อลินน์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
 
 

ลำนำรักสายลม ตอนที่ 4.1โดย อลินน์

ความคาดเดาของทุกคนยังเป็นไปอีกหลายวันจนกระทั่งวันซ้อมใหญ่               คณะนักแสดงจากกรุงเทพฯ เดินทางมาถึงโรงเรียนช่วงบ่าย ทั้งหมดเป็นสาวน้อยอายุประมาณสิบสามถึงสิบห้าปี มีทั้งสิ้นหกคน สองในนั้นไม่ใช่ใครอื่น ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทอดยศและประภาภรณ์นั่นเอง

 

เห็นอาการปรายตามองสภาพห้องซ้อมของนักแสดงกิตติมศักดิ์แล้ว ความประหม่าเข้าครอบงำอัจจิมาอย่างช่วยไม่ได้

 

ผู้ประสานงานระหว่างคณะจากกรุงเทพฯและโรงเรียนเป็นหญิงสาว อายุน้อยกว่าครูแสงนวลหลายปี หน้าตาจืดเหมือนข้าวเกรียบว่าว แต่แต่งหน้าเข้มจนทำให้หน้าแบนดูเก๋ขึ้นมาได้ หล่อนดัดผมหยิกเป็นลอนเล็กจนฟูไปทั้งศีรษะ แนะนำตัวเองกับครูแสงนวลว่าชื่อ “คุณหญิง”

 

                คุณหญิงเป็นคนคล่อง พูดเร็วยิ่งกว่าอัตราขับรถสองแถวฝีมือ (เท้า) แฟนคนปัจจุบันของนุช ต่างกับครูแสงนวลที่พูด เน้นทีละคำ เมื่อเจออัตราเร่งแบบคุณหญิงเข้า ทักทายกันไม่กี่คำ เจ้าภาพก็กลายเป็นผู้ตามไม่รู้ตัว

 

                “หญิงขอรายการแสดงทั้งหมดนะคะ จะได้เรียนท่าน ส่วนการซ้อมนั้น หญิงขอให้น้องๆ ได้ซ้อมก่อนเพราะเดินทางมาไกล ไม่อยากให้ถึงที่พักเย็นเกินไป ไม่สะดวก”

 

                เรื่องแรกเรียบร้อย คุณหญิงยังมีเรื่องที่สอง

 

                “เวทีเล็กนิดเดียว จะไหวหรือคะ”

 

                “เวทีจริงอยู่ทางด้านโน้นค่ะ ช่วงค่ำถึงจะเสร็จ เราใช้เวทีนี้ซ้อมคิวเฉยๆ เพราะเด็กๆ ซ้อมกันเองจนคล่องแล้ว”

 

                “ตายจริง น่าจะให้เด็กได้ซ้อมกับเวทีจริงนะคะ เวลาเหลื่อมกันนิดเดียว น่าจะเร่งเวทีให้เสร็จก่อน”

 

                อัจจิมาคิดว่าจะได้ยินครูแสงนวลอธิบายว่าเวทียังไม่เสร็จเพราะครูผู้ชายต้องช่วยกัน “ขัดสีฉวีวรรณ” ให้โรงเรียนสวยงามตามคำสั่งเร่งด่วนของอาจารย์ใหญ่ แต่ครูแสงนวลก็ไม่อธิบาย

 

**********************************************

 

 

หลังการแสดงกิตติมศักดิ์ซ้อมรอบแรกเสร็จ เจ้าภาพพากันอ้าปากค้าง

 

                ชุดแสดงสวยมากจริงๆ  มันเป็นกระโปรงสีขาวสะอาด เนื้อผ้าบางฟู พองไปทั้งตัว อัจจิมาติดใจรองเท้าสีชมพูมันวาว มีริบบิ้นสีเดียวกันพันรอบข้อเท้าเหมือนรองเท้าเจ้าหญิงในหนังสือการ์ตูนของแพรวตาที่อัจจิมาเคยยืมอ่าน

 

                แต่ที่อ้าปากค้างไม่ใช่เพราะความสวยของชุด!

 

                “บัลเล่ต์ค่ะครู เป็นนาฏศิลป์ฝรั่ง” คุณหญิงเอียงหน้าเข้าหาครูแสงนวล ผมหยิกบานทำให้ไม่สามารถยื่นหน้าใกล้ครู และไม่สามารถเบาเสียงได้ด้วย

 

                “งามจังนะคะ...ชุดสวย สมเป็นมืออาชีพ”

 

                คุณหญิงไม่สะดุดหู

 

                “มืออาชีพที่ไหนกันคะ น้องๆ เป็นนักเรียนของมาดามเบ็ตตี้ เต้นรำเป็นงานอดิเรกเท่านั้น โถ ครูแสงนวล อาชีพเต้นรำ ยึดจริงจังคงไม่ได้ บ้านเราไม่เหมือนพวกฝรั่ง แล้วอีกอย่าง ถ้าน้องจะยึดบัลเล่ต์เป็นอาชีพจริงๆ คุณพ่อคุณแม่คงไม่ยอมหรอกค่ะ”

 

                “อ้อ” เสียงครูแสงนวลดังจากลำคอ

 

                “อาชีพเต้นกินรำกินไม่ยืดยาว พออายุมากหน่อยแทบไม่มีใครจ้างแล้ว ต้องผันไปเป็นครูทั้งที่เรียน ทั้งที่ฝึกฝนมาแทบตาย”

 

                ครูแสงนวลสะดุ้งน้อยๆ หน้าสีจางเปลี่ยนเป็นแดงแล้วกลับกลายเป็นสีเดิม

 

                **********************************************

 

 

                วันรุ่งขึ้น อัจจิมาตื่นแต่เช้าตรู่ แม้แต่คนนอนตื่นสายอย่างอินทิรายังตื่นแข่งกับเสียงไก่ขันด้วยอีกคน เมื่อเห็นหลานสาวคนเดียว อินทิราก็เอ่ยปาก

 

                “ไหงทำหน้าเหมือนไก่กำลังถูกเชือด ได้ข่าวว่ารำเก่งไม่ใช่เรอะ”

 

                “น้าอินได้ยินมาจากไหน” ไก่กำลังถูกเชือดซัก

 

                “ไอ้เรืองมันบอก”

 

                “อ้อ”

 

                “รู้จักเรืองด้วยรึ” อินทิราขมวดคิ้ว เด็กหญิงอธิบายว่า เคยเห็นหน้าบ้าง รู้ว่าเป็นแฟนกับนางรำแก้บนชื่อนุช คิ้วได้รูปของน้าสาวยังไม่ยอมคลายปม

 

                “อย่าไปยุ่งกับสองคนนั่นนะ เลี่ยงได้เลี่ยงซะ พวกปากร้ายก้นเปรี้ยว ยายนุชเป็นคนคาบข่าวไปฟ้องแม่เราเรื่องรำ รู้ไหมละ”

 

                สีหน้าน้าสาวไม่ได้บอกว่าพูดเล่น

 

                “อัจไม่รู้ว่าแม่รู้จักพี่นุช”

 

                “เขาเคยรำด้วยกันมาก่อน” อินทิราตอบหลังจากเงียบไปอึดใจ

 

                อัจจิมาอึ้งไป นี่ถ้าไม่ใช่เพราะงานโรงเรียน คงซักอินทิราให้รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ ความสนใจของหล่อนพุ่งไปที่เรื่องเดียว

 

“แม่จะไปงานโรงเรียนทันไหม นึกว่าจะกลับเมื่อคืนเสียอีก”

 

                “เดี๋ยวคงมา อย่ากังวลไปเลย เกิดประหม่ารำผิดรำถูกจะอายเขาเปล่าๆ กินข้าวเช้าแล้วรีบไปโรงเรียนเข้าเหอะ ต้องแต่งตัวอีกไม่ใช่เรอะ”

 

                “จ๊ะ รอแป๊บเดียวนะ หนูจะเร่งหุงข้าว”

 

                “โอยยย ไม่ต้องแล้วล่ะย่ะ น้าช่วยยายทำขนมทั้งคืนเลยจัดแจงสำรับเสร็จหมดแล้ว รีบกินรีบไปเหอะ”

 

                อัจจิมาเริ่มวางใจเมื่อได้ยินน้าสาวยืนยันเรื่องแม่ เปิดฝาชี เห็นกับข้าวน่ากินกว่าฝีมือตน ริมฝีปากบางจึงคลี่ยิ้มแจ่มใส

 

                อินทิราถ่ายทอดฝีมือทำอาหารจากคนรอบข้างครบถ้วน ยายอิ่มเก่งเรื่องของหวาน อินทิราหมั่นเป็นลูกมือเก็บวิชา ครั้นไปเสิร์ฟอาหารหารายได้พิเศษ หญิงสาวหาทางเดินเข้าออกครัว สังเกตเคล็ดวิชาวันละนิดละหน่อย ประกอบกับเป็นคนช่างซักถาม ช่างอาสา ของคาวฝีมือน้าสาวของอัจจิมาจึงมีรสกลมกล่อม เหมาะเจาะทุกจานไป เสียแต่ว่าคนในบ้านไม่มีโอกาสลิ้มรสมือเพราะเจ้าตัวไม่ค่อยมีเวลา

 

                “อย่าลืมไปจองที่นั่งนะน้าอิน สามที่ น้า ยาย แล้วก็แม่” อัจจิมาสำทับก่อนออกจากบ้าน

 

                “เห่อไปได้ มีคนอยากดูเราสักกี่คนเทียว ที่นั่งเหลือบานล่ะไม่ว่า”

 

                “โธ่ อย่าประมาทน่า อาจารย์ใหญ่เชิญแขกเยอะ ที่นั่งหมดไม่รู้ด้วยนา”

 




 

Create Date : 23 กันยายน 2555   
Last Update : 23 กันยายน 2555 13:13:07 น.   
Counter : 1205 Pageviews.  


ลำนำรักสายลม ตอนที่ 3.2 โดย อลินน์

การแสดงซึ่งใช้เวลาเตรียมการหลายวันจบลงในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที คนว่าจ้างพอใจกับการแสดงทั้งสองชุดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รำฉุยฉายยอพระกลิ่น

 

“แปลกตาดีนะ ยายเตย ขอบใจมาก ยายหนูคนรำฉุยฉายนั่นหลานหรือ” น้องสาวเฮียพิณยื่นซองน้ำใจให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อัจจิมามองยายเตย เห็นแกพยักหน้าอนุญาต จึงก้มกราบแล้วรับซองไว้ด้วยความยินดี สามีของประภาภรณ์ยืนยิ้มอยู่ไม่ห่าง โดยมีอาจารย์ใหญ่ของเด็กหญิงยืนค้อมตัวเยื้องไปทางด้านหลัง

 

อาจารย์ใหญ่เป็นที่รู้จักของผู้คนละแวกนั้นพอสมควร เนื่องจากอยู่มานาน ไต่เต้าตำแหน่งตั้งแต่เป็นครูน้อย สอนนักเรียนมาเกือบค่อนอำเภอ คนแถบศาลเจ้าแม่เห็นอาการพินอบพิเทาของอาจารย์ใหญ่ต่อเทอดยศและประภาภรณ์ ความยำเกรงจึงพลอยมีต่อชายหญิงทั้งคู่ โดยเดินหลีกไปทางอื่นบ้าง หรือเพลาเสียงคุยลงบ้าง

 

“ไม่ใช่หลานยายเตยหรอกครับ แกเป็นเด็กนักเรียนผมเอง”

 

“หรือคะ อย่างนี้ต้องชมโรงเรียนแล้วล่ะ ฝึกเด็กได้ดีขนาดนี้” ประภาภรณ์หันมองเด็กหญิงอย่างพินิจพิจารณามากขึ้น ใบหน้ายิ้มละไม ทำให้นัยน์ตาดุลดความแข็งกระด้างลงมาก

 

“ทางโรงเรียนไม่ได้เปิดสอนหรอกครับ เราไม่มีทุน แต่ยินดีสนับสนุนถ้าเด็กมีแวว” อาจารย์ใหญ่ชี้แจง “อัจจิมาจะรำวันงานโรงเรียนด้วย งานเดียวกับที่เชิญท่านเป็นประธาน”

 

 “ดีค่ะ ฉันเห็นด้วย เด็กรำสวยอย่างนี้ต้องสนับสนุน ฉันจะเรียนไปทางภรรยาท่านด้วยอีกแรง” ประภาภรณ์อาสา

 

“หนูเรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว”

 

“ป. 5 ค่ะ”

 

“เด็กมันมีหัวค่ะคุณ” ไม่รู้เป็นเพราะอัจจิมาถามคำตอบคำ หรืออาการหน้าบานแข่งผืนกลองแขกจนพูดไม่ออก ยายเตยรุดเข้ามาสมทบพร้อมโฆษณาสรรพคุณศิษย์ให้ผู้ใหญ่ทั้งสามฟังอย่างหมดเปลือก

 

 “สอนให้นิดเดียวก็จำได้ บางครั้งก็ไม่ได้สอนหรอกค่ะ อาศัยว่านั่งขายมาลัยดูรำทุกวันเลยจำท่าได้แม่น รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เก็บได้หมด มันคงอยู่ในสายเลือด”

 

“แม่หรือ?”

 

 “ทั้งแม่และยายเลยล่ะค่า แต่ทั้งคู่เลิกรำแล้ว ยายอิ่มหันมาร้อยมาลัยขาย บางทีก็ไปปักเสื้อละคร ส่วนแม่ของเด็กเคยเรียนนาฏศิลป์ ตอนนี้อยู่อยุธยา ทำงานโรงงาน เขาว่ารายได้แน่นอน ไม่เหมือนรำ”

 

“แล้วพ่อล่ะ” ทั้งประภาภรณ์และเทอดยศมองเด็กหญิงด้วยแววตาพิจารณากว่าเดิม เจ้าตัวรู้สึกเหมือนแขนขาเกะกะ ไม่รู้จะวางตรงไหนดี ยิ่งเหลือบเห็นสายตาบุตรสาวคนโตของทั้งคู่ ความร้อนก็แล่นซู่ขึ้นโหนกแก้ม

 

มันเป็นสายตาแบบเดียวกับอ้อยทิพย์ เวลาเห็นคะแนนสอบของหล่อนไม่มีผิดเพี้ยน

 

“ไม่มีใครเคยเห็นพ่อเจ้าอัจหรอกค่ะ คงเลิกรากันไปตั้งแต่ท้องอ่อนๆ แล้วไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่เจ้าอัจเป็นเด็กดีนะคะ ไม่มีปัญหาเหมือนเด็กไม่มีพ่อคนอื่น ตื่นมาช่วยยายร้อยมาลัยแต่เช้ามืดก่อนไปโรงเรียน เลิกเรียนก็รีบกลับมาเฝ้าแผง ถ้าแขกน้อยจึงแอบมาเรียนรำบ้าง ไม่ไปเถลไถลที่ไหน”

 

“ทั้งแม่และยายรำละครมาก่อน มิน่าเล่า อย่างนี้น่าสนับสนุนนะคะอาจารย์ใหญ่”

 

กลองแขกย้ายไปบานบนหน้ายายเตย

 

“ยายกับแม่มันไม่ให้รำหรอกค่าคุณ กลัวลูกจะลำบากเพราะเต้นกินรำกิน ถ้าเห็นล่ะก็ เจ้าอัจเป็นโดนทำโทษ เฮ้อ ไม่รู้อะไรหนักหนา ครั้นจะไม่สอนให้ก็เวทนาเด็ก มันชอบมันรักทางนี้ สอนเอาบุญให้เด็กมีวิชาติดตัว แต่ต้องคอยดูต้นทางดีๆ ไม่อย่างนั้นบุญจะกลายเป็นบาปไป วันนี้ทั้งแม่ทั้งยายไม่อยู่เลยเรียกมารำซะ เด็กมันจะได้มีรายได้ อ้าว เจ้าอัจ เป็นอะไร หน้าซีดเชียว ร้อนหรือลูก”

 

ผู้เป็นหัวข้อสนทนาแทบไม่ได้ยินเสียงยายเตยแล้วตอนนั้น เพราะพอเป่งยื่นหน้าโบ้ยไปทางแผงมาลัย คลื่นร้อนที่เพิ่งวิ่งซู่ขึ้นโหนกแก้มกลับไหลลู่สู่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ก่อนหายลับ ทิ้งไว้แต่อุณหภูมิเย็นเยียบขัดกับอากาศอบอ้าว

 

ร่างผอมคุ้นตาปรากฏด้านหลังคลื่นร้อนของมวลอากาศ ดวงตาประพิมพ์ประพายคล้ายกันพุ่งประสานมายังแม่ยอพระกลิ่น

 

มันเป็นแววตระหนกระคนผิดหวัง

 

ดวงหน้าเล็กเผือดเสียยิ่งกว่าปุยเมฆ แรกๆ ผู้ว่าจ้างชายหญิงยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ จนกระทั่งได้ยินเสียงยายเตยอุทานว่า

 

“ตายละวา แม่เจ้าอัจมันกลับมายืนตาแข็งอยู่หน้าเพิงมาลัย ทำไมมันกลับมาเงียบๆ ไหนว่าอยู่อยุธยาไง”

 

**********************************************

 

 

อัจจิมาไม่เคยเห็นมารดาโกรธรุนแรงเยี่ยงนี้มาก่อน แม่อรเป็นคนนิ่ง  ใจเย็นเป็นแม่น้ำ มักเป็นหน่วยห้ามทัพระหว่างยายอิ่มและอินทิราเสมอ แต่คนนิ่ง บทจะโกรธกลับน่ากลัวกว่าคนปึงปังหลายเท่า

 

“อย่าไปว่าเจ้าอัจมันนะ พอดีคนขาด ยายและปู่แสงจึงขอร้องให้ช่วย” มือระนาดโบกมือรับรอง

 

“อย่ามีคราวหน้าอีกแล้วกัน ยาย ฉันขอล่ะ” อรตอบเสียงสั่น คว้ามือบุตรสาวกลับบ้านโดยไม่ยอมเสียเวลาร่ำลาใคร เหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในสายตาอาจารย์ใหญ่ เขาเคยสอนอรมาก่อน จึงถือวิสาสะเข้ามาขวาง

 

“สบายดีหรือ อร ไม่เห็นเสียนาน”

 

“สบายดีค่ะ” มารดาเด็กหญิงทำความเคารพ สีหน้ายังไม่ดีขึ้นแม้จะได้ยินคำชมจากอาจารย์ใหญ่ต่อไปว่า

 

“ลูกสาวเก่งจริง ตัวแค่นี้เอง รู้สึกสืบสานศิลปวัฒนธรรม ทางบ้านน่าจะสนับสนุนนะ”

 

“ค่ะ” แม่อรเพ่งรองเท้าหุ้มส้นราคาถูกของตนเอง

 

“ดีแล้ว งานโรงเรียนคราวนี้จัดใหญ่กว่าทุกปี ครูขออัจจิมาให้ช่วยรำฉุยฉายยอพระกลิ่นในงานหน่อย ค่าใช้จ่ายเรื่องชุดนั้นทางโรงเรียนจะรับผิดชอบ ทางบ้านคงไม่ขัดใช่ไหม เห็นรายชื่อยายอิ่มในนามคนออกร้าน แกจะมาขายขนมในงานอยู่แล้ว”

 

“อ้อ” อรตอบแค่นี้แล้วเงียบลงไปอีก

 

“อรยังไม่รู้ล่ะสิเพราะอยู่ไกล” อาจารย์ใหญ่ถือโอกาสอธิบายให้ศิษย์เก่าฟัง

 

“เจ้าอินนั่นแหละเป็นคนลากยายอิ่มมาลงชื่อจองออกร้าน เห็นว่าควักสตางค์ตัวเองออกทุนให้แม่ด้วย”

 

“ยายกังวลว่าขนมจะไม่อร่อย กลัวขาดทุน แต่น้าอินบอกว่าทำการค้า ต้องรู้สึกเสี่ยง ขนมของยายอร่อยออก เกลี่ยกล่อมเสียนานกว่ายายจะยอมเพราะน้าอินรับปากควักทุนให้หมด ถ้ามีกำไรค่อยคืนให้จ๊ะ” อัจจิมารีบรายงานมารดาเสียงแจ๋ว

 

ก็ได้หน่วยสนับสนุนระดับอาจารย์ใหญ่ ใครบ้างจะไม่ใจชื้น

 

แต่แม่อรใจแข็งกว่าที่คิด

 

สิ้นเสียงเด็กหญิง มารดาลาอาจารย์ใหญ่เร็วๆ และคว้าข้อมือเด็กหญิงกลับบ้านก่อนที่ประภาภรณ์และสามีจะตามมาสมทบ

 

**********************************************

 

 

จากวันนั้น แม่อรหายไป ไม่ยอมส่งข่าว มีเพียงอินทิราเป็นฝ่ายโทร.หาหลังจากฟังเรื่องราวผ่านเสียงสะอึกสะอื้นของหลานสาว

 

                “เดี๋ยวแม่เขาก็หายโกรธ เรามันก็นะ รู้อยู่ว่าเขาห้าม”

 

                ดีว่าอินทิราปรามยายอิ่มไว้เพราะเห็นว่าหลานเสียใจมากแล้ว อัจจิมาจึงรอดพ้นการถูกดุซ้ำ แต่ต้องถูกจำกัดบริเวณอย่างเข้มงวด

 

                “ถ้าหนูไม่ขายมาลัยที่ศาลเจ้าแม่แล้วใครจะไปขาย น้าอินต้องไปทำงานร้านเจ๊เพ็ญ ยายต้องเฝ้าแผงที่ตลาด” อัจจิมาประท้วง

 

                “ไว้ถามแม่เราแล้วกัน” น้าสาวตัดบท

 

“งั้นให้ยายไปขายที่ศาลเจ้าแม่ หนูไปขายที่ตลาดแทน” อัจจิมาเสนอและยิ่งใจเสียเมื่อได้รับคำตอบว่าไม่ได้

 

หนูน้อยสังเกตอีกว่า สมาชิกทุกคนในบ้านหลีกเลี่ยงการไปศาลเจ้าแม่อย่างเด็ดขาดด้วย หากความกังวลเรื่องนี้ค้างคาในใจได้ไม่กี่วัน เพราะเด็กหญิงมีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่ข้างหน้า นั่นคืองานโรงเรียน

 

                หนึ่งอาทิตย์ก่อนวันงาน ทุกคนต่างโกลาหล ยายอิ่มวุ่นกับการตระเตรียมของสดและแห้ง อินทิราทำงานหนักขึ้นโดยควบกะบ่ายและค่ำในวันหยุดเพื่อสะสมเงินทุน ส่วนอัจจิมาต้องซ้อมรำกับครูแสงนวลทุกเย็นทั้งที่ต่อท่ารำกับยายเตยไว้แล้ว โดยครูให้เหตุผลว่า ท่ารำบางอย่างยังไม่ถูกต้อง เด็กหญิงไม่กล้าขัดคำสั่งแม้ใจจะเชื่อครูคนแรกเต็มเปี่ยม ขณะที่อัจจิมาวุ่นวายกับการซ้อมรำจนต้องงดเรียนบางวิชา แพรวตาเพื่อนสนิทต้องหัวปั่นกับการทำความสะอาดอาคารสถานที่

 

                “ดีแล้วล่ะ ฉันเรียนไม่เก่ง ไม่มีผลงานติดบอร์ดโรงเรียนเหมือนอ้อยทิพย์ งานทำความสะอาดเป็นประโยชน์ออก ไม่ต้องเรียนด้วย”

 

                อัจจิมาได้เห็นแพรวตาลาดตระเวณกวาดล้างขยะในชุดแต่งกายประหลาด นั่นคือหมวกหนังสือพิมพ์พับรูปสามเหลี่ยมฝีมืออัจจิมา ผ้ากันเปื้อนสีตุ่นได้รับความอนุเคราะห์จากร้านข้าวแกงร้านสองประจำโรงอาหาร และถุงมือสีส้มแปร๋นไม่เกรงใจใคร ซึ่งเป็นเครื่องมือปฏิบัติการชุดเดียวที่ได้รับมอบอย่างเป็นทางการจากครูฝ่ายอาคาร คณะของแพรวตามีด้วยกันเกือบยี่สิบคน เมื่อมองหน้ากันตาปริบๆ แพรวตาก็ได้ข้อสรุปว่า กลุ่มทำความสะอาดเป็นพวกหน้าตาไม่โดดเด่น การเรียนเอนไปทางย่ำแย่ ความประพฤติพอใช้ คือไม่ถึงกับดีเลิศแต่ไม่เคยมีเรื่องให้ครูต้องปวดหัว

 

                การได้ร่วมขบวนการขัดสีฉวีวรรณตึกทำให้แพรวตาไม่ต้องเข้าเรียนหลายวิชาโดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ซึ่งข้อนี้ อัจจิมาแอบอิจฉาเล็กๆ  อ้อยทิพย์เคยให้ความเห็นแบบไม่ได้รับเชิญว่า ทั้งสองอาจแพ้วิชาคณิตศาสตร์เหมือนอ้อยทิพย์แพ้อาหารทะเล เพียงแต่ไม่มีผื่นแดงตามผิวหนัง แต่กลายเป็นอาการง่วงสัปหงกในห้องเรียนแทน

 

                โรงเรียนเตรียมการใหญ่โตเพราะมีคนสำคัญมาร่วมงาน ครูแต่ละท่านแทบไม่เป็นอันสอน หลายคนบ่นอุบเพราะถูกขอร้องให้ช่วยงานสารพัด อาจารย์ใหญ่เข้มงวดกับทุกเรื่อง ไม่ปล่อยให้ลอดสายตาไปสักเรื่องเดียว

 

                ด้วยเหตุนี้ ชุดรำไทยของอัจจิมาจึงถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด จากที่เคยเป็นสไบจับจีบธรรมดา ครูแสงนวลต้องวิ่งไปหาผ้าแบบพิเศษซ้อนทับด้วยลูกไม้สีทองพร้อมเครื่องประดับชุดใหญ่ ลำดับการแสดงที่เตรียมไว้ถูกปรับหลายครั้ง วุ่นวายจนครูแสงนวลหลุดปากบ่น

 

                “น่าเกลียดจริง จะเอาการแสดงฝรั่งเปิดงาน รำอวยพรเหมาะกว่า”

 

                “ใคร?” ครูผู้สังเกตุการซ้อมคนหนึ่งถาม

 

                “พวกนั้นแหละ” ครูแสงนวลลดเสียงเพราะไม่อยากให้นักเรียนที่กำลังซ้อมรวมถึงพวกตามมาให้กำลังใจรู้เรื่อง แต่เด็กนักเรียนมักมีความสามารถพิเศษในการถอดความ คล้อยหลังไม่ถึงชั่วโมง เรื่องกระซิบกระซาบในห้องซ้อมก็ปิดกันให้แซ่ดทั้งโรงเรียน

 

                “ตายจริง น่าเกลียดจริงๆ ด้วย ทำอย่างนี้เหมือนไม่ไว้หน้าเจ้าภาพ แล้วครูใหญ่ไม่ว่าอะไรหรือ กำชับให้อัจจิมาแสดงเปิดงานแท้ๆ”

 

                “นอกจากไม่ว่าอะไรแล้ว ยังคล้อยตามเสียด้วยซ้ำ ที่แย่มากที่สุด คือการแสดงชุดเปิดงานเป็นการแสดงของนักเรียนเหมือนกัน ไม่ใช่นักแสดงอาชีพ”

 

                “อ้าว! ถ้าล่มขึ้นมาหรือไม่สวยจะว่ายังไงกัน งานกร่อยตาย”

 

                “กร่อยน่ะคงไม่หรอก เพราะหนึ่งในนั้นเป็นลูกสาวคนใหญ่คนโตประจำจังหวัด”

 

                “อ้อ” คู่สนทนากล่าวได้เพียงแค่นี้ก็อึ้งไป

 

                ความตื่นเต้นเรื่องงานโรงเรียนในหมู่นักเรียนและครูกลับกลายเป็นความจดจ่ออยากรู้รายละเอียดการแสดงเปิดงาน พร้อมๆ กับการคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าการแสดงเส้นใหญ่จะสวยกว่ารำของอัจจิมาหรือไม่

 

                “แย่นะ อุตส่าห์ลงทุนค่าชุดตั้งหลายร้อย เห็นจะแพ้เขา” อ้อยทิพย์ซึ่งธรรมดาไม่เคยสุงสิงกับอัจจิมาถึงกับขอกินข้าวเที่ยงด้วย นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา

 

                “นั่นสิ” นิ่มนวลเสริม

 

                นิ่มนวลเป็นเด็กผู้หญิงรูปร่างผอม ผิวสีเดียวกับอ้อยทิพย์ ทั้งสองมีเชื้อจีนเหมือนแพรวตา แต่ชอบค่อนขอดผิวคล้ำๆ ของแพรวว่าคนจีนแท้ไม่มีใครมีผิวสีช้ำเลือดช้ำหนองแบบนี้ ความเป็นคนสนิทของอ้อยทำให้นิ่มนวลได้ประโยชน์สำคัญ คือเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิที่อ้อยคอยติวหนังสือให้อย่างเข้มข้น ขณะที่คนเรียนอ่อนอย่างแพรวตาหรืออัจจิมาไม่มีโอกาส เพราะแค่ปรายตาขอให้ช่วย คนเรียนเก่งของห้องจะรีบออกว่า “ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน” “ทำไม่เป็นเลย”

 

                “รู้ได้ไง เธอเคยเห็นการแสดงนั่นแล้วเหรอ” แพรวตาอดไม่ได้ทั้งที่ตั้งใจว่าจะรูดซิบปากตลอดมื้อ

 

                “รู้สิ” นิ่มนวลเถียงเสียงยวบเหมือนชื่อ

 

“อ้อยไปกรุงเทพฯ บ่อย ทุกอย่างในกรุงเทพฯ ดีกว่าบ้านเราทั้งนั้น รถราดีกว่า ตึกรามบ้านช่องดีกว่า โรงเรียนดีกว่า การแสดงก็ต้องดีกว่า ดูอย่างในทีวีปะไร”

 

                อัจจิมาทำเป็นไม่สนใจ แต่จริงๆ อดกังวลไม่ได้ ตั้งแต่อาจารย์ใหญ่ให้อัจจิมารำไทยงานโรงเรียน ครูท่านอื่นดูมีเมตตากับเด็กเรียนอ่อนอย่างอัจจิมาขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้น ต้องหาทางดุอยู่เสมอ ตั้งแต่ลายมือ ทำการบ้านผิด ไปจนถึงเสื้อเก่ารุ่ย ที่สำคัญ การแสดงครั้งนี้แม่ของอัจจิมาอาจลางานมาดูด้วย เด็กหญิงจึงตั้งใจเต็มที่

 




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2555   
Last Update : 25 สิงหาคม 2555 7:56:57 น.   
Counter : 790 Pageviews.  


ลำนำรักสายลม ตอนที่ 3.1 โดย อลินน์

อัจจิมาไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เด็กหญิงได้รู้สึกถึงความท้อแท้เมื่อเห็นนุช คิดว่าหมดหวังจะได้รำแล้ว แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร บัดนี้ หล่อนรู้สึกเหมือนล่องลอยขึ้นสูงเทียมปุยเมฆ

 

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับนางเอกประจำคณะ หลังจากยายเตยทะลุกลางป้อง แกจงใจง่วนกับแม่ยอพระกลิ่นน้อยเพียงคนเดียว ทิ้งให้ดาวเด่นยืนกัดริมฝีปากจนห้อเลือด ส่วนนางรำแก้บนอีกชุดได้แต่มองหน้ากัน แล้วทยอยไปผลัดผ้าเมื่อเห็นนุชสะบัดหน้า กระแทกส้นออกจากเรือน

 

“ยาย พี่นุชเค้า...”

 

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เวลานี้ อัจต้องนึกถึงการรำอย่างเดียว ไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ต้องกลัวรำผิด”

 

“แต่หนูกลัวนี่จ๊ะ ยาย มือหนูเย็บเฉียบไปหมด หนูคิดว่าลืมท่ารำไปหมดแล้ว”

 

ยายหัวเราะทั้งลูกกะตา ทำให้นึกถึงวันที่แกจับได้ว่ามีนักเรียนไม่ได้รับเชิญเป็นเด็กผู้หญิงอายุไม่กี่ขวบ ซุ่มหลังพุ่มไม้แอบรำเก้งก้างตามชั้นเรียนใต้ถุนบ้าน

 

“เอ็งไม่ลืมหรอก ถ้าลืมจริงๆ รำอะไรออกมาก็ได้ เอาให้ลงจังหวะระนาดปู่แสงแล้วกัน เอ้า! เสร็จแล้ว สวยจริงๆ เสียด้วยแม่ยอพระกลิ่นคนนี้ อยากให้ยายอิ่มเห็นจริงจริ๊งเผื่อจะเปลี่ยนใจ”

 

ใจเด็กน้อยอุ่นวาบ

 

“ยายอิ่มจะเปลี่ยนใจได้หรือจ๊ะ ถ้ารู้ว่าหนูรำฉุยฉายยอพระกลิ่นสวย”

 

“ยายอิ่มจะเปลี่ยนใจหรือเปล่าไม่เห็นจะสำคัญเลย”

 

คำอธิบายยายเตยไม่ช่วยให้ความกังวลเบาจางลง ก็ถ้ายายอิ่มเปลี่ยนใจ ทำไมจะไม่สำคัญเล่า แค่คิดว่าไม่ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนหลบๆ ซ่อนๆ มาเรือนไม้หลังศาลเจ้าแม่ มันแสนจะสุขใจกว่าเรื่องไหนทั้งหมด

 

ก่อนเด็กหญิงจะได้ถามว่าเรื่องใดคือสิ่งสำคัญ ทั้งคู่ก็ถูกขัดจังหวะ

 

“เขามากันแล้ว” เด็กหน้าศาลแจ้งกระหืดกระหอบ ยายเตยหันมายิ้มให้ บีบมือเย็นเฉียบแล้วจูงไปยังปะรำพิธี

 

**********************************************

 

 

ศาลเจ้าแม่ตะเคียนเมื่อกลายเป็นอาคารปูนภูมิฐาน ความศรัทธาก็ดูจะหลั่งไหลมามากขึ้น เห็นชัดจากความแออัดบนโต๊ะวางเครื่องบูชา เนืองแน่นด้วยของถวายยอดนิยมคือกล้วยน้ำว้า มะพร้าวน้ำหอม และอ้อย วางปะปนกับถาดขนมไทยชื่อมงคลอย่างทองหยิบ ฝอยทอง ถ้วยฟู พร้อมพวงมาลัยธูปเทียนและหมากพลู ถ้าใครโชคดีมีลาภใหญ่หรือพ้นเคราะห์เพราะเจ้าแม่ช่วย อาจถวายรำแก้บนหรือละครชาตรีด้วยอีกอย่างหนึ่งแล้วแต่ฐานะและความศรัทธา

 

หน้าศาลคือลานปูนกว้างขวาง มีเพิงขายสินค้าเกือบยี่สิบร้านเรียงรายอยู่ข้างหนึ่ง จำหน่ายพวงมาลัยธูปเทียน รวมถึงของบวงสรวงต่างๆ อย่างมะพร้าวน้ำหอม กล้วย อ้อยมัดเป็นท่อนพอดีขนาดพาน หมากพลูมวนเป็นชุด ที่ขาดไม่ได้เลยคือชุดสไบและซิ่น จำหน่ายพร้อมไม้แขวนเสื้อหุ้มห่อพลาสติกกันฝุ่นอีกชั้น ถ้าใครต้องการแก้บนถวายเจ้าแม่ชุดใหญ่ ทางร้านยังมีเครื่องประดับจำพวกปิ่นปักผม สังวาลย์ กำไลข้อมือข้อเท้าชุบทองแวววาวพร้อมสรรพ เลยจากร้านเครื่องบวงสรวงคือแผงเลขเด็ดจัดเป็นชุดตามสำนักต้นสังกัด งวดใดเลขไหนมาแรง เป็นได้เห็นแต่ไกลเพราะคนขายขึ้นกระดานเด่นชัด ถัดจากแผงสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงมาถึงร้านจำหน่ายเครื่องดื่มขนมนมเนยรวมถึงผลไม้ตามฤดูกาล

 

เพิงคณะรำแก้บนยายเตยตั้งอยู่ปลายแถว โดดเด่นด้วยป้ายทาสีสดใสคล้ายฉากลิเก ปรากฏชื่อคณะและเบอร์โทร.ติดต่อ ส่วนด้านในมีเพียงแคร่ไม้ไผ่ เป็นที่เล่นของเด็กแถวนั้นเมื่อยายเตยไม่ใช้งาน และเป็นที่พักร้อนของชาวคณะก่อนและหลังแสดง คณะนางรำแก้บนนำโดยยายเตยมาถึงศาลเมื่อเวลาเก้าโมงกว่า ยายเตยส่งดอกไม้ธูปเทียนให้นางรำทุกคนเพื่อไหว้พ่อครูบนโต๊ะหมู่บูชาขนาดย่อมก่อนเริ่มพิธี

 

“ไหว้ครูบาอาจารย์เสียเจ้าอัจ” ยายเตยนั่งขนาบข้าง “อธิษฐานขอบารมีครูดลบันดาลให้การแสดงครั้งแรกในชีวิตของเจ้าราบรื่น ขอให้ความหมั่นเพียรของเจ้านำพามาซึ่งความสุขความเจริญ”

 

อัจจิมาก้มกราบอย่างตั้งใจ พึมพำตามคำยายเตยครบถ้วน ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

 

 หลังการไหว้ครูเสร็จสิ้น เด็กหญิงจึงมีโอกาสมองรอบตัว ปู่แสงซึ่งล่วงหน้ามาก่อนกำลังคุยกับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง

 

“คนของคุณภรณ์จ๊ะยาย นายเขากำลังจะถึง” นักดนตรีคนหนึ่งรายงานหญิงชรา

 

“งั้นรีบเตรียมการเข้า เครื่องบวงสรวงตั้งรึยัง หมากพูลล่ะ”

 

ความโกลาหลย่อมๆ เกิดขึ้น อัจจิมาอาสาช่วยแต่ยายเตยไม่ยอมเพราะกลัวชุดงามจะเกี่ยวรุ่ยหรือชำรุด เด็กหญิงจึงเลี่ยงไปนั่งข้างปู่แสง ชะเง้อมองซุ้มขายมาลัยตัวเองไปพลาง ไม่รู้สึกง่วงสักนิดทั้งที่ตาค้างเกือบตลอดคืน ยิ่งใกล้เวลา แม่ยอพระกลิ่นน้อยยิ่งยุกยิกนั่งไม่ติดเสื่อ จนเห็นรถเก๋งสีดำสนิทแล่นเข้ามายังลานจอดก่อนฤกษ์ไม่ถึงสิบนาที คนของ ‘คุณภรณ์’ วิ่งเหยาะๆ ไปหานายตนโดยมียายเตยกุลีกุจอตามไปต้อนรับ อัจจิมาพลอยตื่นเต้นไปด้วยจนเดินตามไปไม่รู้ตัว ยายเตยไหว้คนว่าจ้างทั้งที่อายุแก่กว่าหลายรอบ

 

 “ร้อนจริง คุณเทอดรีบพาเด็กๆ เข้าร่มเถอะ”

 

ประภาภรณ์ไม่ได้รับไหว้ยายเตย ฟังสรุปสั้นๆ จากคนของเธอแล้วหันมาเร่งสามีและลูกด้วยความเป็นห่วง เห็นชัดว่าเธอเป็นคนไม่สวย คิ้วบางจนเหลือแต่เส้นหนาของดินสอเขียนคิ้ว ตาโตเกือบถลนซ้ำยังทาเปลือกตาสีเข้มขับให้หน้ายิ่งดุ ส่วนริมฝีปากคือความไม่เข้ากันอย่างหนักเมื่อริมฝีปากบนบางเฉียบ แต่ริมฝีปากล่างหนาเตอะ ในความไม่น่ามองทั้งหมดนี้ ประภาภรณ์แก้ไขด้วยรสนิยมการแต่งกาย เริ่มตั้งแต่ทรงผมดัดหยิกเป็นลอนใหญ่สั้นแค่ศีรษะ ไล่ซอยด้านหลังจนท้ายทอยทุยสวย รูปร่างกำลังเหมาะไม่อ้วนไม่ผอมดูดีในเสื้อแขนยาวปลายบานสีเปลือกมะปรางเข้าเอวเล็กน้อยและกางเกงขายาวทรงตรงสีกลีบมะลิเนี๊ยบกริบ รับกับมรกตล้อมเพชรแข่งเครื่องรำตามนิ้ว ข้อมือ และลำคอ ต่างกันราวฟ้ากับเหวคือสามี เทอดยศเป็นชายหน้าตาคมคาย ผมไม่ดำสนิทอย่างชายสูงวัยคนอื่น และไม่ขาวโพลนไปทั้งหัวอย่างปู่แสง เขาดูดีในชุดเสื้อยืดมีปกสีน้ำตาลอ่อนและกางเกงสีเดียวกัน อกผายไหล่ผึ่งหน้าท้องเรียบ ไม่กลมป่องอย่างคนสูงวัยอื่นแม้วัยล่วงเข้าห้าสิบ

 

ทั้งคู่มากับเด็กวัยรุ่นสองคนอายุไล่เลี่ยกับอัจจิมา เป็นหญิงทั้งคู่

 

**********************************************

 

 

“ปู่แสง ฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุณผู้หญิงอยู่นา” คนฆ้องเอ่ยขึ้นพอดีเมื่ออัจจิมากลับมานั่งข้างระนาดเอก ประภาภรณ์และเทอดยศเข้าหลบแดดในเต้นท์ข้างปะรำพิธีเรียบร้อยแล้ว อะไรบางอย่างทำให้อัจจิมาอยากไปนั่งรอในเต้นท์นั้น ติดที่สายตาบุตรสาวคนโตของผู้ว่าจ้าง

 

สายตานั้นทำให้สไบสีทับทิมที่หล่อนนอนฝันถึงทั้งคืน หมดงามลงไปกว่าครึ่ง!

 

“คนใหญ่คนโตล่ะมั๊ง อย่าสนใจเลยวะ เจ้าเป่ง เอ็งเอากลองแขกให้อยู่เหอะ”

 

“แหมปู่ ตีมาเท่าไหร่แล้ว” มือกลองทำเสียงจึกจัก มองผู้ว่าจ้างหญิงซึ่งบัดนี้สวมแว่นกันแดดอันใหญ่ปิดครึ่งหน้า กำลังคุยกับบุตรสาวทั้งสอง ปล่อยให้สามีสนทนากับยายเตยตามลำพัง

 

 “มันคุ้นจริงๆ นะ อ้อ ฉันนึกออกแล้ว แกเป็นลูกเฮียไก่แจ้ เจ้าของบ่อนไงล่ะ” เป่งเอ่ยชื่อเต็มทั้งอำเภอและจังหวัดที่ตั้งนักดนตรีคนอื่นอือออจนปู่แสงต้องดุให้เบาเสียง

 

“ได้ข่าวว่าเฮียไก่แจ้ป่วยหนัก ลูกสาวคงมาบนเรื่องนี้มั๊ง ไม่น่ามีเรื่องอื่นแล้วเพราะพี่ชายคนเดียวของแกตายเมื่อปีกลายนี้เอง”

 

“ยังหนุ่มยังแน่น ไม่น่า” เสียงใครบางคนเออออ

 

“โดนยิง!” เป่งขยาย “เป็นข่าวดังลงหนังสือพิมพ์หลายวัน ตำรวจวิ่งกันหัวปั่น สุดท้ายจับมือใครดมไม่ได้ ฉันจำได้แม่นเพราะไอ้เรืองว่ามันรู้จัก มันยังหยุดวิ่งรถไปช่วยงานศพ กลับมาเล่าให้ฟังเสียละเอียดยิบว่าเฮียพิณ พี่ชายคนเดียวของคุณภรณ์ถูกนักเลงเจ้าถิ่นยิงเรื่องแข่งประมูลงานก่อสร้าง ลือกันว่าคนสั่งยิงคือเฮียเม้ง เจ้าพ่อจังหวัดข้างเคียง สองตระกูลฮึดฮัดกันพักใหญ่ ฝั่งเฮียเม้งปฏิเสธเสียงแข็ง สุดท้าย เรื่องค่อยซาไปเพราะเฮียไก่แจ้ป่วยนี่เอง”

 

“น่ากลัวจริง กูตีฆ้องอย่างนี้ไปดีกว่า จะได้อยู่หายใจนานๆ เหมือนปู่แสง แล้วคุณภรณ์คนนี้ล่ะ แกเป็นเจ้าแม่ด้วยหรือเปล่า”

 

“ข่าวว่าแกไม่เคยยุ่งกับธุรกิจมืดพวกนั้น ทั้งเรื่องบ่อน เรื่องงานประมูลก่อสร้าง หรือธุรกิจมืดอื่นๆ เฮียพิณเป็นคนจัดการคนเดียว พอเฮียพิณตาย เฮียไก่แจ้ป่วยหนัก ได้ข่าวว่าเป็นมะเร็ง งานทั้งหมดตกอยู่กับมือขวาของเฮียไก่แจ้ ถึงคุณภรณ์อยากทำต่อก็คงยากแล้วล่ะ เป็นผู้หญิงเสียด้วย ลูกน้องที่ไหนจะเชื่อมือ อ้าว! นั่นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเจ้าอัจนี่นา แกมาทำอะไร หรือมาบนเจ้าแม่ตะเคียนวะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2555   
Last Update : 13 สิงหาคม 2555 9:32:52 น.   
Counter : 707 Pageviews.  


ลำนำรักสายลม ตอนที่ 2.2 โดย อลินน์

อัจจิมารู้สึกตัวตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันส่องฟ้า ลุกผลุงจากที่นอนแล้วย่องกริบไปยังชานเรือนหลังบ้านซึ่งยายใช้เป็นครัวไฟ หม้อข้าวถูกยกขึ้นตั้งอย่างเบามือ แม้แต่กระเทียมยังไม่กล้าทุบ ได้แต่ใช้สันบังตอกดหนักๆ เพราะกลัวเสียงตุบตับแล่นปลุกคนในห้อง

 

ถ้าน้าอินตื่น ทุกอย่างคงจบกัน!

 

                อัจจิมารีบทอดเจียวไข่ หล่อนเทไข่เหมือนกลัวกะทะเจ็บ กลิ่นกับข้าวหอมกระจายไปทั่ว แต่ในห้องนอนเล็กยังเงียบเชียบ น้าสาวไม่ตื่นตามคาด งานเสิร์ฟอาหารเป็นงานหนัก คนกลับบ้านเที่ยงคืนตื่นเมื่อตะวันตรงหัวทุกที กินข้าวแล้วเผ่นไปทำงานกะบ่ายต่อ ทิ้งหลานสาวอยู่บ้านหรือเฝ้าแผงมาลัยตามลำพังเสมอ

 

                คว้าฝาชีครอบกับข้าวได้ ใจดวงน้อยก็แทบโลดออกจากตัว

 

สไบสีทับทิมประดับดิ้นเงินทองวาววับ หล่อนไม่เคยเห็นสไบผืนไหนสวยเท่าผืนเมื่อวานมาก่อน ผ้าเนื้อมันสีแดงและเขียวสด ปักลวดลายละเอียดยิบเข้ากับผ้ายกเยียรบับลงแป้งจนเนียนสวย ยิ่งเมื่อสวมทับทรวงและเครื่องประดับอื่นๆ ความละเอียดของสไบยิ่งฉายเด่น เสียแต่ว่าเสื้อข้างในหลวมโครก ยายเตยสัญญาว่าจะเย็บให้เข้าตัวและสั่งให้ไปลองชุดแต่เช้า

 

                “มันอยู่ในสายเลือด” ปู่แสงสรุปหลังจากนั่งลุ้นการซ้อมจนถึงมืดค่ำ “ทั้งแม่อิ่ม แม่อร ล้วนเป็นนางรำเลื่องชื่อทั้งคู่ แต่ใครว่าแม่อิ่มรำสวยแล้ว ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแม่อรรำสวยกว่า”

 

                “แม่อรน่ะหรือจ๊ะรำสวย”

 

                “เออ ไม่เคยเห็นล่ะสิ”

 

                อัจจิมาส่ายหน้า นอกจากไม่เคยเห็นรำแล้ว มารดายังปรามไม่ให้ลูกสาวรำอีกด้วย อ้างว่าอยากให้ตั้งใจเรียนอย่างเดียว จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนยาย เหมือนแม่

 

                “ปู่เคยเห็นเหรอ”

 

                “ปุดโธ่ ทำไมจะไม่เคย ปู่ตีระนาดให้ทั้งยายเอ็งทั้งแม่เอ็ง สมัยยายเอ็งสาวๆ นะ ถ้าลองแม่อิ่มรำล่ะก็ ละครชาตรีวิกนั้นคนดูเต็มโรงทั้งพูหญิงพูชาย แกรำตั้งต๊ะเริ่มสาวจนล่วงเกือบสี่สิบ หาเงินส่งลูกเรียนนาฏศิลป์จนได้ แต่แม่อรรำไม่กี่ปีเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าเลิกพร้อมกันทั้งแม่ลูก น่าเสียดายฝีมือฝีไม้”

 

                อัจจิมาจดปลายเท้าย่องเข้าห้องเพื่อผลัดเสื้อ ที่ฟูกมุมห้องยังเห็นร่างน้าสาวขดตัวในผืนผ้านุ่งเก่าซึ่งใช้แทนผ้าห่ม หันหน้าให้ฝาเรือน หล่อนดีใจจนอดยิ้มไม่ได้

 

น้ายังหลับ ยายยังไม่กลับ และแม่อยู่อยุธยา หนทางปลอดโปร่งเสียกระไร

 

                อีกไม่กี่ชั่วโมง ฉุยฉายน้อยจะได้ออกโรง คนดูจะชอบหล่อนและเขาจะให้ทิปมากๆ เด็กหญิงฝันเฟื่องขณะย่องกลับไปที่ประตู

 

                “ยายยังไม่กลับหรือ!”

 

                เสียงลอยมาจากขดผ้านุ่ง

 

อัจจิมาสะดุ้ง! ฝันหวานถูกเหวี่ยงหล่นมากองแทบเท้า!!!!

 

**********************************************

 

 

“หน้าซีดเหมือนเห็นผี” คนถูกคิดว่าหลับสนิทลุกขึ้นมานั่งหลังตรง “เป็นไรรึเปล่า”

 

                “ไม่เป็นไรนิ” เด็กหญิงส่ายหน้าในความมืด “น้าอินนอนต่อเหอะ หนูกินข้าวเสร็จแล้วจะไปรีบไปเฝ้าแผง”

 

“ไปทำไมแต่ไก่โห่” คนถูกคะยั้นคะยอให้นอนหรี่ตาเหมือนเวลาซักคะแนนสอบหลาน

 

“วันนี้เขาว่าจะมีคนมาทำบุญศาลเจ้าแม่แต่เช้า หนูไปล่ะนะ น้าจะได้นอน” อัจจิมาแสดงน้ำใจระหว่างจ้ำไปที่ประตู

 

“ถ้าเป็นเรื่องเฝ้าแผงล่ะขยันจริงนะ การบ้านเสร็จแล้วรึ”

 

มือแตะกลอนชะงัก ทำให้คนเพิ่งตื่นอดไม่ได้

 

นี่ถ้าตะวันจับฟ้ากว่านี้ คงจะได้เห็นใบหน้าเล็กสลดเป็นมะลิค้างคืน

 

“การบ้านเสร็จแล้วก็ดี แต่ถ้าไม่เสร็จก็เอาไปทำต่อ อย่าเอาแต่วิ่งเล่น” น้าสาวดักคอขณะม้วนที่นอนตั้งชิดฝา ปากสอนต่อว่า

 

“มีเวลาว่างก็หัดอ่านหนังสือหนังหา คะแนนจะได้กระเตื้องขึ้นบ้าง แม่เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”

 

“น้าอิน ถามอะไรหน่อยสิ” คนรอเวลาเผ่นเปลี่ยนใจเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ อินทิราลอบยิ้ม ถ้าลองเจ้าตัวเล็กถาม มันก็ไม่วายเรื่องเรียนนั่นล่ะ ถึงอัจจิมาจะไม่ใช่คนเรียนดีเด่น แต่ถ้าหมั่นถามน้านุ่ง ไม่ปล่อยปละความสงสัยให้ละลายไปกับเวลา ก็พอจะชื่นใจอยู่หรอก

 

แต่ความชื่นใจของอินทิรามีแค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น

 

 “ทำไมยายและแม่ไม่ชอบให้ไปคณะยายเตย”

 

ลูกไฟลูกเล็กร่วงลงตรงหน้า สว่างวาบพอได้เห็นความผิดปกติบางอย่าง ก่อนจะเลือนลับดับไปในวินาทีต่อมาเมื่ออินทิราสั่งตัวเองให้ตอบสั้นที่สุด น้อยที่สุด เท่าที่ทำได้

 

“เขาไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่เกี่ยวกับคณะยายเตยหรอก เขาอยากให้ตั้งใจเรียน คะแนนของเรามันดีนักนิ”

 

“หนูไปเที่ยวแถบตลาดหรือที่อื่น แม่กับยายไม่เคยว่า แต่ถ้าเฉียดใกล้คณะยายเตยเมื่อไหร่ ยายต้องเอ็ดทุกที ตอนเด็กๆ หนูแอบไปเรียนรำกับยายเตย ยายจับได้คว้าไม้มะยมจะเฆี่ยน ดีที่น้าอินห้ามไว้”

 

“เขาคงอยากให้ตั้งใจเรียนนั่นแหละ”

 

“หนูตั้งใจเรียนนะ การบ้านส่งครบ แต่คณะยายเตยไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องเรียนสักหน่อย หนูแค่ไปดูเขาซ้อมรำเพลินๆ”

 

“แรกๆ แค่ดูเอาเพลิน ตอนหลังก็อยากรำกับเขาใช่ไหมล่ะ” อินทิราลากเสียง พร้อมเอามือจิ้มหน้าผากมนของคนช่างสงสัย “ของสวยงามมีใครบ้างไม่ชอบ ได้แต่งตัว ได้มีคนมองเป็นจุดเด่น”

 

“ไม่ใช่อย่างงั้นสักหน่อย”

 

“เตือนเพราะหวังดีน่า ไม่ต้องทำหน้าหุบ ไอ้อาชีพรำมันไม่ยั่งยืนหรอก นึกดูดีๆ เคยเห็นนางรำคณะไหนแก่บ้าง แต่คนเราต้องแก่ใช่ไหม”

 

“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม ยายและแม่ถึงเลิกรำ”

 

“ใครเล่าล่ะ” หน้าผากอินทิราย่นยับ ตาพินิจหลานขณะผลัดเสื้อโดยสะบัดผ้าถุงใช้ห่มนอนแล้วสวมทับอย่างชำนาญเพื่อเปลี่ยนเป็นกางเกงและเสื้อยืดรัดกุม

 

“คนเขาพูดกันทั้งนั้นล่ะ”

 

“จำไว้นะ” ถึงคราจะต้องปิดการสนทนาเสียแล้ว อินทิราจึงทำอย่างที่เห็นมารดามักทำเสมอ คือเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังเพื่อปรามและหยุดการสนทนาไปในตัวว่า

 

“ใครจะพูดอะไรช่างเขา คนเรามีปากก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ ขอแค่ได้พูดเพราะปากพาไป อย่าเอาเวลาไปขลุกกับพวกนางรำมาก รู้ไหมล่ะ พวกนั้นว่างเมื่อไหร่ไม่แคล้วนินทาเมื่อนั้น แต่ละเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่ใช่เรื่องผู้ชายก็เป็นเรื่องของคนอื่น ขายมาลัยเสร็จแล้วรีบกลับบ้าน อย่าลืมล่ะ”

 

**********************************************

 

 

ยายเตยขนเสื้อผ้าชุดใหญ่ออกมาวางเรียงบนตั่งไม้ในห้องนอน หรือห้องเก็บสมบัติตามคำเรียกของพวกนางรำ แกแยกทุกอย่างเป็นหมวดหมู่ ตั้งแต่มงกุฎ ทับทรวง ปั้นเหน่ง กำไลข้อมือข้อเท้าสีทองอร่ามประดับกระจกวับวาว ไปจนถึงเสื้อ ผ้านุ่ง และสไบนางสีทับทิมปักดิ้นเงินดิ้นทองฝีมือประณีตผืนนั้น

 

ความงดงามของเครื่องแต่งกายทำให้อัจจิมาถึงกับลืมหายใจชั่วขณะ

 

“สวยจังจ๊ะยาย”

 

“ร้อยมาลัยเสร็จแล้วรึ” ยายเตยรับไหว้ ถามแล้วจ้องหน้าอัจจิมาเงียบๆ

 

ก้อนน้ำลายเหนียวแล่นจุกคอ บางที การซ้อมเมื่อคืนคงไม่ดีนัก

 

“มีอะไรหรือจ๊ะ”

 

ยายเตยละสายตากลับมาที่ตั่ง

 

“ช่วยยายเก็บของใส่หีบแล้วยกลงไปข้างล่าง” หญิงชราสั่งเสียงเรียบราวกับพื้นเรือน เด็กหญิงยิ้มแหย วางอุบะมาลัยสดที่ตนร้อยมาเองอย่างถนอมมือ การซ้อมเมื่อวานอาจแย่มากจนถึงขั้นเลวร้าย ยายเตยจึงกำลังสองจิตสองใจว่าจะเปลี่ยนเป็นรำถวายมืออย่างที่ปรึกษาปู่แสงไว้ หรือตามนุชกลับมารำดี

 

ใจดวงน้อยรัวเป็นจังหวะกลองแขกเบิกโรง ขาแข้งพาลสั่นไปหมด อัจจิมาฝืนยกหีบลงเรือนตามหลังเจ้าของคณะ ลานโล่งใต้ถุนบัดนี้มีนักดนตรีตามมาสมทบเกือบครบวง ปู่แสงนั่งเด่นหลังระนาดเอก ถัดไปเป็นพี่เป่ง มือกลองแขก อาเชื่อม มือฆ้อง อาป้อม คนเป่าปี่

 

แล้วหล่อนก็เห็นนุช!

 

**********************************************

 

“อ้าว! มาด้วยรึอัจ” นุชหยุดคุยกับเพื่อนและหันมาทักอัจจิมาพร้อมรอยยิ้ม หล่อนผ่านยิ้มนั้นไปให้ยายเตย อัจจิมาอดเสียใจไม่ได้ที่ไม่เห็นสีหน้าเจ้าของคณะ เดาได้จากสีหน้าระรื่นของนุชว่าแกคงยิ้มตอบ หรืออย่างแย่ก็ตีหน้าเฉย ไม่แสดงความขัดเคืองจากเหตุการณ์เมื่อวาน

 

 นุชผละจากเพื่อนนางรำตรงเข้ามาหา ร่างมีเนื้อนวลสาวผุดผาดในชุดเสื้อยืดแขนกุดสีบานเย็นตัดกับผิวสีน้ำผึ้ง แล้วนุชก็ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน คือยกมือลูบศีรษะเด็กหญิงด้วยกริยาผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก

 

 “ชอบจริงนะเรื่องละเม็งละคอน มีรำทีไรต้องหนีขายมาลัยมานั่งเป๋อเหลอทุกที อย่าให้ยายอิ่มกะแม่อรรู้เข้าล่ะ ไปนั่งตรงมุมเสานั้นไป๊ จะได้ไม่เกะกะผู้ใหญ่เขา”

 

“พี่นุชมาแต่เช้าเหมือนกันนะ” เป่งแทรกขึ้นด้วยกริยาคันปาก “พี่น่าจะได้เห็นเจ้าอัจรำฉุยฉายยอพระกลิ่นเมื่อเย็นวาน มันรำได้งามแท้ๆ ผู้ใหญ่บางคนเห็นแล้วยังอาย”

 

เสียงจอแจใต้ถุนเรือนอันตรธานฉับพลัน นุชหน้าเจื่อนไปนิด แล้วปากเคลือบสีชมพูจัดก็คลี่ยิ้ม

 

“ได้ข่าวแล้วล่ะ เห็นเขาว่ายายเตยต้องจ้ำจี้จำไชหลายชั่วโมง พี่ฟังแล้วนึกสงสาร”

 

“แต่ตอนไปไม่สงสารเป่งลอยหน้าถาม นางรำหลายคนมองหน้ากัน หลายคนเบือนหน้าซ่อนยิ้ม เป่งและนุชถือว่าปากร้ายติดอันดับต้นๆ ของคณะ ฟังทั้งคู่ปะคารมน่าสนุกกว่าชมละครหลังข่าวเสียอีก

 

“แหม ไอ้เป่ง พี่งอนไปอย่างนั้นล่ะ รู้นิสัยกันอยู่ ใครจะทิ้งยายเตยให้บากหน้าคนจ้างอยู่ได้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา” คำพูดนวลฟังแล้วงงเพราะไม่รู้ใครเกื้อกูลใคร เจ้าของคณะเกื้อกูลลูกจ้าง หรือลูกจ้างที่สู้ทนรำ ยายเตยไม่โต้ตอบ แกหันหลังไปง่วนกับหีบสมบัติ หยิบของมาวางทีละชิ้นสมทบกับชุดใหญ่ที่เอามาเรียงไว้แล้ว

 

“ต๊าย ยายจ๋า สไบผืนนั้นงามจริง ฉันใส่คงขับผิวแย่ เดี๋ยวจะรำให้สุดฝีมือเลย วันนี้ถ้าได้ทิปนะ ฉันจะยกให้ยายกับปู่แสงหมดเพราะถูกใจชุดจริงๆ ว่าแต่คนจ้างมาหรือยังจ๊ะปู่”

 

ระหว่างนั้น ยายเตยยังเรียงข้าวของไม่หยุด สไบหลายผืนถูกนำมาวาง แกหยิบชุดพราหมณ์ดิ้นเงินขึ้นมากางแล้วนำมาวางเคียงกับสไบสีทับทิม แทนที่จะเก็บกลับลงหีบ

 

น้ำลายเหนียวๆ ฝืดคอเด็กหญิง

 

“คงยังมั๊ง นี่เพิ่งแปดโมงเช้า” ปู่แสงตอบ แกขึงผืนระนาดเข้ากับตะขอ ตรวจตราว่าแน่นแข็งแรงดีแล้ว จึงไล่เสียงทีละลูก เมื่อครบ ก็เริ่มซ้อมมือด้วยเพลงคุ้นหู นุชหันรีหันขวาง ยายเตยยังจัดของไม่เสร็จ ปู่แสงรึก็แสดงชัดว่าแกไม่อยากคุย นุชจึงหันมาทางเด็กหญิง

 

“ร้อยมาลัยเสร็จแล้วรึ”

 

“ได้หลายพวงแล้วจ๊ะ”

 

“ดีจริง งั้นอัจรีบไปร้อยเพิ่มเหอะ วันนี้น่าจะขายดี ได้ข่าวว่าคนจ้างรำแก้บนคนนี้รวยมาก สามีเป็นคนใหญ่โตจากกรุงเทพฯ”

 

อัจจิมายิ้มเจื่อน น้ำลายเหนียวตอนนี้ฝืดหนึบยิ่งกว่าแบะแซทำขนม

 

ยายเตยคงตามพี่นุชกลับมาแน่ ไม่อย่างนั้น เจ้าตัวจะกล้าออกปากเป็นเชิงไล่หรือ แล้วดูสิ ทั้งยายเตย ทั้งปู่แสง ทุกคนพากันหลบตากันหมด

 

“ไปเหอะ รีบไปร้อยมาลัยให้เสร็จ เดี๋ยวยายกลับมาจะถูกเอ็ด” นุชคะยั้นคะยอ ทั้งคำเตือนและอาการพยักเพยิดทำให้อัจจิมาตัดใจ หล่อนไหว้ลาปู่แสงและคนอื่น ก่อนจะหันไปหายายเตย ยกมือจะไหว้ลาเป็นคนสุดท้าย

 

“อัจ มาใกล้ๆ ยายนี่!” ยายเตยไม่รับไหว้แต่กวักมือเรียก

 

“โถยาย! จะเรียกเด็กมันไว้ทำไมอีก” นุชแย้งเสียงจี๊ด “เสียเวลาร้อยมาลัยมันเปล่าๆ เดี๋ยวยายอิ่มรู้เข้าได้เอ็ดตะโรเท่านั้น เขายิ่งไม่ชอบให้หลานมาขลุกที่นี่ แล้วได้ข่าวว่านังอัจมันยังรำไม่ถูกใจยายไม่ใช่หรือ ฉันถึงได้มาช่วย ไม่อยากให้เสียลูกค้า”

 

“ข้าจะเรียกมันช่วยเรียงเครื่องละคอน”

 

น้ำเสียงขัดใจของนุชหยุดหมับ

 

“อ้อ งั้นรึ... ดีเหมือนกัน ยายจะได้ไม่ต้องเหนื่อย ไอ้ฉันเมื่อคืนกว่าจะได้นอนเกือบสว่าง”

 

“ไปทำอะไรมาล่ะ” คนถามไม่ใช่ยายเตย แต่เป็นขาประจำ...เป่ง

 

“นั่งหารือกับพวกพี่เรือง” คนเสียงจี๊ดเปลี่ยนโทนเป็นอ่อนหวานเอางานเอาการยิ่ง เรืองที่นุชพูดถึงคือหนุ่มขับรถสองแถว วิ่งเส้นทางระหว่างตลาดและอำเภอเมือง หน้าตาคมคาย แววตาระยับอยู่เสมอ และเป็นคนเดียวกับที่เคยมาตามตื้ออินทิรา จนถูกตอกหน้าเข้าจังๆ จนเผ่นแน่บ

 

“เขาจะแนะนำให้รู้จักเพื่อนแถวนิคมอุตสาหกรรมอยุธยาเพื่อหาช่องทาง”

 

“หางานตามโรงงานหรือ” ไม่รู้เพราะเสียงคุยทำลายสมาธิเสียแล้ว หรือเพราะความสนใจส่วนตัว ปู่แสงละมือจากระนาด นุชยิ้มกว้าง ตอบปู่ด้วยเสียงที่ได้ยินทั่วทั้งลานว่า

 

“โอยยย ปู่ ฉันไม่เอาหรอกงานโรงงานอย่างแม่เจ้าอัจน่ะ ลำบากจะตาย ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าจนมืด แต่งตัวปอนเหมือนผู้ชาย ผมเผ้าหน้าตาไม่ได้แต่ง ทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่เจ้าของรวยคนเดียว ฉันอยากมีร้านเป็นของตัวเอง จะได้กลับมารำให้ยายเตยได้”

 

“แล้วคิดไว้หรือยังว่าจะทำมาหากินอะไรถ้าไม่ทำงานโรงงาน ขายอาหารไหมล่ะ เห็นว่าคนงานแถบนั้นเยอะเอาการ คนมันต้องกินต้องใช้ ขายอาหารไม่มีวันอดตายหรอก”

 

“ยี้” นุชหน้าเบ้ “ขายอาหารเหนื่อยพอๆ กับทำงานโรงงานนั่นแหละ ดูอย่างอินสิ ไปช่วยเจ๊เพ็ญเสิร์ฟอาหารหน้าเป็นมันจนจะขึ้นคานรอมร่อ แถมวันไหนแม่ครัวขาด ยังต้องเข้าครัวอีก ไม่เอาหรอก ฉันเกลียดน้ำผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ไหนจะน้ำมันเดือด มือไม้พังหมด”

 

“อินมันหน้าตาดีนะ ได้ข่าวว่าไอ้เรืองเคยตามอยู่ไม่ใช่หรือ แต่อินมันไม่สนใจ” ยายเตยเสริม ทุกคนจึงสังเกตว่าแกจัดของเสร็จแล้ว เครื่องรำเป็นประกายจับแสงเด่นอยู่บนตั่ง สวยจนน่าตะลึง แต่นุชไม่ทันสนใจเครื่องรำที่ว่า เสียงจี๊ดขึ้นมาอีกรอบ

 

“ยายเอาที่ไหนมาพูด พี่เรืองหรือจะสนใจคนหน้าจืด พูดจาห่ามอย่างอิน”

 

“ถึงอินมันจะพูดจาห่าม แต่มันก็เป็นคนสวย” ยายเตยหันมาหาหลานสาวคนเดียวของอินทิรา จับคางเล็กหมุนเพื่อพิจารณาถนัดถนี่

 

“คนสวย ไม่ต้องแต่งมากมันก็สวย ผู้ชายอย่างไอ้เรือง ได้ยินว่าใครสวย มันก็ระริกระรี้ตามไปดอมดมเหมือนแมลงวันตอมขี้ อินมันดูออกถึงไล่เปิงไป” มือเหี่ยวของยายเตยว่องไวเกินอายุ แกรวบผมเด็กหญิงตึง มัดเป็นหางม้าแน่นด้านหลัง แล้วผัดแป้งลงบนหน้าอย่างคล่องแคล่ว

 

“ยาย!” นุชกรีดเสียง “บ้านช่องพี่เรืองเค้าพอมีฐานะ ไม่เหมือนพวกคนขับรถสองแถวทั่วไปหรอก รถเป็นของเขาเอง ไม่ได้เช่าเหมือนคนอื่น ไปเปรียบเขาเป็นแมลงวันตอมขี้ได้ไง แล้วพี่เรืองเขาเป็นคนมีอัธยาศัยดี พูดเก่ง บางคนสำคัญผิดว่าเขาจีบ แล้วนั่นยายแต่งหน้าให้อัจมันทำไม”

 

ยายเตยยิ้มในหน้า เพิกเฉยคำถามจากนางเอกประจำคณะ หยิบเสื้อนางตัวในสีครีมส่งให้อัจจิมา

 

“แม่ยอพระกลิ่น เดี๋ยวยายจะแต่งหน้าแต่งตัวให้สวยจนจำไม่ได้เลยทีเดียว แต่ไม่แต่งเข้มหรอกนะ เรามันสวยอยู่แล้ว ไม่ต้องประโคมพอกโปะเหมือนคนอื่นเขา แต่งพองามพอ” ยายเตยเน้นแต่ละคำราวจะกระจายให้ได้ยินทั่วกัน

 

“เมื่อแต่งชุดสวมมงกุฎแล้ว อย่าลืมตนหลุดเข้าไปในละคอนล่ะ” ยายพูดพลางขยับกระบังฉุยฉายซึ่งเคลือบทองประดับกระจกสีให้เข้าที่ แล้วสวมช้องนางคลุมหางม้าจนเป็นมวยผมเรียบสวยอีกชั้น ปิดท้ายด้วยอุบะดอกไม้สดฝีมือเจ้าตัว ปากก็ว่า

 

“เท้าเหยียบดินให้มั่นเพื่อเตือนตนไม่ให้เพริดไปกับเงา อย่าทะนงว่าตนเป็นคนสวย จะประกอบอาชีพไหนก็ตาม หากทำด้วยความสุจริต ตั้งมั่นในมานะแห่งสัจจาอาชีพ มันเจริญรุ่งเรืองได้ทั้งนั้น ความสวยไม่ใช่ข้อดีเสมอไปหรอก หลานเอ๊ย จำไว้ให้ดี เอ๊า นั่งตะลึงอ้าปากค้างอยู่นั่นแล้ว รีบไปเถอะ แล้วมารำให้ยายดูอีกหน่อยก่อนแสดง”

 

**********************************************

 




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2555   
Last Update : 13 สิงหาคม 2555 9:30:07 น.   
Counter : 480 Pageviews.  


ลำนำรักสายลม ตอนที่ 2.1 โดย อลินน์

จะเป็นเพราะลูกยุของปู่แสง หรือการซักอัจจิมาจนพอใจว่ายายอิ่มจะไม่กลับมาก่อนเย็นวันรุ่งขึ้นแน่ ยายเตยก็เริ่มสั่งการไวว่อง

 

“ไปเปลี่ยนผ้านุ่งเร็ว เจ้าอัจ รำฉุยฉายให้ยายดูหน่อย คราวที่แล้วต่อจวนจบแล้วกระมังฮึ”

 

“ฉุยฉายไรจ๊ะ” ฉุยฉายน้อยลุกพรวด ฉีกยิ้มกว้างจนเกือบถึงหู

 

“ยายต่ออะไรให้บ้างแล้วล่ะ” เพราะเรียนกันไม่เป็นเวล่ำเวลา ขึ้นอยู่กับการไม่อยู่บ้านของยายอิ่มและลูกสาวคนเล็กเป็นหลัก คนสอนจึงเลือนไปบ้าง ฟังเสียงแจ้วรายงานจบ ปู่แสงก็ออกความเห็น

 

“ฉุยฉายพราหมณ์เหอะ พวกนักดนตรีซ้อมไปแล้ว ฉุยฉายพราหมณ์มีคนรู้จักมาก เครื่องทรงมีครบถ้วน แก้ให้เหมาะกับตัวเด็กก็แล้วกัน”

 

“ไม่เอา” ยายเตยค้านเร็วตามนิสัย

 

 “นังอัจมันยังเล็ก ฝีมือสู้นังนุชไม่ได้ เอาชุดรำที่คนรู้จักน้อยหน่อยจะได้ไม่ต้องเทียบกัน ฉุยฉายยอพระกลิ่นแล้วกันนะพี่แสง”

 

**********************************************

 

 

ถึงคนทั่วไปจะรู้จักฉุยฉายพราหมณ์มากกว่า แต่การรำฉุยฉายยอพระกลิ่นก็ไม่ได้ช่วยให้ความประหม่าและกังวลของนางรำมือใหม่น้อยลง ฉุยฉายยอพระกลิ่นเป็นบทรำจากละครเรื่องมณีพิชัย ตอนพระมณีพิชัยต้องรับใช้พราหมณ์ซึ่งเป็นพระมเหสีปลอมตัวมา พราหมณ์สงสารพระมณีพิชัยจึงออกอุบายปลอมตัวเป็นหญิงมารับใช้ และลองใจว่าสามีซื่อตรงต่อตนหรือไม่ นี่เองที่ทำให้นางรำต้องสอดแทรกอารมณ์หลากหลายซับซ้อนลงไปในแต่ละท่ารำ

 

“เอิง เอยยยย... ฉุยฉาย เอิง เอยยยย ชำเลืองเยื้องกราย...เอิงเอย เรียกชายมาในป่า เครื่องประดับ วาววับแวมแสง...”

 

อัจจิมาย่อเข่าเอนกายพลางกรีดมือตามเนื้อร้อง เสียงระนาดดังระรัวนำพาใจคนรำโลดจากใต้ถุนเรือนไม้ไปสู่ใจกลางป่า ต้นไม้สูงใหญ่อย่างพยูง ตะแบก เต็ง ยืนลำต้นสูงเสียดฟ้า แผ่กิ่งใบร่มรื่นคลุมกระท่อมหลังน้อย

 

ที่นั่น พราหมณ์วัยกำดัดกำลังเร้นกายหลังพุ่มพฤกษา ลอบมองขัตติยะหนุ่มผู้กำลังประทับอยู่ในกระท่อมน้อยตามลำพัง เจ้าพราหมณ์น้อยประนมกรบริกรรมคาถา ฉับพลัน เรือนร่างอรชรภายใต้ชุดขาวบริสุทธิ์ของนักบวชก็กลับกลายเป็นหญิงผู้ดีมีตระกูล ผ่องแพ้วไปด้วยแพรพรรณแลเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ล้ำค่า นางสะอิ้งกายเลอโฉมเยื้องย่างอย่างหมายมาดตรงไปยังพระมณีพิชัยเพื่อลองใจว่าจะยังรักและซื่อตรงต่อภรรยาหรือไม่

 

“...เอิงเอยยย ขาวเขียวแดงเพชรนิลจินดา..งามศัพท์งามจับนัยน์ตา พระมณีเห็นหน้าจะบ้าใจ...เอย”

 

“ตายแล้วเจ้าอัจ”

 

เสียงร้องเปลี่ยนเป็นเสียงอุทาน

 

“แขนคอทื่อเป็นสากเป็นเสา ไม่ใช่พระมณีพิชัยดอกที่จะบ้าใจตายเพราะคลั่งรัก แต่คนดูนั่นแหละ จะบ้าตายแทนเพราะเสียดายเงินจ้าง เอาใหม่สิ”

 

เสียงยายเตยแหลมขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปู่แสงกระแอมสำลักก่อนเสียงระนาดจะเริ่มอีก อัจจิมาเลียริมฝีปาก ร่างผอมอย่างเด็กกำลังยืดตัวเริ่มท่าแรกอีกครา พยายามดัดแขนแมนให้อ่อนที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“เอิงเอยยย เออออ สายสวาทเอยยย ระทวยนวยนาดวิลาศวิไล นวลละอองสองแก้ม ยิ้มแย้มอยู่แจ่มใส พระมณีเห็นเมื่อไร ใจจะขาดอยู่รอน เอิงเอย...รอน...”

 

“พอ พอ ยายเตยปาดเหงื่อ วงปี่พาทย์ชะงักค้าง หันมามองหน้ากันเลิกลั่ก ส่วนคนรำยืนแห้งเป็นมาลัยมะลิเฉาแดด หน้าเหลือสองนิ้ว

 

“หนูรำผิดหรือจ๊ะ” อัจจิมายิ้มแหย หากคำตอบจากผู้เป็นทั้งครูและกำลังผันมาเป็นนายจ้าง ไม่ได้ทำให้พวงมาลัยน้อยชุ่มชื้นขึ้น

 

“ผิดน่ะ ไม่ผิดหรอก” ยายเตยเท้าสะเอวหมับ สีหน้ายับย่นเหมือนใครทำน้ำมันระหุ่งหกใส่

 

“เอ็งรำถูกหมดนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นวงรำบน กลาง ข้าง กระทุ้งเท้า ยกขาหรือเอียงหน้า หัวเอ็งดี... แม่นทุกท่า ทุกก้าว ไม่ผิดสักกระเบียด” ยายเตยเน้นทีละคำ

 

“แต่มันแม่นไปนะเจ้าอัจ เอ็งเป๊ะเหมือนยายหรือปู่แสงกำลังถือดาบรอฟันมือฟันไม้ถ้าเอ็งรำผิดไปซักเสี้ยว”

 

คนฟังทำหน้าหรอ นึกไม่ออกว่าการรำถูกไม่ดีตรงไหน ก็อย่างวิชาภาษาไทยของครูแสงนวลไง ลองเขียนผิดสักคำ หรือย่อหน้าพลาด เว้นวรรคในที่ไม่ควรเว้น นักเรียนจะถูกดุ หักคะแนนหรือถูกหยิกจนเนื้ออ่อนแดงเป็นจ้ำ หรืออย่างวิชาเลข การเขียนวิธีทำยังต้องมีแบบแผน แสดงขั้นตอนการบวกคูณทีละบรรทัดลดหลั่นลงมาห้ามผิดเพี๊ยน คำตอบตัวเลขจะต้องมีเส้นคู่ตีขนาบด้านล่างพร้อมข้อความคำตอบเป็นภาษาไทยกำกับซ้ำตรงบรรทัดล่างสุดทุกครั้ง คราวที่แล้วเด็กหญิงไม่ได้ทำเพราะนึกไม่ออกว่าจะต้องเขียนซ้ำทำไมอีก ยังถูกครูทำโทษให้คัดไทยตัวบรรจงเต็มบรรทัดห้าร้อยจบว่า ฉันจะไม่ลืมเขียนคำตอบโจทย์คณิตศาสตร์ จนมือร้าวเสียหลายวัน

 

 “ท่ารำหนูไม่สวยหรือจ๊ะ” แม่ยอพระกลิ่นน้อยซัก นุชขึ้นชื่อเรื่องวงแขนและวงจีบ นิ้วโง้งราวคันศรเป็นแพสวย คืนนี้หล่อนจะดัดมือกับน้ำข้าวทั้งคืน พอจะแก้ได้ทันท่วงทีไหมนะ

 

 “ท่ารำเอ็งก็สวยดี”

 

“อ้าว แล้วมันอะไรเล่าวะ ปู่แสงเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ได้ ทะลุกลางปล้องแทนคนรำ แกยกเข่าตั้งชัน แสดงว่าชักรำคาญยายเตยขึ้นมาตะหงิดๆ แต่พอได้ยินคำตอบ เข่าตั้งชันก็ร่วงพล็อย

 

“พูชายมันไม่ชอบหรอก ทื่อเป็นสาก”

 

นักดนตรีทั้งวงอ้าปากค้างรวมทั้งคนระนาด ปู่แสงตาคว่ำ แย้งหน้ามุ่ย

 

“ไอ้อัจมันยังเด็ก”

 

“แหม พี่แสง เด็กอาไร๊ อีกไม่กี่มะน้อยก็สาวแล้ว แล้วการรำไม่เกี่ยวกับอายุนะ ลองขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดง ต้องเข้าถึงบทบาท” ยายเตยแจกแจง พลางกวาดสายตาไปทั่วถ้วนเป็นเชิงบังคับให้สมาชิกทั้งปวงยอมรับมติ (ของแก) โดยดุษณี

 

“เอ๊า เจ้าอัจ บทที่กำลังรำมีเนื้อเรื่องว่าอะไร”

 

อัจจิมาเล่าเรียงเนื้อเรื่องหน้าเจื่อน ยายเตยพยักหน้าหงึกๆ

 

“ที่เอ็งพูดน่ะ ไม่ผิดหรอก แต่เอ็งท่องเนื้อเรื่องเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ลองคิดดูสิ นางยอพระกลิ่นกำลังยั่วยวนลองใจพระมณีพิชัยใช่ไหมเล่า เวลาสบตามันต้องมีแววสะเทิ้นอาย มีแววฟามรักฟามใคร่ฉายจัดจ้าจนพระมณีพิชัยจะเป็นบ้าเพราะคลั่งรัก”

 

อัจจิมานิ่งฟังทั้งที่ในหัวเบาโหวง หล่อนไม่เคยเห็นความรักคลั่งไคล้จวนบ้าตายมาก่อน ยายอิ่มเป็นหม้าย เลี้ยงลูกหลานตัวเป็นเกลียว ส่วนมารดาก็เป็นหญิงหม้ายสามีตายเหมือนกัน พ่อตายก่อนอัจจิมาเกิด เด็กหญิงจึงไม่มีโอกาสได้เห็นการแสดงความรักระหว่างหญิงชายแบบใกล้ชิด ส่วนอินทิราน้าสาวเข้าสู่วัยรุ่นเต็มที่แล้วก็จริง แต่คนแข็งกร้าวมุ่งทำแต่งานเพื่อตั้งตัวตั้งแต่อายุสิบห้าไม่เคยคบหาเพศตรงข้าม อัจจิมาเคยไปไหนมาไหนกับน้าสาว พบเห็นเหล่าผู้ชายมากหน้าหลายตาส่งสายตาทอดสะพานให้อินทิรา แทนที่จะได้ไมตรีตอบรับ ชายเหล่านั้นต่างโดนถลึงตาใส่บ้าง ด่ากระทบเอาบ้าง ที่ร้ายก็คือเรือง คนขับรถสองแถววิ่งเส้นทางระหว่างตลาดและจังหวัด ถึงกับถูกชี้หน้าด่าแล้วตามด้วยการสาดน้ำไล่จนชายหนุ่มหน้าชา เข็ดขยาดหญิงสาวจนกระทั่งไม่มองหน้าหรือพูดจาด้วยจนบัดนี้

 

“เจ้าอัจ ตอน ชำเลืองเยื้องกราย เอ็งต้องทิ้งตาหน่อย”

 

“ทิ้งไงจ๊ะ”

 

นางรำคนอื่นรามือซ้อม หัวเราะคิกคัก พากันพยักเพยิดให้ดูยายเตยกับศิษย์ก้นกุฎิรุ่นสุดท้าย จึงโดนยายเตยบริภาษด้วยลูกกะตาจนคอย่นระย่อไปตามๆ กัน

 

“ก็มองด้วยหางตาไงล่ะ ไหน เริ่มชำเลืองเยื้องกรายใหม่ซิ”

 

แต่พอเห็นท่าชำเลืองของเด็กหญิง ยายเตยก็เกาหัวแกรก ดีว่าแกมุ่นผมเป็นมวยไว้ด้านหลัง ไม่อย่างนั้น มันคงกระเซิงเป็นฝอยขัดหม้อ

 

“มองด้วยหางตา ต้องมองแล้วยิ้มในหน้า ไม่ใช่มองตาแข็งทื่อยังกะสากกะเบือ ใช้หางตามองไปที่จุดหนึ่งแล้วคิดถึงเรื่องที่ชอบที่สุดสิ ดอกไม้สวยๆ มาลัยของยายก็ได้”

 

“หรือผู้ชายก้อด้ายยย” เสียงลอยมาจากกลุ่มเดิม คราวนี้ยายเตยด่าเปิง

 

“ปากหยั่งงี้เดี๋ยวกูถวายตบเลือดกบ เอาหลานเขามารำกูก็เสี่ยงยายมันพังคณะอยู่แล้ว ยังโอษฐภัยของพวกมึงอีก ถ้าหลุดออกจากปากหลานมันถึงหูแม่อิ่มเมื่อไหร่ พวกมึงระวังตัวกันเองแล้วกัน”

 

“โกรธเพราะจี้ใจดำล่ะซี้ ทั้งยายอิ่ม ทั้งพี่อร เขาลือกันทั้งตลาดว่าสมัยสาวๆ หัวบันไดไม่เคยแห้ง ไม่งั้นจะมีพี่อร อิน แล้วก็นังอัจนี่รึ”

 

“ปากอย่างงี้ไปเลยนะ ไปซ้อมกันได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องรำแต่เช้า เอ๊า อัจ มารำให้ยายดูอีกที”

 




 

Create Date : 05 สิงหาคม 2555   
Last Update : 5 สิงหาคม 2555 13:38:16 น.   
Counter : 821 Pageviews.  


1  2  3  

alynnbook
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝากผลงานนิยายเรื่องใหม่ ลำนำรักสายลม ด้วยนะคะ
[Add alynnbook's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com