คุยกับนักแปลผู้รับใช้พระเจ้า


ใครที่ตามอ่านบล็อกเรามาตลอดจะเห็นบทความที่เรียบเรียงมาจากวารสารต่างประเทศ คนเรียบเรียงคือ คุณวชิราวรรณวรรณละเอียด (อ้อย) ซึ่งผันตัวมาเป็นนักแปลเมื่อตอนอายุ 40 ปี ปัจจุบันพี่อ้อย อายุ 50+แล้ว เส้นทางการเป็นนักแปลเป็นมาอย่างไร ขอเชิญอ่านด้านล่างค่ะ

พี่อ้อยเริ่มต้นการเป็นนักแปลได้อย่างไร(ไล่เรียงตั้งแต่เรียน ฝึกงาน รับงานแรก จนถึงตอนที่รับงานแปลเต็มตัว)

ทำงานมาหลากหลายอาชีพแล้วค่ะนับตั้งแต่นั่งเคาน์เตอร์ทัวร์ ไกด์ พนักงานต้อนรับและรับโทรศัพท์ ไปจนถึงผู้ประสานงานในการประชุมเสมียนและเลขานุการ หรือบางแห่งเรียกให้หรูว่า Office Manger พออายุเกือบ 40 คิดว่าใครเขาจะจ้างเลขาแก่ๆโดยเฉพาะคนไทยชอบเลขาเอ๊าะๆ มากกว่าจึงคิดเบี่ยงเบนอาชีพที่เราจะทำได้จนวันตายไม่มีเกษียณและเนื่องจากชอบอ่านหนังสือมากและมีหลายคน (โดยเฉพาะเจ้านายฝรั่ง)ถามว่าจบนอกหรือภาษาอังกฤษดีมาก (จบ รร รัฐบาล “นอก” กลางใจเมือง)จึงคิดเป็นนักแปล โดยเริ่มเข้าอบรมทุกคอร์สการแปลและล่ามเท่าที่มีโอกาสรวมทั้งไปสัมมนาปฏิบัติการการแปลกับกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการหลากหลายครั้งและก็เริ่มแปลหนังสือเล่มแรกคือ “โยเนโกะ...ธิดาแห่งความสุข” (ตอนนั้นยังไม่ได้ไปเรียนปริญญาโทการแปล)เพราะประทับใจชีวิตของตัวเอกในเรื่อง และตอนนั้นก็โชคดีได้ศาสตราจารย์ ดร. สิทธาพินิจภูวดล (นายกผู้ก่อตั้งสมาคมนักแปลในสมัยนั้น) เป็นคนตรวจงานแปลให้ (บางส่วน)จึงได้พัฒนาตัวเองขึ้น จำคำพูดของอาจารย์สิทธาได้ดีว่า “ควรใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มลงในภาษาบ้างนะ”เพราะตอนแปลใหม่ๆ กลิ่นนมเนยหึ่ง ด้วยเหตุนี้จึง “บ้า” อ่านหนังสือ(โดยเฉพาะภาษาไทย) เพื่อให้ภาษาสละสวย ง่าย และรื่นไหล โดยเฉพาะอ่านงานเขียนของกฤษณา อโศกสิน ประมาณ 50-60 เรื่อง (เท่าที่จะหาอ่านได้) หนังสือแปล“โยเนโกะ” เป็นเล่มแรกที่ตีพิมพ์ และได้ถวายผลแรกแด่พระเจ้าโดยไม่รับค่าแปล และต่อมาก็ได้“แปลฟรี” ให้คริสตจักรและองค์การคริสเตียนหลายแห่งเพราะถือเป็นการฝึกแปลและรับใช้พระเจ้าไปด้วย

งานแรกที่รับจำไม่ได้ค่ะเพราะงานแทบทุกแห่งจะมีงานแปลปะปนอยู่ด้วย ที่รับงานแปลเต็มตัวเพราะไม่อยากทำงานประจำงานแปล freelanceทำให้สามารถโยกย้ายตัวเองไปรับใช้พระเจ้าในเรื่องต่างๆได้อย่างคล่องตัว ใครใช้หรือวานให้แปลอะไร ทำหมดค่ะ ไม่ว่าจะได้เงินมากหรือน้อยหรืองานฟรี (งานรับใช้พระเจ้าหรือช่วยเหลือ) ซึ่งทำให้เราได้ฝึกการแปลไปด้วยในตัว

เนื่องจากชอบอ่านหนังสือมากเวลาอ่านงานแปลหรืองานเขียนของพวกคาทอลิก มันรื่นไหลมากพวกเขาใช้ภาษาได้ไพเราะมากๆ แต่เวลาอ่านงานแปลของสำนักพิมพ์คริสเตียนโปรเตสแตนท์หลายเล่มอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง และมีเล่มหนึ่งอ่านได้ 2-3 หน้าแล้วทิ้งเลย อ่านไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ จึงอธิษฐานขอพระเจ้าว่าให้ส่งลูกไปเรียนป โท การแปล แล้วอาจารย์สิทธาสอนรามฯ จึงไปเรียนต่อโทการแปลที่รามคำแหงค่ะ (เพราะการแปลหนังสือคริสเตียนมันเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณต้องแปลให้อ่านเข้าใจง่ายและรื่นไหล)

ให้บริการอะไรบ้างนอกจากงานแปล (ล่าม ถอดเทป ประสานงาน) และชอบงานไหนมากกว่ากันเพราะอะไร

ความจริงแล้วชอบงานแปลมากที่สุดเพราะงานล่ามทำไม่ค่อยดี เนื่องจากเป็นคนตื่นเต้นตอนพูดต่อหน้าคนอื่นที่ทำล่ามมาส่วนใหญ่เป็นแบบสรุปส่วนงานถอดเทปที่สำคัญคือเคยถอดและแปลวิดีโอให้กับศูนย์ถันยรักษ์ รพ ศิริราชเกี่ยวกับเรื่องมะเร็งเต้านม และก็ทำประปราย และการประสานงานก็ประสบความสำเร็จเพราะเคยถูกส่งไปประสานงานในการประชุมขององค์การอนามัยโลกที่เชียงใหม่ไปถึงเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง ประชุมเริ่มพรุ่งนี้ไม่มีเอกสารไม่มีอะไรทั้งนั้น พอไปถึงก็ใช้สิทธิอำนาจสั่งงานทุกคน (ไม่ว่าจะตำแหน่งใหญ่หรือเล็กแต่พวกเขาก็เชื่อฟัง) จนเอกสารและสิ่งต่างๆ เสร็จตอนตีหนึ่งคืนนั้นได้รับคำชมและถูกชวนไปทำงานที่ WHO อินเดีย (เคล็ดลับคือระหว่างที่อยู่บนเครื่องไปเชียงใหม่ อธิษฐานอย่างหนัก)

ยกตัวอย่างงานที่คิดว่าทำได้ดีที่สุดตั้งแต่ทำอาชีพนี้ เพราะอะไรถึงคิดว่าดีที่สุด

นอกจากงานแปล(รวมงานเขียนด้วย) หลายเล่ม (คนชม) ก็คิดว่าไปเป็น Coordinator ที่ประชุม WHO เชียงใหม่ประสบความสำเร็จที่สุด(พระเจ้าช่วยค่ะ เพราะตอนอยู่บนเครื่องหวั่นใจไปทุกอย่างว่าคนท้องถิ่นจะเป็นยังไงนะ เราจะไปสั่งการหรือนำให้เขาทำได้หรือเปล่านะคือไปไกลไม่สามารถเปลี่ยนคนหรือถอยกลับได้)

ยกตัวอย่างงานที่คิดว่าพลาดที่สุดและควรจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดิมอีกในอนาคต

งานล่ามและประสานงานเกี่ยวกับการประชุมผู้ค้าอัญมณีในไทยไม่ได้เตรียมตัวพอ เลยไม่ค่อยมีความมั่นใจ ไม่กล้าทำงานที่เจ้าหน้าที่ฝรั่งเขา assignจนถูกด่าว่า “ขี้ขลาด” ขาดความมั่นใจอย่างมากเลยรู้สึกว่าครั้งนั้นล้มเหลวที่สุด ขอเปลี่ยนตัวกลางคันตั้งแต่นั้นแทบไม่รับงานล่ามเลย ตอนนั้นเพิ่งเริ่มงานแปลและล่าม ความมั่นใจน้อยกว่าตอนนี้

คำถามยอดฮิต - อยากเป็นนักแปลหรือล่ามจำเป็นต้องเรียนสาขานี้โดยตรงมั้ย ขอเหตุผล

“ต้อง”อย่างมากเลย เพราะแม้พี่จะเข้าอบรมการแปลและล่ามมาเกือบ 10 แห่ง พี่ก็ยังต้องไปเรียน ป โท เป็นกิจจะลักษณะ เพราะเห็นหลายคนที่จบ ป โทจากนอก แต่แปลงานไม่รู้เรื่อง การแปลไม่ใช่ง่ายเลยอย่าคิดว่าเป็นคนไทยและรู้ภาษาอังกฤษดีจะแปลได้ “ดี” อาจแปลได้แต่ผลงานแปลเป็นอย่างไรไม่รู้ ยกตัวอย่างนะคะ ผศ นายแพทย์ ภากร จันทนมัฏฐะ อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจที่รามา(เป็นแพทย์ประจำพระองค์ในสมเด็จพระราชินีใน ร 9) เวลาเอาหนังสือภาษาอังกฤษให้คุณหมออ่านหมอยังถามว่ามีแปลไทยไหม (หมอเป็นคนน่ารักพูดตรงๆ)บอกว่าอ่านภาษาไทยไวกว่าและง่ายกว่าเพราะแม้จะเป็นอาจารย์แพทย์และผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ แต่ไม่ใช่ว่าภาษาจะ“แข็ง” เคยเห็นระดับ รศ นายแพทย์ คนหนึ่ง พูดภาษาอังกฤษแบบ broken มาแล้วค่ะ (เพราะหมอจะรู้แต่ศัพท์แพทย์และศัพท์เฉพาะทางของตน)การเข้าเรียนเป็นกิจจะลักษณะเปรียบเสมือน “ยกระดับจากมวยวัด เป็นมวยสากล”

รู้ว่าพี่อ้อยเป็นชาวคริสต์ที่ทุ่มเทให้กิจการของพระเจ้าเป็นอย่างมากจะเรียกว่าพี่อ้อยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงานเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ได้หรือไม่เพราะอะไร

ไม่สามารถชมตัวเองได้แต่อย่าคิดว่าฝรั่งอ่านภาษาไทยไม่ได้นะคะจำได้ครั้งหนึ่งพวกมิชชันนารีซื้อหนังสือแปลของพี่ “การรักษาโรค”พร้อมกับฉบับภาษาอังกฤษ แล้วต่อมาก็สั่งซื้อ 900 เล่มไปแจกพี่อาจไม่เก่งที่สุดนะคะ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ แต่พี่มีคติประจำใจว่า “ไม่ว่าจะทำอะไรจงทำเสมือนทำถวายพระเจ้า” (จากพระคัมภีร์ไบเบิล) และ “God deserves thebest.”

พี่อ้อย หางานแปลจากที่ไหน (เช่น ประมูล บอกต่อทำการตลาดโดยตรง) 

ถ้าหาจะไม่ค่อยได้(นอกจากที่สมัครแปลกับคุณแนท ซึ่งแปลกมาก มันเป็นวิทยาศาสตร์ พี่ไม่สนใจตอนแรกคิดว่าทำไม่ได้แน่ แต่พอเห็นเปิดรับครั้งที่สอง พระเจ้าบอกให้สมัคร)แต่จะได้จากคนบอกต่อ

(ตอนนั้นแนทเปิดรับสมัครนักแปลช่วยแปลรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโรงไฟฟ้าต้องการ 9คน สมัครรอบแรกหลายสิบคนแต่ไม่ผ่านการทดสอบตอนนั้นไม่ได้วัดเรื่องศัพท์เฉพาะ แต่อยากดูว่าเขียนภาษาอังกฤษใช้ได้มั้ยเลยเปิดรอบสอง ก็ได้คุณวชิราวรรณมาเป็นหนึ่งในทีมแปล และเมื่อปีที่แล้วมีงานแปลข้อมูลพ่อแม่บุญธรรมส่งมาจากหน่วยงานศาสนาคริสต์ในประเทศนิวซีแลนด์ที่ดำเนินงานแบบไม่หวังกำไรเอกสารแปลเป็นภาษาไทยเพื่อนำไปสมัครรับบุตรบุญธรรมจากประเทศไทยก็บอกลูกค้าว่านักแปลที่จัดให้ทำงานนี้ก็นับถือคริสต์ ลูกค้าดีใจมากและพี่อ้อยในฐานะนักแปลก็ดีใจที่ได้ช่วยงานนี้)

จากที่เคยสมัครเป็นนักแปลกับที่ต่างๆคิดว่าตัวเองได้งานเพราะอะไร และที่ไม่ได้งานเพราะอะไร(คนอื่นจะได้ปรับปรุงก่อนสมัครงาน)

ได้งานเพราะ1)ผ่านการฝึกอบรมและปฏิบัติการการแปลมาหลายครั้งหลายแห่ง และจบ ปโทการแปล และ 2) มีผลงานเป็นหนังสือหลายเล่มแล้ว (แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะงานแปลหนังสือที่ทำสัญญาจากเมืองนอกที่คุณแนทช่วยในเรื่องสัญญา คนเขียนไม่รู้จักพี่เลย เชื่อคำแนะนำของคนอื่นแต่พอพี่ส่ง resume ไป เขาก็วางใจเราและเอางานเราขึ้นเผยแพร่โดยไม่แก้ไขเลย ทั้งๆที่พี่มาอ่านอีกทีก็เห็นพิมพ์ผิดหลายตัว บรรณาธิการจึงสำคัญมาก)

ไม่ได้เพราะการแข่งขันสูงหรือเปล่า และมีการตัดราคากันสะบั้นหั่นแหลกแต่เนื่องจากเป็นคริสเตียนจึงคิดว่าถ้าพระเจ้าให้เราก็ได้เพราะมีเขียนในพระคัมภีร์ว่า “ทุกสิ่งไม่ขึ้นอยู่กับการตะเกียกตะกายแต่ขึ้นอยู่กับพระกรุณา (ของพระเจ้า)”

หากสนใจจะแปล นักแปลหรือล่าม ทำแบบเต็มตัวเลยได้มั้ย หรือควรจะทำเป็นงานเสริม

อันนี้พี่ไม่รู้ขึ้นอยู่กับความพร้อมและเป้าหมายของแต่ละคนแต่สำหรับพี่คือได้มีเวลาและความยืดหยุ่นในการรับใช้พระเจ้า แบบพี่เขาเรียกว่า tentmaking minister (ผู้รับใช้แบบเย็บเต็นท์ คือหาเงิน support ตัวเองในการรับใช้ เช่น เอาหนังสือเข้าคุกเมื่อปีที่แล้ว เหมือนอาจารย์เปาโลในพระคัมภีร์ ที่เย็บเต็นท์หาเงินและประกาศศาสนาไปด้วย)

(Tentmaking,in general, refers to the activities of any Christian who, while dedicating himor herself to the ministry of the Gospel, receives little or no pay forChurch work, but performs other ('tentmaking') jobs to providesupport. ที่มา: Wikipedia และขอขยายความคือ แนทจ้างพี่อ้อยช่วยแปลงานให้ลูกค้า รายได้จากการแปลตรงนี้พี่อ้อยเอาไปเป็นทุนในการจัดทำหนังสือเพื่อส่งเสริมศาสนาคริสต์ปีที่แล้วพี่อ้อยมีโปรเจ็กต์ใหญ่คือผลิตหนังสือส่งเสริมศาสนาคริสต์จำไปแจกจ่ายให้คุกทั่วประเทศซึ่งก็ได้รับการอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดีจากพัสดี นอกจากนี้พี่อ้อยยังคิดจะทำร้านกาแฟที่มีเป้าหมายแจกจ่ายแผ่นปลิวหรือเอกสารส่งเสริมศาสนาคริสต์ หากใครสนใจสนับสนุนโครงการ โปรดหลังไมค์มาจะติดต่อพี่อ้อยให้ อนึ่งแนทนับถือพุทธแต่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับการช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาอื่นช่วยได้ตามกำลัง)

ข้อสุดท้าย มีอะไรอยากบอกนักแปลและล่ามหน้าใหม่มั้ย 

ขยัน(หาข้อมูลให้มากที่สุดตามที่เวลาจะอำนวย) อดทน ซื่อสัตย์(ต่อต้นฉบับและต่อผู้ว่าจ้าง) ตรงเวลา เชื่อถือได้เปิดใจรับคำติได้เพื่อปรับปรุงตัวเอง พร้อมปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอและที่สำคัญสำหรับพี่คือ ทำเหมือนทำถวายพระเจ้า (มากกว่า “ดีที่สุด”)




Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2562 15:49:33 น.
Counter : 1817 Pageviews.

0 comments
“ สเปรย์ฉีดยุง ” dansivilai
(17 เม.ย. 2567 21:04:34 น.)
หนังสือและอุปกรณ์การเรียนสำหรับเด็ก ป.1 ของโรงเรียนประถมที่ญี่ปุ่น SN_monchan
(7 เม.ย. 2567 05:39:08 น.)
9 แนวคิดที่ทำให้เรามีชีวิตประจำวันที่ดีกว่าเดิม peaceplay
(31 มี.ค. 2567 09:18:27 น.)
AI คืออะไร ? ข้อดีของ AI Technology Robotic เข้ามาช่วยในการผ่าตัด newyorknurse
(19 เม.ย. 2567 02:45:03 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Workingwoman.BlogGang.com

Natchaon
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 314 คน [?]

บทความทั้งหมด