สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 1 สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 1 ตำแหน่งเดิม ขุนพิเรนทรเทพ กรมพระตำรวจฝ่ายขวา ทรงสืบเชื้อสายข้างพระราชบิดามาจากราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย ส่วนพระราชมารดานั้นกล่าวกันว่าเป็นราชนิกูลในราชวงศ์สุพรรณภูมิแห่งกรุงศรีอยุธยา พระราชประวัติ เมื่อครั้งขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งตามพงศาวดารฉบับหนึ่งกล่าวไว้ว่า ได้สมคบกันก่อการทรยศโดยลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระไชยราชาธิราชและ พระยอดฟ้าโอรสของตนเอง ซึ่งในช่วงนั้นพระสุริโยทัย เกรงว่าท้าวศรีสุดาจันทร์จะลอบปลงพระชนม์พระสวามีของตนจึงให้อุปสมบทเป็นพระ ต่อจากนั้นขุนวรวงศาธิราชได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ เมื่อความแจ้งไปถึงขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งขณะนั้นรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองพิษณุโลก พระองค์จึงเสด็จลงมาจากเมืองพิษณุโลก เพื่อชิงพระราชบัลลังก์คืนจากขุนวรวงศาธิราช ถวายราชสมบัติแด่ พระเฑียรราชา ผู้เป็นพระอนุชาของสมเด็จพระไชยราชาธิราช หลังจากพระเฑียรราชาขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระองค์ได้ทรงสถาปนาขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งเป็นราชนิกูลข้างพระราชมารดาแต่เดิมขึ้นเป็นเจ้า ทรงนามว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ให้ไปประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก รั้งตำแหน่งเจ้าราชธานีฝ่ายเหนือ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในหัวเมืองเหนือทั้งหมด และพระราชทาน พระวิสุทธิกษัตรีย์ (พระราชธิดาในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระศรีสุริโยทัย) เป็นอัครมเหสี ต่อมามีพระราชโอรสและพระราชธิดาสามพระองค์คือ พระสุพรรณเทวี หรือพระสุพรรณกัลยา ซึ่งต่อมาสมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้ถวายเป็นพระมเหสีของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เมื่อปี พ.ศ. 2112 เมื่อพระชนมพรรษาได้ 17 พรรษา เพื่อขอสมเด็จพระนเรศวรมาช่วยงานของพระองค์ องค์ที่สองคือ พระองค์ดำ หรือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ. 2078 พระเจ้าบุเรงนองได้ขอไปอยู่ที่กรุงหงสาวดี ตั้งแต่พระชนมายุได้ 9 พรรษา เมื่อพระชนมายุได้ 15 พรรษา สมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้ขอตัวมาช่วยงานของพระองค์ และทรงตั้งให้เป็นพระมหาอุปราช ไปครองเมืองพิษณุโลก ดูแลหัวเมืองเหนือทั้งปวง องค์ที่สามคือ พระองค์ขาว หรือสมเด็จพระเอกาทศรถ ประสูติเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2100 จากนั้นพม่ากรุงหงสาวดีเห็นว่าเป็นช่วงผลัดแผ่นดินจึงบุกโจมตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อพระมหาจักรพรรดิทรงทราบ จึงทรงนำทัพออกต้านศึก และในขณะที่พระมหาจักรพรรดิทรงกระทำยุทธหัตถีกับ พระเจ้าแปรอยู่ ช้างพระที่นั่งของพระมหาจักรพรรดิก็เสียที ทำให้พระเจ้าแปรไล่ชน แต่สมเด็จพระสุริโยทัยได้นำช้างมาขวาง ทำให้พระศรีสุริโยทัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นกรุงศรีอยุธยาก็ส่งเรือรบไปยิงค่ายพม่า ทำให้พม่าต้องถอยทัพกลับหงสาวดี เมื่อกลับถึงเมืองพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้กลับยึดติดกับการตีกรุงศรีอยุธยาไม่ได้ จึงทรงติดสุราอย่างหนักจนออกว่าราชการไม่ได้ต้องให้บุเรงนองผู้เป็นพระญาติเป็นผู้สำเร็จราชการแทน จากนั้นพวกมอญก็ได้ลวงพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ไปลอบปลงพระชนม์ แล้วยึดหงสาวดีไปได้ ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองได้นำกำลังเข้ายึดหงสาวดีกลับคืนมา และก็นำกองทัพเข้ากรุงศรีอยุธยาหมายจะตีอยุธยา เรียกว่าสงครามช้างเผือก ตอนแรกทรงส่งสาส์นมาขอช้างเผือก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ส่งพระราชสาส์นตอบกลับไปว่า "ถ้าประสงค์จะได้ช้างเผือก ก็ให้เสด็จมาเอาโดยพระองค์เองเถิด" ทำให้พระเจ้าบุเรงนองถือเอาสารนี้เป็นเหตุยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา โดยจัดกำลังประมาณ 500,000 คนพร้อมด้วยช้าง ม้า และอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมาก โดยยกเข้ามาทางเมืองตาก ด้วยกำลังมากกว่า ทำให้ทัพหงสาวดีสามารถยึดหัวเมืองเหนือไว้ได้เกือบทั้งหมดจนมาถึงเมืองพิษณุโลก เรื่องที่น่าสังเกตในรัชกาลนี้ เป็นกษัตริย์ไทย พระองค์เดียวที่พม่าเป็นผู้ปราบดาภิเษกให้ครองกรุงศรีอยุธยา เป็นกษัตริย์ไทย พระองค์เดียวที่ครองพิษณุโลก แล้วยอมอ่อนน้อมต่อพม่า เป็นกษัตริย์ไทย พระองค์เดียวที่พม่าตั้งให้ถึง 4 พระนาม เป็นกษัตริย์ไทย พระองค์เดียวที่ครองราชย์ขึ้นต่อพม่านานถึง 15 ปี เป็นกษัตริย์ไทย พระองค์เดียวที่ประทานธิดาให้กษัตริย์พม่าโดยไมตรี นับว่าทรงมีความเป็น กษัตริย์ไทย พระองค์เดียว อย่างน้อย 5 อย่าง เรื่องราวในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชานี้ เกี่ยวพันใกล้ชิดกับ สมเด็จพระนเรศวรพระราชโอรส ดังนั้นจะกล่าวกันไปในตอนต้นแห่งพระราชประวัติพระนเรศวร ยอมอ่อนน้อมต่อหงสาวดี สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชได้ทำการป้องกันเมืองอย่างดี พระเจ้าบุเรงนองจึงขอเจรจา พระมหาธรรมราชาธิราชจึงส่งพระสงฆ์จำนวน 4 รูป แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ อีกทั้งในเมืองยังขาดเสบียง และเกิดโรคระบาด ทำให้สมเด็จพระมหาธรรมราชา เปิดทางให้พระเจ้าบุเรงนองด้วยเกรงว่าหากขืนสู้ รบต่อไปด้วยกำลังคนที่น้อยกว่าอาจทำให้เมืองเมืองพิษณุโลกถูกทำลายลง เหมือนกับหัวเมืองเหนืออื่นๆ ก็เป็นได้ พระเจ้าบุเรงนองจึงได้แต่งตั้งให้สมเด็จพระธรรมราชา เป็นพระศรีสรรเพชญ์ ครองเมืองพิษณุโลกดังเดิม แต่อยู่ในฐานะเป็นหัวเมืองประเทศราชของหงสาวดี กับขอสมเด็จพระนเรศวรไปองค์ประกันอยู่ที่หงสาวดี ในปี พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง โดยได้เกณฑ์หัวเมืองทางเหนือ รวมทั้งเมืองพิษณุโลกมาร่วมสงครามด้วย โดยพระเจ้าบุเรงนองให้พระมหาธรรมราชาเป็นกองหลังดูแลคลังเสบียง จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อเดือนเก้า พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งในวันศุกร์ขึ้นหกค่ำ เดือนสิบสอง ปีมะเส็ง พ.ศ. 2112 ได้อภิเษกให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา ในฐานะประเทศราช ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 1 บางแห่งเรียก พระสุธรรมราชา เป็นต้น พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของพม่าอยู่ถึง 15 ปี จนถึง พ.ศ. 2127 สมเด็จพระนเรศวร องค์รัชทายาทก็ได้ทรงประกาศอิสรภาพ ในห้วงระยะเวลา 10 ปี แรกในรัชสมัยของพระองค์ เขมรได้ส่งกำลังมาโจมตีหัวเมืองทางตะวันออก และรุกเข้ามาถึงชานพระนคร แต่ฝ่ายไทยก็สามารถต่อสู้ขับไล่เขมรกลับไปได้ พระองค์ทรงเห็นเป็นโอกาสในการป้องกันพระนคร จึงได้บูรณะซ่อมแซมกำแพงและป้อมต่าง ๆ รอบพระนครให้แข็งแรงขึ้น กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2123 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขุดคูพระนครทางด้านทิศตะวันออก หรือคูขี่อหน้า ซึ่งแต่เดิมแคบข้าศึกสามารถเข้ามาสู่พระนครได้สะดวกกว่าด้านอื่น โปรดเกล้า ฯ ให้รื้อกำแพงพระนครด้านทิศตะวันออก แล้วสร้างให้ไปจรดริมฝั่งแม่น้ำเช่นเดียวกับด้านอื่น ๆ ทรงสร้างป้อมมหาชัย ตรงบริเวณที่แม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำป่าสักไหลมาบรรจบกัน และสร้างพระราชวังจันทร์เกษม (วังหน้า) สำหรับใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร ไว้คอยสกัดกั้นทัพข้าศึกที่เข้าโจมตีพระนครทางด้านทิศตะวันออก ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สิริสวัสดิ์ภุมวาร สิริมานรมณีย์ค่ะ |
บทความทั้งหมด
|