โชกุนโทกุงาวะ อิเอยาซุ (ญี่ปุ่น: 徳川 家康 ?)โอดะ โนบุนางะ, โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ, และโทกุงาวะ อิเอยาซุโอดะ โนบุนางะ คือไดเมียวที่มีชื่อเสียงของเขตนาโงยะ (ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าจังหวัดโอวาริ) และยังเป็นตัวอย่างของซามูไรที่โดดเด่น ต่างจากผู้อื่นในยุคเซ็งโงกุ
เขาเข้ามามีบทบาทและได้วางหนทางเพื่อความสำเร็จของเขา ไม่กี่ปีหลังจากการรวมญี่ปุ่นอีกครั้งภายใต้ ค่ายรัฐบาล หรือ บากุฟุ (คณะปกครองในระบอบโชกุน) ใหม่
โอดะ โนบุนางะ ได้สร้างนวตกรรมทางด้านการบริหาร และกลยุทธ์การสงครามเอาไว้มากมาย ได้แก่ การใช้ประโยชน์จากปืนเล็กยาวอย่างหนัก พัฒนาการพาณิชย์และอุตสาหกรรม และสร้างนวตกรรมใหม่ในด้านการคลัง
ชัยชนะของเขาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัวเขาเข้าใจถึงการสิ้นสุดลงของค่ายรัฐบาลอาชิกางะ และการปลดอาวุธจากกำลังทหารของพระในศาสนาพุทธ ซึ่งนำไปสู่ความโกรธเกรี้ยว และการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ระหว่างประชาชนธรรมดาด้วยกัน เป็นเวลาหลายศตวรรษ
เขารู้ว่าการโจมตีที่มาจาก "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ของวัดชาวพุทธ เกิดจากแรงกดดัน ที่มีมาจากการกระทำของขุนศึก และแม้แต่จักรพรรดิซึ่งพยายามจะควบคุมการกระทำของพวกเขา
โอดะถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2125 (ค.ศ. 1582) เมื่ออาเกจิ มิตสึฮิเดะ แม่ทัพคนหนึ่งในสังกัดของเขา หักหลังเขากับทหารของเขาด้วย
หลังจากนั้น โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ และโทกุงาวะ อิเอยาซุ (ผู้ซึ่งก่อตั้ง คณะการปกครองโชกุนโทกุงาวะ) ที่ต่างก็เป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของโนบุนางะ ก็ได้หาทางกำจัดมิตสึฮิเดะ - ฮิเดโยชิเป็นผู้ที่เติบโตมาจากชาวนาไร้ชื่อเสียง
ซึ่งเริ่มมาจากทหารราบ อาชิงารุ ไต่เต้ามาจนเป็นนายทหารสู่หนึ่งในแม่ทัพ ที่มีฝีมือของโนบุนางะ ส่วนอิเอยาซุนั้นก็เติบโตมาด้วยกันกับโนบึนางะตั้งแต่เด็ก โดยตอนเด็ก อิเอยาซุ เคยเป็นตัวประกันของผู้ครองแคว้นใน มิคาวะ มาก่อน
ในปี พ.ศ. 2125 (ค.ศ. 1582) ฮิเดโยชิเอาชนะมิตสึฮิเดะ ได้ภายในหนึ่งเดือน และถือเป็นผู้ที่สืบทอดอำนาจต่อจากโนบุนางะ โดยชอบธรรมโดยการยึดทรัพย์สินของมิตสึฮิเดะ
แม่ทัพทั้งสองได้ให้ความสำเร็จที่ผ่านมาของโนบุนางะ เป็นของขวัญในการรวมญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน พวกเขาได้กล่าวคำสำคัญเอาไว้ ในเหตุการณ์นี้ว่า:
การรวมแผ่นดินครั้งนี้ก็เหมือนกับข้าวปั้น โอดะทำมันขึ้นมา ฮาชิบะแต่งรูปร่างให้มัน และสุดท้าย มีเพียงอิเอยาซุเท่านั้นที่จะเป็นคนลิ้มรสมัน
(ฮาชิบะ คือชื่อตระกูลที่โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ใช้ในขณะที่เขายังเป็นผู้ติดตามของโนบุนางะ)
โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ผู้เป็นบุตรของตระกูลชาวนาที่ยากจน ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2129 เขาได้ตรากฎหมายให้ชนชั้นซามูไร มีความเป็นถาวรและสามารถตกทอดไปสู่ทายาทได้
ส่วนผู้ที่มิใช่ซามูไรนั้น ไม่สามารถพกพาอาวุธติดตัวได้ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้กลุ่มซามูไร ที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็นอันต้องสิ้นสุดลง
หลังจากที่เกิดกฎหมายดังกล่าวขึ้นมา ความคลุมเคลือระหว่างซามูไรจริงกับซามูไรปลอมก็เริ่มลดลง ชายวัยผู้ใหญ่ของทุก ๆ ระดับชั้นทางสังคม (แม้แต่ชาวนา) ส่วนมากแล้วจะไปขึ้นตรงต่อองค์กรทางการทหารอย่างน้อยหนึ่งองค์กร
เพื่อรับใช้องค์กรนั้น ๆ ในการทำสงคราม จึงสามารถกล่าวได้ว่า สถานการณ์ มวลชนปะทะมวลชน กำลังจะดำเนินต่อไปอีกศตวรรษ
ตระกูลซามูไรที่มีอานาจในช่วงหลังศตวรรษที่ 17 จะได้รับเลือกให้ติดตามโนบุนางะ, ฮิเดโยชิ, และอิเอยาซุ สงครามขนาดใหญ่หลาย ๆ ครั้งเกิดขึ้น ในช่วงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
ซามูไรที่พ่ายแพ้และถูกสังหารมีจำนวนมาก ซามูไรที่รอดกลับมาหลายต่อหลายคน ก็ต้องกลายเป็นโรนิง หรือไม่ก็กลายเป็นประชาชนธรรมดา
คณะการปกครองของโชกุนโทกุงาวะ
โชกุนโทกุงาวะ อิเอยาซุ (ญี่ปุ่น: 徳川 家康 ?) ตลอดสมัยการปกครองของตระกูลโทกุงาวะ (ที่มักจะเรียกกันว่าสมัยเอโดะ) นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีสงครามปะทุขึ้นอีกเลย
ในยุคนี้ซามูไรหลาย ๆ คนจึงสูญเสีย หน้าที่ทางการทหารไปทีละน้อย เป็นเหตุให้พวกเขา ต้องหันมาทำงานเป็นข้าราชสำนัก ข้าราชการ และนักบริหารมากกว่าที่จะเป็นนักรบอย่างเคย
เมื่อสิ้นยุคของโทกุงาวะ ซามูไรก็กลายเป็นข้าราชการชนชั้นสูง รับใช้ผู้ที่เป็นไดเมียว ในยุคนี้ไดโชะของซามูไร (ดาบยาวและสั้นที่ซามูไรพกพาไว้คู่กัน หรือที่เรียกว่าคาตานะ และวากิซาชิ) ได้กลายมาเป็นตราสัญลักษณ์
ที่แสดงถึงอำนาจมากกว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พวกเขายังคงได้อำนาจตามกฎหมาย ที่จะฆ่าใครก็ได้ที่ไม่แสดงความเคารพ อย่างเหมาะสมต่อตัวเขาอีกด้วย
ต่อมาเมื่อรัฐบาลกลางบังคับให้ไดเมียว ต้องลดจำนวนซามูไรในสังกัดลง ปัญหาสังคมที่ตามมาคือจำนวนโรนิงที่เพิ่มมากขึ้น
ตามหลักการแล้ว พันธะที่เกิดขึ้นระหว่างซามูไรกับเจ้านายของพวกเขา (ส่วนใหญ่ก็คือไดเมียว) มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก จากสมัยเก็มเปสู่สมัยเอโดะ ในช่วงนี้ ซามูไรจะให้ความสำคัญต่อคำสอนของปราชญ์ขงจื๊อ และเม่งจื๊ออย่างมาก
ตำราของปราชญ์ทั้งสอง เป็นที่ต้องการของชนชั้นซามูไรที่มีการศึกษา
ตลอดสมัยเอโดะ หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง การประมวลหลักบูชิโดก็เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ สิ่งสำคัญคือ หลักบูชิโดเป็นเรื่องของอุดมคติ แต่ก็เป็นหลักที่ยังคงรูปแบบเดิมได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนถึงศตวรรษที่ 19 อุดมการณ์บูชิโดเป็นอุดมการณ์ของชนชั้นนักรบที่อยู่เหนือบริบทชนชั้นทางสังคม เวลา และภูมิสถาน
หลักบูชิโดถูกทำให้เป็นทางการโดยซามูไรหลาย ๆ คน หลังจากที่บ้านเมืองอยู่ในความสงบ ไร้สงคราม คล้ายกันกับหลัก ชิวัลรี ที่ถูกทำให้เป็นทางการเช่นกัน หลังจากที่อัศวินซึ่งเป็นชนชั้นนักรบในทวีปยุโรปล่มสลายไป
หลักความประพฤติของซามูไรได้กลายเป็นตัวแบบ ที่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนในสมัยเอโดะ ซึ่งเป็นสมัยที่เน้นความเป็นทางการอย่างมาก นอกจากนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ซามูไรหลาย ๆ คนยังได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปกับการไล่ตามสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ด้วย เช่น การได้เป็นบัณฑิตผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้ง เป็นต้น
หลักบูชิโด และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เป็นวิถีชีวิตของซามูไร ปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีชิวิตอยู่ในสังคมแบบญี่ปุ่น
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สิริสวัสดิ์อาทิตยวาร มานโชติโชนฉายฉานนะคะ