3วัน2คืน กับการใช้สิทธิบัตรทองผ่าตัดก้อนเนื้อที่หน้าอก

ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่านี่เป็นการผ่าตัดครั้งแรกของเรา เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางเดือนต.ค. ที่ผ่านมานี้เอง ฮี่ๆ ตอนนี้ก็อายุ 22 ปี สาเหตุที่ทำให้เกิดการผ่าตัดครั้งนี้ขึ้น ก็ต้อนย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว (ย้อนเยอะไปมั้ย) 


ตอนนั้นเรียนอยู่ ป.6 วันหนึ่งคิดอะไรไม่รู้ ลองคลำหน้าอกดูว่าจะมีก้อนเนื้อไหม แล้วมันก็เจอ! ตอนนั้นตกใจมาก แต่ด้วยความที่เป็นเด็กยุคใหม่ เลยไม่บอกใคร แต่ลองค้นหาข้อมูลในเน็ตดูเองก่อนว่าก้อนที่เจอเนี่ยมันคืออะไร ตอนนั้นข้อมูลที่ค้นพบมันก็บอกว่า ถ้าอายุไม่เยอะก้อนที่เจอส่วนใหญ่เป็นก้อนเนื้อต่อมหน้าอกที่กำลังเติบโต เราก็เลยปลอบตัวเองแบบนั้น แล้วก็เมินเจ้าก้อนๆ นี้มาจนถึงปัจจุบัน


นั่นล่ะค่ะ ปัจจุบันก็เรียนอยู่ปี4 แล้ว ใกล้จบแล้ว ขณะอาบน้ำอยู่ๆ ก็เกิดคิดถึงเจ้าก้อนเนื้อในวัยเด็กขึ้นมา ก็เลยลองคลำดูอีกครั้ง ปรากฎว่า เฮ้ย!!! เหมือนว่าใหญ่ขึ้น!! ดูเป็นก้อนชัดเจนขึ้นแบบ มึง ไม่ใช่ก้อนต่อมหน้าอกแน่แท้ เพราะมีอยู่แค่ข้างเดียว จากนั้นก็เลยตัดสินใจบอกแม่ แล้วก็ใช้สิทธิบัตรทองกับโรงพยาบาลของมหาลัยที่เรียนอยู่ 


มีการตรวจมาเรื่อยๆ ทั้งให้หมอคลำธรรมดา ไปอัลตร้าซาวด์ เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ จนได้ผลสรุปจากหมอว่า ก้อนเนื้อที่มีเนี่ย ไม่ใช่เนื้อร้าย เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไป 


แต่ค่ะแต่ มันมีอยู่ประโยคหนึ่งที่เราได้ยินจากหมอที่เขาทำอัลตร้าซาวด์ให้เราว่า "น่าจะเป็นพวกก้อนฮอร์โมน ที่จะใหญ่ขึ้นตามการเติบโตของเรา" ซึ่งตอนที่ได้ยินครานั้นเราก็คิดเลยว่างี้ถ้าปล่อยไว้ในตัว มันก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุเราใช่ไหม? แต่ก็ไม่เคยถามหมอนะคำถามนี้


ย้อนกลับมาหลังจากฟังผลจากการเจาะก้อนเนื้อตรวจเรื่องมันไม่ใช่เนื้อร้าย เราก็นิ่งไปแปปนึง แล้วก็ถามหมอเพื่อความแน่ใจว่า "ก็คือไม่ต้องไปทำอะไรกับมันก็ได้ใช่ไหมคะ" หมอเขาก็เออออไปตามเรา ว่าใช่แล้ว (หมอที่ดูแลตรงส่วนนี้เป็นหมอที่ดูวัยรุ่นหน่อย น่าจะเป็นนักศึกษาแพทย์) สักพักเขาก็ขอตัวไปรายงานอาจารย์ (อันนี้เดาเอาเอง เพราะพอกลับมาเขาก็มีทางเรื่องมาเสนอให้เราเพิ่ม) นั่นล่ะ พอกลับมาคราวนี้หมอก็เสนอขึ้นมาว่า "หรือถ้าอยากจะเอาออกก็ได้นะ"


นั่นล่ะค่ะ ที่มาของบันทึกในวันนี้ แหม ถ้าเก็บไว้แล้วมันไม่สบายใจจะเก็บทำไม ถ้ามีโอกาสให้ตัดออกไปตั้งแต่ยังเป็นก้อนเล็กๆ ตอนเรายังมีเรี่ยวแรง มีคุณพ่อที่ช่วยอาสามาส่งมารับ อย่างไรมันก็ดีกว่าแก่แล้วต้องเดินทางมาโรงพยาบาลคนเดียว อย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายจริงไหม


โดยบันทึกอันนี้เราพิมพ์ใส่ note ในมือถือ จะเป็นสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย ก็รับรองความสดได้เลย เพราะเกิดปุ๊บถ้ามือถืออยู่ใกล้ก็หยิบขึ้นมาพิมพ์ปั๊บ 5555


สำหรับคนที่อยากรู้เรื่องค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ตรวจกระบวนการแรก จนโดนส่งไปอัลตร้าซาวด์ ได้ฟิล์มก้อนเนื้อบริเวณหน้าอกมา เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ การตรวจขั้นต้นก่อนวันผ่าตัด การเดินเรื่องจองเตียงสำหรับนอนค้างในวันผ่าตัด หรือแม้แต่การผ่าตัดเองเนี่ย ซึ่งกินเวลาหลายเดือนอยู่ (เริ่มไปตรวจครั้งแรกวันที่ 28 ก.ค. 57 วันผ่าคือวันที่ 21 ต.ค. 57) เสียเงินไปทั้งสิ้น 30 บาทถ้วน 


โอ้วโหว ขนหน้าแข้งยังอยู่ครบเลยทีเดียว อิอิ


==========================


นอนรพ.วันแรก ได้นอนห้องรวม (หญิงล้วน) มีแอร์ด้วย ส่วนใหญ่สมาชิกเป็นคนสูงอายุซะเยอะ มีที่ยังผมดำรวมเราด้วยก็ 3คนเอง เข้าประจำที่เตียงปุ๊บ ก็โดนให้ไปใส่ชุดฟ้าของ รพ. กางเกงหลวมโพรกพรากมาก เหมือนกางเกงที่ไว้ใส่ตามค่ายของมหาลัย (เรียกว่าอะไรน้า นึกไม่ออก) เสื้อก็แบบผูกๆ ถามนางพยาบาลว่าต้องถอดชั้นในด้วยมั้ย ก็ได้รับคำตอบว่ายังไงก็ได้ เพราะยังไม่ได้ผ่าวันนี้ ก็เลยขอเก็บไส้ในไว้ก่อนเพราะห้องหนาวมาก เตียงที่อยู่แอร์ตกพอดี


พอขึ้นมานั่งบนเตียงปุ๊บ บรรยากาศชวนให้ล้มตัวนอนแบบสุดๆ (ตามประสาคนขาดนอน) แต่เกรงว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับ ก็เลยหยิบ Maze Runner เล่ม 1 ขึ้นมาอ่านแทน อ่านไปได้ครู่นึงก็มีคนเอาอาหารมาเสิร์ฟ 


อาหารมื้อแรกในรพ.!! เห่อมากขอถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก ข้าวมันไก่พร้อมน้ำซุป มีของหวานเป็นข้าวเหนียวเปียกด้วย ชอบๆอร่อยดี กินหมดเกลี้ยงเลย (เว้นน้ำจิ้มที่เผ็ดเกินลิ้นของเราจะรับไหว) ส่วนข้าวเหนี่ยวเปียกรสชาติแอบเหมือนเอายาแก้ไอเด็กมาผสมหน่อย 5555 เหลวไปนิด แต่นั่นแหละ ชอบของหวานแนวเปียกๆนุ่มๆแบบนี้อยู่แล้ว ซัดเรียบเลย


บ่ายโมงกว่า ขณะที่กำลังกระดิกเท้าเล่นบนเตียง ก็มีนางพยาบาลเข็นรถเข็นใส่ของตักบาตรเข้ามา บอกพรุ่งนี้จะมีพระเข้ามาตักบาตรถึงเตียงรูปหนึ่งตอน 7โมงเช้า ใครสนใจสามารถซื้อของใส่บาตรได้ ประสบการณ์ตักบาตรในรพ.แบบนี้หายาก เลยจัดมาชุดนึง 50.- พอนางพยาบาลเข็นรถเข็นออกไป ข้างนอกที่ตอนแรกฟ้ามืดๆ ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ แอร์ที่ว่าเย็นอยู่แล้วยิ่งหนาวเป็นขั้วโลกเหนือเลยทีเดียว เฮ้อ ปวดฉี่จัง 55555 แต่ขี้เกียจถอดกางเกง


หลังจากพ่ายแพ้ต่อกระเพาะปัสสาวะ ก็นั่งเล่นชิวๆ ดื่มด่ำกับกลิ่นดินกลิ่นฝน (ประเด็นคือง่วงละอยากนอน แต่รออาหารย่อยก่อน) มีเบอร์มือถือไม่รู้จักโทรเข้ามา ตอนแรกนึกว่าคงเป็นช่างจากบริษัท Autobot ที่เราติดต่อไปว่าของมีปัญหา ที่ไหนได้กดรับปุ๊บเพลงริงโทนดังลั่นหูเลยจ้า สลัดผักมาก! กดบล็อกแ-่งเลย


แอบนอนไปชม.กว่า ตื่นขึ้นมามีพี่นางพยาบาลเข้ามาวัดความดัน อุณหภูมิ แล้วก็เอาเครื่องอะไรไม่รู้มาหนีบนิ้วชี้เพื่อวัดค่าบางอย่าง หรือถามว่าตั้งแต่เช้าฉี่กี่ครั้งเป็นต้น ให้กับคนไข้ทุกเตียง (รวมเราแล้วมี10คน) และบริการเสริมอื่นๆ ในบางเตียง


เสร็จตอนประมาณสี่โมงกว่า มีนางพยาบาลมาตรวจความเรียบร้อยของคนไข้อื่น พร้อมกับแวะบอกเราด้วยว่าอีกสักครู่หมอจะลงมาดู จากนั้นข้าวมือเย็นก็ทยอยเข้ามาเสิร์ฟ เมนูตามอาการของแต่ละคน ของเราพอเห็นถาดข้าวปุ๊บแอบทุกข์เล็กน้อย เพราะมีปลาผักพริกที่ดูเผ็ด (กินแล้วก็เผ็ดจริงๆ) ชีวิตเศร้าไปเลยเพราะกินเผ็ดไม่เป็น แต่ก็อดทนยัดเข้าไปเพราะไม่อยากเป็นคนเรื่องมาก (แต่สุดท้ายก็กินปลาไม่หมด ขอโทษค่า TwT)


ระหว่างกินมีหมอแวะมาหา2รอบ รอบแรกเป็นกลุ่มหมอมาสอบถามอาการ+ตรวจเช็ค พร้อมให้เราเซ็นยินยอมผ่าตัด รอบสองคือหมอที่ดูแลด้านการรมยาสลบ เหตุที่ใช้วิธีรมยาไม่ใช้บล็อคหลัง เพราะเราผ่าที่อกมันบล็อคยาก มีการซักประวัติก่อน จากนั้นก็อธิบายให้ฟังว่าจะต้องมีต่อท่อลงทางปาก ถ้ามีใส่ฟันปลอมถอดได้ก็ให้ถอดก่อน ซึ่งของเรามีจัดฟันอยู่ หมอได้ยินก็ทำหน้าลำบากใจเพราะมันถอดไม่ได้แล้วก็ให้เราลองแลบลิ้นอ้าปากกว้างๆ หันซ้ายสุด ขวาสุด ก้มหน้าสุด เงยสุด เพื่อทดสอบซึ่งก็ดูไม่น่ามีปัญหา แล้วก็ให้เซ็นยินยอมการรมยา 


หลังหมอไป กินข้าวเสร็จก็ไปแปรงฟันเตรียมตัวนอน ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรต่อหรือเปล่า...


OMG มันมีจริงๆ หนูโดนสวนก้นค่า!! ฮืออออ ประเด็นคือ มันหลอนมากตอนที่นางพยาบาลเข็นรถเข็นเข้ามา แจ้งให้คุณยายที่อยู่ริมสุดทราบว่าต้องสวนก้น เพื่อให้เอาของเสียออกมาให้หมด เพราะไม่รู้ว่าตอนที่คุณยายโดนวางยาสลบมันจะออกมาหรือเปล่า เราก็เริ่มหูผึ่งละ ว่าเฮ้ย งานจะเข้าป่าววะ? สวนเตียงที่หนึ่งเสร็จ ป้าที่อยู่ข้างเราก็โดนไปอีกดอกเช่นกัน มองไปที่รถเข็นมีกล่องเขียว ที่ใส่อุปกรณ์การสวนก้นเหลืออีก1อัน มันขำที่ไม่รู้จะฮาหรือร้องไห้ดี ที่คนทั้งห้องมองมาที่เราแบบรู้ว่ามึงโดนสวนก้นรายต่อไปแน่ๆ ฮือออ


แน่นอนว่าไม่รอด พอพยาบาลอธิบายเสร็จก็ดึงผ้าปิดรอบเตียง เราถอดเกง+เกงในเสร็จ คุณเธอก็สวนเลยจ้า รู้สึกได้ถึงน้ำเย็นๆ ที่พุ่งเข้ามาทางประตูหลัง (18+ มั้ย) เสียบเสร็จเขาบอกอีก 15นาที จะปวดก็ให้ไปเข้าห้องน้ำ ที่ไหนได้ ไม่ถึงนาทีก็ปวดค่า!! แทบกลั้นใจรอป้าเตียงข้างๆกลับมาจากห้องน้ำไม่ทัน หมดไปก็อกหนึ่ง นี่ไม่รู้ว่าจะมีก็อกสองไหม หวังว่าจะไม่มี T T


ขณะนี้2ทุ่มยี่สิบ ทุกเตียงนอนยกเว้นเรา โถ่ ปกตินอนตี1ตี2 เอาเถอะลองนอนดูก่อนก็ได้


กว่าจะปิดไฟทั้งห้องก็สี่ทุ่มกว่า ตอนตี1 มีคนไข้เตียงตรงข้ามมานอนเพิ่มอีกคนมีหมอตามมาด้วย ไม่รู้เพิ่งเสร็จจากการผ่าตัดหรือเปล่า


ตื่นเช้ามาตอนตี4 นางพยาบาลเริ่มทำงานอีกครั้ง มีคนเอาชุดคนไข้ใหม่มาให้ ยายกับป้าข้างๆลุกไปอาบน้ำ เราเลยรอจนทั้งคู่กลับมาแล้วไปอาบบ้าง (มีน้ำอุ่นด้วยล่ะ) กลับมาเจอนางพยาบาลรอเราอยู่คนเดียว (วัดไข้/ความดัน/กับหนีบนิ้ว) ได้ความว่าจะมีการวัดตอนตี5 วันหลังให้รอก่อน (ขอโทษค่ะหนูไม่รู้จริงๆ)


ตอนนี้คอแห้งผากหิวน้ำมาก เพราะโดนให้งดน้ำมาตั้งแต่เที่ยงคืน ฮือออ เอาเถอะ ตอนนี้สิ่งที่กลัวหลังผ่าตัดอย่างเดียว คือเดินไปเข้าห้องน้ำเองไม่ได้ แล้วต้องให้คนอื่นช่วยนี่แหละ


ก่อนที่จะสวนก้นคืนก่อน นางพยาบาลมีอธิบายว่านอกจากตื่นมาแล้วเจอท่อต่อเข้าไปในปากเพื่อช่วยหายใจแล้ว เราอาจจะต้องมีเจาะสายเอาของเสียเช่นเลือดกับน้ำหนองออกด้วย ฟังแล้วก็ อื้ม...เอาเถอะ จะโดนอะไรก็ต้องโดนแล้วล่ะนาทีนี้ /อ้อ ขณะนี้หกโมงสิบนาที ฟ้าเริ่มสว่าง นกเริ่มร้องแล้ว


ตอนเจ็ดโมงมีพระมาตักบาตรถึงเตียงของทุกคน เป็นพิธีการที่เรียบง่ายแต่ก็ทำให้รู้สึกดีนะ


7.35 มีหมอแวะมาทักทายคนที่ต้องผ่าตัดวันนี้ (ในห้องมี3คน) พูดให้คลายกังวล ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่หมอก็บอกว่าของเราไม่ต้องกังวลเพราะผ่าแผลเล็กนิดเดียว


7.48 อ่าน Maze Runner ไปเกินครึ่งเล่มละ เริ่มเบื่อ อยากล้มตัวนอนฆ่าเวลามาก แต่พอคิดว่าเดี๋ยวก็ต้องหลับเพราะยาสลบอยู่ดี ก็เลยเกรงว่านอนเยอะๆ แล้วตัวจะเปื่อย (อันนี้คิดเอาเอง 555) ว่าแล้วก็อ่านนิยายต่อดีกว่า


8.27 ย๊าา ตื่นเต้นจัง เมื่อกี้มีคนมาพาป้าข้างๆ ไปผ่าตัดแล้วววว 


9.10 เมื่อกี้คนไข้ที่สามารถลุกเดินได้โดนไล่ออกไปอยู่นอกห้องหมด เพราะนางพยาบาลจะทำความสะอาดเตียง เพิ่งได้กลับเข้ามา เจอผ้าห่มพับเรียบร้อยที่ปลายเตียง สังเกตเห็นว่าบนเตียงของคนที่มีนัดผ่าวันนี้ มีผ้าปูกันเลอะ พาดอยู่ตรงช่วงกลางเตียงเพิ่มขึ้นมาด้วย ในส่วนของเตียงเราผ้าแอบมีเปื้อนแต้มดวงใหญ่สีเหลืองอยู่ ไม่รู้ว่ามาจากเลือด น้ำเหลือง หรือของเสียอันอื่น ซึ่งไม่เป็นไรเพราะถือว่าผ่านการทำความสะอาดฆ่าเชื้อมาแล้ว ว่าแต่จะนอนดีไหมหนอ นอนแล้วนอนอีกจะเป็นไรไหมน้า


9.32 แอบเจ็บแปลบๆ นิดๆ ตรงบริเวณก้อนที่จะผ่า สงสัยจะรู้ตัวนะเนี่ย ไม่ได้เกลียดนะ แต่คิดว่าเราแยกกันอยู่ดีกว่า


9.39 เอาล่ะเบื่อจะรอ นอนดีกว่า


9.55 เคลิ้มๆ จะหลับ ก็มีนางพยาบาลมาวัดอุณหภูมิ กับความดัน และหนีบนิ้ว (สรุปมันคืออะไรก็ยังไม่รู้) พร้อมกับแจ้งให้คุณยายทราบว่าถึงคิวมีรถเข็นมารับแล้ว ฮู่ววว ตอนแรกเฉยๆเลยตื่นเต้นขึ้นมาเลย


โอเค ตอนนี้สามทุ่ม พยาบาลปิดไฟห้องพักละ สรุปตอนประมาณ 10โมงกว่า ก็มีคนมารับตัวใช้วิธีนอนบนรถเข็นไป รู้สึกแปลกดีไม่เคยมีใครมาเข็นเตียงแบบนี้ให้ 555 ไปถึงชั้นบนหน้าห้องผ่าตัด มีนางพยาบาลมาวัดค่าอีกครั้งพร้อมซักประวัติคร่าวๆ จากนั้นก็รอยาวเลย นางพยาบาลบอกหลับรอไปก่อนก็ได้เพราะหมอบอกจะเข้าเที่ยง


เราก็เอ่อะ โอเคนอนรอละกัน เพราะตอนนั้นไม่ได้ใส่แว่น โลกเลยเบลอๆ รออยู่ครู่ใหญ่ จนทุกเตียงที่รออยู่ข้างๆโดนเข็นเข้าไปหมดนานมากแล้ว ก็ถึงคิวเราสักที


ตอนที่กำลังเข็นเข้าห้องผ่าตัดนางพยาบาลก็บอกให้แกะเชือกที่ผูกปิดเสื้อออกได้เลย พอเข้าไปถึงในห้องผ่าตัดปุ๊บแอร์เย็นมาก ลักษณะเป็นกำแพงเหลี่ยมๆ ปูกระเบื้องขาวเหมือนอยู่ในห้องน้ำ มีคนรออยู่เยอะทีเดียว เท่าที่ฟังน่าจะเป็นนิสิตแพทย์เกือบหมด


หลังจากเปลี่ยนไปนอนบนเตียงผ่าตัดแทน ก็โดนจัดท่าทางใหม่ มีการเอาเส้นมารัดขาไว้ มีที่สำหรับวางแขนกางออกมา 2 ข้างให้เหยียดออกได้ มองเงาสะท้อนตัวเองในหลอดไฟข้างบนแล้วเหมือนพระเยซูตอนอยู่บนไม้กางเขนเลย (แค่จะเปรียบให้เห็นภาพเฉยๆ ไม่ได้ลบหลู่นะ)


มีนิสิตแพทย์มาติดเครื่องจับสัญญาณอะไรสักอย่างตรงแถวเหนืออกทั้ง 2 ข้าง ตรงสะโพกด้วย แล้วก็มีการเจาะเข็มให้น้ำเกลือตรงหลังมือขวา (เพราะจะผ่าอกซ้าย) จากนั้นก็มีคนเอาที่ครอบปากสำหรับดมยาสลบมาปิด โดยบอกให้หายใจเข้าลึกๆ ไอเราก็พยายามสูดเข้าไปๆ ประมาณ 5-6 ครั้งก็ไม่รู้สึกว่าจะหลับสักที กลัวตัวเองไม่หลับมาก ไม่งั้นซวยแน่


คิดเสร็จปุ๊บ อยู่ดีๆ ที่สูดเข้าไปก็เหมือนมีกลิ่นยาพุ่งเข้าปากมาในคอ ทำให้อยากไอออกมา แต่ ณ ตอนนั้นคือรู้ว่า นี่แหละ! มาแล้วยาสลบ!!! แล้วก็บังคับให้ตัวเองกลืนเข้าไป


แค่นั้นแหละ ประสบการณ์การผ่าตัดครั้งแรก


รู้ตัวอีกทีตอนหมอปลุก "คุณ/ชื่อจริง/ ตื่นได้แล้วนะคะ" รู้สึกได้ว่ามีคนยกเราย้ายไปที่เตียงรถเข็น แล้วก็รู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองกระตุก แบบนิ่งๆแล้วก็กระตุก ตอนแรกยังงงๆ ว่าหาตื่นอะไร? ใครตื่น? สักพักมีคนเอาถุงพลาสติกอะไรสักอย่างมาคลุมทั้งตัว แล้วก็เปิดเครื่องให้ถุงพองลม พร้อมกับที่ความอุ่นร้อนเข้ามาแทนความหนาวเย็น ตอนนั้นเองถึงเพิ่งมีสติว่า อ๋อ ที่กระตุกก็เพราะหนาวนี่เอง อ้าวนี่เราผ่าตัดเสร็จแล้วเหรอ? พร้อมกับแอบเจ็บแปลบไม่น้อยตรงบริเวณอกด้านซ้ายที่ถูกผ่าพยายามเพ่งมองนาฬิกาบนกำแพงเหมือนจะอ่านออกแบบลางเลือนว่าบ่ายโมงครึ่ง


รออยู่ครู่ใหญ่ให้นางพยาบาลเช็คความเรียบร้อย ก็เอาถุงร้อนออก แล้วเข็นกลับห้องพัก จากนั้นก็หลับๆ ตื่นๆ ยาวมาถึงสี่โมงกว่า ก็มีคนยกข้าวมาให้กิน (ของเรากินได้ แต่ของยายกับป้าเตียงข้างๆกินไม่ได้เพราะผ่าท้อง)


จากนั้นก็นั่งเล่นรออาหารย่อย เอ้อ ลืมบอก ตอนกลับมานอนเตียงเขามีเอาที่กั้นขึ้นทั้ง 2ข้าง แล้วก็มีถุงน้ำเกลือห้อยอยู่ด้านบน ทำให้เราไปไหนไม่ได้ ประเด็นคือ ตอนกินซัดน้ำไปเยอะมาก เพราะหิวน้ำ หิวข้าว ข้าวก็เผ็ดอีก เลยยิ่งซัดน้ำเยอะเข้าไปใหญ่ นั่นล่ะ ในที่สุดนรกก็มาเยือน แผลไม่ค่อยเจ็บนะหลังจากนอนมาราธอน แต่ปวดฉี่นี่สิเซ็งมาก จะเรียกนางพยาบาลก็ไม่มีคนเดินเข้ามา จะกดเรียกก็ไม่รู้ว่าเตียงเรามีที่กดหรือเปล่า หาไม่เจอ (ตอนหลังมีคนชี้ให้ดูละ ว่ามันคือปุ่มดำเล็กๆที่เสียบคาปลั๊กไฟอยู่) พยายามชะเง้อมองเผื่อว่าพ่อกับพี่จะมาเยี่ยม ก็ไม่เห็นใครมาสักที สุดท้ายกลั้นจะไม่อยู่ละ เลยรบกวนญาติคนไข้ที่นั่งเฝ้าเตียงตรงข้าม ให้ช่วยตามนางพยาบาลให้หน่อย เขาก็โอเคออกไปตามให้


แต่......... รออีกประมาณสิบนาทีกว่าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาค่ะ OMG ตอนนั้นคิดในใจว่าเฮ้ย ถ้าราดบนเตียงก็ไม่ผิดใช่ไหม ระหว่างที่รอก็พยายามชะเง้อมองดูว่าจะเอาที่กั้นเตียงออกยังไง จะหิ้วถุงน้ำเกลือไปห้องน้ำยังไงเพราะไม่มีเสาที่เขาไว้แขวน แล้วถ้าเราถือถุงน้ำเกลือไว้แล้วกระโดดข้ามที่กั้นลงไปบนพื้น แผลมันจะเปิดไหม สุดท้ายพี่ญาติคนไข้คนเดิมคงเห็นว่าเราพยายามจะเอาที่กั้นออก ก็เดินมาช่วยเอาลงให้ (ขอบคุณพี่มากๆเลยค่ะไม่งั้นคงได้ฉี่ราดเป็นแน่แท้) เป็นอิสระปุ๊บคว้าถุงน้ำเกลือ กับชิทชู่ (ในห้องน้ำไม่มีกระดาษค่ะ) พุ่งไปห้องน้ำ แต่ว่าเพราะถือต่ำไปแทนที่น้ำเกลือจะไหลเข้า กลายเป็นเลือดไหลออก สภาพสายน่ากลัวมากตอนกลับเข้ามาในห้องพัก แดงก่ำเลยทั้งสาย นางพยาบาลเห็นก็มาช่วยบีบๆให้เลือดไหลกลับ (ดีค่ะดี)


จากนั้นนางพยาบาลคงเห็นว่าเราเดินได้แล้ว ก็ให้คนเอาที่กั้นลง จากนั้นพ่อกับพี่ก็มาเยี่ยม พอทุ่มครึ่งกว่า เพื่อนในกลุ่มก็มาเยี่ยมถึงสองทุ่มหมดเวลาเยี่ยมก็กลับ นางพยาบาลถึงเดินมาเอาสายน้ำเกลือออกให้ (ดีมาก จะได้ไม่ต้องกลัวเลือดไหลย้อนตอนเข้าห้องน้ำอีก)


จากนั้นก็งีบแปปนึง ตื่นมาพิมพ์บันทึกถึงตอนนี้ (4ทุ่มละ) คนอื่นหลับไปหมดละ นอนบ้างดีกว่า


วันนี้ได้กลับบ้านแล้ววว ตอนเช้ามีข้าวต้มกับหมูฝอยมาเสิร์ฟ แผลที่ผ่าตัดยังคงไม่รู้สึกปวดแต่อย่างใด สงสัยถ้าแผลมันไม่เล็กมาก ก็แสดงว่าหมอที่ผ่าตัดฝีมือดีมาก (หรือไม่ก็สองอย่างรวมกัน)


มีหมอผู้หญิงแวะมาทำแผลให้ใหม่ โดยเอาแอลกอฮอล์ทาฆ่าเชื้อบริเวณรอบๆ แผล แล้วเอาผ้าก๊อซวางปิด ก่อนเอาเทปใสที่ไว้แปะกันน้ำ มาแปะคลุมทับอีกที หลังจากถามหมอว่าเปลี่ยนเป็นชุดกลับบ้านได้หรือยัง ก็เลยไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมกลับบ้าน ตอนช่วงสิบโมงกว่า 


จากนั้นก็นั่งแกร่วยาวเลย เพราะรอใบรับรองแพทย์ที่เดินเรื่องนานมาก คาดว่ารอหมอเซ็น เพราะระหว่างที่รอมีหมอกลุ่มใหญ่ เข้ามาดูผู้ป่วยทีละเตียง เพราะกับให้หมออายุน้อยรายงานผลว่าคนไข้แต่ละเตียงที่เพิ่งผ่าตัดมา มีอาการเป็นไง ทำไมต้องผ่า ผ่าอย่างไร (เดาเอา เพราะใช้ศัพท์เฉพาะทาง) ก็เดินกันไปทีละเตียงๆ จนเที่ยงกว่าก็เสร็จ หลังจากหมอออกไปไม่นานนางพยาบาลก็เอาใบรับรองแพทย์ กับยาที่ต้องกิน แล้วก็ใบนัดตรวจแผลครั้งต่อไปมาให้


==========================


ตอนนี้ก็ผ่านมา 2 วันแล้วหลังจากได้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน สังเกตุจากน้ำเหลือง หรือไม่ก็เลือดที่ซึมออกมานิดหน่อยในวันแรก ก็เล่นเอามือไม้อ่อนรีบนอนพักผ่อนกันไม่ทันเลยทีเดียว 


สรุปความรู้สึกโดยรวมคิดว่าตัวเองคุ้มมากๆ ที่จ่ายแค่ 30 บาท แต่ได้รับการรักษาที่เยอะเกินกว่าที่คาดไว้ (โดยเฉพาะสวนทวารเนี่ย เกรงใจไม่อยากได้เลยจริงๆ T T")  


ต้องบอกก่อนว่าเรานี่โชคดีอยู่เรื่องหนึ่งเพราะโรงพยาบาลที่เรารักษาด้วย ปกติไม่มีสิทธิบัตรทองให้ แต่เพราะเราเข้ามาเรียนที่นี่ตอนช่วงปี1 เขามีให้กรอกข้อมูลสำหรับคนที่สนใจย้ายสิทธิบัตรทองจากที่อื่น มาเป็นที่นี่แทน เราก็มีหรือจะพลาด เลยจัดทันทีแบบไม่ต้องคิด 


ภายหลังช่วงที่มาตรวจถึงได้รู้จากนางพยาบาลว่า สิทธิบัตรทองของโรงพยาบาลนี้เนี่ยไม่ใช่จะได้กันทุกคน จะได้เฉพาะนักศึกษาที่ทำเรื่องย้ายมา หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลเท่านั้น โดยสิทธิรักษานี้จะอยู่ไปได้ตลอดชีวิตเลย ตราบใดที่เราไม่ไปทำงานในหน่วยงานที่เขามีสิทธิรักษาของเขาอยู่แล้ว เช่นรับราชการงี้ สิทธิก็จะโดนยกเลิกไป แต่ถ้าทำเป็นพวกกิจการส่วนตัว ขายของออนไลน์ (แบบเรา) ก็ใช้ได้ตลอดเลย เย้ๆ 


สุดท้ายนี้เหมือนว่าถึงไม่สิทธิบัตรทองของที่นี่ แต่ถ้าจำเป็นต้องรับการรักษาขั้น Advance ก็สามารถทำเรื่องส่งตัวมารักษาที่นี่ได้เหมือนกัน เป็นข้อมูลจากที่ได้คุยกับคนไข้อื่นๆ ในห้อง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงอะไร แล้วไม่มีเงินค่ารักษา ก็อย่ารอช้ารีบไปตรวจกันแต่เนิ่นๆ ดีกว่า ก่อนที่จะลุกลามบานปลายแก้ไม่ทัน


ปล. เสริมหน่อย อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรากังวลมากแล้วตัดสินใจไปตรวจ เพราะย่าเราเองก็เป็นมะเร็งเต้านม ปัจจุบันตัดนมไปแล้วข้างหนึ่ง ซึ่งภายหลังหมอหญิงที่มาทำแผลให้ก่อนออกโรงพยาบาลก็บอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงไปเพราะย่าเราเป็นตอนแก่แล้ว ไม่ส่งผลต่อกรรมพันธุ์ ถ้าเป็นช่วงสมัยสาวๆ นี่สิ รุ่นต่อมาอย่างเราถึงค่อยน่าเป็นห่วง




Create Date : 24 ตุลาคม 2557
Last Update : 24 ตุลาคม 2557 19:19:49 น.
Counter : 403 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ซารางเหมียวหง่าว
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]