ตำนานไซซี บทที่ 1 : วิหคสวรรค์

ที่มา: //webdesignerwall.com/tutorials/design-process-of-the-phoenix 


ใกล้สนธยา ลำแสงสุริยาพาดผ่านทิวเขาเป็นแนวขนาน…

ในยามนั้น บังเกิดเสียงเป่านกหวีดไม้ไผ่หวีดหวิวและเร่งเร้า ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งควบอาชาทะลวงเข้าไปในป่าสน เบื้องหน้ามีอาชาสีนิลตัวเขื่องโลดแล่นทะยานนำ ฝูงม้าและชายฉกรรจ์ที่ติดตามกันคล้ายฉากกั้นแสงอาทิตย์เคลื่อนไปเป็นรายทาง ขับให้บุรุษหนุ่มที่อยู่บนอาชาจ่าฝูงยิ่งงามสง่าด้วยอาภรณ์สีแดงเพลิงตัดกับสีดำทะมึนดุจรัตติกาลของอาชาคู่ใจ

"ย่าห์!"

เสียงตวาดก้องพร้อมกับขับม้าด้วยบังเหียน เมื่อตัดทิวสนออกไปถึงเนินกว้าง บุรุษบนอาชาไนยรั้งบังเหียนแล้วเปลี่ยนมาเงื้อคันธนูจนสุดสาย ชั่ววินาทีก่อนที่อาชาไนยจะยกขาหน้าสะบัดขึ้น คันธนูถูกดีดผึง เกาทัณฑ์พลันซัดพุ่งออกจากแหล่งทะยานแหวกอากาศไปในชั่วพริบตา อาชากรีดร้องด้วยความคึกคะนองหลังจากวิ่งมาเป็นระยะทางไกล ชั่วดีดนิ้วมือหลังม้าร้อง เสียงกรีดหวีดหวิวก็ดังตามมาจากปลายสน จากนั้นเป็นเสียงสัตว์ปีกขนาดใหญ่ร่วงถลาแล้วตะกายอากาศขึ้นไป เปลวเพลิงที่ลุกท่วมร่างของวิหคต้องเกาทัณฑ์กำลังหรี่แสงลง ชายฉกรรจ์ที่ขี่ม้าตามมาต่างแหงนหน้าโห่ร้องด้วยความยินดี

"สำเร็จแล้วพะย่ะค่ะ! วิหคฟงหวงต้องเกาทัณฑ์ขององค์ชาย มันไปไหนไม่รอดแล้ว"

“ดูนั่น มันยังมีเรี่ยวแรงบินหนีไปทางทิศทักษิณอีกพ่ะย่ะค่ะ พวกเราตามไป!”

“เฮ! องค์ชายจงเจริญ! องค์ชายจงเจริญ!”

ชายฉกรรจ์เหล่านั้นคือพลทหารองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายมา ต่างตวัดบังเหียนเตรียมบ่ายหน้าไปยังทิศใต้เพื่อจัดการกับเป้าหมายให้เด็ดขาด พากันโห่ร้องสำทับ แต่แล้วต่างสะดุดกึกทันทีเมื่อองค์ชายบนหลังม้ายกมือขึ้นตัดบท

“ปล่อยมันไป”

“อ้าว ปล่อยมันไปทำไมพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”

“เรารู้สึกว่านั่นมิใช่วิหคฟงหวง”

สุดสายตาของผู้พูด ปักษาต้องเกาทัณฑ์กำลังสะบัดปีกโรยแรง แต่ยังฝืนทนเหินขึ้นฟ้าบ่ายหน้าลงใต้ แวบหนึ่งที่เปลวเพลิงสลายคลายลง บังเกิดสีสันเลื่อมสลับลายอยู่ที่ปลายหางยาวเป็นพู่คล้ายหางนกยูง

“มะ มิใช่วิหคฟงหวงจะนับเป็นตัวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เปลวเพลิงพวยพุ่งอยู่รอบตัวมันปานนั้น”

“วิหคตัวนี้ ดูไปคล้ายวิหคฟงหวง แต่ที่จริงไม่ใช่ เพียงขนของมันมีสีสันเจิดจ้าเกินไป เมื่อมองแต่ไกลจะนึกว่าเป็นเปลวไฟพวยพุ่ง แต่ถ้ามองให้ชัดถนัดตา ที่แท้ภายในเป็นขนสีรุ้งเลื่อมพรายสดใส ยิ่งพอต้องเกาทัณฑ์แล้วส่งเสียงร้องที่คล้ายภาษามนุษย์เช่นนั้น นั่นอาจเป็นปักษาที่ชาวสวรรค์ปลอมแปลงตัวมา หาใช่นกอมตะหรือวิหคฟงหวงอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจไม่”

ผู้อธิบายมีน้ำเสียงเยือกเย็นภูมิฐาน บ่งบอกถึงวัยวุฒิที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานพอสมควรแล้ว เป็นคนที่ขับม้าตามมาเป็นลำดับสุดท้าย แต่เมื่อคนผู้นี้เอ่ยปากพูด ทุกคนจะสดับฟัง หนึ่งในพลทหารประสานมือโค้งคำนับ

“คารวะท่านมหาอำมาตย์อูจื่อซี”

“ถวายบังคมองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”

มหาอำมาตย์อูจื่อซีเคลื่อนกายลงมาจากหลังม้าและถวายความเคารพแก่องค์ชาย ก่อนจะพยักหน้าให้พลทหารลดมือลง

“ท่านไม่เห็นต้องลำบากติดตามข้ามาเลย”

“หม่อมฉันรีบมาเตือนฝ่าบาท อย่าได้ทำร้ายวิหคสวรรค์ มิคาด มาไม่ทันเกาทัณฑ์หลุดจากแล่ง อูจื่อซีนี่ไม่ได้ความเลย”

“นั่นเป็นวิหคสวรรค์หรอกหรือ”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ประเสริฐนัก เมื่อเป็นวิหคสวรรค์แต่ไม่อยู่ส่วนสวรรค์ มาบินผ่านหลังคาตำหนักของข้า ข้าเลยต้องฝากรอยจารึกเอาไว้บ้าง ดูท่าลูกธนูจะปักเข้าที่หน้าอก แต่ฐานะที่เป็นวิหคสวรรค์ คงไม่ถึงกับทะลุหัวใจกระมัง”

“องค์ชายฟูชา... ทรงคึกคะนองเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
อูจื่อซีส่ายหน้าช้า ๆ  และโค้งตัวลงพร้อมกับทูลตำหนิ

“บังอาจ! ท่านอำมาตย์กล่าวล่วงเกินองค์ชายแล้ว”
องครักษ์คนหนึ่งตะโกนออกมาดัง ๆ แต่กลับถูกองค์ชายหันมาตะคอกใส่

“ผิดแล้ว เจ้านั่นแหละล่วงเกินท่านอำมาตย์ อูจื่อซีนอกจากจะเป็นมหาอำมาตย์ของเมืองเรา ยังเป็นราชครูของข้าด้วย รีบขอขมาท่านอำมาตย์เสีย”

“ขะ ขออภัยท่านอำมาตย์”
องค์รักษ์ตัวดีเห็นว่าผิดท่า รีบลงจากหลังม้าแล้วคุกเข่า โคกศีรษะขอขมาผู้มีอายุ

“โทษฐานที่ล่วงเกินท่านอำมาตย์ ดังนั้นเจ้าจงนั่งสำนึกผิดอยู่ตรงนี้สี่ชั่วยาม ส่วนท่านอำมาตย์ ข้าขอรับคำตำหนิของท่านไว้ และจะไม่ตามล่าเจ้าวิหคสวรรค์ตัวนั้นอีกต่อไป”

“ขอบพระทัยองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ทรงมีพระกรุณาเป็นล้นพ้น”
อูจื่อซีเองก็คุกเข่าลงเช่นกัน เขาน้อมกายลงถวายพระพรอย่างโล่งอกโล่งใจ

“เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ”

สิ้นคำบัญชา องค์ชายและเหล่าองค์รักษ์ก็กระชากบังเหียนม้า แล้วพากันตะบึงกลับไปอีกทาง ทิ้งให้มหาอำมาตย์ทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปบังคับม้าตามกลับวังไปในเวลาต่อมา...

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,.• * * •..,..,..• *

10 เดือนก่อนหน้านั้น....

ภูเขาจู้หลอตั้งตระหง่านเป็นปราการสำคัญของเมืองจูจี้ หัวเมืองแห่งรัฐเยว่ ซึ่งมีอาณาเขตติดกับทางตอนใต้ของรัฐอู๋ดินแดนแห่งนี้มีทัศนียภาพสงบเงียบและสวยงามด้วยก้อนเมฆที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนยอดเขา ธารใสไหลจากต้นน้ำ ลัดเลาะไปตามกรวดหินดินทราย เกิดเป็นประกายวาวระยับของสายธารชุ่มฉ่ำเย็น

ลำธารเล็ก ๆ  ริมเชิงเขาจู้หลอแห่งนั้นเอง ยังมีกระท่อมหลังน้อยของชายตัดฟืนและหญิงทอผ้าคู่หนึ่ง เขาและนางต่างตกลงปลงใจออกมาตั้งรกรากและสร้างครอบครัวร่วมกัน ด้วยฐานันดรต่ำต้อยและไร้ญาติขาดมิตร พิธีแต่งงานของทั้งคู่จัดกลางป่าเขา พยานมีเพียงเทพเจ้าแห่งขุนเขาและสายน้ำที่มิได้ออกมาปรากฏกายให้เห็นหน้า เจ้าสาวฉลองพิธีวิวาห์ด้วยการไปตักน้ำที่ริมธารมาล้างเท้าให้กับสามี
ณ ที่แห่งนั้น มีปลาไนสีทองอยู่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึก มันบำเพ็ญเพียรมานานนับร้อยปีเพื่อวันหนึ่งจะได้พบกับฮ้อแปะ(เจ้าคงคา) และกลายร่างเป็นเซียนปลาไนประจำเขาจู้หลอ วันหนึ่งสายน้ำกระเพื่อมหวั่นไหว ฝูงปลาต่างว่ายไปรวมกันกระจุกหนึ่ง เหนือน้ำมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างเคลื่อนไหวไปมา ปลาไนนักพรตว่ายตามฝูงปลาขึ้นไปดู พอมันชูปากชูตาขึ้นเหนือน้ำ ก็ถึงกับตะลึงจังงัง ภาพหญิงงามหยาดเยิ้มปรากฏต่อหน้าต่อตา นางกำลังก้มตักน้ำและกล่าวทักทายปลาเล็กปลาน้อยรอบ ๆ ตัว ทันใดนั้น นางเหลือบมาสบตากับปลาไนสีทองแล้วพลันร้องอุทานด้วยความยินดี ปลาไนนักพรตก็ลืมความสุขุมคัมภีรภาพทั้งหมดที่บำเพ็ญมาหมดสิ้น มันกระโดดขึ้นไปอยู่ในอุ้งมือนางอย่างลืมตัว 

หญิงทอผ้าเอามือลูบไล้ปลาไนทองที่กระโดดโผเข้ามาหาด้วยความเอ็นดู นางร้องจุ๊ ๆ เหมือนตักเตือนปลาไนว่าทำอย่างนี้ไม่เหมาะสม หากเป็นชาวประมงคงรีบคว้าโอกาสจับปลาไปต้มกินเสียเป็นแน่แท้ หญิงทอผ้าค่อย ๆ หย่อนปลากลับลงน้ำ แต่ปลาไนทองไม่ลดละความพยายาม มันกระโดดผลุงเข้าไปในถังน้ำที่เธอเพิ่งตักน้ำบรรจุเอาไว้ อีกทั้งยังคาบไข่มุกเอาไว้ในปากแล้วชูให้นางดู หญิงทอผ้ามองดูไข่มุกอย่างตะลึงลาน แต่นางก็ไม่กล้าแตะต้องหรือล้วงไข่มุกออกจากปากของปลา ได้แต่รำพึงว่า

“เจ้าปลาน้อย ข้าต้องเอาน้ำในถังนั้นไปล้างเท้าสามีข้า และคงพาเจ้าไปด้วยไม่ได้ แต่หากเจ้าอยากจะมอบไข่มุกเม็ดนั้นให้ข้า ก็จงคายออกมาเถิด”

ปลาไนทองนักพรตได้ยินคำว่า “สามี” ก็พลันฝันล่มสลาย มันตระหนักในบัดนั้นว่าได้หลงรักหญิงสาวผู้นี้จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น กล้ากระโจนเข้าไปหานาง อยากติดตามนางไปทุกที่ และหมายจะมอบไข่มุกซึ่งเป็นผลจากการบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลาร้อยปีให้กับนาง แต่เมื่อได้ยินได้ฟังว่านางมีสามีแล้วก็ตัดใจในทันใด เจ้าปลาไนพ่นไข่มุกเม็ดนั้นเข้าปากของหญิงทอผ้าอย่างพอเหมาะพอเจาะก่อนจะกระโจนลงน้ำไป มันได้มอบไข่มุกให้แก่นางแล้วโดยไม่คิดจะมอบให้กับผู้ใดอีก เจ้าปลาไนหลบลี้ดำดิ่งลงไปในธารน้ำลึกอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หญิงทอผ้ายืนตะลึงลาน ไข่มุกลื่นไหลลงคอของนางอย่างไร้สิ่งกีดขวาง นางเห็นแล้วว่าผิดท่าจึงรีบกลับไปหาสามี หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่เดือนกี่วัน...

นางก็ตั้งครรภ์
...
...
...

เดือนที่สิบผ่านพ้น 
สายัณห์นั้นวิหคต้องเกาทัณฑ์ 
ราตรียาวนานของหญิงทอผ้ามาถึงพอดี

เสียงร้องโอดโอยดังมาจากกระท่อมหลังเล็ก ชายตัดฟืนตั้งใจจะพาภรรยาไปหาหมอตำแยในเวลาฟ้าสาง มิคาดนางร้องครวญครางเจ็บปวดคล้ายลำไส้บีบรัดตัว พอชันเข่าและผงกหัวขึ้นดูก็พบว่ามีหยดน้ำขุ่นคลั่กสีแดงก่ำกำลังทะลักออกมาจากหว่างขา ชายตัดฟืนผวาลุกแล้ววิ่งไปหาหมอตำแยให้รีบมาทำคลอด หญิงทอผ้าฝืนชันกายในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง วิงวอนเทพเจ้าขอให้ลูกน้อยอยู่รอดปลอดภัยและคลอดออกมาโดยสวัสดิภาพ ทันใดนั้น หลังคาบ้านพลันกระพือไหว ท่ามกลางความเจ็บปวดจนตาพร่าพรายนางเห็นแสงวาวโรจน์อยู่เหนือหลังคาบ้าน แสงสว่างนั้นใหญ่กว่าโคมไฟแต่เล็กเกินกว่าจะเป็นจันทราเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงมา ภาพที่ประจักษ์แก่ตาที่สุดแล้วคือวิหคจากฟ้ากำลังสยายปีกเลื่อมพรรณรายฉาดฉายแสงจ้า ที่กลางอกของวิหคตัวนั้นมีเกาทัณฑ์ปักคาและเลือดซึมไหล หญิงทอผ้ามัวแต่ตกตะลึงจนไม่รู้จะทำประการใด วิหคตัวนั้นก็ร่อนลงมาที่อกของนางก่อนจะหายวับไปในบัดดล

ประตูกระท่อมเปิดออก สามีของนางมาพร้อมกับหมอตำแย หว่างขาของนางถูกแหวกล้วง เด็กทารกแผดเสียงร้องไห้จ้า

ก่อนหญิงทอผ้าจะหมดเรี่ยวแรงลงไป สามีของนางพาลูกน้อยมาให้เชยชม

“เป็นหญิง ลูกของเราเป็นเด็กผู้หญิง ดูสิ หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องปานไข่มุกเลย เจ้าเห็นไหม”
หญิงทอผ้าพยักหน้า นางยิ้มระโหยโรยแรง

“อี๋กวง...”

นางพยายามจะเล่าถึงแสงประหลาดกับวิหคมหัศจรรย์นั้นให้สามีฟัง

“อี๋กวง (แสงแห่งความปลาบปลื้ม) หรือ อืม เป็นชื่อที่ดี ให้ลูกของเราชื่ออี๋กวงก็แล้วกันนะเมียจ๋า”

“อา... อือ... ใช่...ซี”

“เจ้าว่าอะไรนะ อี๋กวงไม่ถูกใจ จะให้ชื่อไซซีหรือ อ้าว หลับไปแล้วเมียข้า”

หญิงทอผ้าหมดแรงจะกล่าว นางผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของสามี คนตัดฟืนโอบกอดลูบหัวภรรยาและลูกสาวตัวน้อยด้วยความรักสุดหัวใจ ดึกสงัด ราตรีล่วงไป โดยไม่มีใครคาดคิดว่า วงล้อแห่งโชคชะตา สงคราม และการล้างแค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคชุนชิวกำลังจะเริ่มขึ้น



(โปรดติดตามตอนต่อไป)






Create Date : 11 เมษายน 2556
Last Update : 21 เมษายน 2556 9:41:51 น.
Counter : 1468 Pageviews.

3 comments
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
15 เมษายน 2567 คุกกี้คามุอิ
(15 เม.ย. 2567 04:15:53 น.)
๏ ... คืนฟ้าไร้ดาว ... ๏ นกโก๊ก
(14 เม.ย. 2567 09:49:36 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 35 : กะว่าก๋า
(13 เม.ย. 2567 05:51:40 น.)
  
เยี่ยมมากค่ะ แค่บทแรกก็ติดใจซะแล้วเนี่ย ^^
โดย: พี่สาว IP: 223.206.114.184 วันที่: 12 เมษายน 2556 เวลา:0:12:00 น.
  
ขอบคุณค่ะพี่สาว
โดย: รุริกะ วันที่: 16 เมษายน 2556 เวลา:10:29:56 น.
  
^^
โดย: ฟ้าใส IP: 110.164.68.126 วันที่: 10 พฤษภาคม 2556 เวลา:16:21:21 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wila.BlogGang.com

รุริกะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]