The most powerful weapon is nothing but "LOVE"

เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 30

Krissana บอกว่าเขาชอบมานั่งเล่นบนดาดฟ้าคนเดียวในยามเย็น ๆ เช่นนี้นั่งมองพระอาทิตย์ลาลับเหลี่ยมเขา ดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาบางครั้งเขาก็อยากจะมีเพื่อนมานั่งคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันบ้างตามประสาวัยรุ่นที่มีความอยากรู้อยากเห็น และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาพยายามชวนเราให้มาที่บ้านของเขานั่นเอง เรามีโอกาสได้สอบถามเรื่องอนาคตการเรียนของเขา Krissana ตอบว่าเขาอาจจะหยุดการเรียนหลังจากจบ High School เพราะพ่อแม่และพี่ชายคงไม่มีเงินส่งเรียน การเรียนในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยต้องใช้เงินในจำนวนค่อนข้างสูง ซึ่งเราคิดว่าคงเหมือนกับเด็กบ้านนอกในเมืองไทยสมัยก่อนที่รัฐบาลไม่มีเงินกองทุนให้กู้ยืมเรียนและหากนโยบายสนับสนุนการศึกษาของรัฐบาลไทยยังคงเหมือนกับเนปาลในขณะนี้ เราเองก็คงเป็นเด็กบ้านนอกอีกคนหนึ่งที่คงขาดโอกาสในการศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างแน่นอน เราจึงเข้าใจในทุกความรู้สึกที่ Krissana พูดออกมาอย่างชัดเจน


Krissana พูดต่อว่า เขาคงต้องออกมาช่วยครอบครัวหารายได้อีกแรงเนื่องจากเนปาลยังเป็นประเทศที่ยังล้าหลังอยู่ในแง่ของการพัฒนาเศรษฐกิจ การลงทุนจากต่างชาติยังถือว่าน้อยมาก เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็น land lock ไม่มีทางออกทะเล มีพื้นที่สูงค่อนข้างมาก การคมนาคมขนส่งจึงไม่สะดวก ทำให้นักลงทุนไม่มีแรงจูงใจในการเข้ามาลงทุนมากนัก จะมีก็แต่ธุรกิจท่องเที่ยวเท่านั้นที่พอจะมีความเป็นไปได้บ้าง เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้นี่เองที่ Krissana ไม่คิดจะเรียนต่อเพราะขืนเรียนต่อไป แต่หากสภาพเศรษฐกิจยังคงเป็นแบบนี้ก็อาจจะไม่คุ้มกับเงินและเวลาที่จะเสียไปเพราะอัตราการจ้างงานในภาคธุรกิจยังค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่การจ้างงานในประเทศนี้ยังไม่ต้องการคนที่มีความรู้สูงมากนัก ถึงแม้ในใจลึก ๆ เรานึกค้านอยู่ว่ายังไงการศึกษาก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า แต่เราก็เข้าใจสภาพการเงินของครอบครัวของ Krissana เราเลยลองเสนอไอเดียว่าให้เค้าลองฝึกพูดภาษาอังกฤษให้เชี่ยวชาญแล้วผันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยว เนปาลเป็นประเทศที่มีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวมากมาย หากเขาเรียนรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ มากขึ้น มันก็จะสามารถช่วยสร้างรายได้ให้กับเขาได้อีกทางหนึ่ง Krissana แสดงท่าทีเห็นด้วย แล้วบอกให้เรารอเดี๋ยว จากนั้นก็รีบวิ่งลงจากดาดฟ้าไป ซักพักเขาก็ขึ้นมาพร้อมกับหนังสือแบบเรียนภาษาอังกฤษเก่า ๆ เล่มหนึ่งเขาบอกว่าเขาชอบอ่านหนังสือเล่มนี้มาก พลางเปิดให้เราดู ซึ่งเป็นหนังสือฝึกพูดฝึกอ่านภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว การอธิบายถึงสถานที่ท่องเที่ยววัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ ของเนปาล เราชมว่าเป็นหนังสือที่ดีและน่าสนใจมาก Krissana ยิ้มอย่างดีใจ ที่เราชอบหนังสือเล่มโปรดของเขา






ซักพัก Bishnu พี่ชายคนรองของ Krissana ก็อุ้มหลานชายคนเล็กและหลานสาวที่เพิ่งเลิกเรียนขึ้นมาบนดาดฟ้าหลังจากที่ได้ทราบข่าวจากพี่สะไภ้ว่า Krissana พาแขกมาเที่ยวที่บ้าน ดูทุกคนตื่นเต้นและยินดีมากที่มีแขกมาที่บ้าน ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนพิเศษของครอบครัวนี้ไปเสียแล้ว


Bishnu เป็นคนเงียบ ๆ แต่แววตากลับส่อแววประกายอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก เขาจะพยายามตั้งใจฟังเรื่องราวที่เราและ Krissana พูดคุยกัน นาน ๆ เขาจะป้อนคำถามมาถามซักครั้ง โดยมักจะถามเกี่ยวกับความคิดเห็นว่าเรารู้สึกยังไงกับประเทศนี้ ผู้คน สถานที่ท่องเที่ยว อาหารและอื่น ๆ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยได้ยินและรู้จักเมืองไทยเลย จึงพยายามขอร้องให้เราพูดเกี่ยวกับเมืองไทยให้เขาฟังซึ่งเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะเลือดรักชาติและความภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยนั้นมีอยู่เต็มเปี่ยม งานนี้ Bishnu ได้แต่อ้าปากฟังตาค้าง เพราะเขาไม่เคยเห็นทะเลไม่ค่อยได้กินอาหารทะเล ไม่เคยรู้ภาษาไทย แต่ก็ดีใจที่รู้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธถึงแม้ว่าครอบครัวของเขาจะนับถือฮินดู แต่พุทธกับฮินดูในประเทศเนปาลก็กลมกลืนกันจนแทบแยกไม่ออก เช่นเดียวกับวิถีพุทธในเมืองไทยที่ยังคงมีพิธีกรรมทางพราหมณ์หรือฮินดูสอดแทรกอยู่ไม่น้อย อีกทั้งคนไทยจำนวนมากก็ยังนับถือเทพเจ้าฮินดูอย่างพระพิฆเนศ พระพรหม พระศิวะ พระพิษณุหรือพระนารายณ์อยู่ไม่น้อยเช่นกัน


ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ครอบครัวของ Krissana เชิญเราร่วมรับประทานมื้อเย็นพร้อมกัน ซึ่งตอนนี้สมาชิกครอบครัวของเขาอยู่กันเกือบพร้อมหน้า ขาดก็แต่พ่อกับแม่ พี่ชายคนโตของ Krissana กลับมาแล้ว เห็นหน้าตาของพี่ชายคนโตของ Krissana แล้วเรารู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะทั้ง Krissana และ Bishnu นั้นรูปร่าง สีผิว หน้าตาออกไปทางแขกอินเดีย แต่พี่ชายคนโตกลับออกไปทางฝรั่งหรือแขกขาว หรือพวกเปอร์เซีย นัยน์ตาค่อนไปทางสีฟ้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ลูกสาวของเขามีหน้าตาออกไปทางแถบคนเปอร์เซียค่อนไปทางฝรั่งมังค่าไปเลย ความแตกต่างค่อนข้างชัดเจนมากจนเราต้องเก็บความสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยไม่กล้าถามว่าเหตุใดสามคนพี่น้องจึงไม่เหมือนกันเลย แต่สิ่งที่ยืนยันได้ว่าสามคนพี่น้องน่าจะเป็นพี่น้องสืบสายเลือดเดียวกันก็คือความรักใคร่ปรองดองกันอย่างเหนียวแน่นและมั่นคง เห็นความรักความอบอุ่นของสมาชิกในครอบครัวนี้แล้วทำเรารู้สึกภาคภูมิใจแทนพวกเขาไม่น้อย


เราถูกเชิญให้ไปนั่งล้อมวงบนโต๊ะรับประทานอาหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตั้งอยู่กลางห้องครัว ทุกคนนั่งประจำเก้าอี้ของแต่ละคน พี่ชายคนโตยืนดูพวกเราอยู่ข้างพี่สะไภ้ที่กำลังนำแผ่นจาปาตีนาบกับกะทะร้อนเพื่อให้แผ่นแป้งสุกก่อนที่จะทยอยส่งมาให้พวกเราคนละแผ่น หลานสาวตัวดีของ Krissana พูดไปกินไปอย่างไม่หยุดปาก เธอพูดเก่งมาก เรียกได้ว่าเป็นเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งได้เลยทีเดียว ท่าทางฉลาดปราดเปรียวและทันคน พูดภาษาอังกฤษคล่องปร๋อจนเราเองที่เป็นฝ่ายต้องคอยเงี่ยหูฟังว่าเธอพูดอะไร


"Do you eat beef? "

"Of course, I like beef."

"I hate you. We are Hindu, we don't eat beef."


ทุกคนหัวเราะ ในความไร้เดียงสาของเด็ก แต่เราเองก็รู้สึกเกรงใจไม่น้อยที่บอกชอบกินเนื้อวัวซึ่งเป็นสัตว์ที่ชาวฮินดูนับถือเสมือนหนึ่งเป็นเทพเจ้าอีกองค์


แต่ถึงเธอจะบอกว่าเกลียดเรามากแค่ไหน เธอก็ยังชวนคุยไม่หยุดทั้ง ๆ ที่ปากก็กำลังเคี้ยวจาปาตีอยู่เต็มคำ เราบอกว่า เพื่อเป็นการขอโทษที่บอกไปว่าเราชอบกินเนื้อวัว เดี๋ยวจะพาลงไปเลี้ยง ice cream ดีไหม เธอตอบอย่างไม่ลังเลว่า

"OK, you are a good guy"

Ummmm!! เด็กคนนี้แสบจริง ๆ


รสชาติจาปาตีจืด ๆ จิ้มกับซอสผักอะไรซักอย่างที่รสชาติจืดชืดแต่เผ็ดซาบซ่านไปด้วยเครื่องเทศ รสชาติคล้าย ๆ วาซาบิของญี่ปุ่น โชคดีที่มีชานมหวาน ๆ ร้อน ๆ มาซดพอให้คล่องคอได้บ้าง เราพยายามรับผิดชอบจาปาตีแผ่นนั้นให้หมด ทุกคนกินหมดไปก่อนนานแล้ว ต่างจ้องมองมาที่เราด้วยสีหน้ายิ้มอย่างอารมณ์ดี


Do you like it? Bishnu ถามแกมยิ้มออกมา

Ummmm!!, it's OK


เราพยายามสรรหาคำมาตอบเพื่อให้เจ้าบ้านรู้สึกดีบ้างแต่ก็คิดได้แค่นั้น เพราะหากจะอธิบายจนเกินความรู้สึกที่แท้จริงนั้นมันยากไม่ใช่ย่อยเลยทีเดียว ขณะกินไป เราก็โดนสัมภาษณ์ไปตลอดเวลา โดยเฉพาะพี่ชายคนโตของ Krissana ที่เพิ่งมาเจอกันในห้องครัวนี่เอง


ในที่สุดเราก็รับผิดชอบจาปาตีแผ่นนั้นหมด รอดตายจนได้ หลังจากกินเสร็จ พวกเราก็นั่งคุยกันต่อซักพัก จนคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับเสียที เรากล่าวขอบคุณพี่ชายคนโต พี่สะไภ้ และ Bishnu สำหรับอาหารมื้อค่ำและการต้อนรับที่อบอุ่น ที่เราเองไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มีโอกาสมาสัมผัสกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเนปาลได้แบบ inside ถึงก้นครัวขนาดนี้ Krissana ขันอาสาพาไปส่งโดยมีสาวน้อยตัวแสบเดินนำหน้าไปยังร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน เราปล่อยให้เธอเลือกขนมและ ice cream ที่เธออยากกินอย่างเต็มที่ พร้อมถาม Krissana ว่าซื้อ ice cream ไปเลี้ยงพี่ ๆ ที่บ้านด้วยดีมั๊ย เดี๋ยวเราเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง ถือเป็นการขอบคุณในความมีน้ำใจสำหรับประสบการณ์ดี ๆ ที่เขาได้มอบให้กับเราในวันนี้ Krissana ตอบว่าอย่าดีกว่า ลำบากเปล่า ๆ แค่เลี้ยงสาวน้อยคนนี้คนเดียวก็พอแล้ว พูดพลางเขาก็ตบหัวหลานสาวตัวเองอย่างเอ็นดู ส่งสาวน้อยกลับเข้าบ้าน เราและ Krissana ก็เดินมุ่งหน้าไปยังจุดขึ้นรถประจำหมู่บ้านพี่ชายคนโต และ Bishnu ยืนโบกมืออำลาอยู่บนระเบียงบ้านชั้นบน เราโบกมือตอบกลับพร้อมกับโค้งตัวเพื่อแสดงความขอบคุณอีกครั้ง


Krissana พามายังจุดขึ้นรถกลางหมู่บ้านซึ่งจะมีรถตู้วิ่งจากคิวรถแห่งนี้ไปยังเขตเมืองกาฐมัณฑุชั้นในทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง มีรถตู้หนึ่งคันกำลังจอดรอผู้โดยสาร โดยมีเราเป็นผู้โดยสารคนแรก Krissana เปิดประตูรถด้านหน้าเพื่อให้เรานั่งคู่กับคนขับ ยังไม่ถึงเวลารถออก เขาจึงขึ้นมานั่งบนรถตู้เพื่อคุยเป็นเพื่อน ฆ่าเวลาระหว่างรอรถออก Krissana บอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มต้นเทศกาล Tihar โรงเรียนเขาหยุดเรียนหลายวัน หากเรายังไม่รีบเดินทางกลับเมืองไทยในวันพรุ่งนี้ เขาจะไปพักที่ทาเมลเป็นเพื่อนและวันรุ่งขึ้นจะอาสาพาเที่ยวรอบกรุงกาฐมัณฑุอีกรอบ แต่น่าเสียดายที่เราต้องเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้แล้ว คุยกันได้ซักพักเราก็เห็นพี่ชายคนโตของ Krissana เดินตามมาส่งเราอีกคน แกยิ้มให้แล้วบอกขอให้โชคดีสำหรับการเดินทาง


"Do not forget me" เป็นคำพูดสุดท้ายที่ Krissana ฝากไว้สำหรับแทนความทรงจำดี ๆ ที่บังเอิญฟ้าดลบันดาลให้พวกเราได้รู้จักกัน ถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่สำหรับเราแล้ว นี่คือความมหัศจรรย์อีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะคงอยู่ในความทรงจำตราบนานเท่านาน เราสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเยือนเพื่อนที่แสนดีคนนี้อีกอย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่งหากตราบใดที่ผืนดินยังไม่กลบหน้าใครคนใดคนหนึ่งไปเสียก่อน


จับมือร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย Krissana ลงจากรถพร้อมยืนโบกมือลา รถตู้ค่อย ๆ เคลื่อนตัวแล่นห่างออกไปตามถนนที่คับแคบและแออัด ทิ้งภาพเพื่อนผู้แสนดีพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจไว้เบื้องหลังจนกระทั่งลาลับสายตาไปในที่สุด ความรู้สึกอิ่มเอมจากน้ำใจและมิตรภาพที่ได้รับจากเพื่อนใหม่ผสานเคล้ากับอารมณ์ความรู้สึกหดหู่ทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าเมื่อมีพบก็ย่อมมีการลาจาก งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เราพยายามตัดอารมณ์อันน่าหดหู่นั้นออกไปพยายามคิดถึงแต่สิ่งดี ๆ ที่ได้พบเจอในวันนี้และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบนดินแดนอันงดงามแห่งนี้ รถแล่นผ่านชุมชนที่คลาคล่ำไปด้วยยวดยานพาหนะซึ่งต่างก็มุ่งหน้าเข้าสู่เขตใจกลางนครโบราณกาฐมัณฑุ







วิถีชีวิตสองฟากถนนในยามใกล้ค่ำเช่นนี้ดูมีสีสันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาน่าเพลินตาเพลินใจเป็นอย่างยิ่ง เราไม่รู้ว่ารถวิ่งอยู่ส่วนไหนของกรุงกาฐมัณฑุในตอนนี้ รู้แต่เพียงว่าถึงอย่างไรเราก็คงไม่มีวันหลงทางอย่างแน่นอนเพราะทั้ง Krissana และพี่ชายคนโตของเขาได้กำชับคนขับรถอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าให้ส่งเราใกล้จุดที่จะมุ่งสู่ใจกลางย่านทาเมลให้มากที่สุด ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงสำหรับระยะทางไม่กี่กิโลเมตร ฝ่าการจราจรที่แออัด ผู้โดยสารคนแล้วคนเล่าที่ลงจากรถเมื่อถึงจุดหมายปลายทางของตน และในที่สุดเราก็กลับมายืนอยู่ใจกลางกรุงกาฐมัณฑุอีกครั้ง


บรรยากาศตามตรอกซอกซอยที่มุ่งหน้าสู่ย่านทาเมลวันนี้ดูมีสีสันคึกคักขึ้นกว่าทุกวัน โคมไฟหลากสี ธงประดับประดาโยงระยางระหว่างตึกรามบ้านช่อง เสียงบทเพลงที่ฟังดูไพเราะเสนาะหูผสมผสานด้วยจังหวะดนตรีที่เร้าใจบ่งบอกให้รู้ว่าใกล้ถึงวันที่เทศกาลแห่งความรื่นเริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น



เราเดินซึมซับบรรยากาศความเป็นมหานครโบราณพร้อมกับหัวใจที่พองโตและรู้สึกภาคภูมิใจ พรุ่งนี้แล้วซินะที่เราจะต้องอำลาดินแดนหิมาลัยแห่งนี้ 10 วันผ่านไปดั่งความฝันที่กลายเป็นจริงในที่สุด ฝันที่เคยวาดไว้ว่าครั้งหนึ่งจะมีโอกาสได้มายลโฉมหิมาลัยด้วยตาตัวเองมันได้กลายเป็นความจริงแล้วในวันนี้ ตอนนี้เรากำลังเดินอยู่ในใจกลางมหานครโบราณ มหานครที่เต็มไปด้วยอารยธรรมและธรรมชาติที่งดงามอลังการรายล้อม มหานครที่ผู้คนเป็นมิตรและพร้อมที่จะหยิบยื่นมิตรภาพอันน่าประทับใจให้กับนักเดินทางผู้โดดเดี่ยว หากดินแดนหิมพานต์ที่มีผู้กล่าวอ้างในนิยายปรัมปราคือดินแดนที่มีองค์ประกอบทุกอย่างดังที่เรากล่าวมาเป็นจริงดังว่า เนปาล ก็คงเปรียบดั่งดินแดนหิมพานต์ที่มีอยู่จริงอย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ ….. ขอบคุณชีวิตที่เกิดมาให้เราได้ใช้มัน แม้จะรู้ว่าซักวันมันจำต้องจากละโลกนี้ไปตามครรลองของธรรมชาติที่มีเกิด แก่ เจ็บและดับไปในที่สุด และแน่นอนที่สุดอีกเช่นกันว่า คงไม่มีมนุษย์หรือเทวดาหน้าไหนจะมาฝืนกฏสัจธรรมข้อนี้ไปได้ ขอบคุณจริง ๆ สำหรับครั้งหนึ่งในชีวิต - Life is only once, if you live it right, once is enough.

<<- จบบริบูรณ์ ->>




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2558    
Last Update : 21 มกราคม 2559 18:25:21 น.
Counter : 816 Pageviews.  

เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 29

เดินฝ่าเปลวแดดอ่อนๆ ยามบ่ายและฝุ่นดินลูกรังที่ลอยคลุ้งไปตามถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปมา พลางพยายามคิดว่าจะเอายังไงดี กว่าจะชาร์จแบตเต็มกว่าจะกลับมาอีก เอาไงดีหว่า คิดไปพลาง เดินไปพลางก็พยายามถอดแบตแล้วใส่ใหม่


เฮ้ย!!! แบตเตอรี่ยังมีเหลืออยู่นี่หว่าที่มันขึ้นข้อความว่าให้ชาร์จแบตเตอรี่เมื่อครู่นี้เป็นเพราะที่ล็อกมันหลวมนี่เองตอนนั้นอยากจะร้องตะโกนออกมาดัง ๆ ด้วยความดีใจ "Yessssss!!!!!" เราหันหลังกลับมุ่งหน้าสู่ Bodhanath อีกรอบเดินก้มหน้างุด ๆ มาได้ระยะหนึ่งก็มีจักรยาน BMX เก่า ๆ มาจอดปาดหน้า เราเงยหน้าขึ้นมอง "เฮ้ย!!! Krissana นี่หว่า" เราแทบจำไม่ได้เพราะ Krissana ในชุดลำลองดูแตกต่างจากภาพของเด็กนักเรียนมัธยมที่เราเห็นมาก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง


"I tried to find you at Bodhanath but I didn't"

"So,then I think I might find you along the way back and here you are"

Krissana บอกว่าเค้าปั่นจักรยานไปตามหาเราที่สถูปโพธนาถ แต่ไม่เห็นจึงรีบปั่นกลับมาเผื่อจะเจอช่วงที่เดินกลับ


เขาพูดด้วยอาการที่เหนื่อยหอบ หลังจากการปั่นจักรยานตามหาเราซึ่งความตั้งใจของเขามันทำให้ยากที่จะปฏิเสธความมีน้ำใจใด ๆ ที่หนุ่มน้อยคนนี้พยายามเสนอมาโดยเพียงหวังว่าจะได้ผูกมิตรกับเพื่อนต่างชาติซักคน





OK, take a ride with me. Krissana เชื้อเชิญให้เราขึ้นซ้อนท้ายจักรยาน BMX คันน้อยของเขา


ฮ่าๆ ๆ เอาว่ะ จะมัวเล่นตัวหรือเกรงใจไปใย ในเมื่อเขายินดีให้บริการขนาดนี้ เราเลยได้มีโอกาสนั่งซ้อนท้ายจักรยานไปเที่ยว Bodhanath วิธีการแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ นักสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศแถบนั้นมีลักษณะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ เส้นทางจึงมีขึ้นลงตามสภาพภูมิประเทศ Krissana อาศัยความช่ำชองในการบังคับจักรยานวิ่งลงเนินเขาอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วเล่นเอาคนซ้อนท้ายหวาดเสียวเกรงว่าหากเบรกไม่อยู่ คงได้ลงไปนอนแหง่กในไร่ข้าวสาลีข้างทางแน่ๆ เส้นทางที่รถจักรยานวิ่งผ่านดูน่าสนใจไม่น้อย ไร่ข้าวสาลีที่กำลังอยู่ในช่วงการฤดูเก็บเกี่ยวออกรวงสีเหลืองอร่าม ตึกรามบ้านช่องหลากสีสันของชาวเนปาลีที่ตั้งลดหลั่นกันตามลาดเชิงเขาตัดกับท้องทุ่งสีทองและท้องฟ้าสีครามสดใสลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านทำให้รู้สึกราวกับกำลังบินอยู่กลางเวหา Krissana คงมีความรู้สึกนี้เช่นกัน โดยเขาถามออกมาว่า

"How do you feel?"

"Awesome!! I like it" เราตอบกลับไป

ความรู้สึกสุดจะบรรยายจริงๆ หลังจากกางปีกถลาลมได้ไม่นาน ก็ถึงทางที่พวกเราจะต้องปีนป่ายขึ้นเนินสูงแล้ว ด้วย Krissana พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปั่นขึ้นเนินให้ได้ แต่เราคิดว่ามันคงเป็นไม่ได้สุดท้ายก็ต้องลงจากรถช่วยกันจูงจนกระทั่งถึงประตูเข้า Bodhanath


เราซื้อตั๋วค่าเข้าชมในราคา 100 รูปี Krissana เดินจูงจักรยานพร้อมพยายามอธิบายเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ขณะที่เดินชมสถานที่


สถูป Bhodanath แห่งนี้ถือเป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นปีใดแต่คาดว่าคงจะราว ๆ ศตวรรษที่ 14 รูปทรงของสถูปมีลักษณะเช่นเดียวกันกับสถูป Sawayambhunath 


คือมีลักษณะเป็นรูปทรงโอคว่ำหรือรูปครึ่งวงกลมคว่ำสีขาวตั้งอยู่บนฐานเหลี่ยมสามชั้นด้านบนเป็นบัลลังก์รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมีดวงตาธรรมขนาดใหญ่หรือ
Wisdom Eye เขียนไว้ทั้งสี่ด้าน ถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉนสีทองอร่ามสร้างลดหลั่นขึ้นไป 13 ชั้นลักษณะคล้ายฉัตรซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนระดับธรรม 13 ขั้นก่อนบรรลุพระนิพพาน มีผืนผ้าหลากสีประดับโดยรอบ สายโยงจากยอดสู่ฐานรอบองค์สถูปติดธงมนตราหลากสีสร้างสีสันให้ดูสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ แลดูสงบเยือกเย็น อ่อนโยนในยามที่ชายผ้าและธงมนตราสะบัดไหวตามจังหวะแรงลม ส่วนรอบฐานองค์สถูปประดิษฐานพระพุทธรูป 108 องค์และกงล้อภาวนา ชาวเนปาลเชื่อว่านี่เป็นเจดีย์พุทธนิกายมหายานที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งรูปแบบเชิงสถาปัตยกรรมเชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากทางอินเดียและศรีลังกา


บริเวณโดยรอบสถูป Bhodanath แห่งนี้เป็นที่ตั้งชุมชนชาวทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธแบบทิเบตที่เจริญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้กลายเป็นวัดของชาวทิเบตโดยสมบูรณ์ก็เมื่อครั้งที่ทิเบตกับจีนเกิดปัญหาระหว่างกันเมื่อปี ค.ศ. 1959 องค์ดาไลลามะเสด็จออกนอกประเทศพร้อมกับประชาชนชาวทิเบตซึ่งบางคนได้มาอาศัยอยู่ในชุมชนโดยรอบวัดแห่งนี้อย่างถาวร ปัจจุบันทางการเนปาลประมาณการว่ามีชาวทิเบตอาศัยอยู่มากกว่า 120,000 คน ซึ่งก่อนที่จะมีการแบ่งเขตแดนประเทศระหว่างทิเบตกับเนปาลก็มีชาวทิเบตเดินทางมาจาริกแสวงบุญ ณ สถานที่แห่งนี้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจนถือเป็นประเพณีเป็นประจำอยู่แล้วเพราะพวกเขาเชื่อว่าอย่างน้อยซักครั้งหนึ่งในชีวิตควรหาโอกาสเดินทางมาแสวงบุญบนแผ่นดินพุทธภูมิแห่งนี้ให้ได้


เพราะความยิ่งใหญ่และเก่าแก่ขององค์สถูปจึงทำให้นอกจากชาวพุทธทิเบตแล้วยังมีนักแสวงบุญจากทั่วโลก เดินทางมาสักการะองค์สถูปแห่งนี้อย่างไม่ขาดจนทำให้องค์การ UNESCO ขึ้นทะเบียนให้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของเนปาล ณ สถานที่แห่งนี้ เราได้เห็นถึงศรัทธาอันแรงกล้าของผู้คนในดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้ ความรู้สึกทึ่งระคนตื่นตาตื่นใจกับภาพและบรรยากาศที่ได้เห็นและสัมผัสทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ความสงบและสุขใจท่วมท้นจนรู้สึกคล้ายกำลังล่องลอยไปตามจังหวะพลิ้วไหวแห่งธงมนตราและริ้วสะบัดของผืนผ้าที่ประดับเหนือดวงตาเห็นธรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้น สุขใจที่ได้เห็นภาพของผู้คนที่ยึดมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อันเป็นหลักธรรมคำสอนที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าปฏิบัติแล้วจะได้รับผลเช่นไร นั่นหมายถึงหากมนุษย์ทุกคนยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักศาสนาไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม เมื่อนั้นความสงบสุขและปรองดองจะเข้ามาแทนที่ความขัดแย้งและสงครามเพราะทุกศาสนาล้วนแล้วแต่มุ่งเน้นให้ทุกคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งสิ้นนั่นเอง


Krissana พาเดินพร้อมจูงจักรยานของเขารอบองค์สถูปใหญ่แห่งนี้จนครบรอบ เราลืมไปว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากช็อกโกแล็ตและคุ้กกี้ไม่กี่ชิ้น ทั้ง ๆ ที่เดินทางมาทั้งวันแต่กลับไม่รู้สึกหิวแม้แต่น้อยถึงแม้จะบ่ายคล้อยแล้ว แต่ก็ยังมีแดดพอทำให้มีเหงื่ออยู่บ้าง เจอร้านไอศกรีมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณ เราจึงถามความเห็น Krissana

Do you like ice cream?

Yes,I like.

Good, let's have it. I'll compensate you

Krissana ยิ้มขอบคุณแต่ก็แกมอาการเกรงใจเล็กน้อย

เราเลือก ice cream กลิ่นวนิลาให้กับ Krissana ส่วนของตัวเองขอเป็น ช็อกโกแลตก็แล้วกันได้ไอติมกันคนละโคน จากนั้นก็พากันเดินรอบสถูปพลางคุยแลกเปลี่ยนนานาทัศนะระหว่างกันอย่างออกรสโดยมือข้างหนึ่งของ Krissana ยังคงจูงจักรยานคู่ใจ ส่วนมืออีกข้างก็ถือ ice cream โคนพร้อมกับการแทะ ๆ เลีย ๆ ice cream ไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย


รับผิดชอบ ice cream กันเสร็จเรียบร้อย เราขอตัวเดินขึ้นไปบนองค์สถูป ปล่อยให้ Krissana ยืนเฝ้าจักรยานรออยู่ด้านล่าง ตอนแรกเราตั้งใจจะเดินให้ครบสามรอบแต่ดันเดินหลงทางแทนที่จะเดินเวียนขวาเหมือนคนอื่นเค้า กลับสะเหร่อเดินเวียนซ้ายแทนเสียนี่มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เดินสวนกับลามะทิเบตที่กำลังเดินท่องมนต์โดยมือข้างหนึ่งของท่านถือกงล้อภาวนาขนาดเล็กหมุนแกว่งเป็นวงกลมส่วนมืออีกข้างก็ถือสร้อยลูกปะคำดูน่าเลื่อมใส เรากลับมานึกดูสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรพอที่จะแสดงได้ว่าเป็นพุทธมามกะที่ดีเลยแม้แต่น้อยแถมยังเดินผิดทิศผิดทางอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราคงไม่หาญกล้าสะเหร่อให้อายผู้คนอีกต่อไปตัดสินใจรีบเดินลงจากองค์สถูปในบัดดล ท่าทางเราคงจะบาปหนักแค่ตั้งใจจะเดินรอบองค์สถูปแค่สามรอบยังทำไม่ได้เลย เราเริ่มรู้สึกลึกซึ้งถึงความศรัทธาของผู้คนที่อุทิศทั้งชีวิตให้กับศาสนาก็คราวนี้เองมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ



















การแสดงออกซึ่งความศรัทธาของชาวพุทธทิเบตไม่ได้มีแค่ที่เราเห็นแค่นี้เท่านั้นทราบมาว่ามีชาวทิเบตบางคนเดินทางรอนแรมจากที่ราบสูงทิเบตเพื่อมายังสถานที่แห่งนี้ด้วยสองเท้าเปล่าแต่ที่น่าทึ่งก็คือแทนที่จะเดินด้วยลักษณะการเดินธรรมดา แต่กลับเป็นว่าทุก ๆครั้งที่เดินครบสามก้าว พวกเขาจะล้มตัวคว่ำหน้าราบให้ทั้งตัวแนบชิดกับพื้นครบแปดจุดซึ่งได้แก่ เข่า 2 มือ 2 แขน 2 อก 1 และหน้าผาก 1 เรียกการเดินแบบนี้ว่า อัษฏางคประดิษฐ์ถือเป็นวิธีการแสดงออกถึงความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้าอีกวิธีหนึ่งที่ชาวทิเบตนิยมปฏิบัติกันจากดินแดนหลังคาโลกผ่านหิมาลัยลูกแล้วลูกเล่า ผ่านร้อนผ่านหนาวเผชิญหลากหลายสารพัดความยากลำบากนับวันแรมเดือนกว่าจะมาถึงสถานที่แห่งนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์และไม่น่าเชื่อว่าแรงศรัทธาสามารถทำให้มนุษย์ยอมสละความสุขสบายยอมทนทุกข์ตรากตรำทรมานตัวเองได้ถึงเพียงนี้


พวกเราใช้เวลาในการเดินชมรอบๆ สถูปแห่งนี้ไม่นาน เราเลยชวน Krissana เดินทางกลับนั่งซ้อนท้ายจักรยานกลับเส้นทางเดิม Krissana เห็นว่ายังพอมีเวลาเลยขอให้เราไปเที่ยวที่บ้านเขาสักครั้งท่าทางงานนี้เราคงจะปฏิเสธไม่ได้เสียแล้ว

OK,let's go.

Krissana ยิ้มอย่างดีใจหลังจากที่พยายามตื๊อให้เราไปบ้านเค้าหลายครั้งหลายครา...


บ้านของKrissana เป็นตึกใหญ่ 4 ชั้น ทาสีชมพูสดใส เขาอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่ชายคนโต พี่สะไภ้ พี่ชายคนรอง หลายชายและหลานสาว ซึ่งเป็นลูกของพี่ชายคนโตส่วนพี่ชายคนรองของเขายังไม่มีครอบครัว เห็นสภาพบ้านของเขาแล้วถ้าเทียบกับที่เมืองไทยคนที่มีบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้ถือว่าเป็นผู้มีอันจะกินทีเดียวแต่สำหรับชาวเนปาลแล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พ่อแม่ของเค้ายังทำงานเป็นลูกจ้างธรรมดาส่วนพี่ชายคนโตมีอาชีพขับรถรับจ้าง ส่วนพี่ชายคนรองยังไม่มีงานทำที่แน่นอนทุกคนต่างต้องช่วยกันทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูคนในครอบครัว บ้านที่มีสี่ชั้นนี้ชั้นบนสุดจะเป็นที่อยู่ของเจ้าบ้าน ซึ่งก็คือครอบครัวของ Krissana นี่เอง ส่วนชั้นล่าง ๆ มีไว้สำหรับให้ครอบครัวอื่นมาเช่าอยู่ซึ่งอาจจะเป็นญาติสนิท เพื่อนสนิท หรือคนอื่น ๆที่เจ้าบ้านเห็นสมควรและยินดีให้เช่า นับว่าเป็นความรู้ใหม่เกี่ยวกับสังคมเนปาลที่เราเองก็เพิ่งเคยทราบถ้าเป็นที่เมืองไทย คงไม่มีเจ้าบ้านคนใดยอมเสียความเป็นส่วนตัวโดยยอมให้คนอื่นมาร่วมอาศัยภายใต้ชายคาเดียวกันแน่ๆ 


เนื่องจากบ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ จึงยังหาคนมาเช่าชั้นล่าง ๆ ไม่ได้ มิน่า Krissana ถึงอยากให้เรามาชมบ้านของเขานักหนา เพราะอยากอวดบ้านใหม่นี่เอง Krissana เชื้อเชิญเราขึ้นไปชั้นบนสุด อันเป็นชั้นที่ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ซึ่งตอนนี้มีพี่สะไภ้และหลานชายคนเล็กกำลังนั่งดูทีวีอยู่ เขาแนะนำให้รู้จักกับพี่สะไภ้และหลายชายตัวน้อยพี่สะไภ้ของ Krissana ดูรูปร่างหน้าตาเป็นมองโกลอยด์เหมือนคนจีนหรือทิเบตดูท่าทางเธอเป็นคนใจดีและดูอบอุ่น ส่วนเด็กน้อยก็หน้าตาค่อนไปทางลูกครึ่งอารยันจมูกโด่ง ตาโต ผิวขาว ปากแดง ดูท่าทางเป็นเด็กดีเลี้ยงง่าย พอเรากล่าวทักทายเด็กน้อยก็ออกอาการอายเล็กน้อย อมยิ้มแล้ววิ่งไปหลบอยู่หลังแม่


แดดยามบ่ายแก่ๆ เริ่มอ่อนลงแล้ว Krissana อยากโชว์อะไรดีๆ เลยพาปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้นบนสุดของบ้าน


โอ้ว!! แม่เจ้าไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มาเห็นภาพแบบ panorama เช่นนี้ภาพสภาพชุมชน บ้านเรือนและวิวทิวทัศน์ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาในมุมแบบ bird eye view เช่นนี้คงหาดูไม่ได้ง่าย ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป เรารู้สึกขอบคุณเจ้าบ้านมาก ๆ Krissna ปล่อยให้เราชื่นชมกับภาพบรรยากาศและสูดอากาศเย็นสบายยามแดดร่มลมตกอย่างเต็มที่ ผลัดเปลี่ยนกันถ่ายภาพกันไว้เป็นที่ระลึกจนจุใจ จากนั้นก็นั่งคุยกันรับลมเย็น ๆแต่ก็เริ่มค่อนไปทางหนาวนิดหน่อยบ้างแล้ว


หลากหลายเรื่องราวและประสบการณ์ดีๆ ที่ได้พบเจอตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้จนกระทั่งถึงวันใกล้ที่จะต้องอำลาจากไป โดยเฉพาะ ในช่วงเวลานี้ ที่ที่มีเพื่อนที่เราสามารถไว้วางใจได้อย่างสนิทใจอย่าง Krissana มันทำให้เรารู้สึกรักประเทศนี้นับเท่าทวีคูณ ความรู้สึกภาคภูมิใจและประทับใจมันล้นเอ่อจนอยากจะร้องตะโกนออกมาดัง ๆ เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกตื้นตันและเปี่ยมสุขที่สุมแน่นอยู่ในอกให้ออกมาเสียบ้าง ทุกครั้งที่ออกเดินทาง ไม่ว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นที่ใดบนโลกใบนี้ เรามั่นใจเสมอว่ามิตรภาพสามารถเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่ง และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงพิสมัยการเดินทางรูปแบบนี้เป็นอย่างมากเพราะเราคิดว่าการได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนใหม่ ๆ มันจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างมากขึ้นและเมื่อใดก็ตามที่เราได้เรียนรู้ได้เห็นอะไรที่แตกต่างมากขึ้น มันจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติและรอบคอบมากยิ่งขึ้น การเปิดใจให้กว้างและพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างมีสติคือผลึกความคิดที่ได้ตกสะเก็ดจากประสบการณ์ที่ได้รับจากการเดินทาง คำกล่าวที่ว่า "Travel Broaden Mind"  จึงเป็นคำกล่าวที่เราคิดว่ามันเป็นอมตะวลีเป็นทฤษฏีที่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่ใช่เพียงคำกล่าวที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อความโก้เก๋แต่อย่างใด





 

Create Date : 20 ธันวาคม 2558    
Last Update : 21 ธันวาคม 2558 14:41:16 น.
Counter : 559 Pageviews.  

เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 28

ศพแล้วศพเล่าที่ถูกหามมาทำพิธีทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย เราจึงตัดสินใจจากสถานที่แห่งนี้ไปดีกว่า ก่อนหน้านี้ตรงเชิงตะก่อนเผาศพเห็นมีเฉพาะกองฟืนที่เตรียมไว้ แต่ ณ ขณะนี้เชิงตะกอนเกือบทุกที่ถูกจับจองด้วยลอมฟืนรอสำหรับการเผาศพ บ้างก็กำลังคุโชนไปด้วยเปลวไฟร้อนแรงแผดเผาร่างไร้วิญญาณส่งกลิ่นชวนสะอิดสะเอียน ฝุ่นขี้เถ้าที่เกิดจากการเผาศพลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณด้วยแรงลม เราพยายามดึงคอเสื้อมาปิดจมูกปิดปาก แต่พอสังเกตเห็นคนอื่นที่เดินไปมาโดยไม่ใส่ใจกับกลิ่นและละอองขึ้เถ้าแม้แต่น้อย เลยไม่อยากทำตัวผิดแผกไปจากคนเกรงอื่น จึงเลิกปิดปาก ปิดจมูก แต่พยายามเดินกลั้นหายใจแทนมุ่งหน้าเดินจ้ำอ้าวขึ้นไปตามบันไดหินตามบรรดาผู้คนที่เดินขึ้นลงโดยไม่รู้ว่าสถานที่ที่กำลังมุ่งหน้าไปนั้นมันคือที่ใด กว่าจะหลบกลิ่นเผาศพออกมาได้ก็เล่นเอาทุลักทุเลพอสมควร






บรรดาขอทานผู้ยากไร้ นั่งเรียงรายไปตามทางเดิน บ้างก็ร้องขอเศษเงินจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา บ้างก็นั่งนิ่งเฉย หวังว่าจะมีเศษเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ โยนลงภาชนะรองรับเก่า ๆ ของตน การได้เห็นสีหน้าของผู้ยากไร้เหล่านี้ร้องอ้อนวอนขอเศษเงิน ทำให้เรารู้สึกใจหายและรู้สึกเวทนาขึ้นมาจับใจ ทำไมชีวิตคนเราถึงได้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวขนาดนี้พวกเขาจะทนทรมานขนาดไหนในวันที่ไม่มีแม้แต่ข้าวซักเม็ดตกถึงท้อง พวกเขาจะหนาวเหน็บซักเพียงใดท่ามกลางค่ำคืนอันยาวนานภายใต้ชายคาอันว่างเปล่าไร้ซึ่งที่กำบังลมหนาว พวกเขาจะเจ็บปวดขนาดไหนในยามที่เจ็บไข้ไร้ยารักษาและหมอผู้ให้การดูแล คุณค่าของความเป็นคนใช่อยู่ที่ศักดิ์ศรีหรือเงินตรากันแน่นะ หากชีวิตทุกชีวิตมีคุณค่าดังคำกล่าวอ้างแล้วเหตุใดผู้คนเหล่านี้ถึงได้มีสภาพอันน่าเวทนา ถูกมองเยี่ยงคนที่ไร้ค่าไร้ความหมาย เป็นกลุ่มคนที่สังคมมองว่าเป็นเสมือนขยะสังคม ภายใต้จิตใจลึก ๆ ของมนุษย์นั้นเป็นเช่นไรกันแน่หรืออาจจะไม่ต่างจากสัตว์ดิรัจฉานทั่วไปที่ล้วนแล้วแต่ต้องแก่งแย่งชิงดีเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและพวกพ้อง พร้อมที่จะเหยียบย่ำเอารัดเอาเปรียบผู้อ่อนแอกว่าโดยไร้ความปราณี ถ้าเป็นเช่นนี้จริง คำกล่าวอ้างที่ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ" คงเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของผู้ที่เห็นแก่ตัว เพื่อยกตนให้ดูดีเหนือกว่าสัตว์อื่นๆ กระมัง"


เราเดินไต่ระดับตามบันไดคอนกรีตขึ้นมาด้านบนยอดเขาขนาดย่อมอันเป็นที่ตั้งของวัดฮินดูอีกแห่งหนึ่ง สถูป เจดีย์อันเป็นที่ประดิษฐานศิวะลึงค์สัญลักษณ์ของเทพเจ้าฮินดูตั้งวางเรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม รูปทรงสถาปัตยกรรมอาคารที่พำนักของเหล่าสาธุที่ดูเก่าแก่และเป็นเอกลักษณ์ตั้งขนานไปตามทางเดิน มีผู้คนเดินผ่านไปมาแต่ไม่ถึงกับพลุกพล่านมากนัก เราใช้เวลาเดินสำรวจสถานที่ดังกล่าวได้พักหนึ่งก็ตัดสินใจเดินทางกลับเพื่อมุ่งหน้าสู่มหาสถูป Bodhanath อันเป็นจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ซึ่งตามคู่มือท่องเที่ยวบอกว่าอยู่ไม่ห่างจากวัด Pashupatinath แห่งนี้เท่าใดนัก สามารถเดินทางไปโดยวิธีการเดินเท้าได้ เราตั้งใจจะกลับไปเริ่มต้น ณ จุดเดิมบริเวณที่รถเมล์จอดให้ลงแต่ไม่รู้ว่ามีเหตุอะไรมาดลใจให้คิดได้ว่ามันมีเส้นทางลัดไปยัง Bodhanath ได้ โดยผ่านวัดฮินดูบนเขาที่เราเพิ่งเดินกลับลงมาเมื่อกี้นี้ จึงตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปอีกรอบ


เดินไปจนถึงประตูทางออกวัดอีกฝั่งหนึ่ง สอบถามแม่ค้าที่นั่งขายขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มตรงบริเวณประตูทางออกอีกครั้งเพื่อความแน่ใจซึ่งเธอก็ยิ้มอย่างมีไมตรีจิตแล้วบอกว่าให้เดินลงไปตามทางเดินนี้ 



ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึง Bodhanath แล้ว เรากล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจเธอยิ้มแล้วบอกให้ช่วยอุดหนุนสินค้าของเธอถึงแม้ใจจริงอยากจะช่วยอุดหนุนเธอเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจและรอยยิ้มที่เป็นมิตรนั้นแต่เราก็ปฏิเสธไปเพราะมีช็อกโกแลตอยู่เต็มกระเป๋าอยู่แล้ว


ก่อนข้ามสะพานข้ามแม่น้ำบักมาตี มีวัดฮินดูอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่เรามองผ่านประตูทางเข้าวัดเห็นว่าวัดนี้มีความน่าสนใจไม่น้อย รูปแบบสถาปัตยกรรมงานปั้น งานฉลุลายโลหะที่ประดับตกแต่งอาคารและวิหารดูงดงามเก่าแก่ จึงถือโอกาสเดินเข้าไปโดยลืมนึกไปว่านี่เป็นวัดฮินดูซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เป็นทหารที่เฝ้าประตูทางเข้าก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด เราเดินสำรวจบริเวณวัดได้ซักพักคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วจึงหยิบกล้องจากกระเป๋าที่คาดไว้ข้างเอวออกมา แชะแรกที่แสงแฟลชแปล็บขึ้นมา เสียงร้องตะโกนจากเจ้าหน้าที่ในวัดก็ดังขึ้นพร้อมกับอาการชี้ไม้ชี้มือให้ทุกคนมองมายังเรา พร้อมตะโกนว่า "Let him out!!!" หรือประมาณว่า "ไล่มันออกไป!!!" น่าจะคือความหมายของคำที่เจ้าหน้าที่ในวัดคนนั้นตะโกนมา อารามตอนนั้นรู้สึกตกใจจนมือเท้าสั่นรีบวิ่งหนีออกมายังประตูทางออกในทันที พอดีกับที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นทหารที่เฝ้าประตูทางเข้าวัดก็วิ่งสวนขึ้นมารีบดึงแขนเราให้ออกไปจากบริเวณวัดโดยเร็ว เราแทบหยิบรองเท้าไม่ทัน!!! เจ้าหน้าที่ดึงแขนออกมาพูดกับเราประมาณว่า เขาคิดว่าเราเป็นชาวเนปาลนับถือฮินดูเลยไม่ได้เอะใจ ต้องขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ และเราก็กล่าวแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆไปว่าไม่รู้ว่านี่เป็นวัดฮินดูเช่นกัน และเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่เห็นว่าอะไรเลยเดินเข้าไปในบริเวณวัด เจ้าหน้าที่ยิ้มแกมรู้สึกเห็นใจ แล้วถามว่าจะไปไหนต่อ เราเลยถือโอกาสถามทางไปสถูป Bodhanath เจ้าหน้าที่ทหารใจดีคนนั้นบอกเส้นทางด้วยความเต็มใจ เรากล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่แล้วจึงขอตัวเดินทางต่อ...สะเหร่อจนได้เรื่องอีกแล้วนะเรา หลายรอบแล้วนะวันนี้


พอข้ามสะพานมาได้ก็มาเจอทางสามแพร่ง ชักไม่แน่ใจในการตัดสินใ พอดีมีหนุ่มนักเรียนมัธยมสองคนที่เพิ่งเลิกเรียนกำลังเดินทางกลับบ้านเดินตามหลังมาเลยถือโอกาสถามทางเสียเลย


"Excuse me, How to get to Bodhanath Stupa?" หนึ่งในหนุ่มนักเรียนสองคนนั้นตอบกลับมาว่า


"That way" "Where are you from?"


"I'm from Thailand"


"I saw you on the bridge at Pashupatinath then I thought you are Nepali"


"Oh! really"


"Yes"

.....









หลากหลายคำถามสำหรับการทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่ต่างก็พรั่งพรูโต้ตอบซึ่งกันและกัน เด็กหนุ่มอีกคนขอตัวแยกทางเพราะถึงเส้นทางแยกที่จะไปบ้านเขาแล้วคงเหลือแต่เรากับ Krissana เพื่อนใหม่ที่ชื่อดันมาเหมือนกันกับชื่อลูกหาบที่โปขราอีกแล้ว ท่าทางชื่อ Krissana ที่เนปาลคงจะฮอตฮิตไม่ต่างจากชื่อสมชาย สมศักดิ์บ้านเรากระมัง


Krissana บอกว่ารู้สึกถูกชะตากับเราตั้งแต่เดินตามหลังมาบนสะพานข้ามแม่น้ำบักมาตีแล้วแต่เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าเราเป็นชาวต่างชาติ จึงไม่ได้พูดคุย แต่พอเราเข้าไปถามทาง เขาถึงรู้และดีใจที่จะได้มีเพื่อนใหม่ เขาบอกว่าเขาชอบพูดคุยกับนักท่องเที่ยวเพื่อเป็นการฝึกภาษาอังกฤษและต้องการเรียนรู้ความคิดความอ่านแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้คนจากต่างแดน


"My house is on the way to Bodhanath. Would you like to go to my house?" Krissana ชวนเราแวะบ้านของเขา ซึ่งเป็นทางผ่านไปยัง Bodhanath พอดี แต่ถึงแม้จะเป็นคนลุยขนาดไหนแต่กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่นาที เราก็ไม่ควรตามน้ำจนเกินควร จึงตอบปฏิเสธน้ำใจของ Krissana ไป


พวกเรายังคงเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงประตูทางเข้าบ้านของ Krissana ในขณะเดียวกันแบตเตอรี่กล้องก็เริ่มมีปัญหา เอาละซิทีนี้ แบตเตอรี่ดันมาหมดเอาดื้อ ๆ เราเริ่มรู้สึกกังวลเพราะนี่เป็นสถานที่สุดท้ายและถือเป็นไฮไลต์อีกแห่งหนึ่ง หากต้องกลับบ้านโดยไม่ได้เก็บภาพ Bodhanath เราคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองแน่ๆ เอายังไงดีหว่า Krissana เองก็คงสังเกตุเห็นความกังวลของเราไม่น้อย


Do you have a charger?


No,I leave it in my room at Thamel.


Poor!


Ummm! How should I do? เราบ่นเบา ๆ


Just take a look. I think you will love it. เขาหมายถึงไปดูเฉย ๆ ก็ได้ นายน่าจะชอบน่า


Yes,of course. I will love it but I have to take a photo anyway. :(


Krissana ไม่รู้จะทำยังไงต่อ แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม คงเพราะไม่ต้องการให้เราเสียโอกาสที่จะได้ไปชมสถูป Bodhanath


Can you wait me for few minutes? I will leave my bag then will take you to Bodhanath.


Krissana บอกให้เรารอเขาที่หน้าบ้าน แล้วเขาจะเป็นคนพาไปที่ Bodhanath เอง


ท่าทางของ Krissana เป็นเด็กหนุ่มที่สุภาพและเป็นมิตรไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร สีหน้าและคำพูดของเขา เรารู้สึกได้ถึงความจริงใจและมีน้ำใจอย่างเหลือล้น แต่เราไม่อยากเสียเวลาเพราะตอนนั้นกำลังสองจิตสองใจว่าจะไป Bodhanath เพื่อเดินดูเฉย ๆ หรือว่าจะกลับไปชาร์จแบตที่ Thamel ก่อนแล้วค่อยกลับมาดี เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบบ่ายสามโมงแล้วถ้ากลับไปแล้วกลับมาก็เกรงว่าจะมืดค่ำเสียก่อน อีกอย่างก็ยังไม่รู้เลยว่าจะกลับ Thamel ด้วยวิธีไหนดี แต่เราก็ตัดสินใจบอกกับ Krissana ไปว่า


"No,problem. I might back to Thamel then will come here later. Thank you my friend"


Krissana ทำหน้างง แต่ก็รีบวิ่งเอากระเป๋าหนังสือไปเก็บ ส่วนเราก็เดินมุ่งหน้าต่อไปพลางในใจก็ครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดีหว่า


"ไม่ได้ซิ เราต้องเก็บภาพไปให้ได้" เราตัดสินใจเดินกลับหลัง มุ่งหน้าหาทางกลับ Thamel เพื่อไปชาร์จแบตเตอรี่กล้องถ่ายรูป โดยที่ ณ ห้วงเวลานั้น Krissana ก็ยังไม่รู้ว่าเรามุ่งหน้าเดินทางต่อไปยัง Bodhanath หรือหันหลังกลับสู่ Thamel...





 

Create Date : 19 ธันวาคม 2558    
Last Update : 20 ธันวาคม 2558 13:44:20 น.
Counter : 430 Pageviews.  

เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 27

ถอดรองเท้าเสร็จกำลังจะก้าวเดินเข้าประตูวัด ดันไปเหยียบน้ำอะไรซักอย่าง มองไปมองมารอบ ๆ เห็นแพะฝูงหนึ่งกำลังเดินป้วนเปี้ยนไปมา คงจะเป็นฉี่แพะกระมัง เลยไม่ได้ใส่ใจเดินตามหลังกลุ่มชาวเนปาลฮินดูเข้าไปในบริเวณวัดในใจกึ่งกล้ากึ่งกลัว เพราะวัดฮินดูทุกแห่งในประเทศนี้ห้ามคนนอกศาสนาเข้าไปภายในบริเวณวัดเด็ดขาดแต่เพราะความไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ เราเลยอยากจะเข้าไปให้เห็นกับตา


ก้าวแรกที่เท้าย่างข้ามพ้นธรณีประตู อู้ววววว์ แม่เจ้า!!!นี่มันวัด Pashupatinath แน่ ๆ เลย มันวัดฮินดูที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี่นาตายห่ะละซิ จะรีบวิ่งออกก็เกรงว่าคนจะจับพิรุธได้ เราเลยพยายามแกล้งทำเป็นเดินดูนู่นดูนี่เหมือนคุ้นเคยพยายามทำตัวให้เนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้พยายามหักห้ามใจกับอาการอยากหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปอย่างที่สุด เพราะภาพที่เห็นอยู่ ณ ตอนนั้นมันทั้ง Incredible ทั้ง Amazing มาก ๆ วิหารกลางลานวัดอันเป็นที่ประดิษฐานศิวะลึงค์อันศักดิ์สิทธิ์ถูกตกแต่งด้วยงานศิลปะชั้นครู หลังคาสีทองอร่ามของตัววิหาร ประตูหน้าต่าง ผนังรอบทั้งสี่ทิศถูกบุด้วยแผ่นเงินแท้ ๆ สลักลวดลายวิจิตรตระการตา งดงามเหลือเกิน เห็นชาวฮินดูเนปาลีนำเครื่องเซ่นไหว้เข้าไปสักการะศิวะลึงก์ด้านในวิหาร เรานึกอยากจะเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่าจะมีอะไรที่ไม่คาดคิดคาดฝันข้างในอีกบ้าง แต่เกรงว่าจะโดนจับผิด เพราะในตัวเรามีกล้องที่แขวนไว้กับเข็มขัดกางเกง โชคดีที่ขนาดมันไม่ใหญ่มากนัก จึงพอเอาชายเสื้อปิดเพื่อไม่ให้มีใครสังเกตเห็น ส่วนเป้ใบเล็กเราใช้วิธีหิ้วคล้ายหิ้วถุงใส่หมากสำหรับเคี้ยวเล่นแทนการสะพายหลังเพื่อไม่ให้ดูแปลกตาสำหรับผู้คนและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลวัดจนเกินไป วัวตัวโต อ้วนพี รูปร่างงดงามราวกับวัวเทพ กำลังยืนกินพืชผักที่ชาวบ้านนำมาถวายเพราะชาวฮินดูมีความเชื่อว่า วัวเป็นสัตว์พาหนะประจำองค์พระศิวะ วัวสองตัวนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นเทพจึงไม่แปลกที่มันจะถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดี จนทำให้มีรูปร่างสง่างามอย่างที่เห็น



ฝั่งตรงข้ามทางเข้าวัดที่เข้ามามีประตูและบันไดคอนกรีตทอดยาวลงสู่แม่น้ำบักมาตีแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวเนปาลชาวฮินดูหลายคนกำลังยืนเกาะกำแพงวัดเพื่อมองกิจกรรมริมฝั่งแม่น้ำเบื้องล่าง ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าเค้ามีกิจกรรมอะไร บอกตามตรงว่า ณ เวลานั้นเกิดอาการกลัวถูกจับได้จนไม่มีเวลาคิดอะไรแล้ว อยากเก็บภาพก็เก็บไม่ได้ พยายามทำเวลาด้วยการรีบเดินรอบบริเวณวัดพร้อมกับกวาดสายเก็บบันทึกภาพที่เห็นไว้ในสมองอันน้อยนิดให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้รีบออกไป ทั้งที่ใจจริงแล้วยังไม่อยากออกไปเลย แต่ถ้าขืนอยู่ต่อไปมีหวังคงต้องโดนจับได้และโดนลงโทษแน่ ๆ


พอก้าวพ้นธรณีประตูออกมาด้านนอกวัดได้ อาการขนลุกซู่ยังคงไม่หายแต่รู้สึกโล่งอกเสียเหลือเกิน รอดตายแล้วตรู ไม่น่าเล้ย... เรารีบไปหยิบรองเท้ามาใส่แล้วรีบเดินออกไปในทันทีโชคดีที่ชายหนุ่มที่เราสอบถามตอนก่อนเข้าวัด ไม่ไปฟ้องเจ้าหน้าที่ ให้ไปวิ่งไล่จับเราในวัด ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหนแล้ว ถ้าเขายังอยู่เห็นทีต้องต่อว่าซักหน่อยข้อหาใช้ body language ไม่เคลียร์ รู้สึกเสียดายมาก ๆ ที่ไม่สามารถเก็บภาพบรรยากาศและความงดงามของศิลปะที่ตกแต่งด้วยงานแกะสลักแผ่นเงินแท้ฝีมืองช่างเนปาลโบราณที่มีอายุหลายร้อยปีออกมาด้วยได้ แต่อย่างน้อยเราก็มีโอกาสได้เห็นกับตาตัวเองซึ่งโอกาสที่จะได้เข้าไปภายในบริเวณวัดของนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ชาวฮินดูนั้นแทบไม่มีเลย จึงไม่แปลกที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงภาพและบรรยากาศภายในบริเวณวัดแห่งนี้ในหนังสือคู่มือนักท่องเที่ยวซักเท่าไหร่ มาคิดดูอีกที ความสะเหร่อ เซ่อ ซื่อบื้อของเรามันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับดวง และเทคนิคการทำเนียนด้วย หากดวงไม่ดีปฏิบัติไม่เนียน ก็คงมีหวังได้ร้องไห้โฮ อย่างแน่นอน...แต่เรื่องสะเหร่อมันชักจะถี่เกินไปแล้วนะวันนี้


สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวฮินดู ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้เที่ยวชมสำหรับวัดแห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถชมบรรยากาศรอบ ๆ บริเวณวัดแห่งนี้ได้ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คงหนีไม่พ้นวิถีชีวิตของชาวฮินดู ความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาหรือแม้แต่พิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตาย


เราเดินตามนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเดินอ้อมไปยังจุดขายบัตร ชำระค่าบัตรเข้าชม 250 รูปี หนุ่มน้อยแต่งตัวซอมซ่อ เดินเข้ามาทักพร้อมเสนอตัวเป็นไกด์ เราตอบปฏิเสธไป โดยบอกไปว่าอยากเดินเที่ยวคนเดียว และไม่ยินดีที่จะจ่ายตังก์ด้วย อย่ามาเสียเวลาตามตื๊อเลย แต่หนุ่มน้อยคนนั้นก็ยังพยายามตามตื๊อไม่หยุด บอกว่าเค้าไม่คิดค่าบริการ แค่ขอเป็นเพื่อนเดินเที่ยวก็ได้ ซึ่งเราเองเคยมีประสบการณ์มาหลายครั้งแล้วกับเรื่องพวกนี้ เพราะท้ายสุดคนพวกนี้จะต้องขอเงินอย่างแน่นอน จึงพูดไปแบบไม่ใยดีว่า Up to you, but I'll never pay you for any rupee!! หนุ่มน้อยยังคงแสดงสีหน้าเป็นปกติพลางพยายามสอบถามชื่อเสียง เรียงนามว่ามากจากไหน มากี่วัน มาเนปาลครั้งแรกหรือเปล่ามากับใคร ไปเที่ยวไหนมาแล้วบ้าง เขาพยายามอธิบายความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ซึ่งจากที่เราได้อ่านในหนังสือกับสิ่งที่หนุ่มน้อยคนนี้อธิบายดูมันแตกต่างกันพอสมควรเลยไม่ทราบว่าจะเชื่อข้อมูลแหล่งใดดี แต่ก็ลองฟังหูไว้หูละกัน โดยหนุ่มน้อยคนนี้บอกว่า ความหมายของชื่อวัดแห่งนี้ หมายถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพฮินดูเช่น วัว อีกา สุนัข ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะไม่ถูกรังแกหรือนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับชาวฮินดูโดยเด็ดขาด จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นสัตวเหล่านี้เดินหรือบินโฉบเฉี่ยวหากินไปมาภายในบริเวณวัดร่วมกับผู้คนโดยไม่ถูกรบกวนหรือไล่หนีเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นวัดแห่งนี้จึงเป็นแหล่งที่อยู่ที่สงบสุขที่สุดของเหล่าสัตว์ต่าง ๆ เหล่านั้นนั่นเอง
































หนุ่มน้อยพยายามเดินตามพร้อมอธิบายนั่นนี่ให้เราฟังซึ่งบางเรื่องเราก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่อีกใจหนึ่งก็เกรงว่าหากเราตั้งใจฟังเกินไปนั่นหมายถึงเราต้องจ่ายเงินแน่ ๆ  เลยพยายามไม่แสดงสีหน้าว่าเราให้ความสนใจมากนักและคิดว่าหากพยายามปล่อยให้หนุ่มน้อยคนนี้เดินตามไปตลอด คงไม่ดีแน่เลยรีบพยายามพูดตัดบทแล้วเดินหนี ซึ่งตอนแรก ๆ ก็โดนตามติดแจจนเริ่มรำคาญรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว เราจึงตัดสินใจพูดออกไปว่า Don't disturb me, please !!! ในใจนึกสงสารระคนเกรงใจมาก อีกอย่างเค้าอาจจะเต็มใจเป็นเพื่อนเดินเที่ยวพร้อมกับให้ข้อมูลกับเราโดยไม่หวังผลตอบแทนก็ได้ แต่ทำไงได้ เราโดนแบบนี้มาเยอะแล้ว ไม่อยากจ่ายตังก์อ่ะ ซึ่งก็ได้ผลหนุ่มน้อยยืนหน้าจ๋อยไม่กล้าเดินตามอีกเลย มาคิดดูอีกทีรู้สึกผิดเหลือเกินที่ไปพูดกับเค้าโดยไม่ใยดีขนาดนั้น เรานิสัยแย่มากเกินจะให้อภัยจริง ๆ ขอโทษนะขอโทษจริง ๆ!!!


หลักจากผละตัวจากเด็กหนุ่มคนนั้นได้แล้ว เราตัดสินใจเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำบักมาตีเพื่อไปอีกฝั่งแม่น้ำ ภาพที่เห็นดูแปลกตา ตื่นตาตื่นใจกับวิถีความเป็นไปเป็นอย่างมาก ชาวบ้านบางกลุ่มกำลังประกอบพิธีกรรมอะไรซักอย่าง ธูปเทียนแพ กลีบดอกไม้หลากสีสันถูกนำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรม เชิงตะกอนสำหรับเผาศพว่างเปล่า บ้างก็มีลอมฟืนวางเตรียมไว้สำหรับการเผาที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่เพลาอันใกล้นี้ เหล่าสาธุ หรือฤาษีไว้ผมและเล็บมือยาวเฟื้อยนุ่งผ้าห่อศพย้อมสีเหลืองบ้าง ขาวบ้าง บ้างแต่งแต้มใบหน้าและร่างกายด้วยขี้เถ้าและสีต่าง ๆ บ้างก็นั่งจับกลุ่มคุยกัน หรือไม่ปลีกวิเวกปฏิบัติโยคะด้วยท่วงท่าและลีลาต่าง ๆ อันเป็นวิธีปฏิบัติรูปแบบหนึ่งของการมุ่งสู่ความหลุดพ้น เหล่าสาธุพวกนี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากอินเดีย ซึ่งรูปแบบการแต่งกายของเหล่าสาธุแต่ละคนจะแตกต่างกันไป บางคนนุ่งน้อยห่มน้อยทาเนื้อตัวด้วยขี้เถ้าหรือมูลสัตว์ดูสกปรกในสายตาของผู้พบเห็นทั่วไปโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างแดน บางคนก็ดูสะอาดสะอ้านสวมเสื้อผ้ามิดชิดและไม่นิยมทาเนื้อตัวให้ดูสกปรกมอมแมม สาธุหนุ่ม ๆ บางคนที่เพิ่งฝึกการเป็นฤาษีจะค่อนข้างขี้อายไม่ค่อยกล้ามาเปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะเท่าไหร่ ดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเห็นเฉพาะเหล่าสาธุที่มีอายุมาก ๆ ที่วิชาแก่กล้าแล้วแทบทั้งสิ้น ซึ่งนั่นจึงทำให้ผู้คนเข้าใจว่าเหล่าสาธุ หรือฤาษีมีแต่คนแก่ ๆ เท่านั้นที่จะเป็นได้ แต่จริง ๆ แล้วการฝึกการเป็นฤาษีต้องฝึกตั้งแต่วัยหนุ่มกันเลยทีเดียว การนุ่งห่มผ้าห่อศพการนำขี้เถ้าหรือมูลสัตว์มาทาทั่วลำตัวนั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายในเชิงความเชื่อทางศาสนาแทบทั้งสิ้นไม่ใช่เพราะว่าคนเหล่านี้สติไม่สมประกอบหรือเป็นพวกโรคจิต เนื่องจากพวกเขามีความเชื่อว่าวัวเป็นพาหนะของเทพพระเจ้าดังนั้นเพื่อให้ได้เข้าถึงเทพเจ้าให้ได้มากที่สุดพวกเขาจึงยอมที่จะนำมูลวัวมาทาตามร่างกาย หรืออีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นการเตือนสติว่าคนเราในที่สุดก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องกลายเป็นเถ้าถ่านไม่วันใดก็วันหนึ่ง ดังนั้นเราจึงไม่ควรใช้ชีวิตด้วยความประมาทไม่อยู่ในความโลภอยากได้ อยากมี อยากเป็นจนเกินไปนั่นเอง

สาธุบางคนพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อความอยู่รอดด้วยการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวที่มาขอถ่ายภาพพวกเขา หรือหากนักท่องเที่ยวคนใดแอบเก็บภาพแล้วฤาษีเหล่านี้รู้ตัวก็จะถูกเรียกขอเงิน แต่บางคนที่ค่อนข้างที่จะเคร่งในการประพฤติปฏิบัติก็จะพยายามหลีกเลี่ยง หากรู้ตัวว่าจะโดนถ่ายภาพก็จะเดินหนีทันที เราเจอสาธุหนุ่มวัยเกือบกลางคนคนหนึ่งสวมแว่นตาดำแบกวิทยุทรานซิสเตอร์เปิดเพลงฟังสบายอารมณ์รอบ ๆ บริเวณ เออ...นะ คงเป็นวิธีการบำเพ็ญตะบะอีกรูปแบบหนึ่งซินะ






ฝั่งแม่น้ำตรงข้ามวัด Pashupatinath นี่เองที่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายจะเห็นการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของชาวฮินดู มีสถูปขนาดเล็ก ภายในประดิษฐานศิวะลึงก์ตั้งเรียงรายไปตลอดแนว เราเลือกหามุมเหมาะๆ นั่งพักผ่อนพร้อมกับทอดสายตามองดูความเป็นไปเงียบ ๆ คนเดียว และในที่สุด ภาพที่เราคิดว่าจะไม่ได้เจอก็ปรากฏแก่สายตาจนได้นั่นคือพิธีกรรมฌาปณกิจศพ บรรดาชายฉกรรจ์กำลังหามร่างไร้วิญญาณมาวางริมแม่น้ำเบื้องล่างตอนแรกที่เราเห็นและรู้ว่าเป็นอะไร เราแทบอยากจะลุกเดินหนีไปในทันที เพราะมันชัดเจนเกินไป เมื่อวานเห็นที่บักตะปูร์มารอบหนึ่ง แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไม่ได้เห็นชัดเจนดังเช่นตอนนี้ แต่อารมณ์อยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าเลยพยายามทำใจนั่งมองการประกอบพิธีกรรม รู้สึกขนลุกและหดหู่กับภาพที่เห็นเหลือเกินนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นพิธีกรรมเกี่ยวกับศพอย่างใกล้ชิดเต็มตามากที่สุดร่างไร้วิญญาณของหญิงชรา ที่กำลังโดนถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างออกทีละชิ้นโยนลงแม่น้ำแขนและขาที่แห้งและซีดโผล่พ้นออกมาจากผ้าห่อศพ การถอดเสื้อผ้าของศพออกนั้นไม่ใช่ว่าจะถอดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ต้องมีการให้เกียรติผู้ตายโดยจะต้องมีการห่อศพให้มิดชิดจากนั้นญาติจะพยายามสอดมือเข้าไปถอดเสื้อผ้าของศพแล้วค่อย ๆ ดึงออกมาทีละชิ้นชาวฮินดูเชื่อว่าเสื้อผ้าของผู้ตายยังมีประโยชน์กับผู้ยากไร้คนอื่น ๆ การเผาเสื้อผ้าไปพร้อมกับศพจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์และถือว่าเป็นการยึดติดกับของนอกกายเกินไป ดังนั้นเหล่าญาติผู้ตายจึงต้องทำการถอดเสื้อผ้าของผู้ตายออกทั้งหมด เหลือไว้เฉพาะผ้าห่อศพเท่านั้น เรานั่งดูทุกขั้นตอนราวกับโดนต้องมนต์สะกดนักท่องเที่ยวต่างชาติบางคน ถึงขนาดตั้งกล้องวิดีโอถ่ายภาพพิธีกรรมนี้อย่างละเอียดทุกคนนั่งดูพิธีกรรมด้วยความสงบ ราวกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นเพียงฉากการแสดงฉากหนึ่งเด็กน้อยสองสามคนแก้ผ้ากระโดดเล่นน้ำบริเวณใกล้ ๆ กับศพที่นอนอยู่ริมแม่น้ำเรือพายของนักท่องเที่ยวชาวเนปาลีพายผ่านศพไปพร้อมหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมกับศพเดินไปมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างกับความรู้สึกของเราตอนนี้ลิบลับทั้งกลัว ทั้งหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เราพยายามควบคุมสติของตัวเองพยายามทำใจให้ได้ว่านี่คือธรรมดาโลก สักวันเราก็คงตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับศพหญิงชรานั่น พยายามนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นจนเริ่มรู้สึกทำใจได้ บังเกิดความสงบหนักแน่นและรู้เท่าทัน ด้วยการพิจารณาถึงกฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อใดที่เรารู้เท่าทัน สิ่งใด ๆ จะเกิดมันก็คงไม่เกินที่จิตจะต้านรับไหวได้โดยแน่แท้เชียว


ศพอีกศพถูกหามมาทำพิธีกรรมเฉกเช่นเดียวกัน แต่ละวันคงมีศพแล้วศพเล่าที่ถูกหามมาประกอบพิธีกรรมณ ที่แห่งนี้ จนผู้คนคงจะชาชินและเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว...


ความจริงแล้ววัดแห่งนี้มีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เรียกว่าบ้านรอความตาย อาคารสีขาวโพลนแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงหน้าเราอีกฝั่งของแม่น้ำบักมาตีนี่เองสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่หมดหนทางรักษาเยียวยาแล้วจะนำผู้ป่วยรายนั้นมาอยู่อาศัยจนกว่าจะสิ้นลมหายใจซึ่งชาวฮินดูมีความเชื่อว่าการได้มาอยู่ใกล้สถานที่ประสูติขององค์พระศิวะซึ่งก็คือวัด Pashupatinath แห่งนี้ ก่อนตายจะทำให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบเสมือนได้อยู่ในอ้อมกอดของเทพเจ้าก่อนจะจากโลกนี้ไปนั่นเอง โดยสถานที่แห่งนี้จะมีผู้ป่วยที่อาการใกล้ตายมาอาศัยอยู่ไม่ขาดระยะ โดยจะมีญาติและหมอมาคอยตรวจเช็คร่างกายจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ คนที่พอมีฐานะจะมีห้องส่วนตัวคล้ายเป็นห้องพิเศษในโรงพยาบาลส่วนคนที่ยากจน หรือหากห้องพิเศษมีไม่เพียงพอ ก็จะนอนเรียงรายรวมกันในห้องเดียว เราลองมโนนึกถึงสภาพของคนป่วยที่มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนใกล้ตายเช่นนี้คงทำใจลำบากไม่น้อย หากการได้มาอยู่ในอ้อมกอดของเทพเจ้าก่อนตายเช่นนี้จะทำให้ได้ขึ้นสวรรค์เราขอไม่ขึ้นสวรรค์ดีกว่า ยอมตกนรกนอนรอความตายอยู่ที่บ้านตัวเองดีกว่า เพราะไม่แน่หากผู้ป่วยได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ อาจสามารถยื้อชีวิตให้ยาวนานได้อีกไม่น้อยเป็นแน่ นึกแล้วก็น่าเห็นใจคนป่วยไม่น้อย เพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางรายพูดแทบไม่ได้การจะขอร้องลูกหลานหรือญาติมิตรไม่ให้พาตัวเองมาสถานที่แห่งนี้คงเป็นไปไม่ได้เลยคงมีเพียงน้ำตาและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่พอจะสื่อความหมายออกมาได้แต่ก็คงไร้ประโยชน์อยู่ดี




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2558    
Last Update : 20 ธันวาคม 2558 11:31:04 น.
Counter : 387 Pageviews.  

เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 26

ณ จุดชมวิวของวัดแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นกรุงกาฐมัณฑุในมุมสูงได้อย่างชัดเจน หากวันไหนที่ท้องฟ้าเป็นใจจะสามารถมองเห็นทิวเขาหิมาลัยที่โอบล้อมเมืองโบราณแห่งนี้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย แต่คงน้อยมากที่จะมีใครโชคดีขนาดนั้น อากาศเย็นสบาย แต่ลมค่อนข้างแรงไปหน่อยเสียงบทเพลงสวดรัดรึงโสตประสาท ด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของขลุ่ยจีนผสานเสียงซอและกีต้าร์จีน ซึ่งความไพเราะของเพลงบทสวดนี้ดึงดูดถึงขนาดทำให้เรายอมควักเงินซื้อแผ่นซีดีที่เมืองปาตันไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟังแล้ว ยิ่งได้ยินเสียงบทสวดดังกล่าวในสถานที่ที่สวยงามและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันสงบและงดงามเช่นนี้ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายเหมือนจะหลุดพ้นสู่ห้วงนิพพานและมันก็ทำให้เราตัดใจจากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้สักที ต้องเดินวนเวียนอยู่ในบริเวณวัดรอบแล้วรอบเล่าทุกจุดทุกมุมล้วนแล้วแต่สวยงาม ร้านขายของที่ระลึกเต็มไปด้วยงานศิลปะ หัตถกรรมสร้อยกำไลที่ร้อยจากหินมีค่า ซีดีเพลงและภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเนปาล ทิเบตและหิมาลัยถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบงดงามดูผสานลงตัว ไม่ดูขัดเขินหรือขวางหูขวางตาแม้แต่น้อย เราใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศอันวิเศษเช่นนี้ประหนึ่งว่าอยากจะเก็บทุกอณูความรู้สึกให้แทรกลึกลงในทุกเซลส่วนของร่างกาย เพื่อที่จะได้จดจำความรู้สึกเช่นนี้ไปตราบนานเท่านาน ด้วยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้อีกเมื่อไหร่ หรือนี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็สุดที่จะหยั่งรู้ ได้เวลาต้องไปที่อื่นแล้วหล่ะ จำต้องตัดใจเด็ดขาดเสียที...




คราวนี้เราใช้เส้นทางลงอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นลงสำหรับนักท่องเที่ยวปกติทั่วไปนั่นเอง และเราเพิ่งมารู้ตัวว่ามันต้องมีการซื้อบัตรเพื่อเข้าชมสถานที่แห่งนี้ด้วย เดินเที่ยวซะจนเต็มอิ่มแต่ที่ไหนได้ไม่ได้ซื้อบัตรค่าเข้าชม เนื่องจากเราหลงทางมา ไม่ได้ใช้เส้นทางที่คนอื่นเค้าใช้กัน ประมาณว่าสะเหร่อหรือเซ่อซ่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่ดันไปเจอทางขึ้นซึ่งเป็นเส้นทางที่ทางการไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้เนื่องจากไม่มีจุดขายบัตรเข้าชม แต่เพราะความไม่รู้ กอปรกับรูปลักษณ์หน้าตาที่ไม่ใช่ฝรั่งดั้งขอเลยดูกลมกลืนไปกับผู้คนท้องถิ่น นั่นเองที่ทำให้เราได้เข้าชมโดยไม่ต้องจ่ายค่าบัตรเข้าชมซักรูปีเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว งานนี้เลยได้เที่ยวแบบฟรีๆ ไม่ต้องเสียตังก์...แบบนี้เรียกว่า สะเหร่อจนได้เรื่องรึป่าวก็ไม่รู้ซินะ

เดินอ้อมกลับมายังถนนใหญ่อีกครั้งพลางคิดว่าจะเดินทางไปไหนต่อดี และจะไปด้วยวิธีใด คำแนะนำจากนักศึกษาสาวตอนที่นั่งรถกลับจากโปขราบอกว่าหากต้องการประหยัดค่าเดินทางให้เลือกใช้บริการรถเมล์สาธารณะจะดีกว่า แต่ปัญหาของเราคือสถานที่ที่จะไปนั้นมันอยู่ตรงจุดไหนของกรุงกาฐมัณฑุกันแน่ขนาดนั่งรถเมล์ในกรุงเทพยังไม่เคยประสบผลสำเร็จเลย ไม่ลงก่อนถึงป้ายก็ต้องลงเลยป้ายอยู่ร่ำไป แล้วต่างที่ต่างเมืองเช่นนี้จะเหลือเหรอ ชักเกิดอาการหวั่น ๆ อยู่ลึก ๆ แต่เพราะคิดอยากจะทำอะไรที่นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ เค้าไม่ทำกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง อีกทั้งต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางให้กับตัวเองด้วย เราจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของนักศึกษาสาวคนนั้น


แต่จะขึ้นรถฝั่งไหนดีหว่า ยืนเหรอหรา พยายามมองหาเหยื่อที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ พอดีไปเจอกับสองตำรวจจราจรซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางการจราจรที่เริ่มคับคั่งจอแจ แต่เพราะความสะเหร่อ หาได้สำนึกรู้ไม่ จึงเดินไปขัดจังหวะถามเอาดื้อ ๆ กลางถนน ลืมนึกไปว่าเค้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ส่งสัญญาณให้รถวิ่งผ่านไปมาอยู่ ตำรวจนายแรกที่เราเดินเข้าไปถามทำท่าหงุดหงิดเล็กน้อยตามมาด้วยอาการไม่สนใจ และทำงานต่อไป เราหน้าแตกเพราะความทะเล่อทะล่าของตัวเอง แต่ยังไม่รู้ตัวอีก เดินไปหาตำรวจจราจรอีกนาย ไม่รู้ว่าตำรวจนายนั้นจะรำคาญหรือเห็นใจก็ไม่ทราบ ผละจากหน้าที่ พาเราเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งบอกให้ยืนรอรถอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวรถก็มา แล้วเขาก็กลับไปทำงานของเขาต่อไป เราก็ยืนชะเง้อชะแง้ดูรถที่วิ่งผ่าน


รถผ่านมาแล้วก็ไป คันแล้วคันเล่า แต่ไม่รู้ว่าจะขึ้นรถคันไหนดี เพราะบนรถไม่มีป้ายบอกเป็นภาษาอังกฤษเลย พยายามตะโกนถามเด็กรถคันแล้วคันเล่า
Pashupatinath?! Pashupatinath?! เราตะโกนถามว่ารถจะไปวัดปศุปฏินาถหรือไม่ เด็กรถคันแล้วคันเล่าต่างก็ส่ายหน้าอย่างไม่ใยดี ผู้คนบนรถก็จ้องมองมาที่เราจนเราเกิดอาการประหม่า ท้อใจเหลือเกิน ฤา เราจะต้องยอมควักเงินเรียกแท็กซี่ซินะ แต่เพราะความอดทนอดกลั้น ด้านได้อายอดเรายังคงทู่ซี้ดันทุรังสอบถามรถคันแล้วคันเล่าต่อไป


จนในที่สุดตำรวจจราจรคนเดิมที่พาเราข้ามถนนมาหันมาเจอเรายังไม่ได้ขึ้นรถเสียที ทั้ง ๆ ที่รถก็ผ่านไปคันแล้วคันเล่า เขาจึงเดินข้ามถนนมาช่วยเรียกรถตอนแรกเด็กเก็บกระเป๋าจะไม่ให้ขึ้น เพราะเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวน่าจะมีเงินจ่ายค่าแท็กซี่ให้ไปส่งได้จนตำรวจจราจรคนดังกล่าวพูดแกมบังคับกับเด็กกระเป๋ารถเมล์


ในที่สุดเราก็ได้ขึ้นรถเดินเบียดผู้คนขึ้นไปหาที่นั่ง สายตาผู้โดยสารทุกคู่จับจ้องมาที่เรา โอ้!!..แม่เจ้าทำอะไรไม่ถูกเลย ต้องพยายามหลบสายตาผู้คนไปหาที่นั่งที่เบาะท้ายรถซึ่งมีฝุ่นเกาะกรัง ผ้าบุที่นั่งก็ขาดวิ่น สภาพแย่กว่ารถเมล์แดงบ้านเราหลายเท่าพอตั้งสติได้ ก็หยิบหนังสือมาดูรายละเอียดสถานที่ที่จะไป ซึ่งก็คือวัด Pashupatinath ในใจก็คิดว่า "แล้วไอ้วัดนี้มันอยู่ตรงไหนหว่าตรูจะไปลงตรงไหนดีเนี่ย" มองซ้ายแลขวา ไม่มีคนนั่งข้าง ๆ เลย เอาว่ะคนข้างหน้านี่แหละ "Excuse me sir. Do you knowPashupatinath temple?" พี่แกดูตั้งใจฟังมากว่าเราพูดอะไรแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งคงเป็นเรื่องธรรมดาเพราะคนที่โดยสารรถเมล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาเท่าไหร่ทำให้ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เอาไงดีหว่า นั่งรถเลยมาแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้จะเดินไปถามคนอื่นก็ดูแต่ละคนน่ากลัวทั้งนั้นเลย เราเลยขอนั่งสงบสติอารมณ์ พลางพยายามมองข้างทางไปพลางเผื่อจะเห็นสัญลักษณ์หรือป้ายอะไรบอกบ้าง สักพัก หลังรถจอดรับส่งผู้โดยสาร ณ ป้ายแห่งหนึ่ง ก็มีเด็กนักเรียน ม.ปลาย คนหนึ่งขึ้นมา เอาหล่ะว่ะ!! นี่แหละเหยื่อรายต่อไป ปล่อยเวลาให้น้องเค้าตั้งตัวได้ซักครู่ เราจึงเริ่มปฏิบัติการถามทันทีโชคดีที่น้องเค้ากำลังจะเดินทางไปโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนของเค้าจะเลยวัด Pashupatinath ไปอีก กำลังจะอ้าปากพูด น้องเค้าก็อ่านความคิดออก "I'll let you know when the bus stop"


เฮ้อ!!! โล่งอก รอดตายจนได้นั่งคุยกันได้ซักพักก็ถึงที่หมาย เรากล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจช่วยเหลือของน้องคนนั้น จ่ายเงินค่ารถเมล์โดยยื่นให้เด็กเก็บตังก์ไป 20 รูปีคิดว่าจะได้ตังก์ทอน ไอ้เด็กเก็บตังก์มันคงนึกว่าเงิน 20 รูปีคงจิ๊บจ๊อยสำหรับนักท่องเที่ยว มันเลยไม่ทอนคืนซักรูปีเดียว เล่นแบบนี้เราเลยพูดอะไรไม่ออกจะเถียงเอาเศษเงินไม่กี่รูปีก็รู้สึกเกรงใจไอ้น้องนักเรียนที่อุตส่าห์ช่วยเหลือ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเรางกใช้บริการรถโดยสารถูก ๆ ของประเทศเขาแล้วยังจะงกกะไอ้แค่เงินแค่นี้อีก เอาว่ะ 20 รูปีก็ 20 รูปี ยังไงก็ยังดีกว่าเสียค่าแท็กซี่หลายเท่า พยายามไม่ใส่ใจ เดินมุ่งหน้าสู่วัด Pashupatinath โดยเดาเอาว่ามันน่าจะเป็นถนนเส้นนี้แหละ...


สองข้างทางที่เดินผ่านเต็มไปด้วยอาคารรูปทรงโบราณที่ถูกแบ่งซอยเป็นห้อง ๆ สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของชาวฮินดูแต่ละครอบครัว ส่วนของชั้นล่างถูกดัดแปลงให้เป็นร้านขายของระลึกเรียงรายไปตลอดแนวได้ยินเสียงแว่วใสกังวานของเด็กน้อยกำลังพูดกับคุณตาแก่ ๆ อยู่ เราเลยพยายามมองหาที่มาของเสียงนั้นเห็นเด็กน้อยหน้าตาคมเข้มน่ารักกำลังยืนพูดเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ เราไปแอบยืนเตรียมตั้งกล้องเก็บภาพกะรอให้เด็กน้อยคนนั้นหันหน้าออกมาจ๊ะเอ๋เมื่อไหร่จะกดชัตเตอร์ทันที แต่ยืนรอตั้งนานเด็กน้อยก็ไม่ยอมหันหน้ามาซะที จะตะโกนเรียกก็เกรงคุณตาจะตกใจ เดี๋ยวจะหาว่าเรากำลังจะลักพาตัวเด็กเลยทำท่าโบกไม้โบกมือเผื่อเด็กจะมองเห็นอะไรเคลื่อนไหวข้างหลังบ้าง ในที่สุดก็สำเร็จ เด็กน้อยหันหน้ามามองเราด้วยแววตาที่สงสัยระคนกลัว สงสัยคงจะคิดว่าเราเป็นคนสติไม่ดีกระมัง แต่ขณะที่เด็กกำลังสงสัยอยู่นั้น เราก็เก็บภาพน่ารัก ๆ ของเด็กน้อยไว้ในกล้องเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว


ในที่สุดเราก็เดินมาถึงทางเข้าวัด ซึ่งภูมิทัศน์โดยรอบดูสวยงามตามสไตล์สถาปัตยกรรมเนปาลถือเป็นสถานที่ไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดอีกที่หนึ่งเลยทีเดียว วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของกรุงกาฐมัณฑุไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติตรีภูวันซักเท่าไหร่ จากวัดแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยเท้าเพื่อไปยังมหาสถูป Bodhanath ใช้เวลาเพียงประมาณ 30 นาที


วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดฮินดูที่ศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญมากที่สุดของชาวเนปาล ชาวฮินดูเชื่อว่าพระศิวะเจ้า หรือพระอิศวร ถือประสูติที่นี่ และความสำคัญของวัดแห่งนี้อีกประการหนึ่งก็คือเป็นวัดที่พระราชวงศ์ของกษัตริย์เนปาลทรงมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชพิธีพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินีและพระบรมวงศานุวงศ์ก็ล้วนแต่จัดพิธีขึ้นที่นี่แทบทั้งสิ้น ล่าสุดได้มีการพระราชพิธีพระบรมศพของกษัติรย์เนปาลคือองค์พิเรนทราและพระราชินีไอศวรรย์พร้อมด้วยพระประยูรญาติ ซึ่งถูกปลงพระชนม์ลงพร้อมกันโดยฝีมือพระราชโอรสองค์โตคือกษัตริย์ทิพเพนทรา ซึ่งถือเป็นข่าวใหญ่ที่ช็อคคนทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. 2544 การกระทำการปิตุฆาตและมาตุฆาตนั้นถือเป็นบาปอันใหญ่หลวงโดยเฉพาะตามความเชื่อของชาวพุทธและฮินดู นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดแก่ชาวเนปาลทั้งประเทศ สุดท้ายผลจากการกระทำบาปอันยิ่งใหญ่ครั้งนั้นทำให้กษัตริย์ทิพเพนทรารู้สึกผิดมหันต์ หลังจากที่ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาแล้ว ด้วยความที่สำนึกถึงบาปที่ได้ทรงกระทำไว้จึงทำให้พระองค์พยายามปลิดพระชนม์ชีพของพระองค์เองโดยการใช้ปืนจ่อยิงที่ศรีษะ แต่พระองค์ไม่ได้เสียชีวิตในทันที คณะแพทย์ต้องพยายามยื้อชีวิตถึง 3 วันจนในที่สุดพระองค์ก็เสด็จสวรรคตชดใช้กรรมที่ได้กระทำไว้ เรื่องราวของพระราชวงศ์ของประเทศเนปาลซับซ้อนซ่อนเงื่อนและมีปัญหาหมักหมมมาตลอดระยะเวลายาวนาน ปัจจุบันเนปาลยกเลิกระบบกษัตริย์แล้วโดยสิ้นเชิง เชื้อพระวงศ์ถูกปลดยศฐาบรรดาศักดิ์เทียบเท่าสามัญชนธรรมดา เชื้อพระวงศ์บางคนระหกระเหินหนีไปอยู่ต่างแดน


ปัจจุบันเนปาลปกครองด้วยระบบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ เราก็เพิ่งทราบจาก Krisna ลูกหาบที่โปขราว่าเนปาลล้มเลิกระบบกษัตริย์ไปเมื่อหกเดือนที่แล้วก่อนที่เราจะเดินทางมานี่เอง ดูท่าทางประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะพอใจไม่น้อยกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะก่อนหน้านี้อำนาจการเมืองส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของกษัตริย์


















ซึ่งมีปัญหาการคอรัปชั่นฉ้อราชย์บังหลวงกันกว้างขวาง อันส่งผลให้การพัฒนาประเทศไม่พัฒนาไปตามแนวทางที่ควรจะเป็น ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่อัตคัตขัดสน จนทำให้ประชาชนบางกลุ่มเกิดความรู้สึกต่อต้านและพยายามที่จะล้มล้างระบบการเมืองอันไม่เป็นธรรมกับประชาชนนี้ โดยกลุ่มต่อต้านนี้เรียกตัวเองว่ากลุ่มนิยมลัทธิเหมา ซึ่งก่อนหน้าที่เราจะมาเนปาลก็เคยอ่านเจอในคู่มือท่องเที่ยวเหมือนกันว่านักท่องเที่ยวอาจจะโดนขูดรีดจากคนกลุ่มนี้เนื่องจากกลุ่มนิยมลัทธิเหมาต้องการเงินสำหรับสนับสนุนการขับเคลื่อนกิจการของกลุ่ม นักท่องเที่ยวจึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง การโดนขูดรีดของนักท่องเที่ยวจึงมีให้เห็นเกลื่อนกลาด แต่โชคดีที่เหตุการณ์ทุกอย่างมันสิ้นสุดลงก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงตั้งแต่หกเดือนที่แล้ว ทำให้การเดินทางครั้งนี้แทบไม่มีอุปสรรคเลยปัจจุบันชาวเนปาลส่วนใหญ่ค่อนข้างพอใจมากกับรูปแบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยมีผู้นำที่เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนิยมลัทธิเหมาเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งทุกคนเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าการพัฒนาประเทศนับจากนี้จะมีประสิทธิภาพและแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมาแต่ในอดีตอย่างแน่นอน


จากข้อมูลที่ค้นเจอในหนังสือกล่าวถึงความหมายของ Pashupatinath ซึ่งเป็นชื่อวัดแห่งนี้ว่า "สัตว์โลกผู้ชายที่ยิ่งใหญ่" ในที่นี้น่าจะหมายถึงองค์ศิวะเทพ แต่ในความคิดส่วนตัวองค์พระศิวะท่านเป็นเทพ ไม่ใช่สัตว์โลกอย่างเรา ๆ จึงทำให้รู้สึกสงสัยกับความหมายที่แท้จริงของที่มาของชื่อวัดแห่งนี้ไม่น้อย


เนื่องจากเป็นครั้งแรกในการมาสถานที่แห่งนี้ทำให้ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อน เราสังเกตซุ้มประตูทางเข้าสถานที่แห่งหนึ่งมีประชาชนชาวฮินดูเดินเข้าออกไม่ขาดระยะ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราเดินไปถอดรองเท้าซึ่งมีที่วางอยู่บริเวณทางเข้าสอบถามชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวนั้นว่านักท่องเที่ยวเข้าไปได้หรือไม่ ได้รับคำตอบด้วยการพยักหน้าหงึก ๆกึ่งส่ายหน้านิด ๆ เราเคยศึกษาในคู่มือว่าหากแขกส่ายหน้านั่นหมายถึง "ตกลง" "โอเค" หรือ"ใช่" แต่อาการกึ่ง ๆ แบบนี้ทำเอางงอึ้งกิมกี่เลยนึกเข้าข้างตัวเองไปว่า เค้าคงอนุญาตมั้ง!!!


รู้สึกตะหงิด ๆ คัดค้านกับความรู้สึกถึงสถานการณ์ภายในหากเรายังดึงดันจะเข้าไป แต่เพราะเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมาก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา จึงตัดสินใจที่จะเข้าไป ณ บัดนั้น...





 

Create Date : 12 ธันวาคม 2558    
Last Update : 16 ธันวาคม 2558 12:25:42 น.
Counter : 359 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

สมาชิกหมายเลข 2800697
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Simply is the best
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2800697's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.