เที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุสายแดก ตอนที่ 1 แค่วันแรกก็เหนื่อยแล้ว!! "ญี่ปุ่น" หนึ่งในประเทศที่ทุกคนใฝ่ฝันว่าอยากไปเยือนซักครั้งในชีวิตแต่ก็มักจะไม่เป็นแบบนั้น ทุกคนที่กลับมาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "กุจะกลับไปอีกให้ได้!!!" นั่นแหละค่ะ...อีนี่ก็เหมือนกัน จากที่ไปยากไปเย็น ตอนนี้ญี่ปุ่นไม่ต้องมีวีซ่าแล้วนี่นา!! แถมอยู่ได้ตั้ง 15 วัน จะรีรออะไรล่ะค่ะ คุณเพื่อนเลยผุดโปรเจคอยากเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์บ้างเลยชักชวนเดอะแก๊งได้พรรคพวกร่วมทริปกันได้ 10 คน วางแพลนฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมวแบบข้ามชาติ แต่สุดท้ายทริปนี้ก็มีผู้ร่วมชะตากรรมเหลือเพียงแค่ 6 คนเท่านั้น ไม่เป็นไรยังไงเราก็พร้อมไปสร้างความเกรียนกันอยู่ดี ว่าแล้วก็ตบตีแย่งตั๋วโปร จองโรงแรม และแล้ววันเดินทางก็มาถึง!! ผ่างงงง!! 8 เม.ย. 59 พร้อมกันที่ดอนเมือง ณ เวลา 6.30 น. เนื่องจากคุณเพื่อนบอกมาว่าวันนี้คนจะเยอะมากขอให้สแตนบายก่อนไฟลท์ ซึ่งก็จริงค่ะ...คนเยอะจริง!! หลังจากโหลดกระเป๋า นั่งรอบอร์ดดิ้งจนกระทั่งขึ้นไปนั่งบนเครื่องนี่ยังไม่อยากเชื่อเลยค่ะว่าจะได้ไปแล้ว ตื่นเต้นสุดๆ เลย ใช้เวลา 6 ช.ม. นั่งกันเงกเลยค่ะ ยามานาชิโมจิ ของใหม่จากแอร์เอเชียค่ะ หนึบๆ อร่อยมากก พระอาทิตย์ตกเหนือน่านฟ้าญี่ปุ่น ถึงนาริตะประมาณ 6 โมงเย็นได้ เร็วกว่ากำหนดการประมาณ 15 นาที ก็ต้องไปผ่านต.ม.ของญี่ปุ่นที่....วุ่นวายมากกกกก เนื่องจากนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติแห่กันมาฤดูซากุระกันเต็มไปหมดเลย กว่าจะผ่านต.ม.ที่นี่ก็ล่อไปเป็นช.ม.ได้ มาถึงแล้วนะรู้ยัง หลังจากผ่านต.ม.มาก็เตรียมเดินทางไปยังที่พักค่ะ เราเลือกพักที่ Sakura Hostel Asakusa อยู่ในย่านอาซากุสะเพื่อสะดวกต่อภารกิจแรก อิอิ ระหว่างที่หัวหน้าทริปเราไปจัดการเรื่องการเดินทางเข้าที่พัก แดกเกอร์ทั้งหลายก็เริ่มสอดส่ายหาร้านสะดวกซื้อ // ต่อไปจะเรียกย่อๆ ว่าคอมบินี่เด้อ มื้อแรกของพวกเราก็พึ่งที่นี่แหละค่ะ เจ้านี่เห็นเขียนว่าแซลมอนมาโย จริงๆ แล้วในข้าวเหมือนมีต้นหอมสับด้วย อร่อยอ่ะ จำไม่ได้แล้วว่าต่อรถอะไรเข้าเมือง เอาเป็นว่าตอนนั้นยังอึนๆ กับการขึ้นรถไฟญี่ปุ่นมากๆ เราก็มาโผล่สถานีเมโทรอาซากุสะ(ละมั้งนะ) อากาศหนาวมากค่ะขอยืมผ้าพันคอเจ้ผู้ร่วมทริปมาพันคอแพรพ เดอะแก๊งเราก็ลากกระเป๋าและสังขารออกมาและ....เดินมาราธอนเข้าที่พักค่ะ ณ ตอนนั้นเวลา 4 ทุ่ม!! ขุ่นพระ!! บรรยากาศหน้าวัดเซนโซจิยามค่ำคืน พวกเราเดินมาตามทางผ่านหน้าวัด ผ่านหลายๆ ซอยจนเลี้ยวเข้าซอยที่เป็นถนนสีส้มค่ะแล้วก็เดินเข้ามาเรื่อยๆ เลี้ยวมาตามทางที่หัวหน้าทริปพามา แต่ละคนทั้งเหนื่อย ทั้งปวดขา จนมาถึงที่พักในเวลา 5 ทุ่ม ถ้าเจอต้นซากุระหน้าหอนี่เป็นอันว่าถึงแล้ว หลังจากเช็คอินและเก็บกระเป๋าก็ตัดสินใจกันว่า ป่ะ...กินข้าว ห๊ะ!! ตอนนี้เนี่ยนะ...คือไม่ใช่อะไรนะ หิวมากจนไม่สามารถข่มตากันได้ค่ะและหัวหน้าทริปขอไปจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน โอเค...ไปก็ไป ก็พากันหอบขาอันเหนื่อยล้าเดินฝ่าอากาศหนาวออกมากินค่ะ เดินออกมาถนนใหญ่นั่นแหละค่ะ เชรี่ยมากกกกบอกเลย คือเก๊าหนาวววววว หลังจากแวะคอมบินี่จัดการเรื่องตั๋วเสร็จ ถนนใหญ่นั้นร้านรวงบางร้านก็ยังพอเปิดอยู่ค่ะ เป้าหมายเราคือ Sushi Zanmai ที่เปิด 24 ช.ม.ค่ะ แต่!!! ดูราคาแล้ว...ดูเมนูแล้ว.... เฮ้ย...เรายังไม่ต้องจัดหนักกันตั้งกะมื้อแรกหรอกว่ะ ไปๆ เดินดูไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีอะไรก็เดินกลับไปแฟมิลี่มาร์ท // อ้าว เอ็งจะพากันออกมาตั้งไกลละกลับเนี่ยนะ 5555 ไม่ได้ค่ะ เราต้องได้กิน!! เราพากันข้ามฝั่งไปฝั่งตรงข้ามกับวัดเซนโซจิและก็แวะที่ตึกๆ นึง ดูแล้วเหมือนมีร้านอาหารเปิดอยู่ตามชั้น แต่เราแวะชั้นแรกนี่แหละค่ะ เพิ่งมารู้ชื่อทีหลังว่าชื่อร้าน Tsukiji Market Sushi ประมาณนี้แหละ เป็นร้านแนวอิซากายะค่ะเข้าไปนี่กินบุหรี่ตีแสกหน้าเลย ที่ร้านมีบวกเซอร์วิสชาร์จนะคะ เครื่องดื่มมีครบครันทั้งเหล้า เบียร์ เลือกได้ตามสบายเลย ส่วนเมนูมีทั้งญี่ปุ่นและอังกฤษค่ะ หน้าตามื้อแรกก็ตามนี้เลยค่า............ // แต่จำชื่อไม่ได้ละอ่ะ จานท่านหัวหน้าค่ะ ปลาไหลชิ้นใหญ่มาก!! อันนี้อีนี่สั่งเองแต่เก๊าไม่กินหอยเม่นนะ การันตีความสดว่าสดจริง ปลาหมึกไม่คาวเลย ก็จบกันไปกับมื้อแรก จริงๆ มีเมนูอื่นด้วยแต่ถ่ายมาแค่นี้เอง ที่ร้านมีหัวปลาต้มด้วยนะคะ แหม...เหมาะกับอากาศหนาวๆ กินกับข้าวร้อนๆ อร่อยเริ่ดด ก็คิดค่าเสียหายกันไปและรีบออกจากร้านค่ะกลิ่นบุหรี่แรงมาก ใครที่แพ้กลิ่นบุหรี่ระวังด้วยนะคะเพราะบางร้านจะไม่แยกโซนสูบบุหรี่โดยเฉพาะร้านแนวนี้ค่ะ สำหรับเอ็นทรี่นี้ก็จะจบลงตรงนี้ก่อน...จะค่อยๆ ทยอยมาเล่าตอนต่อไปนะคะ To be continued..... |
บทความทั้งหมด
|