วิธีฝึกเจริญสติแบบง่าย ๆ
วิธีฝึกเจริญสติแบบง่าย ๆ
(คัดลอกมาจาก ..รักแท้มีจริง ของ ดังตฤณ)


๑) เมื่อหมั่นไส้

ทันทีที่รู้สึกตัวว่าหมั่นไส้ใคร ให้หมั่นไส้ต่อไป! แต่ให้เลิกใช้สายตามองบุคคลผู้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความหมั่นไส้ แล้วใช้ใจทำความรู้จักกับภาวะหมั่นไส้ตรงๆ คือดูว่าความหมั่นไส้ให้ความรู้สึกทางใจอย่างไร

ชั่วขณะหนึ่งคุณจะรู้สึกเหมือนคนเพิ่งกินน้ำมันหมูเลี่ยนๆ หรือเกิดความอึดอัดแบบที่น่าระอา ตรงนั้นใจคุณจะเลิกยึดความหมั่นไส้ ทิ้งความหมั่นไส้ไปเองโดยไม่แกล้ง ยิ่งทำบ่อยก็จะยิ่งเห็นความหมั่นไส้หายไปเร็วขึ้นทุกที ย้ำว่าอย่าไปพยายามทำให้มันหายไปนะครับ ปล่อยให้ใจหมั่นไส้ไป เราแค่ทำความรู้สึกถึงมันตรงๆเท่านั้น



๒) เมื่อโกรธ

ทันทีที่รู้สึกตัวว่าโกรธใคร ให้ดูว่าโกรธแรงแค่ไหน ถ้าถึงขั้นอยากด่าหรืออยากทุบสักอั้กก็ให้ห้ามใจไว้ อย่าด่า อย่าลงมือ เก็บไว้ในอกนั่นแหละ ทำอกให้เหมือนตู้นิรภัยที่ระเบิดลั่นก็ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาถึงข้างนอก จากนั้นให้นับดูสนุกๆแบบรู้อยู่คนเดียว ว่าเกิดการระเบิดอยู่ในอกกี่ครั้ง แต่ละครั้งแรงหรือเบาต่างกันเพียงใด

ถ้าปล่อยให้ระเบิดมันดังเปรี้ยงปร้างออกมาทางปากหรือทางมือไม้ คุณจะไม่เหลือสติไว้ดูอะไรเลย แต่ถ้ามันระเบิดอยู่ในอก คุณจะค้นพบว่ามันไม่ทำให้คุณถึงตาย และที่สำคัญคือสติที่รู้เห็นระเบิดในอก จะช่วยให้คุณไม่ต้องเก็บกดด้วย


แต่หากความโกรธของคุณไม่แรงนัก เพียงอยู่ในระดับหงุดหงิด คิดด่าอยู่ในใจ ยังไม่อัดอั้นขนาดต้องทำปากขมุบขมิบหรือชักสีหน้าใส่เขา อันนี้ให้ดูเฉยๆ อย่าห้ามใจไม่ให้หงุดหงิด อย่าไปเร่งให้หายหงุดหงิดเร็วๆ แล้วก็อย่าเผลอคิดถึงเรื่องต้นเหตุ กระทั่งความหงุดหงิดมันกระพือขึ้นเป็นฟืนเป็นไฟใหญ่โต เริ่มต้นมีควันไฟแค่ไหนก็ปล่อยให้มันคลุ้งอยู่แค่นั้น แล้วในที่สุดมันจะหายไปให้ดู

ฝึกอยู่อย่างนี้ ไม่ว่าจะโกรธหนักหรือโกรธเบา จิตของคุณจะกลายเป็นนักดูความโกรธ คุณสมบัติเด่นของนักดูความโกรธคือไม่ถูกความโกรธครอบงำ แล้วก็ไม่พยายามครอบงำความโกรธด้วย กระทั่งเหมือนแยกกันเป็นคนละฝ่าย ฝ่ายหนึ่งโกรธให้ดู อีกฝ่ายหนึ่งรู้ความโกรธไป

สรุปให้จำง่ายๆคือ ถ้าอยากพูดด่าหรืออยากลงมือทำร้ายใคร ตอนนั้นความโกรธมีไว้ห้าม ไม่ใช่มีไว้ดู แต่ถ้าแค่หงุดหงิดคิดไม่ดีกับใคร ตอนนั้นความโกรธมีไว้ดู ไม่ใช่มีไว้ห้าม


๓) เมื่อเกลียด

ทันทีที่รู้สึกตัวว่าเกลียดใคร ให้ระลึกว่าคุณผูกใจเจ็บแล้วนะ คุณเก็บเชื้อโรคทางวิญญาณไว้กัดกินตัวเองแล้วนะ มองให้เห็นโทษของความเกลียด มองให้เห็นว่าผูกใจเจ็บแปลว่าเจ็บที่ใจตัวเองนาน แล้วคุณจะตระหนักว่าความเกลียดเป็นโรคทางใจโรคหนึ่ง

คุณกำลังเป็นโรค!



บอกตัวเองซ้ำๆไปอย่างนี้เลยครับ จะพูดออกปากให้ชัดถ้อยชัดคำเลยก็ดี พูดจนกว่าใจจะได้ยินจริงๆ

ชีวิตเป็นของยากครับ วันๆเจอแต่คนทำเรื่องไม่น่าพอใจให้เก็บมาคิด แต่ต่อให้คิดถึงขั้นจ้างหมอผีปล่อยของเข้าท้องศัตรู ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ศัตรูเป็นทุกข์หรือเปล่า ที่แน่ๆคือสุขภาพของคุณจะเลวลงทุกที โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและระบบประสาทอยู่ ไม่ว่าอาฆาตมากหรือน้อยก็จัดเป็นของแสลงทั้งนั้น เพราะมันทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น แม้กระทั่งกล้ามเนื้อก็พลอยเกร็งและบั่นทอนความสามารถในการควบคุมตนเองลง



หลักฐานแสดงอยู่ทนโท่ โรคทางใจลามเป็นโรคทางกายได้ เพียงเท่านี้ก็ควรที่คุณจะฉุกคิดได้ว่า ศัตรูของคุณไม่ใช่คนอื่นที่คิดร้ายกับคุณ แต่เป็นความคิดร้ายของคุณเองที่มีต่อคนอื่นต่างหาก!



ความตระหนักจะทำให้คุณเลิกเข้าใจผิดคิดว่าความแค้นอยู่ส่วนหนึ่ง หัวใจและกล้ามเนื้ออยู่อีกส่วนหนึ่ง เป็นต่างหากจากกัน เหมือนคุณตกเข้ามาอยู่ในเครื่องลงทัณฑ์เครื่องหนึ่ง ซึ่งพร้อมจะบีบให้คุณร้อง หรือกระทั่งบดขยี้ให้คุณตาย ขอเพียงทำผิดกติกา ปล่อยความแค้นให้ครอบงำจิตใจนานพอ

เมื่อเป็นโรคแล้วทำไมไม่อยากหายจากโรค? คุณหวงโรคด้วยหรือ? ไม่เลย! ทุกคนอยากหายจากโรค อยากกลับมีกำลังวังชากันมิใช่หรือ? ตรงจุดของการเห็นเช่นนี้แหละที่จิตจะมีพลังแห่งเหตุผลมากพอจะวางความแค้นลงเสียได้



ชั่วขณะที่จิตของคุณวางความผูกพยาบาทอาฆาตลง คุณจะรู้สึกดี รู้สึกสบาย หรืออาจจะถึงขนาดปลงใจอโหสิกับศัตรูคู่แค้น ยิ่งแค้นหนักแล้วอภัยได้เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งมีประมาณความรู้สึกคล้ายยกภูเขาออกจากอกเร็วขึ้นเท่านั้น



ฝึกแค่ ๓ ข้อนี้แค่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้สึก ‘โล่งอก’ ขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นความโล่งอกสบายๆอยู่เรื่อยๆ ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวกับใคร มีความสุขกับใจของตนเอง สบายใจกับความไม่หมั่นไส้ ไม่โกรธ ไม่เกลียดของตนเอง ตรงนั้นขอให้ทราบเถิดว่าเสน่ห์ทางจิตเริ่มเปล่งประกายแล้ว

และ ณ จุดนั้นเช่นกัน ที่คุณจะสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับความคิดได้ดีขึ้น ความคิดสามารถยกระดับจิตได้ และเมื่อจิตถูกยกระดับแล้ว วิธีคิดก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง



ขอเพียงจิตของคุณไม่ยอมเป็นที่เกาะของความหมั่นไส้ ความโกรธ และความเกลียด คุณจะเห็นโลกต่างไปอย่างน่าแปลกใจ ตรงนั้นคุณจะพบว่า ความคิดที่ดีที่สุดไม่ใช่การคิดพยายามเปลี่ยนโลกทั้งใบให้ดีพร้อม แต่เป็นการยอมคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองจากร้ายให้กลายเป็นดีต่างหาก

บนเส้นทางแห่งความพยายาม วิธีคิดทั้งหมดของคุณจะยืนพื้นอยู่บนความไม่อยากเบียดเบียนใคร แม้เขาจะมาเบียดเบียนคุณก่อน คุณก็ไม่อยากเบียดเบียนตอบ และเมื่อความคิดของคุณยืนพื้นอยู่บนความไม่อยากเบียดเบียนอย่างถาวร แต่ละคลื่นความคิดที่ส่งออกมาเป็นห้วงๆจะกระทบใจคนอยู่ใกล้ให้พลอยรู้สึกดีตาม

คุณคงเคยมีประสบการณ์มองใครสักคนแล้วทราบว่าเขากำลังคิด และแม้ความคิดของเขายังคงเป็นเพียงคลื่นลมเร้นลับอยู่ในหัว คุณก็แน่ใจว่าเขากำลังคิดในเรื่องดีงาม นั่นแหละคือตัวอย่างของคลื่นความคิดที่ส่งเสน่ห์ออกมาได้ ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ขยับปากพูดหรือลงมือทำอะไรเลย

หมั่นสังเกตคลื่นความคิดในหัวของคุณ ว่ากำลังเป็นไปในทางสว่างหรือทางมืด แล้วคุณจะยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขา ว่าแค่คลื่นความคิดในหัว ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นแรงดูดหรือแรงผลักรักแท้ให้มาหา



Create Date : 10 ตุลาคม 2551
Last Update : 10 ตุลาคม 2551 22:48:42 น.
Counter : 682 Pageviews.

3 comments
  
ขอบคุณค่ะ
ตอนนี้เราไม่ค่อยเป็นสามข้อที่ว่ามาข้างบนแล้วล่ะ มองมาก(เพราะมองเห็นง่ายกว่าเพื่อน) จะหายไปได้เอง

เราจะออกแนวฟุ้ง/หลง/ขี้เกียจ ซะมากกว่า สามตัวนี้อันตรายมาก เพราะมองเห็นยาก มองแล้วไม่ชอบ มองแล้วไม่หายซะที....เบื่อมากๆ
โดย: แครอท วันที่: 12 ตุลาคม 2551 เวลา:2:17:27 น.
  

สวัสดีเจ้าค่ะเอาบุญมาฝากถึงบ้านเลย
เจ้าค่ะเจ้าของบ้านสบายดีนะเจ้าคะ
โดย: yoja วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:51:35 น.
  
สาธุ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ
โดย: npmail วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:21:22:52 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Zeri.BlogGang.com

npmail
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด