื่นๆ เป็นประชาชนชั้นสอง ทำให้ชาวมาเลย์เชื้อสายจีนต้องลุกขึ้นต่อสู้ในยุคอดีตพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา กดดันจนทำให้ชาวจีนมาเลย์จำนวนไม่น้อยต้องไปเป็นพวกมัจฉาชีพ




ปัญหาความไม่เท่าเทียมในนโยบายภูมิบุตรของมาเลเซียสร้างพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาในฉันท์ใด ปัญหาความไม่เท่าเทียมในทางปฏิบัติในสามจังหวัดชายแดนใต้ก็สร้างขบวนการแบ่งแยกดินแดนฉันท์นั้น มาเลเซียมีโชคช่วยที่โลกคอมมิวนิสต์ล่มสลาย จึงทำให้แก้ปัญหาได้สำเร็จ ประเทศไทยเราไม่โชคดีขนาดนั้น เพราะกลุ่มเครือข่ายขบวนการก่อการร้ายยังไม่จบสิ้น
เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ภาพในมาเลเซียยังติดตาเสมอ มาวันนี้เมื่อเห็นเหตุการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมือง ตลอดสองสามเดือนที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเพราะการปลุกปั่นของแกนนำเสื้อแดง หรือกลอุบายจากความแค้นส่วนตัวของอดีตนายกฯที่กำลังหนีคดีก่อการร้ายในต่างแดน หากประชาชนในประเทศมีความเทียมในโอกาส ทั้งทางการศึกษา ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ประชาชนการเข้าถึงสื่อมากกว่านี้ มีคุณภาพชีวิตดีกว่านี้ มีความเลื่อมล้ำน้อยกว่านี้ ผู้เขียนเชื่อว่าต่อให้ร้อยทักษิณ ร้อยแกนนำ คงไม่มีใครลุกขึ้นมาเผาบ้านเผาเมืองแน่นอน ....พบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ




center>




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2553   
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 2:49:30 น.   
Counter : 2100 Pageviews.  

ดูงานมาเลย์ 6 ท่องราตรีกัวลาลัมเปอร์ ยลตึกเปโตรนาสและเมืองปุตราจายา


ตึกแฝดเปรโตรนาสที่มีชื่อของมาเลเซีย


ประมาณหนึ่งทุ่มเราก็ถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ รถตู้พาเราซอกแซกตามถนนหนทางที่สลับซับซ้อน เพราะผังเมืองดูจะไม่ค่อยดีนัก เพราะไม่ใช่เมืองใหม่ สุดท้ายรถตู้ก็นำเราไป แวะจอดย่านร้านต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นแหล่งที่คนไทยไปเปิดร้านอาหารกัน ซึ่งแน่นอน อาหารเย็นมื้อนั้น เราทานกันตามอัทธยาศัย เพราะเป็นลักษณะการชี้เอา แต่ที่ยากลำบาก คือการใช้มือเปิบ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวมาเลย์ เราเลยเละเทะไปตามกัน


ขบวนเด็กนักเรียนตัวน้อยมาดูงาน</b>

หลังจากที่เข้าที่พัก เป็นโรงแรมสามดาว เราก็ต้องหาซื้อตัวแปลงไฟฟ้าอีก เพราะปลั๊กไฟที่นี่มีสามรูและใหญ่กว่าบ้านเรา เวลาประมาณสามทุ่ม ผมจึงลงมารอกำนัน ช่างกู้ฯ,ช่างดิงและพี่สมชาย เพื่อไปสำรวจราตรีในเมืองหลวงของมาเลย์บ้าง ว่าแตกต่างจากบ้านเราหรือไม่ โดยได้นัดแนะไว้ก่อนแยกย้ายไปอาบน้ำอาบท่ากัน


คนรอคิวขึ้นยอดตึกเยอะมาก</center>

เมื่อรถพร้อม คนพร้อม เราก็ออกตระเวน โดยคนขับรถได้พาเราไปยังถนนเส้นหนึ่ง คงเป็นย่านอาร์ซีเอของมาเลเซีย เพราะตลอดสองข้างทางประมาณ 500 - 1,000 เมตร มีผับ บาร์ ดิสโก้เธคร้านจำหน่ายเหล้าเบียร์เต็มไปหมด เสียงดนตรีกระหึ่ม แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ที่ใช้หลักกฎหมายอิสลามจัดระเบียบพลเมือง


ฝรั่งก็มา

รถไปจอดที่ปากซอยเพื่อปล่อยให้เราเดินตระเวน ทันทีที่ลงจากซอย เราก็พบผีขนุนหรือกะเทยเร่ร่อน ยืนพิงต้นไม้ 4 – 5 คน ทำท่าจะหลบหนี เมื่อเห็นเรา แต่เราก็รู้งาน เราก็ตะโกนเป็นภาษาไทยว่า “มาเที่ยวครับ มาเที่ยว” เสียงตอบมาทำเอาพวกเราฮาเป็นสำเนียงอิสานว่า “ฮ่วย...นึกว่าโปริส..มาเลย์เน้อ ” กะเทยไทยครับ มาตั้งหลักแหล่งถึงต่างแดน....


เดินฆ่าเวลา

ชมสินค้าแบรนด์เนมที่ห้างเปโตรนาส

เราตั้งใจเดินสำรวจตั้งแต่ปากซอยจนถึงท้ายซอย ตลอดเส้นทาง เราเห็นนักท่องราตรีส่วนใหญ่ เป็นคนจีนมาเลย์ อินเดียมาเลย์ และฝรั่ง โดยเฉพาะสาวๆวัยรุ่นจีนมาเลย์น่ารักมากๆ แต่มีไม่น้อย ที่น่าจะมาจากบ้านเรา เพราะที่นี่คือย่านนราตรีแหล่งใหญ่ของมาเลย์นั่นเอง
ตลอดเวลาที่เดินสายผู้คนไม่ค่อยตอบรับเรานัก ดูออกจะเกรงๆกลัวๆยังไงชอบคน สุดท้ายเราก็ตัดสินใจไปนั่งที่ผับไทยชื่อ”สบายผับ” ซึ่งคนแน่นมาก ล้นออกมาริมฟุตบาท ตอนที่เราจะก้าวเข้าร้าน พวกสาวๆหน้าร้านก็พยายามกั้นไว้ (ไม่อยากให้เข้า) เราจึงขอคุยกับคนที่พูดไทยได้ ซักพักเจ้าของร้านก็เข้ามาคุย ถามว่ามาจากไหน มาทำไม และก็พาเราไปนั่งยังมุมหนึ่ง สุดกู่ของร้าน และทราบว่าชื่อไทยว่า "โกวิทย์" เป็นชาวมาเลย์ ที่ชอบเที่ยวไทย และเคยมีภรรยาเป็นคนไทย


ต้องข้ามสะพานแขวนข้ามทะเลสาบขุดเมื่อเข้าเมืองปุตราจายา

มัสยิดแดงและทำเนียบรัฐบาลมองจากสะพานแขวน


ภาพนี้ไม่ได้รีทัชเหมือนที่เป็นข่าวครับ...

ทะเลสาบขุดมีเรือเร็ววิ่งด้วย

พี่สมชายเลยสั่งเครื่องดื่มมาชุดใหญ่ และคุณโกวิทย์ดูจะมีอิทธิพลพอสมควร ใครๆก็รู้จัก และโต๊ะเราดูจะเป็นจุดสนใจ คุณโกวิทย์บอก “คนเขาเชื่อว่า พวกเราคือ ตำรวจมาเลย์” ที่จะมาตรวจจับ โดยเฉพาะกำนัน เหมือน บอส หรือตำรวจระดับใหญ่ของมาเลย์ ซึ่งก็ไม่แปลก เมื่อดูรวมๆแล้ว ทั้งทีม เราก็เหมือนจริงๆ ยิ่งอยู่ๆไป วงยิ่งแตก โต๊ะข้างๆหนีหมด สาวๆชาวไทย ที่อ้างว่าเป็นคนเวียดนาม ถูกส่งมาสอดแนมข้างๆ สุดท้ายก็ยอมรับว่ามาจากจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของไทย บอกว่าพี่ๆกลับเถอะ แขกกลัวหมดแล้ว ซึ่งก็จริงๆ ที่นั่นเราได้กลิ่นกัญชา เห็นอาการเมาของคนจำนวนไม่น้อย เหมือนเมายาส่ายหรือยาอี ทังที่เป็นร้านแบบผนังเปิดติดถนน ทำให้เราเข้าใจเลยว่า มาเลเซีย เขาจะปล่อยเสรีคนมาเลย์ที่ไม่ใช่อิสลาม ดูจะเสรียิ่งกว่าบ้านเราอีก
จนเวลาตี 1 เราก็กลับ โดยเรียกแทร็กซี่หน้าผับ โชเฟอร์ชาวอินเดียฮินดู ที่พยายามกดราคาและบังคับให้เรียก 2 คัน เราก้ต้องยอม เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถ ก็เสนอแหล่งขายบริการทางเพศตามเคย เราคุยถาม ทำนองสนใจ แต่ก็เอาตัวรอดจนถึงโรงแรมฯ ก่อนนอนผมกับพี่สมชายคุยกันขรมจนตีสอง โดยค่ำคืนแห่งการท่องราตรีนั้น ทำให้เราเข้าใจมาเลเซียขึ้นมากเลย


อาคารที่ทำการกรมสรรพากรโค้งเว้าสวยงาม


ทำเนียบ..สุดอลังการ


มัสยิดแดงที่ราชาธิบดีมาละหมาดทุกวันศูกร์

วันรุ่งขึ้นเรารีบออกจากที่พักตั้งแต่เช้า เพื่อไปจองคิวขึ้นไปยังตึกเปโตรนาส ตึกแฟดที่สูงที่สุดในโลก แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่า คนรอคิวเยอะมาก เราเลยถอดใจกัน เราเดินห้างฆ่าเวลาประมาณ 30 นาที แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองใหม่ปุตราจายา รัฐสลางอ ซึ่งคณะเราได้มีกำหนดพบท่านรองอธิบดีกรมการปกครองของเมืองใหม่ปุตราจายา คุณ CHE ARBAEI BIN CHE MOHD DARUS ในเวลาเที่ยงตรง

ด้วยความสะดวกสบายของทางด่วน คณะเราไปถึงประมาณ 10 โมงเช้า ก่อนเวลานัดถึง 2 ชั่วโมง และเมื่อเราไปถึงเมืองปุตราจาา คณะเราถึงกับตะลึงถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองศูนย์ราชการแห่งนี้ เพราะเป็นเมืองศูนย์ราชการ ศูนย์รวมอาคารที่ทำการของกระทรวงทบวงกรมของรัฐบาลมาเลเซีย ที่พยายามก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะมัสยิดสีชมพูที่ใหญ่โตอันต้นๆของโลก และที่ใต้อาคารมัสยิก็จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ ห้างสรรพสินค้า ตรงลานจตุรัสก็กว้างสุดลูกหูลูกตา สะพานแขวน ทะเลสาบขุด ที่ลงตัว พร้อมทำเนียบรัฐบาลที่ใหญ่โตมโหฬาร ผมนั้นมาครั้งที่สามแล้ว ครั้งนี้เลยของนั่งหลบแดด สังเกตผู้คนที่ทยอยกันมาทั่วสารทิศ ทั้งชาวมาเลย์และต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวอินเดีย

จนกระทั่งเที่ยงวัน เราจึงมุ่งหน้าไปยังบ้านพักของรองอธิบดีกรมการปกครอง



ข้างมัสยิดเป็พิพิธภัณฑ์และห้างสรรพสินค้า

.....
เครื่องราชและวัตถุโบราณแสดงใต้พิพิธภัณฑ์ใต้มัสยิด

...............

...................

...............

..............

...............

..................


...............

งานสลัก..

เราผ่านเข้าหมู่บ้าน อาคารชุดที่พักบรรดาข้าราชการ ในเมืองปุตราจายาที่สร้างไว้สะดวกสบาย เป็นระเบียบ สะท้อนถึงสวัสดิการของข้าราชการที่ค่อนข้างดี จนสามารถลดการคอรัปชั่นได้เป็นอย่างดี

เมื่อเราถึงบ้านของท่านรองฯ แบร์กีร์ อดีตอาจารย์สอนภาษาไทยของคุณ CHE ARBAEI BIN CHE MOHD DARUS สมัยที่ท่านรับราชการเป็นปลัดอวุโสที่อำเภอกริ๊ก หรืออำเภอฮูลูเปรัค ไก้ด์ของเรา ก็สวมบทบาททูตสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ แนะนำเราอย่างกึ่งทางการ ที่ละคน จนกระทั่งท่านรองฯเชิญจิบน้ำชา ระหว่างที่รอรับประทานอาหารเที่ยง โดยท่านภริยาให้เกียรติปรุงด้วยตนเองรับรองสำหรับมื้อนี้ และบรรดาผู้หญิงในคณะฯเราก็ไปช่วยจัดสำรับอาหาร ซึ่งเมนูง่ายๆอันได้แก่ ขาไก่ทอด ต้มจืดผักรวมกับเต้าหู้น้ำ ปลาเค็มตัวจิ๋ว และแกงมัสมั่นเนื้อกับมันฝรั่ง



ปุตราจายาเป็นสถานที่ดูงานสำหรับศึกษานักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศcenter>

คณะเรากว่า 20 คนรับประทานแบบเกรงใจ เพียง 30 นาที เราเติมแล้วเติมอีก จนหมดเกลี้ยง จนเห็นก้นหม้อแกงแวววับ แทบไม่ต้องล้างต่อ เพราะฝีมือการประกอบอาหารที่ถูกคอยิ่งนัก และท่านฯคงจะปรุงอาหารเองเสมอ ยามมีงานเลี้ยงรับรองเป็นแน่แท้ จึงรักษามาตรฐานฝีมือได้โดเด่นเช่นนี้ และที่สำคัญท่านภริยานั้น ก็เป็นคนไทยที่มีภูมอลำเนาจากจังหวัดนราธิวาสนั่นเอง เราจึงรู้สึกถูกคอกับรสชาดของมื้อนี้เป็นที่สุด



เสื้อเหลืองคนที่ 3 และ 4 จากซ้าย คือ

ท่าน CHE ARBAEI BIN CHE MOHD DARUS และภรรยา



บ้านเขานั่งพื้นง่ายๆ บ่งบอกถึงการควบคุมคอรั่บชั่นที่มีประสิทธิภาพ


คณะเราร่วมเสวนาความเป็นมา นโยบายรัฐบาลมาเลเซียที่มาตั้งเมืองใหม่ปุตราจายา ถ่ายรูปมอบของที่ระลึก และกล่าวคำอำลา เราย้อนกลับเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อกลับไปยังตึกเปโตรนาส และท่องไชน่าทาว์น เพื่อศึกษาวิถีชีวิตแบบหลากวัฒนธรรมและเชื้อชาติต่อไป...........





ทำเนียบเขาสวยจริงๆ


หมายเหตุ ปุตราจายา เป็นเมืองที่ ตุน ดร.มหาเธร์ บิน โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตั้งใจไว้ว่า จะสร้างให้เป็นนครที่มีลักษณะแห่งสปิริตของมาเลเซียอย่างสมบูรณ์ที่สุดภายในศตวรรษที่ 21 นี้ ปุตราจายา จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาของประเทศชาติ
เมืองปุตราจายา มีความสำคัญที่สุดในฐานะเป็นศูนย์บริหารรัฐบาล หรือ อี-กอฟเวอร์เม้นท์ ที่ตั้งอาคารสำนักนายกรัฐมนตรีหรือ เปอร์ตานาปุตรา ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่สูงตระหง่านมองเห็นทิวทัศน์ไป ทั่วทั้งเมือง อาคารนี้จะเป็นที่ทำการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีชั้นสูง ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบ อาคารตึกมีหลังคาสีเขียว ห้อมล้อมโดมที่ทำด้วยหินโมเสกมันวาว









 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 31 พฤษภาคม 2553 2:17:21 น.   
Counter : 1998 Pageviews.  

ดูงานมาเลย์ 5 (มะละกาเมืองเก่าตำนานมาลายู)

วงเวียนน้ำพุหน้าโบสถ์คริสต์มรดกของโปรตุเกส

(ต่อจากตอนที่แล้ว) เราเดินทางมุ่งหน้าลงมาทางใต้ของแหลมมาลายู เวลา 11.30 น. แวะรับประทานอาหารที่พักริมทาง แวะชมธุรกิจอัญมณี แวะพักโอเอซีสหรือจุดแวะริมทาง จนกระทั่งเวลา เวลา 15.00 น. เราก็ถึงเมืองประวัติศาสตร์มาลายู คือ “ มะละกา “
สาวชาวฮินดูกือริงกับเสือสีขาวสดดูแปลกตาสำหรับเรา
ทันทีที่ย่างกรายเข้าเมืองมะละกา ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกลับมาอีกครั้ง เพราะจากที่เคยอ่านและฟังคำเล่าขานมา เมืองมะละกาแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลาง เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมมาลายูในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเมืองท่าโบราณ โดยผู้คนหลายเผ่า ได้พัฒนาการจากไหว้ผีไหว้เจ้าในป่า มารับฮินดูพราห์ม พุทธ และอิลามในราว คริสต์ศตวรรษที่ 14 แต่ด้วยกำหนดการเดินทางที่ไก้ด์วางไว้ ทำให้เรามีเวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงสำหรับเมืองนี้ เพราะทางแบร์กีร์แจ้งมาว่า “เราจะพักค้างคืนที่เมืองหลวง คือ กัวลาลัมเปอร์” แทนที่จะเป็นเมืองมะละกาเป้าหมายแห่งนี้
โบสถ์คริสต์มรดกของโปรตุเกส

ดังนั้น ผมกับทีมงาน หลังจากลงจากรถตู้ จึงไปติดต่อจ้างเหมาสามล้อถีบพาพนะประจำเมืองที่ประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสี จอดเรียงเป็นคิวแถวยาวเป็นแนวโค้งรับกับวงเวียนน้ำพุ ดูเพลินตายิ่งนัก เราเราแสดงเจตจำนง สามล้อแขกฮินดูทมิฬคนหนึ่ง หรือ แขกกือริง อายุราว 50 - 60 ปี เข้ามาทักทายปราศัย พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงใต้ชัดถ้อยชัดคำ เพราะเคยอาศัยอยู่กินกับภรรยาชาวไทยกว่า 10 ปี ที่ตัวเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยสามล้อได้เสนอโปรแกรมนั่งชมเมืองมะละการอบเล็ก ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพื่อนั่งรถถีบชมทิวทัศน์ บ้านเรือนในชุมชนโบราณ ที่มีประวัติศาสตร์หลายยุคหลายสมัย ครบถ้วน ตั้งแต่ฮินดู ชวา มาลายู จีน และฝรั่งตะวันตก โดยสนธิราคา คันละ 12 ริงกิต หรือเป็นเงินไทยก็ประมาณ 120 บาท ซึ่งนั่งได้คันละ 2 คน
สามล้อสีสันแห่งมะละกา
ผม พี่สมชายฯ กำนันมะ ซูไฮมี และหมอต่วน รีบก้าวขึ้นรถสามล้อถีบทันที เราเหมาจำนวน 4 คัน คันละ 12 ริงกิต ก็ประมาณ 480 บาท โดยเราเริ่มต้นที่บริเวณวงเวียนน้ำพุข้างพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองที่มีอดีตเป็นโบถส์คริตส์ของชาวโปรตุเกสนั่นเอง
เมืองเก่ามะละกาหลากวัฒนธรรมจริงๆ

สามล้อถีบนำเราไปตามเส้นทางอย่างช้าๆ ตลอดเส้นทาง สองฝั่งจะเป็นบ้านเรือน อาคารห้องแถวโบราณ เราเข้าซอยแคบอย่างช้าๆพร้อมกับเสียงบรรยายประวัติศาสตร์เมืองโบราณอย่างน่าสนใจ ตั้งแต่ยุคฮินดู ชวา มาลายู จีน และชาวตะวันตก
กำนันมนเทียร ชูสองนิ้วยืนยันความสนุก

ในราวปี ค.ศ. 1511 โดย อะฟองโซ เดอ อัลบูเคร์ก ผู้ว่าการจักรวรรดิทางเอเชียของโปรตุเกสได้เข้ามาทำศึกชนะและยึดครองมะละกา ต่อมาก็ถูกยึดครองโดยฮอลันดา ตามด้วยอังกฤษ และญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกทั้งในอดีตมะลากาก็เคยผ่านยุคการเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรศรีวิชัยก่อนที่จะเปลี่ยนมารับอิสลามในที่สุด
มัสยิดสถาปัตยกรรมจีนก็มี

โดยมะละกาเป็นเมืองท่าเรือจึงได้รับอิทธิพลจากอินเดีย จีน ตามด้วยอาหรับและชาวตะวันตก การอพยพของชนชาติดังกล่าว ตลอดจนการซึมซับรับเอาวัฒนธรรม และศาสนา ในแต่ละยุคแต่ละสมัยสมัย จึงทำให้มะละกามีเสน่ห์ดึงดูดที่ผิดแผกแตกต่างจากเมืองอื่นๆในภูมิภาค อีกทั้งศิลปะสถาปัตยกรรมดูหลากหลาย มีทั้งโบสถ์ คริสต์แบบโปรตุเกส ศาลเจ้าอาคารแบบจีน มัสยิดแบบฮินดูทมิฬ และรูปแบบสถาปัตย์พื้นเมืองแบบมลายู
เหมือนขบวนแห่งานแต่งเลย
ด้วยความเร่งรีบ เราจึงโอกาสแค่เพียงนั่งผ่านศาลเจ้าแบบจีน ชมสุสานหรือกุโบร์ของบรรดาองค์รักษ์นักรบของสุลต่านมะห์มุด ชาห์, มัสยิดเก่าแก่ของชาวมุสลิมทมิฬ(สถาปัตยกรรมแบบฮินดู), มัสยิดทรงสถาปัตยกรรมจีน โดยแต่ละสถานที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ในชุมชนเดียว หาดูได้บากในโลกนี้เลยที่เดียว
พี่สมชายกับกังหันลม มรดกของฮอลแลนด์


เราใช้เวลาอย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด 2 ชั่วโมงผ่านไป เรามาถึงวงเวียนน้ำพุอีกครั้ง เราเดินไปโฉบ ป้อมเฟอร์มูซา ไปชมพิพิธภัณฑ์ของเมืองมะละกาที่อดีตคือโบร์ถของชาวคริสเตียน เราจับจ่ายซื้อของฝากที่ระลึกอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะขึ้นรถเพราะต้องย้อนไปพักที่เมืองหลวง กัวลาลัมเปอร์
สีสันตะวันตกแนวใหม่

โดยระหว่างเดินทางออกมาเมืองมะละกา ด้วยรู้สึกที่เสียดายสุดซึ้ง เหมือนได้กลิ่นอาหารจานเด็ด แต่ยังไม่ได้ลิ้มรส จึงทำให้อารมณ์ค้างกันทั้งคณะฯ จึงหมายมั่นปั้นมือว่า เราจะต้องมาเยือนยาวๆซักครั้งในโอกาสต่อไปแน่นอน (อ่านต่อตอนต่อไป ย่ำราตรีกัวลาลัมเปอร์ ยิ่งกว่าอาร์ซีเอ)
ร้านหาบเร่ริมทาง แต่ดูดีcenter>รัฐมะละกา เป็นรัฐทางตอนใต้ในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบมะละกา ตรงข้ามกับเกาะสุมาตรา รัฐมะละกาเป็นหนึ่งในสองรัฐของมาเลเซียที่ไม่มีเจ้าผู้ครองรัฐเป็นประมุข แต่มีผู้ว่าราชการรัฐแทน
ที่อาบน้ำละหมาด มัสยิดกำปงกือริงมสัยิดแรกของมะละกา
ประวัติศาสตร์
เมื่อราว พ.ศ. 1800 เจ้าชายปรเมศวรหรือปาราเมิสวารา ได้อพยพออกจากปาเล็มบังมาสร้างเมืองใหม่ที่นี่และกลายเป็นจักรวรรดิการค้าที่ยิ่งใหญ่ในอีก 200 ปีต่อมา และเป็นแหล่งแรกที่ศาสนาอิสลามเข้าสู่มาเลเซียผ่านทางพ่อค้ามุสลิมอินเดียที่มาจากปาไซ และเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบสุลต่าน ต่อมา พ.ศ. 2052 โปรตุเกสเดินทางมาถึงมะละกาเพื่อขอตั้งสถานีการค้าแต่ถูกปฏิเสธ จนนำไปสู่สงครามระหว่างโปรตุเกส-มะละกา ซึ่งโปรตุเกสเป็นฝ่ายชนะเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2054 มะละกาถูกเนเธอร์แลนด์ยึดครองเมื่อ พ.ศ. 2184 หลังจากเนเธอร์แลนด์ขับไล่โปรตุเกสออกไป ต่อมามะละกากลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษตามสนธิสัญญาแองโกล-ดัตซ์ หรือสนธิสัญญาอังกฤษ-ฮอลแลนด์ พ.ศ. 2367
ภายใต้การปกครองของอังกฤษ มะละการวมกับปีนังและสิงคโปร์ในชื่อนิคมช่องแคบซึ่งแยกต่างหากจากสหพันธรัฐมาเลย์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มะละกาเข้ารวมอยู่ในสหภาพมลายา และกลายเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียเมื่อมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ
มัสยิดกำปงกือริงมัสยิดแรกของมะละกาเก่าแก่ที่สุด
< ประชากร
มะละกามีประวัติศาสตร์ที่เกื่ยวกับกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติและศาสนา ทำให้ปัจจุบันมะละกาเป็นรัฐที่มีวัฒนธรรมผสมผสาน โดยมีประชากรประมาณ 759,000 คน (พ.ศ. 2550) ซึ่งประกอบด้วย
วัตถุโบราณแสดงที่มัสยิด
• ชาวมาเลย์ประมาณ 57%
• ชาวจีนประมาณ 32%
• ชาวอินเดีย
• ชาวคริสตัง ซึ่งเป็นลูกหลานชาวโปรตุเกสในสมัยอาณานิคม
กุโบร์หรือสุสานแบบอิสลามในมัสยิดเก่าแก่ที่สุดในแหลมมาลา
ยู
สถานที่สำคัญ
• ป้อมเอ ฟาโมซา สร้างโดยชาวโปรตุเกส และมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการบุกรุกของเนเธอร์แลนด์ ป้อมนี้ถูกทำลายเมื่ออังกฤษเข้ามายึดครอง
สุสานหนึ่งในห้าองค์รักษ์ของสุรต่านองค์สุดท้าย
• พระราชวังมะห์มุด เป็นพระราชวังไม้ของสุลต่าน ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัฒนธรรมมะละกา
>
สุสานหนึ่งในห้าองค์รักษ์ของสุรต่านองค์สุดท้าย

อ้างอิง• มาเลเซีย แปลโดย จงจิต อรรถยุกติ. หน้าต่างสู่โลกกว้าง. 2547

>
สุสานหนึ่งในห้าองค์รักษ์ของสุรต่านองค์สุดท้าย




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 26 พฤษภาคม 2553 15:50:45 น.   
Counter : 2295 Pageviews.  

ดูงานมาเลย์ 4 เก็นติ้งไฮแลนด์ รัฐปาหัง

(ต่อจากตอนที่แล้ว) จากเดิมที่เก็นติ้งแห่งนี้เคยมีชื่อเสียงในเรื่องแหล่งกาสิโนที่ละลานตา เพราะภายในห้องโถงขนาดใหญ่ขนาดสนามฟุตบอลมาตรฐาน พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องเล่น ที่สามารถดูดเงินในกระเป๋าได้ทุกเมื่อ ทำให้มีมุมมองว่าเป็นแหล่งชุมนุมของนักเสี่ยงโชค นักธุรกิจสีเทา หรือเศรษฐีนักพนันเท่านั้น

แต่ในปัจจุบันเก็นติ้งไฮแลนด์ได้ปรับตัว เปลี่ยนโฉมจากสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ มาเป็นศูนย์รวมความสนุกสนานของครอบครัวไปแล้ว อะไรที่สวนสนุกในพื้นพอภพมี ที่นี่มีบริการให้หมด


เก็นติ้งถือเป็นแหล่งรายได้เป็นกอบเป็นกำของรัฐบาลมาเลเซีย ทั้งจากเงินค่าเช่าและค่าภาษี ซึ่งในแต่ละปี นักท่องเที่ยวจากไทย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย รวมทั้งจากโลกอาหรับ ต่างเดินทางมาท่อเงที่ยวและขนเงินมาทิ้งปีละหลายแสนล้านบาท เพราะในแต่ละวันจะมีผู้คนหลั่งไหลกันขึ้นมาอยู่รวมกันบนยอดเขาเก็นติ้งนับหมื่นๆคน โดยเฉพาะในเย็นวันศุกร์จะหนาแน่นเป็นพิเศษ ซึ่งต้องยอมรับกันจริงๆว่า ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพรั่งพร้อมจริงๆ โดยเฉพาะที่พัก ที่สามารถรองรับได้คืนละหลายหมื่นคน เพราะแค่ First World Hotel แห่งเดียวยังมีห้องพักถึง 6,300 ห้อง เป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยที่เดียว

ผมนั้นหลังจากเช็คอินท์ เข้าห้องพักที่มีสัดส่วนเล็กว่าห้องพักมาตรฐานในประเทศไทย 2 ใน 3 โดยเฉพาะตรงห้องน้ำ นั่งปุ๊บเต็มปีบทันที ช่องทางเดินระหว่างห้องและลิฟต์ดูมากจริงๆ
โดยหลังทานข้าวที่คิดตามรายหัว หัวละ 220 บาท ประมาณสองทุ่ม พวกเราก็ออกมาเดินเที่ยวสำรวจตามเคย สิ่งที่เก็นติ้งได้เปิดบริการเพิ่มเติมจากอดีตนั้น มีมากมาย หิมะจำลอง สกีบอร์ด พายเรือ ยิงธนู ร้านอาหาร ร้านของที่ระลึกที่ระดมทั่วทวีปเอเชียมารวมกันที่นี่หมด สวนสนุก สวนน้ำ บนยอดเขาเทียมเมฆยังมี

สิ่งหนึ่งที่ต้องปรบมือดังๆ คือการบริหารจัดการของเขาระดับโลกจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปา ระบบกำจัดขยะ ระบบระบายน้ำ สิ่งปฏิกูล ระบบขนส่ง และระบบการรักษาความปลอดภัย นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากให้คณะเราได้เห็น ได้สัมผัส ถึงสิ่งที่ฝ่ายราชการของเรา ชอบอ้างว่า “พื้นที่ยากลำบากในการพัฒนา” เก็นติ้งนี่มันยอดเขาสูงทะลุเมฆกลางป่าทึบ มนุษย์สองมือสองแขนหนึ่งสมองเหมือนเราๆ เขายังทำได้ กับแค่เอาน้ำในแม่น้ำลำคลองที่ไหลผ่านตลอดปีตลอดชาติมาบริหารจัดการให้เพียงพอ และเกิดประโยชน์สูงสุด ทำไมเราจึงทำไม่ได้
การมาครั้งนี้ ต่างจากครั้งแรกกันลิบลับ ครั้งแรกนั้นมาเพื่อศึกษา แต่เรากลับได้แต่บันเทิง แต่เรามาครั้งนี้ตั้งใจมาบันเทิง แต่กลับดันได้การศึกษา สิ่งที่พบสิ่งที่เห็น กลับเป็นเรื่องตรงกันข้ามกลับเมื่อก่อน การที่รัฐบาลมาเลเซียออกกฎห้ามคนมาเลย์เชื้อสายมาลายูห้ามเข้าบ่อน แต่ปล่อยปละละเลยให้คนมาเลย์เชื้อสายอื่นๆ โดยเฉพาะคนมาเลย์เชื้อสายจีน เข้าไปหมกมุ่นการพนัน จนไม่ทำมาหากิน ไปเป็นแมงดานายหน้าโสเภณีขายตัว มันช่างเหมือนพ่อรักลูกไม่เท่ากัน อีกคนหนึ่งปกป้องดูแลส่งเสริม แต่อีกคนกลับทิ้งขว้างให้ช่วยตัวเอง

ขากลับลงมา ระหว่างนั่งกระเช้า ผมจองมองอาคารใหญ่โตที่ยอดเขา นึกย้อนไปยังบ้านเกิดเมืองนอนที่สามจังหวัดฯ นี่มันเรื่องเดียวกันแต่คนละที่แค่นั้นเอง ความเท่าเทียมยุติธรรม ในนโยบายของรัฐแต่ละแห่ง ทำไมมันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ในมิติความเหลื่อมล้ำของเผ่าพันธุ์เสียเหลือเกิน
บนแผ่นดินเดียวกัน คนพันธุ์เดียวกัน แต่ดันเกิดกันคนละรัฐ พันธุ์เดียวกัน คนแรกเป็นชนชั้นสอง ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวด้วยอาชีพชั้นต่ำ เพราะถูกปิดกั้นการศึกษา การพัฒนา และโอกาส จึงแตกต่างกับพันธุ์เดียวกันอีกคนที่มีรัฐคอยดูแลส่งเสริมและป้องกัน

ความผิดไม่ใช่ของคนอีกพันธุ์ที่ดีกว่า แต่ผิดที่ต่างพันธุ์ต่างคิดว่า “พันธุ์ของตนสูงสำคัญกว่าอื่นใด” นี่หรือคำตอบของ “คลื่นลูกที่สาม” ผมมุ่งหน้ามะละกา เพื่อหาคำตอบ ความเหลื่อมล้ำระหว่างเผ่าพันธุ์บนคาบมาลายูต่อไป (โปรดติดตามตอนต่อไป)

ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐปะหัง จาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เป็นหนึ่งในสิบสามรัฐที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธรัฐมาเลเซีย และเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดบนคาบสมุทรมาเลเซีย ครอบคลุมบริเวณแอ่งแม่น้ำปะหัง มีอาณาเขตติดต่อกับรัฐกลันตันทางทิศเหนือ ติดต่อกับรัฐเประ รัฐสลังงอร์ และรัฐเนกรีเซมบีลันทางทิศตะวันตก ติดต่อกับรัฐยะโฮร์ทางทิศใต้ ส่วนทางทิศตะวันออกติดต่อกับรัฐตรังกานูและทะเลจีนใต้
เมืองหลวงของรัฐคือกวนตัน (Kuantan) ส่วนเมืองของเจ้าผู้ครองตั้งอยู่ที่ปกัน (Pekan) เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ กัวลาลีปิส เตเมร์โละห์ และรีสอร์ตเชิงเขาที่ที่สูงเก็นติง ที่สูงจาเมรอน และเฟรเซอส์ฮิลล์
ชื่อเฉลิมเมืองของรัฐปะหังคือ ดารุลมักมูร์ ("ถิ่นที่อยู่แห่งความเงียบสงบ")
องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของผู้คนในรัฐนี้ประมาณอย่างหยาบ ๆ ได้แก่ ชาวมาเลย์ + ภูมิบุตร 1 ล้านคน ชาวจีน 233,000 คน ชาวอินเดีย 68,500 คน อื่น ๆ 13,700 คน และไร้สัญชาติ 68,000 คน




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 19 พฤษภาคม 2553 20:59:18 น.   
Counter : 1155 Pageviews.  

ดูงานมาเลย์ 3เยือน อิโปร์ เก็นติ้งไฮแลนด์

เขาห้ามเราถ่ายในอาคารวังเก่าเปรัคไม่อยู่


(ต่อจากตอนที่แล้ว) คณะฯของเรามั่งที่จะได้เยี่ยมชมพระราชวังของสุลต่านรัฐเปรัค ทั้งวังหลังใหม่และวังหลังเก่า ซึ่งวังหลังใหม่มีรูปแบบสถาปัตยแบบตะวันออกกลางใหญ่โตมโหฬารดูโดดเด่นสวยงามมาก และพระสนมของอดีตสุลต่านก็เป็นคนไทยเบตง เกิดที่บ้านมาลา ตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ชื่อ นางสุทิน
น่าจะเป็นที่ใส่ใบรับรองการครองตำแหน่งสุลต่าน

โดยจากการเล่ากล่าวจากปาก แบกีร์ ไกด์ของเรา คุณสุทิน มักจะยินดีต้อนรับคนไทยที่มาเยี่ยมเยือน ด้วยจิตไมตรีเสมอมา แต่น่าเสียดายที่วันนั้นคุณสุทินไม่อยู่ พวกเราได้แค่ถ่ายรูปที่บริเวณหน้าพระราชวังใหม่ ที่ใหญ่โตอลังการ แต่ไม่ได้เข้าไป
มัสยิดอุบัยดิยะห์หน้าวังเปรัค ภาพโดย Bgปราณชลี
คณะเราเลยแวะเข้าไปชมพระราชวังหลังเก่า ที่สุลต่านได้ก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมแบบท้องถิ่น เพิ่งบูรณะใหม่ การตกแต่งดูสวยงาม ซึ่งปัจจุบันได้ปรับเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ซึ่งคนไม่รู้ไม่ผิด พวกเราถ่ายกันพรึบพรับ
เมืองอิโปร์ในมุมสูง ภาพโดย Bgปราณชลี

เราใช้เวลาเยี่ยมชม 30 นาที หลังจากนั้นเราก็ ออกเดินทางไปยังรัฐปาหังเพื่อมุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย คือ “เก็นติ้ง” โดยระหว่างทาง เราต้องผ่านเมืองอิโปห์ เมืองหลวงแห่งใหม่ของรัฐเปรัค แทนเมืองหลวงเก่าคือเมือง “ไตปิง” เมืองริมแม่น้ำเปรัค
กระเช้าไฟฟ้าที่เก็นติ้ง
ในอดีตนั้น เมืองอิโปห์ถือเป็นแหล่งดีบุกที่ชุกและใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนมากต่างอพยพกันมาเพื่อตั้งถิ่นฐาน ทั้งที่มาเอง และติดตามคนอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ล่าอานานิคมประเทศเอเชียตะวันออกในขณะนั้น จนกระทั่ง รัฐเปรัค ได้ผงาดขึ้นเป็นรัฐที่มั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งบนคาบสมุทรมาลายู
กระเช้าไฟฟ้าที่เก็นติ้ง 2

ปัจจุบันอิโปห์เป็นเมืองที่มีประชากรกว่า 5 แสนคน โดย 80 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวมาเลย์เชื้อสายจีน ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเคยมีโอกาสมาเยือนเมืองอิโปห์แห่งนี้ ร่วมกับเบอร์เกอร์ปราณชลี และผู้ใหญ่โก๊ะ เพื่อมาร่วมงานครบรอบการต่อสู้ปลดแอกการครอบครองอานานิคมของอังกฤษ ของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ในครั้งนั้นผู้เขียนก็ได้สัมผัส ชื่นชมสภาพบ้านเมืองที่เป็นอกลักษณ์ ของอาคารแบบตึกแถว แนวสถาปัตยกรรมแบบผสมของยุคล่าอานานิคม ใกล้เคียงกับตัวเมืองภูเก็ต หรือที่เมืองเบตงในอดีต
สวนน้ำบนยอดเขา เขาทำได้จริงๆ

ความทรงจำ “เมืองอิโปร์”ของผู้เขียนที่ไม่ลืมเลือนอีกอย่างก็คือ บรรดาหญิงสาวชาวจีนที่นี้ ดูดี สะอาด แต่งตัวทันสมัย ไม่สาวใดในโลกนี้ อีกทั้งการเสริฟชา กาแฟร้อนๆที่นี่ กับแก้วมหึมาขนาดเท่าแก้วเบียร์ก็ยังตราตรึงมิลืมเลือน
โรงแรมที่มีห้องพักมากที่สุดในโลกกว่า 6,000 ห้อง อยู่บนนี้
เวลาประมาณ 16.30 น. หลังจากที่ออกมาจากเมืองอิโปร์ คณะฯเราก็เดินทางมาถึงตรงทางแยก เพื่อไต่ขึ้นไปยัง " เก็นติ้ง "ในรัฐปาหัง เราใช้เวลาอีก 45 นาที เราก็ถึงสถานีรถกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลก ประมาณ 3 กิโลเมตร ผุ้เขียนสังเกตโดยรอบบริเวณ อาคารแห่งนี้ วันนี้บรรยากาศไม่คึกคักเหมือนปี พ.ศ. 2547 ที่ข้าพเจ้าเคยร่วมมากับคณะศึกษาดูงานของสถาบันพระปกเกล้า
เหมือนสวรรค์ที่เก็นติ้ง
พวกเราต่างทยอยกันขึ้นไป กระเช้าละ 6 คน ไปสองสามกระเช้าก็ครบทริป โดยส่วนใหญ่คณะฯเราพึ่งจะมาเป็นครั้งแรก การได้นั่งกระเช้าไฟฟ้า จึงตื่นเต้นออกอาการ
สำหรับการนั่งกระเช้าในบรรยากาศยามเย็นนั้น เป็นประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การจดจำอย่างยิ่ง เพราะในระหว่างที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า กระเช้าไฟฟ้าจะไต่ความสูงไล่ตามดวงอาทิตย์ เป็นการไล่ตามแสงอาทิตย์ที่น้อยครั้งในชีวิตผมจะได้สัมผัส
สวนสนุกที่มากกว่าบนพื้นราบเสียอีก

เมื่อคณะฯขึ้นมาถึง “เก้นติ้ง” นาทีแรกที่สัมผัส อากาศที่หนาวเย็นจะพัดมากระทบใบหน้า สร้างความสดชื่น หลังจากที่เหนื่อยล้าจากการเดินทาง เพราะเก็นติ้งไฮร์แลนด์ ที่เป็น City of Entertainment ระดับโลก ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 1800 เมตรจากระดับน้ำทะเล (โปรดติดตามตอนต่อไป)




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 16 พฤษภาคม 2553 23:25:26 น.   
Counter : 1296 Pageviews.  

1  2  

areebet
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add areebet's blog to your web]